โลกใบสุดท้าย
-
เขียนโดย xoxo
วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.
10 บท
1 วิจารณ์
12.90K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ขุนพัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความโลกใบสุดท้าย ( เบญจภาคี)
บทที่5
ขุนพัน
ขุนพันพากาญวิ่งลัดเลาะไปตามป่าโปร่งสลับกับป่าทึบบ้างในบางครั้งและยังต้องกระโดดข้ามลำธารเล็กๆอีกหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าขุนพันจะพากาญไปถึงจุดหมายปลายทางเสียที
“แฮ่กๆ” กาญเริ่มมีอาการเหนื่อยอ่อนลงไปทุกขณะ เขาวิ่งตามขุนพันไปจากที่ตามติดๆแต่เวลานี้เริ่มทิ้งระยะห่างลงทุกที จนกระทั่ง
“เดี๋ยวก่อน ขุนพัน... หยุดพักสักประเดี๋ยวได้ไหมผมจะไปไม่ไหวแล้ว” กาญตะโกนออกไปพร้อมๆ กับการหยุดวิ่งมือทั้งสองข้างท้าวลงมาที่หัวเข่าก้มตัวลงหอบ ขุนพันเห็นดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะวิ่งเหยาะๆกลับมาหากาญ
“นี่ผมไม่ได้มาสมัครวิ่งมาราธอนนะครับ” กาญเงยหน้าขึ้นมองขุนพัน สีหน้าของเขาแสดงอาการของความเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
“มาราทงมาราธอนอะไรกัน...ข้าไม่รู้จักดอก...ข้ารู้แต่ว่าถ้าขืนเจ้าหยุดพักอยู่ตรงนี้ไม่ช้านานหมาป่าตามรอยต้องมาพบเจ้ากับข้าเข้าแน่ๆ” ขุนพันพูดจบก็มองไปรอบๆตัวอีกครั้ง
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงที่หมายเสียทีล่ะครับ” กาญเอ่ยถามต่อทันทีก่อนจะทิ้งตัวลงเหยียดขาทั้งสองออกด้วยความเมื่อยล้า
“ยังอีกไกลโขนัก” ขุนพันตอบเรียบๆปลดซองน้ำเล็กๆข้างเอวออกมาเปิดจุกและยกดื่ม
“หา! นี่ยังไกลไม่พออีกเหรอครับ” กาญบ่นออกมา
“เจ้ายังหนุ่มอยู่แท้ๆ...วิ่งแค่นี้ก็ไม่ไหวเสียแล้วรึ” ขุนพันนั่งลงไต้ร่มไม้ใหญ่บริเวณนั้นปล่อยให้กาญหยุดหายใจอยู่สักพัก
“เอ้า...เจ้าดื่มน้ำนี่เสียก่อนเถิด...คงจะมีแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อยกระมัง” ขุนพันพูดพร้อมกับยื่นซองหนังใส่น้ำให้กาญ
“ขอบคุณครับ” กาญรับมาก็ยกซองน้ำเทใส่ปากอึกใหญ่ทันที
“เบาๆหน่อยก็ได้.. เดี๋ยวจะสำลักตายเสียก่อน” ขุนพันเห็นกาญดื่มน้ำอย่างกับหิวกระหายอะไรมาจากไหน
“ขอบคุณครับ” กาญดื่มเสร็จก็ยื่นซองน้ำคืนให้ขุนพัน
“นี่เจ้า!” ขุนพันคว่ำปากซองน้ำลงพื้นก็พบว่ามีหยดน้ำหยดลงมาสองสามหยด
“ไม่คิดจะเก็บไว้ดื่มในภายหน้าบ้างดอกหรือ” ขุนพันพูดจบก็เก็บซองน้ำเข้าที่ กาญอมยิ้มแห้งๆก่อนจะพูดขึ้น
“มันเหลืออยู่นิดเดียวเองนะ” กาญพูดจบขุนพันส่ายหน้าน้อยๆ
“เดี๋ยวเจอลำธารข้างหน้าผมตักให้ใหม่นะ” กาญพยายามยิ้มให้ขุนพันเมื่อพูดจบ
“มันไม่เหมือนกันดอก...น้ำนี่ไม่ใช่น้ำธรรมดา” กาญทำหน้างงๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มันก็ดื่มเหมือนน้ำธรรมดานี่ครับ ผมไม่รู้สึกว่าดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอะไรเลย” ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆ
“น้ำที่เจ้าดื่มเข้าไปนั่น... มันเป็นน้ำแร่ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วจากท่านดาบส” ขุนพันพูดจบกาญถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
“น้ำแร่ปลุกเสกจากท่านดาบส” กาญอุทานออกมาเบาๆ
“ใช่...น้ำแร่นี้เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่นและมีพละกำลังมากกว่าเดิม” กาญก็ก้มมองตัวเองและรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันทีที่ขุนพันพูดจบ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบัดนี้มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง ความสดชื่นกระชุ่มกระช่วยกลับเข้ามาแทนที่ กาญยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ย!” กาญอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
“จริงด้วยสิขุนพัน... ผมรู้สึกอย่างที่ขุนพันบอกจริงๆด้วย” กาญลุกขึ้นสะบัดแขนสะบัดขาอย่างกระปรี้กระเปร่า
“เจ้ารู้สึกเยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว... จะได้มีแรงวิ่งตามข้า” ขุนพันลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ
“นี่ยังต้องวิ่งต่ออีกเหรอ” กาญทำเสียงอ่อยๆห่อไหล่ทำท่าหมดแรง ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าเราออกเดินทางกันต่อเถิด... เพลานี้หมาป่าตามรอยมันคงใกล้เข้ามาแล้ว” พูดจบขุนพันก็ทำท่าจะออกเดินทางต่อ
“เดี๋ยวก่อนขุนพัน” กาญเอ่ยขึ้นขณะที่ขุนพันกำลังจะก้าวขาเดิน
“มีอะไรอีกรึ... เจ้านี่มันปัญหาเยอะจริงๆ” ขุนพันทำท่าทางรำคาญใจ
“เอ่อ...ท่านดาบสที่ขุนพันพูดถึงเป็นใครกันครับ...แล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย” กาญเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าอย่าใจร้อนไปเลยอีกไม่ช้านานเจ้าก็จะได้เจอท่านดาบสแล้ว....ข้าไม่มีเพลามาบอกเล่าเจ้าเพลานี้ดอก...เราต้องรีบออกเดินทางต่อแล้ว” ขุนพันพูดจบกาญยักไหล่ขึ้นทำท่าผิดหวังแต่ก็ไม่วายที่กาญเอ่ยขึ้นอีก
“เดี๋ยวครับขุนพัน... ขออีกเรื่องครับ” ขุนพันหยุดกึกลงเมื่อกำลังออกก้าวเดิน
“อะไรอีกเจ้าหนุ่ม...เจ้านี่มันมากเรื่องเสียนี่กระไร” ขุนพันหันมาหากาญทำท่าหัวเสีย กาญทำหน้าซื่อๆยืนทำตาปริบๆ เมื่อขุนพันเห็นอย่างนั้นจึงพูดขึ้น
“เอ้า...เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา” ขุนพันเอ่ยตัดความรำคาญ กาญถอนหายใจเข้ารวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไป
“ไหนๆผมก็เตลิดเปิดเปิงตามขุนพันมาขนาดนี้แล้ว...ผมขอเสนอความคิดหน่อยได้ไหมครับ” ขุนพันหยุดถอดหายใจยาวๆก่อนจะหันหน้ามาหากาญ
“ว่ามา...เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร...ข้ากำลังรอฟังเจ้าอยู่” กาญยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อขุนพันยอมที่จะรับฟังความคิดของเขา
“ผมว่านะหมาป่าพวกนั้นมันวิ่งไวกว่าคน...เราไม่มีทางหนีหมาป่าตามรอยนั้นทันแน่...ขืนวิ่งต่อไปก็รังแต่จะเสียแรงเปล่าๆ... และไม่ช้ามันต้องตามเราจนทันแน่ๆ” กาญพูดจบก็หันหลังมองย้อนกลับไปในทางที่เขาวิ่งมา ขุนพันหรี่ตาเล็กๆเดินเข้าไปหากาญเหมือนเขาจะรู้ในความหมายของกาญ
“แล้วเจ้าเห็นว่าเราควรจะทำเยี่ยงไรเล่า” ขุนพันเอ่ยถามหยั่งเชิงในความคิดของกาญ กาญหันหลังกลับมาหาขุนพันและพูดขึ้นด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“ผมคิดอย่างนี้ครับขุนพัน...ตอนนี้แรงเราก็มีแล้ว...อาวุธก็พอมี...และที่สำคัญขุนพันหนังเหนียวไม่ใช่หรือครับ...แล้วทำไมจะต้องกลัวพวกมันอีก ผมขอสู้ได้ไหมครับเก็บหมาป่าตามรอยพวกนั้นซะ เราจะได้เดินทางกันอย่างสบายๆไม่ต้องวิ่งหนีหางจุกตูดอยู่เช่นนี้” คำพูดของกาญทำเอาขุนพันถึงกับยืนอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของกาญ
“สู้รึ...แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจะสู้กับพวกมันเยี่ยงไรเล่า ในขณะที่พวกมันมีมากกว่า” ขุนพันพูดจบก็มองตากาญตาแทบไม่กระพริบ
“ซุ่มโจมตีพวกมัน”กาญพูดออกมาสั้นๆแต่หนักแน่นพร้อมกับยกด้ามธนูในมือขึ้นมอง
“หึๆๆ” ขุนพันหัวเราะอยู่ในลำคอ หรี่ตาลงมองที่กาญก่อนจะพูดออกมา
“เจ้ามั่นใจรึเจ้าหนุ่ม...ว่าจะทำเยี่ยงนั้น” กาญพยักหน้ารับทันทีที่ขุนพันพูดจบ
“ครับ...ผมคิดว่าดีกว่าหนีตายอยู่อย่างนี้” กาญตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ขุนพันพยักหน้ารับ
“ดี... ถ้าเจ้ามีใจนักสู้และคิดเยี่ยงนั้นก็ตามข้ามา... ข้างหน้ามีซอกเขา และมันน่าจะเป็นสมรภูมิที่ดีของเราได้...ไปเร็ว! ก่อนพวกมันจะตามมาทัน” พูดจบขุนพันก็วิ่งนำหน้ากาญไปทันทีโดยที่กาญก็วิ่งตามไปติดๆ ขุนพันพากาญวิ่งผ่านป่าโปร่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมอยู่ทั่วจนมองแทบไม่เห็นแสงตะวันด้านบน ไม่นานนักขุนพันก็หยุดวิ่งและยืนมองไปเบื้องหน้า ซึ่งเบื้องหน้าที่ขุนพันพากาญมาหยุดอยู่ขณะนี้มันคือแนวเทือกเขาที่ตั้งขวางหน้าอยู่
“เจ้าเห็นซอกในเทือกเขานั่นหรือเปล่า” ขุนพันชี้ให้กาญมองดูซอกเทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้า
“เห็นครับ” กาญเพ่งมองตามที่ขุนพันชี้มือให้ดู
“เราต้องผ่านซอกเขานั่นไป” กาญพิจารณามองอยู่สักพักใหญ่ขุนพันจึงเอ่ยขึ้นต่อ
“ที่นี้เจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อ...ไหนลองว่าแผนซุ่มโจมตีของเจ้ามาซิ”ขุนพันเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
“ตกลงเราจะสู้จริงๆใช่ไหมครับ” กาญเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ขุนพันมองหน้ากาญ
“ก็เจ้าต้องการเยี่ยงนั้นมิใช่รึ” กาญยิ้มแห้งๆอย่างเกรงๆเมื่อขุนพันเอ่ยเสียงดังเช่นนั้น เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยจะทำอย่างที่เขาพูดเลยในชีวิตได้แต่เคยดูในภาพยนตร์และจำเอามาก็เท่านั้น แต่ที่เขากำลังเผชิญอยู่มันจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตามเขาต้องคิดและตัดสินใจในแผนการซุ่มโจมตีของเขาที่เผลอหลุดปากออกไปแล้ว กาญสูดหายใจเข้าแรงๆเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้น... เราจะเข้าไปรอพวกมันอยู่ด้านในพอพวกหมาป่านั่นเข้าไปเราจะโจมตีพวกมันจากที่สูงโดยใช้ธนู” กาญพูดจบก็ยกคันธนูในมือชูขึ้น ขุนพันหรี่ตามองกาญ
“ดูเจ้าจะมั่นใจคันธนูนี่เสียเหลือเกินนะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ครับ...ผมรู้สึกมั่นใจและคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก...หลังจากที่ลองใช้มันไปแล้ว” กาญพูดจบก็มองคันธนูอีกครั้งอย่างมั่นใจ
“เจ้าชอบฆ่าคนเยี่ยงนั้นรึ” คำพูดสั้นๆของขุนพันทำเอากาญถึงกับสะอึกหยุดนิ่งไปชั่วครู่ และไม่มีคำตอบใดออกจากปากกาญ
“...นี่มันเป็นความฝันไม่ใช่หรือ...เราไม่ได้ฆ่าคนจริงๆเสียหน่อย...” กาญคิดปลอบใจตัวเองอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา จนกระทั่งขุนพันเห็นว่าคำพูดของเขาทำเอากาญถึงกับนิ่งเฉยจึงเอ่ยปลอบใจ
“ข้าเย้าเจ้าเล่นดอก...เจ้าไม่ต้องใส่ใจก็ได้...อยู่ในสนามรบถ้าเจ้าไม่ต่อสู้เจ้าก็ต้องตาย...มันมีแค่สองทางให้เลือกเท่านั้นระหว่างอยู่กับตาย” ขุนพันตบไหล่กาญเบาๆ
“นี่เราอยู่ในสนามรบหรือ...” กาญขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ในใจ
“เจ้าเข้าใจแล้วสินะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ครับขุนพัน” กาญตอบสั้นๆทั้งที่ในใจก็ยังแอบคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ
“ดี...เยี่ยงนั้นก็ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดเถิด...ข้าจะล่อพวกมันอยู่เบื้องล่างเอง...ส่วนเจ้าหาที่ซุ่มโจมตีอยู่ด้านบนเมื่อได้จังหวะเจ้าก็จัดการพวกมันซะด้วยธนูในมือเจ้า...ตกลงตามนี้” ขุนพันจ้องมองมาที่ดวงตาของกาญ
“ครับ” กาญพยักหน้ารับและจ้องมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่น และทั้งสองก็พากันวิ่งเข้าไปในซอกเขาด้านหน้าทันที ภายในซอกเขามีขนาดกว้างไม่กี่เมตรแค่คนเดินผ่านไปได้ บางช่วงแคบบางช่วงกว้างสลับกันไปแต่ความยาวนั้น กาญเองก็ไม่อาจคาดคะเนได้เพราะว่ามันจะดูยาวออกไปสุดสายตาของเขา
ในซอกเขานั้นพอมีแสงสว่างสาดส่องลงมาอยู่บ้างแม้จะอยู่ภายใต้โขดหินที่ยื่นออกมาบดบังในบางช่วง หลังจากวิ่งเข้าไปได้ไม่นานนักขุนพันก็หยุดลงบริเวณพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งเขาเห็นแล้วว่ามันน่าจะเป็นชัยภูมิที่ดีของเขา
“ข้าเห็นว่าบริเวณนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด” ขุนพันเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินสำรวจไปรอบๆ ซึ่งขณะนี้กาญเองก็แหงนหน้ามองดู ชะง่อนผาหินก้อนหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะเบื้องหน้า ขุนพันแหงนหน้ามองตามสายตาของกาญ
“หลังชะง่อนผาหินนั่น...น่าจะเป็นตำแหน่งที่ดี” ขุนพันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นกาญกำลังพิจารณา ชะง่อนผาหินด้านบนที่ยื่นออกมาก้อนเดียวกันนั้น
“ครับ...ผมก็เห็นด้วยมันน่าจะใช้เป็นที่ซุ่มโจมตีได้ดีทีเดียว” กาญตอบพลางพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
“ดี...ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงขึ้นไปซุ่มโจมตีพวกมันอยู่บนนั้นเลย...ส่วนข้าจะยืนรอพวกมันอยู่ด้านล่างนี่เอง” ขุนพันพูดจบก็พยักหน้าให้กาญทำตามแผนทันที
“เดี๋ยวครับ” ขุนพันหันมากาญทันทีที่ร้องทัก
“ขุนพันคิดว่าพวกหมาป่าตามรอยนั่นมันจะมีสักกี่ตัวกันครับ” กาญเอ่ยถาม ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะตอบ
“ข้าไม่แน่ใจ....แต่ไม่น่าจะต่ำกว่าห้าตัวหรือหกตัว...หรืออาจมากกว่านั้นก็เป็นได้” กาญถอนหายใจยาวๆ และยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อขุนพันก็หันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็วในทางที่เขาเพิ่งเข้ามาเหมือนกำลังได้ยินอะไรบางอย่าง กาญพยายามจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อขุนพันหันมาส่งสัญญาณให้กาญเงียบเสียง ขุนพันพยายามเงี่ยหูฟังไม่นานเขาก็หันมาหากาญก่อนจะพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“พวกหมาป่ามันตามรอยเรามาจนได้... เสียงพวกมันกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว... เจ้ารีบไปประจำที่เถิด” กาญตั้งใจฟังในสิ่งที่ขุนพันพูดตาไม่กระพริบ
“ครับ” กาญตอบสั้นๆพร้อมกับหันหลังปีนป่ายขึ้นไปที่ชะง่อนผาหินด้านบนทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมากาญก็เข้ามาประจำที่บริเวณชะง่อนผาหินที่ยื่นออกมานั่นเอง ส่วนขุนพันก็ยืนจังก้าถือหอกกำไว้ในมือแน่นเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น สายตาของกาญบัดนี้สอดส่ายทั่วอาณาบริเวณด้านล่างใส่ลูกธนูไว้ในสายรั้งเตรียมพร้อมยิงทุกอย่างที่ก้าวเข้ามาและในขณะที่สายตาของกาญกำลังจดจ้องอยู่อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ฉับพลันความคิดแวบหนึ่งก็เข้ามาในหัวของเขา
“แม่!” กาญอุทานออกมาเบาๆ
“ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง...” กาญคิดอยู่ในใจสายตาของกาญเริ่มเหม่อลอยปล่อยใจคิดถึงแม่ของเขาที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ก่อนจะหลับตาลง
“เรามาทำอยู่อะไรที่นี่วะ...ทำไมไม่ตื่นจากความฝันบ้าบอนี่เสียที” กาญรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“เพลี้ย!”
“อึ้ย! ทำไมฝันอยู่...มันยังเจ็บอีกนะ” กาญรำพึงออกมาพร้อมกับลูบคลำหน้าตัวเองไปมา และเขาก็ไม่สามารถจะครุ่นคิดอะไรได้อีกแล้วในเวลานี้เมื่อแวบหนึ่งของสายตาได้ไปปะทะกับอะไรบางอย่างข้างล่างนั่นซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ร่างของขุนพันแต่มันเป็นร่างของสัตว์สี่เท้าที่กำลังหมอบคลานต่ำเข้ามาตามซอกหินเข้าหาขุนพันอย่างเงียบกริบ
“หมาป่า! ตัวใหญ่จริงๆ” กาญอุทานออกมาเบาๆก่อนจะยกคันธนูขึ้นมาง้างเตรียมยิงทันที ซึ่งบัดนี้หมาป่าตัวใหญ่มันกำลังหาจังหวะเข้าขย้ำเหยื่อที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งก็คือขุนพันนั่นเองไม่กี่อึดใจพวกมันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกระจายอยู่ตามซอกหินต่างๆดูเหมือนมันจะไม่ใช่ห้าหกตัวอย่างที่ขุนพันพูดเสียแล้ว หนึ่งในตัวจ่าฝูงเมื่อเห็นว่าพรรคพวกมาพร้อมกันหมดแล้วมันจึงกระโจนออกมาจากซอกหินรายล้อมขุนพันไว้ทันที
ขุนพันไม่ได้มีท่าทีตกอกตกใจอะไรมากนักเขายังยืนจังก้าถือหอกไว้ในมือแน่นเตรียมพร้อมสู้อย่างเต็มที่ พวกหมาป่าแยกเขี้ยวยาวเตรียมพร้อมขย้ำเหยื่อ กาญไม่ปล่อยโอกาสให้พวกมันมากไปกว่านี้เขาปล่อยลูกธนูในมือออกไปที่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้ว!”เสียงลูกธนูพุ่งผ่าอากาศเข้าใส่หมาป่าตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังขุนพัน
“ปึก!” หมาป่าตัวนั้นล้มลงทันที ที่ลูกธนูปะทะเข้ากลางหลังของมัน ส่วนพวกที่เหลือก็กรูกันเข้าใส่ขุนพันพร้อมกันแต่ก็ต้องโดนหอกเหวี่ยงฟาดเข้าใส่กระเด็นกระดอนไม่เป็นท่า กาญยิงธนูเข้าใส่ฝูงหมาป่าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำพวกมันล้มกลิ้งตัวแล้วตัวเล่า จนกระทั่งพวกฝูงหมาป่าพากันนอนตายเกลื่อนกลาดโดยที่ขุนพันไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายและเมื่อทุกอย่างสงบลง กาญก็พาตัวเองลงมาจากที่ซ่อน
“ฝีมือเจ้านี่มันไม่เบาเลยนะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นเมื่อกาญเดินเข้ามาหา
“ครับ” กาญตอบไปพร้อมกับเกาหัวตัวเองไปด้วยความสงสัยว่าทั้งหมดนี่มันเป็นฝีมือเขาจริงๆหรือ แต่ก็ไม่มีเวลาให้กาญคิดอะไรไปมากกว่าเก็บลูกธนูจากซากหมาป่าทั้งหลายที่เขาจัดการไป ขุนพันเพ่งสายตาออกไปเบื้องหน้าเหมือนว่าเขากำลังเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาทางเขา
“กาญ” ขุนพันเอ่ยขึ้น กาญหยุดเก็บลูกธนูและหันมาหาขุนพันทันที
“ครับ...ขุนพัน”
“พวกมันมากันอีกแล้ว” ขุนพันเอ่ยออกมา กาญมองตามสายตาขุนพันออกไปก็พบกับ กองกำลังชุดสีดำจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งดาหน้าเข้ามา
“พวกมันเป็นใครกันครับ” กาญเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปที่กลุ่มกองกำลังนั้น
“พวกนินจามือสังหาร” ขุนพันตอบออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“นินจา!” กาญอุทานออกมาแบบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ใช่...เจ้ารีบหนีไปข้าจะถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้เอง” ขุนพันพูดจบก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือทันที
“ไม่ครับ” กาญตอบสั้นๆพร้อมกับขึ้นสายธนูเตรียมยิงขุนพันมองมาที่กาญตาเขม็ง
“เจ้านี่มันช่างดื้อเสียนี่กระไร...อยากตายเยี่ยงนั้นรึ” ขุนพันตะคอกใส่กาญ กาญไม่ตอบอะไรได้แต่จ้องเขม็งและใช้สายตาเล็งไปที่กลุ่มนินจาพวกนั้นก่อนจะปล่อยลูกธนูที่ง้างไว้สุดแขนออกไป
“ฟิ้ว!”เสียงลูกธนูวิ่งผ่าอากาศเป็นวิถีโค้งไปด้วยความเร็วสูงก่อนจะปักหัวลงใส่หน้าอกนินจาตนหนึ่งอย่างจัง ขุนพันถึงกับตาโตเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าระยะไกลขนาดนี้กาญจะสามารถยิงลูกธนูโดนพวกนินจาเหล่านั้นได้ เขาหันหน้ามาหากาญซึ่งขณะนี้กาญไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเขาระดมปล่อยลูกธนูยิงเข้าใส่กลุ่มนินจาที่ดาหน้ากันเข้ามา ซึ่งบัดนี้พวกนินจาเริ่มกระจายตัวออกห่างจากกันและวิ่งสลับไปมา แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้กาญยิงพลาดเป้าได้แม้แต่รายเดียว กาญใช้ธนูเก็บพวกนินจาได้หลายตนจนกระทั่งพวกมันเข้ามาได้ระยะจึงซัดดาวกระจายซึ่งเป็นอาวุธลับเข้าใส่กาญและขุนพันทันที
“โอ๊ย!” เสียงกาญ ร้องออกมา ทันทีที่โดนดาวกระจายเข้าที่ไหล่ซ้ายและทรุดฮวบลงกับพื้นส่วนขุนพันยังสามารถหลบหลีกได้ทัน และยังไม่ทันที่กาญจะตั้งหลักนินจาตนหนึ่งก็กระโดดเข้าใส่กาญด้วยความโกรธแค้นที่ยิงพวกมันตายไปหลายคนมันเงื้อดาบยาวในมือหวังฟันกาญให้ขาดเป็นสองท่อน
“ย๊าก!” กาญเหลือบขึ้นมองคมดาบที่กำลังพุ่งดิ่งลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฉับ!” คมดาบฟาดด้ามหอกขาดเป็นสองท่อนก่อนจะลงมาฟาดเข้าหน้าอกขุนพันอย่างจัง กาญรอดจากคมดาบเพราะขุนพันกระโดดเข้ามาใช้ด้ามหอกยกรับดาบซามูไรของนินจาแทนกาญนั่นเอง
“อั๊ก!” คมดาบซามูไรไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับขุนพันได้มากนักเป็นแค่เพียงริ้วรอยและมีเลือดซิบๆเท่านั้นแต่แรงจากการที่เขาโดนคมดาบก็ทำเอาขุนพันถึงกับกระอักเลือดไหลมาที่มุมปากเลยทีเดียวขุนพันกัดกรามแน่นดวงตาโปนออกมาด้วยความโกรธแค้นเขาใช้ปลายด้ามหอกที่ถูกตัดออกเป็นปากฉลามจ้วงแทงเข้าลำตัวนินจาตนนั้นทันที
“ฉึก!”
“อ๊าก!” และฟาดปลายหอกเข้าหน้าอย่างจัง จนนินจาตนนั้นแน่นิ่งไป ขุนพันยืนจังก้าพร้อมรับมือนินจาที่กระโดดเข้ามาอีกระลอก นินจากระโดดเงื้อดาบเข้ามาตามสไตล์ซามูไร
ขุนพันขว้างปลายหอกเข้าใส่นินจาตนนั้นเข้ากลางลำตัวอย่างแม่นยำ
“ฉึก!”
“อ๊าก!” มันร่วงลงมานอนอยู่หน้าเขาขุนพันเขารีบม้วนตัวเข้าหยิบดาบซามูไรที่ร่วงอยู่ด้านหน้าของนินจาทั้งสองเพื่อรับกับการโจมตีตามรูปแบบของดาบไทยซึ่งบัดนี้กาญและขุนพันถูกรายล้อมด้วยนินจาไว้แล้วทุกด้าน
และการต่อสู้ระหว่างเพลงดาบไทยกับเพลงดาบซามูไรก็เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อขุนพันโดนรุมเข้าใส่อย่างนั้นแม้จะป้องกันตัวเองและกาญได้ในบางจังหวะ เขาก็ยังโดนคมดาบฟาดเข้าใส่อยู่หลายครั้งจนขุนพันเซไปเซมาแทบจะยืนไม่ไหว แม้คมดาบจะไม่สามารถทำให้ขุนพันเสียชีวิตไปในดาบเดียวได้แต่พอเขาโดนฟาดกระหน่ำเข้าหลายๆครั้งก็ทำเอาขุนพันช้ำไปทั้งตัวเหมือนกัน เขามองไปที่กาญอีกครั้งอย่างสิ้นหวังเมื่อเห็นกาญหมอบกำบาดแผลอยู่กับพื้นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของกาญเป็นสีดำขุนพันรู้ได้โดยทันทีเลยว่ากาญโดนดาวกระจายอาบยาพิษเข้าแล้ว และเขาก็ต้องพุ่งเข้าหากาญอีกครั้งเมื่อนินจาตนหนึ่งกำลังฟาดคมดาบลงมาที่กาญ
“ฉับ!”
“อั๊ก!” คมดาบฟาดลงกลางแผ่นหลังขุนพันเต็มเหนี่ยวเลือดสดๆกระอักออกมาจากปากของขุนพันท่วมตัวของกาญ
“ขุนพัน!” กาญตะโกนสุดเสียง และก่อนที่เหล่าบรรดานินจาจะพุ่งเข้าซ้ำพวกมันทั้งหลายก็ต้องหยุดกึกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เฮ้ย! หยุด...พอได้แล้ว...ท่านนายพลต้องการตัวเป็นๆไม่ใช่ซากศพ” พูดจบเหล่านินจาพากันลดดาบลงและถอยหลังออกมาจากเหยื่อทั้งสอง ฉับพลันจึงปรากฏร่างของเสียงประกาศิตนั้น
“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็หนีข้าไม่พ้น” นายกองนาชิโร่นักรบซามูไรผู้บัญชาการกองกำลังนินจาเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ้า!” ขุนพันเมื่อได้เห็นผู้บัญชาการนินจาถึงกับมีสีหน้าเคียดแค้นอย่างมากยกดาบในมือพยุงตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเองขุนพัน....คิดถึงข้ามากนักหรือ เข้ามาหาข้าสิ ฮ่าๆๆๆ” นาชิโร่ยังออกอาการเย้ยหยัน ในดวงตาของขุนพันเวลานี้เหมือนดังเปลวเพลิงเขารวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดเดินทื่อลากดาบยาวในมือไปกับพื้นเป็นทางเข้าหานาชิโร่ทันที นินจาทั้งหลายทำท่าจะออกรับก็ต้องหยุดกึกอีกครั้งเมื่อนาชิโร่ยกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้อง
“ย๊ากกกก”ขุนพันยกดาบฟาดเข้าใส่นาชิโร่ด้วยแรงที่มีอยู่นาชิโร่ยกดาบขึ้นรับและเข้าประจันหน้ากัน การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองอย่างดุเดือดอีกครั้งแม้ขุนพันจะบาดเจ็บและเสียแรงจากการโดนรุมมามากแล้วแต่เวลานี้ขุนพันก็ไม่ได้ดูฝีมือด้อยไปกว่านาชิโร่เลย เวลาล่วงเลยไปสักอึดใจใหญ่ยังไม่ทีท่าว่าใครจะเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำ จนกระทั่ง
“แกร็ก...” เสียงหนึ่งดังขึ้นแว่วมาแต่ไกลและขุนพันรู้ดีว่าเสียงนั้นมันคืออะไรเขากระโดดเลี่ยงออกมาจากการต่อสู้เข้าหากาญที่กำลังนอนหมอบด้วยพิษของดาวกระจายขุนพันอุ้มกาญขึ้นมา
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรขุนพัน... ปล่อยเจ้าหนุ่มคนนั้นมาให้ข้าดีกว่า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” นายกองนาชิโร่เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวย่างสามขุมเข้ามาหา
“ถ้าเจ้าอยากได้เด็กหนุ่มคนนี้เจ้าก็ตามไปเอาสิ” พูดจบขุนพันก็โยนกาญขึ้นไปในอากาศด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฉับพลันพญาเหยี่ยวตัวใหญ่ก็โฉบบินมาคว้าร่างของกาญออกไปกลางอากาศทันที
“พรึ่บๆๆ” ท่ามกลางสายตาที่คาดไม่ถึงของนาชิโร่พญาเหยี่ยวพาร่างของกาญบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่!” เสียงนาชิโร่ตะโกนก้อง นาชิโร่หันมองขุนพันด้วยความโกรธแค้นก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณสั่งนินจาเข้ารุมขุนพันทันที
“อยากจะรู้นักมันจะหนังเหนียวได้สักเท่าใด”
ในขณะที่กาญเองก็โดนพิษจนสะลึมสะลือเห็นเพียงร่างเลือนรางของขุนพันโดนรายล้อมโดยเหล่านินจาอีกครั้ง
”ขุนพัน...” กาญเอ่ยเบาๆขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป
ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวราวเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่กาญรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเขาไม่เคยได้รับสัมผัสนี้ที่ไหนมาก่อนกาญค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่บนตักของใครคนหนึ่งมือข้างที่แสนอบอุ่นลูบคลำหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบาและจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกเสียจาก
“แม่”กาญอุทานออกมาอย่างแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
“แม่... แม่จริงๆด้วย” กาญพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นกอดรัดแม่เขาทันที ระหว่างการกอดของเขา กาญก็รู้สึกว่าแม่ของเขาพยายามดิ้นหนีอยู่ตลอดเวลา
“แม่... อย่าหนีผมไปไหนอีกนะ...ผมไม่ยอมแล้วนะ” จนกระทั่ง
“โป๊ก” เสียงเหมือนภาชนะแข็งๆ ฟาดเข้าศีรษะดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวดของกาญ
“โอ๊ย!” กาญยกมือขึ้นคลำหัวตัวเอง หรี่ตาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าผู้หญิงที่เขากอดเมื่อครู่นี้ไม่ใช่แม่ของเขาเสียแล้ว แต่กลับกลายเป็นสาวงามคนหนึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาแต่ทว่าเป็นการแต่งกายแบบชาวบ้านสมัยโบราณ ทุกสัดส่วนบนเรือนร่างของนางราวกับนางฟ้านางสวรรค์ซึ่งกาญเองก็ไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดจะสวยเท่านางมาก่อน
แม้บัดนี้ที่มือของนางจะถือภาชนะทองเหลืองเตรียมพร้อมสู้อยู่เบื้องหน้าก็ตาม กาญจึงเข้าใจได้ทันทีเลยว่าหัวของเขาโดนอะไรเข้าไป
“อย่าเข้ามานะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเงื้อภาชนะทองเหลือง กาญทำหน้างงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะกอดนางเช่นกัน
“เสียงเอะอะอะไรกันรึ...สโรชา” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาหญิงที่มีนามว่าสโรชาอยู่ในอาการสำรวมทันที ก่อนจะมีร่างของใครคนหนึ่งเดินผ่านผ้าม่านเข้ามา
“มิมีอะไรดอกจ้ะ” สโรชาตอบกลับไป ชายเจ้าของเสียงมองมาที่กาญก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฟื้นแล้วรึ เจ้าหนุ่ม” ชายเจ้าของเสียงเอ่ยทักกาญทันที ที่เห็นกาญลุกนั่งอยู่บนเตียงที่ทำมาขึ้นมาจากหิน กาญไม่ทันได้ตอบคำถามนั้นเพราะเขายังเกิดอาการงุนงงกับเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ชายสูงวัยรูปร่างกำยันบึกบึนไว้ผมทรงมหาดไทยแบบโบราณปล่อยหนวดบนฝีปากยาวโค้งนุ่งโจงกระเบนยาวคลุมลงมาถึงหน้าแข้ง และไม่สวมเสื้อเผยให้เห็นรอยสักอย่างเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นบนหน้าอกของขุนพันนั่งลงบนก้อนหินที่แกะเป็นม้านั่งเบื้องหน้ากาญ
“ข้าขอตัวก่อน...ท่านพ่อ” สโรชาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไปภายนอก ชายสูงวัยพยักหน้ารับน้อยๆ และหันหน้ามาหากาญอีกครั้ง
“บาดแผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะ” ชายสูงวัยเอ่ยถามกาญต่อทันทีและจากคำถามนั้นก็เหมือนทำให้กาญนึกขึ้นมาได้ว่าเขาโดนอาวุธลับของนินจาเข้าที่ไหล่ซ้าย และรู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมาทันที เขาก้มดูที่แผลก็พบว่ามันถูกปกไว้ด้วยใบไม้สดที่ถูกตำจนละเอียดพอกนูนขึ้นมา
“แผล”กาญอุทานออกมาเบาๆ
“แผล...เราเป็นแผลจริงๆนี่มันไม่ใช่ความฝัน...หรือนี่คือเรื่องจริง...และเราอยู่ที่ไหนกันวะเนี่ย...”กาญคิดอยู่ในใจรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูกและมองออกไปรอบตัวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากหินทั้งหมด ด้านนอกหน้าต่างที่มองออกไปก็เห็นเพียงเมฆหมอก ลอยจางๆเหมือนกับว่าอยู่บนยอดเขาสูง และสายตาของเขาก็มาจบที่ชายสูงวัยที่นั่งกอดอกมองเขาอยู่อย่างพินิจพิจารณาอยู่เบื้องหน้า
“ตกลงว่าเจ้าจะไม่พูดกับข้าเยี่ยงนั้นรึ” ชายสูงวัยเอ่ยขึ้น
“ปะ...เปล่าครับ” กาญเมื่อตั้งสติได้จึงรีบตอบกลับไป
“อือ....ข้าถามว่าบาดแผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ชายสูงวัยกล่าวถามย้ำอีกครั้ง
“ครับ...ดีขึ้นมากแล้วครับ”กาญตอบออกไปพร้อมกับก้มดูที่บาดแผลตัวเองอีกครั้ง
“อือ เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว”ชายสูงวัยพูดจบก็พินิจพิเคราะห์บาดแผลของกาญ
“นับว่าเป็นบาดแผลที่หายได้เร็วมาก...ถ้าเทียบกับคนในนครฯของข้า” กาญก้มมองดูบาดแผลตัวเอง
“ครับ” กาญตอบสั้นๆ ชายสูงวัยพยักหน้าน้อยๆ มองหน้ากาญและเอ่ยขึ้น
“แล้วนี่เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรเล่า” กาญเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นและชี้มือมาที่ตัวเอง ชายสูงวัยพยักหน้ารับช้าๆกาญจึงตอบ
“ผมชื่อกาญครับ” ชายสูงวัยพยักหน้ารับอีกครั้ง
“อือ..อันที่จริงชื่อของเจ้าท่านดาบสได้บอกข้าไว้แล้วเพียงแต่ข้าอยากได้ยินจากปากของเจ้าก็เท่านั้น” กาญทำหน้างงๆเมื่อชายสูงวัยพูดจบ
“เอ่อ...แล้วคุณลุง เป็นใครหรือครับ...แล้วผมมานอนอยู่ที่ได้อย่างไรครับ” กาญถือโอกาสส่งคำถามกลับทันที
“ข้าชื่อพรพจน์ เป็นผู้รักษากฎ ณ ที่แห่งนี้ ...ส่วนเรื่องที่เจ้ามานอนที่นี่ได้อย่างไรนั้นก็เป็นเพราะว่าพญาวิหคเหยี่ยวไปรับเจ้ามาที่นี่”
“พญาวิหคเหยี่ยว!”กาญอุทานออกมาเบาๆ
“อือ...พญาวิหคเหยี่ยว เป็นนกที่ตัวใหญ่ สามารถบินโฉบโคหรือกระบือมาเป็นอาหารได้สบายๆ” กาญกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเมื่อชายสูงว่าซึ่งมีนามว่าพรพจน์พูดจบ
“มันโฉบและพาเจ้ามารักษาบาดแผลพิษที่เจ้าโดนทำร้ายมานั่นปะไร...เอ...นี่เจ้าจำความก่อนสิ้นสติมิได้เลยหรือเยี่ยงไรกันเล่า...เจ้าหนุ่ม” กาญทำหน้าเอ๋อๆยังออกอาการงงๆอยู่แต่เขาก็พอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมดได้
“คะ...ครับ ผมจำได้ว่า...นกเหยี่ยวตัวใหญ่มันโฉบผมมา...แต่หลังจากนั้นผมก็หมดสติไป”
“อืม...” พรพจน์พยักหน้าน้อยๆ กาญขมวดคิ้วเข้าหากันทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“แล้วชายที่ชื่อขุนพัน...เป็นอย่างไรบ้างครับคุณลุง” กาญเอ่ยถามถึงขุนพันทันทีที่ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ได้ทั้งหมด พรพจน์ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะตอบออกมา
“พวกมันจับขุนพันไป...ยังไม่รู้ว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ขุนพันตอบออกมาเบาๆ กาญถึงกับแสดงสีหน้าเป็นห่วงขุนพันออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วอย่างนี้ จะหาทางช่วยขุนพันได้อย่างไรครับคุณลุง พวกนั้นเป็นใครกันทำไมต้องจับตัวขุนพันไปด้วย” กาญเอ่ยถามต่อทันที
“เรื่องหาทางช่วยขุนพันนั้นเรากำลังหาทาง และปรึกษากันอยู่...เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงดอกนะ เยี่ยงไรซะเราจะนำขุนพันกลับบ้านให้ได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย” ทั้งสองหยุดการสนทนาไปชั่วขณะก่อนที่กาญจะเอ่ยถามต่อ
“คุณลุงครับ....ทำไมพวกนั้นต้องตามล่าและต้องการตัวผมมากขนาดนี้ครับ” กาญพูดจบพร้อมกับมองหน้าพรพจน์ด้วยความสงสัย พรพจน์ถอนหายใจยาวก่อนจะตอบ
“อือ...เพื่อให้เจ้าได้ลดความสงสัยลงบ้าง ข้าจะบอกเจ้าบางอย่างที่เจ้าควรรู้” พรพจน์พูดจบกาญพยักหน้ารับช้าๆและตั้งใจฟัง
“ครับ... คุณลุงผมพร้อมจะฟังแล้วครับ”
“อือ... มีบางอย่างที่พวกมันต้องการในตัวเจ้า” พรพจน์พูดจบกาญก้มมองตัวเองอย่างงงๆก่อนกาญจะเอ่ยขึ้น
“ในตัวผม...มันมีอะไรซ่อนอยู่ในตัวผมหรือครับคุณลุง” กาญพูดจบก็ก้มมองมาที่ร่างกายตัวเอง
“พลังแห่งสายเลือด” พรพจน์ตอบออกมาสั้นๆแต่หนักแน่น
“พลังแห่งสายเลือด” กาญเอ่ยย้ำและทำหน้าสงสัยอย่างมาก
“พลังแห่งสายเลือดสุริยะเทพในตัวเจ้าเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้” กาญฟังพรพจน์พูดจบถึงกับขมวดคิ้วและยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมว่าไม่ใช่แล้วล่ะคุณลุง....คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ....ผมเป็นแค่ลูกแม่ค้าขายผลไม้เป็นคนธรรมดาครับ คงไม่มีพลังสายเลือดสุริยะเทพอะไรนั่นที่พวกมันต้องการแน่” กาญถึงกับยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเพราะเขาคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันแน่ๆ
“เจ้ายังไม่เข้าใจ” พรพจน์พูดช้าๆและมองมาที่กาญอย่างเข้าใจก่อนที่กาญจะตัดบทขึ้น
“ผมเข้าใจครับคุณลุง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนครับ ผมว่าคุณลุงช่วยหาทางส่งผมกลับบ้านดีกว่าครับ ผมเป็นห่วงแม่... และตอนนี้แม่ผมกำลังต้องการผมมากด้วย” พรพจน์ฟังกาญพูดจบถึงกับส่ายหน้าน้อยๆอย่างเข้าใจว่ากาญต้องตอบกลับมาเช่นนี้
“เอาล่ะ...ยังไม่เชื่อก็ไม่เป็นอะไร...เอาไว้เวลาจะทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องราวต่างๆไปเอง... เอาเป็นว่าเพลานี้เจ้าพักผ่อนให้หายดีก่อนและประเดี๋ยวสโรชาจะนำอาหารมาให้เจ้าที่นี่” พูดจบ
พรพจน์ก็ทำท่าลุกขึ้น
“ดะ เดี๋ยวก่อนท่านลุง” กาญเอ่ยขึ้นก่อนที่พรพจน์จะเดินออกไป
“แล้วท่านลุงจะส่งข้ากลับบ้านใช่ไหมครับ?” กาญส่งคำถามด้วยใบหน้าซื่อๆ
“ข้าไม่สามารถตอบเจ้าได้ในเรื่องนี้...เพราะข้าไม่ใช่ผู้ที่นำเจ้ามา” คำพูดของพรพจน์ทำเอาพรพจน์ถึงกับอ้าปากน้อยๆ
“อ้าว! แล้วผมจะกลับบ้านอย่างไรเล่าครับ” กาญไม่เลิกเซ้าซี้ถามเรื่องกลับบ้าน พรพจน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดขึ้น
“เอาเป็นว่าเจ้ากินอาหารและพักผ่อนก่อน แล้วข้าจะนำเจ้าไปพบกับท่านดาบส อาจารย์ของข้า... บางทีท่านดาบสอาจจะให้คำตอบที่เจ้าต้องการก็เป็นได้” พรพจน์พูดจบกาญก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้หินทันที
“ท่านลุงผมไม่เป็นอะไรและไม่ต้องการพักผ่อนครับ... ผมต้องการกลับบ้าน ด่วนเลยครับ...พาผมไปพบท่านดาบสที่ท่านลุงว่าเถิดครับ ผมพร้อมแล้ว” พรพจน์จ้องเขม็งมองกาญตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะตอบกาญออกไป
“ข้าว่าเจ้ายังไม่พร้อม” พรพจน์พูดจบก็ส่งสายตาให้กาญดูตัวเองและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สโรชาเปิดผ้าม่านนำสาวใช้สองคนถืออาหารเข้ามาแต่หญิงสาวใช้ทั้งสองรวมทั้ง
สโรชาก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อเจอกับภาพเบื้องหน้า
“ว้าย! เปรต!” เสียงสาวใช้ทั้งสองร้องขึ้น
“โครม!” สาวใช้ทั้งสองรวมทั้งสโรชาใช้มือปิดหน้าทำให้ถาดอาหารหล่นกระจายลงพื้นก่อนจะพากันร้องเสียงหลงวิ่งออกไป
“เฮ้ย!”กาญอุทานออกมาเสียงหลงเมื่อพบว่าบัดนี้เขายืนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนต่อหน้าสาวงามก่อนจะรีบหยิบผ้าห่มบางๆบนเตียงมาคลุมตัวทันทีแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว
“หึๆๆ” พรพจน์หัวเราะอยู่ในลำคอ
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ายังไม่พร้อม... บัดเดี๋ยวข้าให้คนจัดสำรับอาหารมาให้เจ้าใหม่ พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วอย่าลืมใส่เสื้อผ้าก่อนล่ะ หึๆๆๆ” พูดจบพรพจน์ก็เดินออกไปจากห้อง
ไม่มีคำทักท้วงใดๆจากกาญคงมีแต่ความอับอายอยู่ในเวลานี้เท่านั้น
..........................................................................................
บทที่5
ขุนพัน
ขุนพันพากาญวิ่งลัดเลาะไปตามป่าโปร่งสลับกับป่าทึบบ้างในบางครั้งและยังต้องกระโดดข้ามลำธารเล็กๆอีกหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าขุนพันจะพากาญไปถึงจุดหมายปลายทางเสียที
“แฮ่กๆ” กาญเริ่มมีอาการเหนื่อยอ่อนลงไปทุกขณะ เขาวิ่งตามขุนพันไปจากที่ตามติดๆแต่เวลานี้เริ่มทิ้งระยะห่างลงทุกที จนกระทั่ง
“เดี๋ยวก่อน ขุนพัน... หยุดพักสักประเดี๋ยวได้ไหมผมจะไปไม่ไหวแล้ว” กาญตะโกนออกไปพร้อมๆ กับการหยุดวิ่งมือทั้งสองข้างท้าวลงมาที่หัวเข่าก้มตัวลงหอบ ขุนพันเห็นดังนั้นจึงหยุดวิ่ง เขาส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะวิ่งเหยาะๆกลับมาหากาญ
“นี่ผมไม่ได้มาสมัครวิ่งมาราธอนนะครับ” กาญเงยหน้าขึ้นมองขุนพัน สีหน้าของเขาแสดงอาการของความเหนื่อยอ่อนอย่างเห็นได้ชัด
“มาราทงมาราธอนอะไรกัน...ข้าไม่รู้จักดอก...ข้ารู้แต่ว่าถ้าขืนเจ้าหยุดพักอยู่ตรงนี้ไม่ช้านานหมาป่าตามรอยต้องมาพบเจ้ากับข้าเข้าแน่ๆ” ขุนพันพูดจบก็มองไปรอบๆตัวอีกครั้ง
“แล้วเมื่อไหร่จะถึงที่หมายเสียทีล่ะครับ” กาญเอ่ยถามต่อทันทีก่อนจะทิ้งตัวลงเหยียดขาทั้งสองออกด้วยความเมื่อยล้า
“ยังอีกไกลโขนัก” ขุนพันตอบเรียบๆปลดซองน้ำเล็กๆข้างเอวออกมาเปิดจุกและยกดื่ม
“หา! นี่ยังไกลไม่พออีกเหรอครับ” กาญบ่นออกมา
“เจ้ายังหนุ่มอยู่แท้ๆ...วิ่งแค่นี้ก็ไม่ไหวเสียแล้วรึ” ขุนพันนั่งลงไต้ร่มไม้ใหญ่บริเวณนั้นปล่อยให้กาญหยุดหายใจอยู่สักพัก
“เอ้า...เจ้าดื่มน้ำนี่เสียก่อนเถิด...คงจะมีแรงเพิ่มขึ้นอีกหน่อยกระมัง” ขุนพันพูดพร้อมกับยื่นซองหนังใส่น้ำให้กาญ
“ขอบคุณครับ” กาญรับมาก็ยกซองน้ำเทใส่ปากอึกใหญ่ทันที
“เบาๆหน่อยก็ได้.. เดี๋ยวจะสำลักตายเสียก่อน” ขุนพันเห็นกาญดื่มน้ำอย่างกับหิวกระหายอะไรมาจากไหน
“ขอบคุณครับ” กาญดื่มเสร็จก็ยื่นซองน้ำคืนให้ขุนพัน
“นี่เจ้า!” ขุนพันคว่ำปากซองน้ำลงพื้นก็พบว่ามีหยดน้ำหยดลงมาสองสามหยด
“ไม่คิดจะเก็บไว้ดื่มในภายหน้าบ้างดอกหรือ” ขุนพันพูดจบก็เก็บซองน้ำเข้าที่ กาญอมยิ้มแห้งๆก่อนจะพูดขึ้น
“มันเหลืออยู่นิดเดียวเองนะ” กาญพูดจบขุนพันส่ายหน้าน้อยๆ
“เดี๋ยวเจอลำธารข้างหน้าผมตักให้ใหม่นะ” กาญพยายามยิ้มให้ขุนพันเมื่อพูดจบ
“มันไม่เหมือนกันดอก...น้ำนี่ไม่ใช่น้ำธรรมดา” กาญทำหน้างงๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“มันก็ดื่มเหมือนน้ำธรรมดานี่ครับ ผมไม่รู้สึกว่าดื่มเครื่องดื่มชูกำลังอะไรเลย” ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆ
“น้ำที่เจ้าดื่มเข้าไปนั่น... มันเป็นน้ำแร่ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้วจากท่านดาบส” ขุนพันพูดจบกาญถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
“น้ำแร่ปลุกเสกจากท่านดาบส” กาญอุทานออกมาเบาๆ
“ใช่...น้ำแร่นี้เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกสดชื่นและมีพละกำลังมากกว่าเดิม” กาญก็ก้มมองตัวเองและรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันทีที่ขุนพันพูดจบ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าบัดนี้มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง ความสดชื่นกระชุ่มกระช่วยกลับเข้ามาแทนที่ กาญยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเขารู้สึกได้ถึงพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้ย!” กาญอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ
“จริงด้วยสิขุนพัน... ผมรู้สึกอย่างที่ขุนพันบอกจริงๆด้วย” กาญลุกขึ้นสะบัดแขนสะบัดขาอย่างกระปรี้กระเปร่า
“เจ้ารู้สึกเยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว... จะได้มีแรงวิ่งตามข้า” ขุนพันลุกขึ้นยืนทันทีที่พูดจบ
“นี่ยังต้องวิ่งต่ออีกเหรอ” กาญทำเสียงอ่อยๆห่อไหล่ทำท่าหมดแรง ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าว่าเราออกเดินทางกันต่อเถิด... เพลานี้หมาป่าตามรอยมันคงใกล้เข้ามาแล้ว” พูดจบขุนพันก็ทำท่าจะออกเดินทางต่อ
“เดี๋ยวก่อนขุนพัน” กาญเอ่ยขึ้นขณะที่ขุนพันกำลังจะก้าวขาเดิน
“มีอะไรอีกรึ... เจ้านี่มันปัญหาเยอะจริงๆ” ขุนพันทำท่าทางรำคาญใจ
“เอ่อ...ท่านดาบสที่ขุนพันพูดถึงเป็นใครกันครับ...แล้วเกี่ยวอะไรกับผมด้วย” กาญเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เจ้าอย่าใจร้อนไปเลยอีกไม่ช้านานเจ้าก็จะได้เจอท่านดาบสแล้ว....ข้าไม่มีเพลามาบอกเล่าเจ้าเพลานี้ดอก...เราต้องรีบออกเดินทางต่อแล้ว” ขุนพันพูดจบกาญยักไหล่ขึ้นทำท่าผิดหวังแต่ก็ไม่วายที่กาญเอ่ยขึ้นอีก
“เดี๋ยวครับขุนพัน... ขออีกเรื่องครับ” ขุนพันหยุดกึกลงเมื่อกำลังออกก้าวเดิน
“อะไรอีกเจ้าหนุ่ม...เจ้านี่มันมากเรื่องเสียนี่กระไร” ขุนพันหันมาหากาญทำท่าหัวเสีย กาญทำหน้าซื่อๆยืนทำตาปริบๆ เมื่อขุนพันเห็นอย่างนั้นจึงพูดขึ้น
“เอ้า...เจ้ามีอะไรก็รีบว่ามา” ขุนพันเอ่ยตัดความรำคาญ กาญถอนหายใจเข้ารวบรวมความกล้าก่อนจะพูดออกไป
“ไหนๆผมก็เตลิดเปิดเปิงตามขุนพันมาขนาดนี้แล้ว...ผมขอเสนอความคิดหน่อยได้ไหมครับ” ขุนพันหยุดถอดหายใจยาวๆก่อนจะหันหน้ามาหากาญ
“ว่ามา...เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร...ข้ากำลังรอฟังเจ้าอยู่” กาญยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อขุนพันยอมที่จะรับฟังความคิดของเขา
“ผมว่านะหมาป่าพวกนั้นมันวิ่งไวกว่าคน...เราไม่มีทางหนีหมาป่าตามรอยนั้นทันแน่...ขืนวิ่งต่อไปก็รังแต่จะเสียแรงเปล่าๆ... และไม่ช้ามันต้องตามเราจนทันแน่ๆ” กาญพูดจบก็หันหลังมองย้อนกลับไปในทางที่เขาวิ่งมา ขุนพันหรี่ตาเล็กๆเดินเข้าไปหากาญเหมือนเขาจะรู้ในความหมายของกาญ
“แล้วเจ้าเห็นว่าเราควรจะทำเยี่ยงไรเล่า” ขุนพันเอ่ยถามหยั่งเชิงในความคิดของกาญ กาญหันหลังกลับมาหาขุนพันและพูดขึ้นด้วยสายตาที่มุ่งมั่น
“ผมคิดอย่างนี้ครับขุนพัน...ตอนนี้แรงเราก็มีแล้ว...อาวุธก็พอมี...และที่สำคัญขุนพันหนังเหนียวไม่ใช่หรือครับ...แล้วทำไมจะต้องกลัวพวกมันอีก ผมขอสู้ได้ไหมครับเก็บหมาป่าตามรอยพวกนั้นซะ เราจะได้เดินทางกันอย่างสบายๆไม่ต้องวิ่งหนีหางจุกตูดอยู่เช่นนี้” คำพูดของกาญทำเอาขุนพันถึงกับยืนอึ้งไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของกาญ
“สู้รึ...แล้วเจ้าคิดว่าเราควรจะสู้กับพวกมันเยี่ยงไรเล่า ในขณะที่พวกมันมีมากกว่า” ขุนพันพูดจบก็มองตากาญตาแทบไม่กระพริบ
“ซุ่มโจมตีพวกมัน”กาญพูดออกมาสั้นๆแต่หนักแน่นพร้อมกับยกด้ามธนูในมือขึ้นมอง
“หึๆๆ” ขุนพันหัวเราะอยู่ในลำคอ หรี่ตาลงมองที่กาญก่อนจะพูดออกมา
“เจ้ามั่นใจรึเจ้าหนุ่ม...ว่าจะทำเยี่ยงนั้น” กาญพยักหน้ารับทันทีที่ขุนพันพูดจบ
“ครับ...ผมคิดว่าดีกว่าหนีตายอยู่อย่างนี้” กาญตอบกลับไปอย่างมั่นใจ ขุนพันพยักหน้ารับ
“ดี... ถ้าเจ้ามีใจนักสู้และคิดเยี่ยงนั้นก็ตามข้ามา... ข้างหน้ามีซอกเขา และมันน่าจะเป็นสมรภูมิที่ดีของเราได้...ไปเร็ว! ก่อนพวกมันจะตามมาทัน” พูดจบขุนพันก็วิ่งนำหน้ากาญไปทันทีโดยที่กาญก็วิ่งตามไปติดๆ ขุนพันพากาญวิ่งผ่านป่าโปร่งที่มีต้นไม้สูงใหญ่ปกคลุมอยู่ทั่วจนมองแทบไม่เห็นแสงตะวันด้านบน ไม่นานนักขุนพันก็หยุดวิ่งและยืนมองไปเบื้องหน้า ซึ่งเบื้องหน้าที่ขุนพันพากาญมาหยุดอยู่ขณะนี้มันคือแนวเทือกเขาที่ตั้งขวางหน้าอยู่
“เจ้าเห็นซอกในเทือกเขานั่นหรือเปล่า” ขุนพันชี้ให้กาญมองดูซอกเทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้า
“เห็นครับ” กาญเพ่งมองตามที่ขุนพันชี้มือให้ดู
“เราต้องผ่านซอกเขานั่นไป” กาญพิจารณามองอยู่สักพักใหญ่ขุนพันจึงเอ่ยขึ้นต่อ
“ที่นี้เจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อ...ไหนลองว่าแผนซุ่มโจมตีของเจ้ามาซิ”ขุนพันเอ่ยถามหยั่งเชิงอีกครั้ง
“ตกลงเราจะสู้จริงๆใช่ไหมครับ” กาญเอ่ยถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ขุนพันมองหน้ากาญ
“ก็เจ้าต้องการเยี่ยงนั้นมิใช่รึ” กาญยิ้มแห้งๆอย่างเกรงๆเมื่อขุนพันเอ่ยเสียงดังเช่นนั้น เพราะตัวเขาเองก็ไม่เคยจะทำอย่างที่เขาพูดเลยในชีวิตได้แต่เคยดูในภาพยนตร์และจำเอามาก็เท่านั้น แต่ที่เขากำลังเผชิญอยู่มันจะเป็นความฝันหรือความจริงก็ตามเขาต้องคิดและตัดสินใจในแผนการซุ่มโจมตีของเขาที่เผลอหลุดปากออกไปแล้ว กาญสูดหายใจเข้าแรงๆเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนจะพูดออกมา
“ถ้าเป็นอย่างนั้น... เราจะเข้าไปรอพวกมันอยู่ด้านในพอพวกหมาป่านั่นเข้าไปเราจะโจมตีพวกมันจากที่สูงโดยใช้ธนู” กาญพูดจบก็ยกคันธนูในมือชูขึ้น ขุนพันหรี่ตามองกาญ
“ดูเจ้าจะมั่นใจคันธนูนี่เสียเหลือเกินนะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ครับ...ผมรู้สึกมั่นใจและคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก...หลังจากที่ลองใช้มันไปแล้ว” กาญพูดจบก็มองคันธนูอีกครั้งอย่างมั่นใจ
“เจ้าชอบฆ่าคนเยี่ยงนั้นรึ” คำพูดสั้นๆของขุนพันทำเอากาญถึงกับสะอึกหยุดนิ่งไปชั่วครู่ และไม่มีคำตอบใดออกจากปากกาญ
“...นี่มันเป็นความฝันไม่ใช่หรือ...เราไม่ได้ฆ่าคนจริงๆเสียหน่อย...” กาญคิดปลอบใจตัวเองอยู่ในใจแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา จนกระทั่งขุนพันเห็นว่าคำพูดของเขาทำเอากาญถึงกับนิ่งเฉยจึงเอ่ยปลอบใจ
“ข้าเย้าเจ้าเล่นดอก...เจ้าไม่ต้องใส่ใจก็ได้...อยู่ในสนามรบถ้าเจ้าไม่ต่อสู้เจ้าก็ต้องตาย...มันมีแค่สองทางให้เลือกเท่านั้นระหว่างอยู่กับตาย” ขุนพันตบไหล่กาญเบาๆ
“นี่เราอยู่ในสนามรบหรือ...” กาญขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ในใจ
“เจ้าเข้าใจแล้วสินะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ครับขุนพัน” กาญตอบสั้นๆทั้งที่ในใจก็ยังแอบคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่ๆ
“ดี...เยี่ยงนั้นก็ทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดเถิด...ข้าจะล่อพวกมันอยู่เบื้องล่างเอง...ส่วนเจ้าหาที่ซุ่มโจมตีอยู่ด้านบนเมื่อได้จังหวะเจ้าก็จัดการพวกมันซะด้วยธนูในมือเจ้า...ตกลงตามนี้” ขุนพันจ้องมองมาที่ดวงตาของกาญ
“ครับ” กาญพยักหน้ารับและจ้องมองกลับไปด้วยสายตาที่มุ่งมั่น และทั้งสองก็พากันวิ่งเข้าไปในซอกเขาด้านหน้าทันที ภายในซอกเขามีขนาดกว้างไม่กี่เมตรแค่คนเดินผ่านไปได้ บางช่วงแคบบางช่วงกว้างสลับกันไปแต่ความยาวนั้น กาญเองก็ไม่อาจคาดคะเนได้เพราะว่ามันจะดูยาวออกไปสุดสายตาของเขา
ในซอกเขานั้นพอมีแสงสว่างสาดส่องลงมาอยู่บ้างแม้จะอยู่ภายใต้โขดหินที่ยื่นออกมาบดบังในบางช่วง หลังจากวิ่งเข้าไปได้ไม่นานนักขุนพันก็หยุดลงบริเวณพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งเขาเห็นแล้วว่ามันน่าจะเป็นชัยภูมิที่ดีของเขา
“ข้าเห็นว่าบริเวณนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด” ขุนพันเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินสำรวจไปรอบๆ ซึ่งขณะนี้กาญเองก็แหงนหน้ามองดู ชะง่อนผาหินก้อนหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะเบื้องหน้า ขุนพันแหงนหน้ามองตามสายตาของกาญ
“หลังชะง่อนผาหินนั่น...น่าจะเป็นตำแหน่งที่ดี” ขุนพันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นกาญกำลังพิจารณา ชะง่อนผาหินด้านบนที่ยื่นออกมาก้อนเดียวกันนั้น
“ครับ...ผมก็เห็นด้วยมันน่าจะใช้เป็นที่ซุ่มโจมตีได้ดีทีเดียว” กาญตอบพลางพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
“ดี...ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงขึ้นไปซุ่มโจมตีพวกมันอยู่บนนั้นเลย...ส่วนข้าจะยืนรอพวกมันอยู่ด้านล่างนี่เอง” ขุนพันพูดจบก็พยักหน้าให้กาญทำตามแผนทันที
“เดี๋ยวครับ” ขุนพันหันมากาญทันทีที่ร้องทัก
“ขุนพันคิดว่าพวกหมาป่าตามรอยนั่นมันจะมีสักกี่ตัวกันครับ” กาญเอ่ยถาม ขุนพันส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะตอบ
“ข้าไม่แน่ใจ....แต่ไม่น่าจะต่ำกว่าห้าตัวหรือหกตัว...หรืออาจมากกว่านั้นก็เป็นได้” กาญถอนหายใจยาวๆ และยังไม่ทันที่จะพูดอะไรต่อขุนพันก็หันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็วในทางที่เขาเพิ่งเข้ามาเหมือนกำลังได้ยินอะไรบางอย่าง กาญพยายามจะเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ต้องหยุดกึกเมื่อขุนพันหันมาส่งสัญญาณให้กาญเงียบเสียง ขุนพันพยายามเงี่ยหูฟังไม่นานเขาก็หันมาหากาญก่อนจะพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา
“พวกหมาป่ามันตามรอยเรามาจนได้... เสียงพวกมันกำลังใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว... เจ้ารีบไปประจำที่เถิด” กาญตั้งใจฟังในสิ่งที่ขุนพันพูดตาไม่กระพริบ
“ครับ” กาญตอบสั้นๆพร้อมกับหันหลังปีนป่ายขึ้นไปที่ชะง่อนผาหินด้านบนทันที
ไม่กี่อึดใจต่อมากาญก็เข้ามาประจำที่บริเวณชะง่อนผาหินที่ยื่นออกมานั่นเอง ส่วนขุนพันก็ยืนจังก้าถือหอกกำไว้ในมือแน่นเตรียมพร้อมทุกสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น สายตาของกาญบัดนี้สอดส่ายทั่วอาณาบริเวณด้านล่างใส่ลูกธนูไว้ในสายรั้งเตรียมพร้อมยิงทุกอย่างที่ก้าวเข้ามาและในขณะที่สายตาของกาญกำลังจดจ้องอยู่อย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ฉับพลันความคิดแวบหนึ่งก็เข้ามาในหัวของเขา
“แม่!” กาญอุทานออกมาเบาๆ
“ป่านนี้แม่จะเป็นอย่างไรบ้าง...” กาญคิดอยู่ในใจสายตาของกาญเริ่มเหม่อลอยปล่อยใจคิดถึงแม่ของเขาที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ก่อนจะหลับตาลง
“เรามาทำอยู่อะไรที่นี่วะ...ทำไมไม่ตื่นจากความฝันบ้าบอนี่เสียที” กาญรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะตบหน้าตัวเองอย่างแรง
“เพลี้ย!”
“อึ้ย! ทำไมฝันอยู่...มันยังเจ็บอีกนะ” กาญรำพึงออกมาพร้อมกับลูบคลำหน้าตัวเองไปมา และเขาก็ไม่สามารถจะครุ่นคิดอะไรได้อีกแล้วในเวลานี้เมื่อแวบหนึ่งของสายตาได้ไปปะทะกับอะไรบางอย่างข้างล่างนั่นซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่ร่างของขุนพันแต่มันเป็นร่างของสัตว์สี่เท้าที่กำลังหมอบคลานต่ำเข้ามาตามซอกหินเข้าหาขุนพันอย่างเงียบกริบ
“หมาป่า! ตัวใหญ่จริงๆ” กาญอุทานออกมาเบาๆก่อนจะยกคันธนูขึ้นมาง้างเตรียมยิงทันที ซึ่งบัดนี้หมาป่าตัวใหญ่มันกำลังหาจังหวะเข้าขย้ำเหยื่อที่อยู่เบื้องหน้าซึ่งก็คือขุนพันนั่นเองไม่กี่อึดใจพวกมันก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นกระจายอยู่ตามซอกหินต่างๆดูเหมือนมันจะไม่ใช่ห้าหกตัวอย่างที่ขุนพันพูดเสียแล้ว หนึ่งในตัวจ่าฝูงเมื่อเห็นว่าพรรคพวกมาพร้อมกันหมดแล้วมันจึงกระโจนออกมาจากซอกหินรายล้อมขุนพันไว้ทันที
ขุนพันไม่ได้มีท่าทีตกอกตกใจอะไรมากนักเขายังยืนจังก้าถือหอกไว้ในมือแน่นเตรียมพร้อมสู้อย่างเต็มที่ พวกหมาป่าแยกเขี้ยวยาวเตรียมพร้อมขย้ำเหยื่อ กาญไม่ปล่อยโอกาสให้พวกมันมากไปกว่านี้เขาปล่อยลูกธนูในมือออกไปที่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว
“ฟิ้ว!”เสียงลูกธนูพุ่งผ่าอากาศเข้าใส่หมาป่าตัวหนึ่งที่อยู่ด้านหลังขุนพัน
“ปึก!” หมาป่าตัวนั้นล้มลงทันที ที่ลูกธนูปะทะเข้ากลางหลังของมัน ส่วนพวกที่เหลือก็กรูกันเข้าใส่ขุนพันพร้อมกันแต่ก็ต้องโดนหอกเหวี่ยงฟาดเข้าใส่กระเด็นกระดอนไม่เป็นท่า กาญยิงธนูเข้าใส่ฝูงหมาป่าด้วยความรวดเร็วและแม่นยำพวกมันล้มกลิ้งตัวแล้วตัวเล่า จนกระทั่งพวกฝูงหมาป่าพากันนอนตายเกลื่อนกลาดโดยที่ขุนพันไม่ได้ออกแรงอะไรมากมายและเมื่อทุกอย่างสงบลง กาญก็พาตัวเองลงมาจากที่ซ่อน
“ฝีมือเจ้านี่มันไม่เบาเลยนะ” ขุนพันเอ่ยขึ้นเมื่อกาญเดินเข้ามาหา
“ครับ” กาญตอบไปพร้อมกับเกาหัวตัวเองไปด้วยความสงสัยว่าทั้งหมดนี่มันเป็นฝีมือเขาจริงๆหรือ แต่ก็ไม่มีเวลาให้กาญคิดอะไรไปมากกว่าเก็บลูกธนูจากซากหมาป่าทั้งหลายที่เขาจัดการไป ขุนพันเพ่งสายตาออกไปเบื้องหน้าเหมือนว่าเขากำลังเห็นอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาทางเขา
“กาญ” ขุนพันเอ่ยขึ้น กาญหยุดเก็บลูกธนูและหันมาหาขุนพันทันที
“ครับ...ขุนพัน”
“พวกมันมากันอีกแล้ว” ขุนพันเอ่ยออกมา กาญมองตามสายตาขุนพันออกไปก็พบกับ กองกำลังชุดสีดำจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งดาหน้าเข้ามา
“พวกมันเป็นใครกันครับ” กาญเอ่ยขึ้นในขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปที่กลุ่มกองกำลังนั้น
“พวกนินจามือสังหาร” ขุนพันตอบออกมาด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“นินจา!” กาญอุทานออกมาแบบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ใช่...เจ้ารีบหนีไปข้าจะถ่วงเวลาพวกมันเอาไว้เอง” ขุนพันพูดจบก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมรับมือทันที
“ไม่ครับ” กาญตอบสั้นๆพร้อมกับขึ้นสายธนูเตรียมยิงขุนพันมองมาที่กาญตาเขม็ง
“เจ้านี่มันช่างดื้อเสียนี่กระไร...อยากตายเยี่ยงนั้นรึ” ขุนพันตะคอกใส่กาญ กาญไม่ตอบอะไรได้แต่จ้องเขม็งและใช้สายตาเล็งไปที่กลุ่มนินจาพวกนั้นก่อนจะปล่อยลูกธนูที่ง้างไว้สุดแขนออกไป
“ฟิ้ว!”เสียงลูกธนูวิ่งผ่าอากาศเป็นวิถีโค้งไปด้วยความเร็วสูงก่อนจะปักหัวลงใส่หน้าอกนินจาตนหนึ่งอย่างจัง ขุนพันถึงกับตาโตเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลยว่าระยะไกลขนาดนี้กาญจะสามารถยิงลูกธนูโดนพวกนินจาเหล่านั้นได้ เขาหันหน้ามาหากาญซึ่งขณะนี้กาญไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าเขาระดมปล่อยลูกธนูยิงเข้าใส่กลุ่มนินจาที่ดาหน้ากันเข้ามา ซึ่งบัดนี้พวกนินจาเริ่มกระจายตัวออกห่างจากกันและวิ่งสลับไปมา แต่กระนั้นก็ไม่ทำให้กาญยิงพลาดเป้าได้แม้แต่รายเดียว กาญใช้ธนูเก็บพวกนินจาได้หลายตนจนกระทั่งพวกมันเข้ามาได้ระยะจึงซัดดาวกระจายซึ่งเป็นอาวุธลับเข้าใส่กาญและขุนพันทันที
“โอ๊ย!” เสียงกาญ ร้องออกมา ทันทีที่โดนดาวกระจายเข้าที่ไหล่ซ้ายและทรุดฮวบลงกับพื้นส่วนขุนพันยังสามารถหลบหลีกได้ทัน และยังไม่ทันที่กาญจะตั้งหลักนินจาตนหนึ่งก็กระโดดเข้าใส่กาญด้วยความโกรธแค้นที่ยิงพวกมันตายไปหลายคนมันเงื้อดาบยาวในมือหวังฟันกาญให้ขาดเป็นสองท่อน
“ย๊าก!” กาญเหลือบขึ้นมองคมดาบที่กำลังพุ่งดิ่งลงมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฉับ!” คมดาบฟาดด้ามหอกขาดเป็นสองท่อนก่อนจะลงมาฟาดเข้าหน้าอกขุนพันอย่างจัง กาญรอดจากคมดาบเพราะขุนพันกระโดดเข้ามาใช้ด้ามหอกยกรับดาบซามูไรของนินจาแทนกาญนั่นเอง
“อั๊ก!” คมดาบซามูไรไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับขุนพันได้มากนักเป็นแค่เพียงริ้วรอยและมีเลือดซิบๆเท่านั้นแต่แรงจากการที่เขาโดนคมดาบก็ทำเอาขุนพันถึงกับกระอักเลือดไหลมาที่มุมปากเลยทีเดียวขุนพันกัดกรามแน่นดวงตาโปนออกมาด้วยความโกรธแค้นเขาใช้ปลายด้ามหอกที่ถูกตัดออกเป็นปากฉลามจ้วงแทงเข้าลำตัวนินจาตนนั้นทันที
“ฉึก!”
“อ๊าก!” และฟาดปลายหอกเข้าหน้าอย่างจัง จนนินจาตนนั้นแน่นิ่งไป ขุนพันยืนจังก้าพร้อมรับมือนินจาที่กระโดดเข้ามาอีกระลอก นินจากระโดดเงื้อดาบเข้ามาตามสไตล์ซามูไร
ขุนพันขว้างปลายหอกเข้าใส่นินจาตนนั้นเข้ากลางลำตัวอย่างแม่นยำ
“ฉึก!”
“อ๊าก!” มันร่วงลงมานอนอยู่หน้าเขาขุนพันเขารีบม้วนตัวเข้าหยิบดาบซามูไรที่ร่วงอยู่ด้านหน้าของนินจาทั้งสองเพื่อรับกับการโจมตีตามรูปแบบของดาบไทยซึ่งบัดนี้กาญและขุนพันถูกรายล้อมด้วยนินจาไว้แล้วทุกด้าน
และการต่อสู้ระหว่างเพลงดาบไทยกับเพลงดาบซามูไรก็เกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมเมื่อขุนพันโดนรุมเข้าใส่อย่างนั้นแม้จะป้องกันตัวเองและกาญได้ในบางจังหวะ เขาก็ยังโดนคมดาบฟาดเข้าใส่อยู่หลายครั้งจนขุนพันเซไปเซมาแทบจะยืนไม่ไหว แม้คมดาบจะไม่สามารถทำให้ขุนพันเสียชีวิตไปในดาบเดียวได้แต่พอเขาโดนฟาดกระหน่ำเข้าหลายๆครั้งก็ทำเอาขุนพันช้ำไปทั้งตัวเหมือนกัน เขามองไปที่กาญอีกครั้งอย่างสิ้นหวังเมื่อเห็นกาญหมอบกำบาดแผลอยู่กับพื้นเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของกาญเป็นสีดำขุนพันรู้ได้โดยทันทีเลยว่ากาญโดนดาวกระจายอาบยาพิษเข้าแล้ว และเขาก็ต้องพุ่งเข้าหากาญอีกครั้งเมื่อนินจาตนหนึ่งกำลังฟาดคมดาบลงมาที่กาญ
“ฉับ!”
“อั๊ก!” คมดาบฟาดลงกลางแผ่นหลังขุนพันเต็มเหนี่ยวเลือดสดๆกระอักออกมาจากปากของขุนพันท่วมตัวของกาญ
“ขุนพัน!” กาญตะโกนสุดเสียง และก่อนที่เหล่าบรรดานินจาจะพุ่งเข้าซ้ำพวกมันทั้งหลายก็ต้องหยุดกึกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้น
“เฮ้ย! หยุด...พอได้แล้ว...ท่านนายพลต้องการตัวเป็นๆไม่ใช่ซากศพ” พูดจบเหล่านินจาพากันลดดาบลงและถอยหลังออกมาจากเหยื่อทั้งสอง ฉับพลันจึงปรากฏร่างของเสียงประกาศิตนั้น
“ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็หนีข้าไม่พ้น” นายกองนาชิโร่นักรบซามูไรผู้บัญชาการกองกำลังนินจาเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“เจ้า!” ขุนพันเมื่อได้เห็นผู้บัญชาการนินจาถึงกับมีสีหน้าเคียดแค้นอย่างมากยกดาบในมือพยุงตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเองขุนพัน....คิดถึงข้ามากนักหรือ เข้ามาหาข้าสิ ฮ่าๆๆๆ” นาชิโร่ยังออกอาการเย้ยหยัน ในดวงตาของขุนพันเวลานี้เหมือนดังเปลวเพลิงเขารวบรวมกำลังที่มีทั้งหมดเดินทื่อลากดาบยาวในมือไปกับพื้นเป็นทางเข้าหานาชิโร่ทันที นินจาทั้งหลายทำท่าจะออกรับก็ต้องหยุดกึกอีกครั้งเมื่อนาชิโร่ยกมือเป็นสัญญาณว่าไม่ต้อง
“ย๊ากกกก”ขุนพันยกดาบฟาดเข้าใส่นาชิโร่ด้วยแรงที่มีอยู่นาชิโร่ยกดาบขึ้นรับและเข้าประจันหน้ากัน การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองอย่างดุเดือดอีกครั้งแม้ขุนพันจะบาดเจ็บและเสียแรงจากการโดนรุมมามากแล้วแต่เวลานี้ขุนพันก็ไม่ได้ดูฝีมือด้อยไปกว่านาชิโร่เลย เวลาล่วงเลยไปสักอึดใจใหญ่ยังไม่ทีท่าว่าใครจะเป็นฝ่ายเพี้ยงพล้ำ จนกระทั่ง
“แกร็ก...” เสียงหนึ่งดังขึ้นแว่วมาแต่ไกลและขุนพันรู้ดีว่าเสียงนั้นมันคืออะไรเขากระโดดเลี่ยงออกมาจากการต่อสู้เข้าหากาญที่กำลังนอนหมอบด้วยพิษของดาวกระจายขุนพันอุ้มกาญขึ้นมา
“นั่นเจ้าคิดจะทำอะไรขุนพัน... ปล่อยเจ้าหนุ่มคนนั้นมาให้ข้าดีกว่า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” นายกองนาชิโร่เอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวย่างสามขุมเข้ามาหา
“ถ้าเจ้าอยากได้เด็กหนุ่มคนนี้เจ้าก็ตามไปเอาสิ” พูดจบขุนพันก็โยนกาญขึ้นไปในอากาศด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฉับพลันพญาเหยี่ยวตัวใหญ่ก็โฉบบินมาคว้าร่างของกาญออกไปกลางอากาศทันที
“พรึ่บๆๆ” ท่ามกลางสายตาที่คาดไม่ถึงของนาชิโร่พญาเหยี่ยวพาร่างของกาญบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่!” เสียงนาชิโร่ตะโกนก้อง นาชิโร่หันมองขุนพันด้วยความโกรธแค้นก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณสั่งนินจาเข้ารุมขุนพันทันที
“อยากจะรู้นักมันจะหนังเหนียวได้สักเท่าใด”
ในขณะที่กาญเองก็โดนพิษจนสะลึมสะลือเห็นเพียงร่างเลือนรางของขุนพันโดนรายล้อมโดยเหล่านินจาอีกครั้ง
”ขุนพัน...” กาญเอ่ยเบาๆขึ้นก่อนที่เขาจะหมดสติไป
ท่ามกลางเมฆหมอกสีขาวราวเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ แม้อากาศจะหนาวเย็นแต่กาญรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเขาไม่เคยได้รับสัมผัสนี้ที่ไหนมาก่อนกาญค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเขากำลังนอนอยู่บนตักของใครคนหนึ่งมือข้างที่แสนอบอุ่นลูบคลำหน้าผากของเขาอย่างแผ่วเบาและจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกเสียจาก
“แม่”กาญอุทานออกมาอย่างแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูก
“แม่... แม่จริงๆด้วย” กาญพูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นกอดรัดแม่เขาทันที ระหว่างการกอดของเขา กาญก็รู้สึกว่าแม่ของเขาพยายามดิ้นหนีอยู่ตลอดเวลา
“แม่... อย่าหนีผมไปไหนอีกนะ...ผมไม่ยอมแล้วนะ” จนกระทั่ง
“โป๊ก” เสียงเหมือนภาชนะแข็งๆ ฟาดเข้าศีรษะดังขึ้น ตามด้วยเสียงร้องเจ็บปวดของกาญ
“โอ๊ย!” กาญยกมือขึ้นคลำหัวตัวเอง หรี่ตาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าผู้หญิงที่เขากอดเมื่อครู่นี้ไม่ใช่แม่ของเขาเสียแล้ว แต่กลับกลายเป็นสาวงามคนหนึ่งแต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาแต่ทว่าเป็นการแต่งกายแบบชาวบ้านสมัยโบราณ ทุกสัดส่วนบนเรือนร่างของนางราวกับนางฟ้านางสวรรค์ซึ่งกาญเองก็ไม่เคยเห็นหญิงสาวคนใดจะสวยเท่านางมาก่อน
แม้บัดนี้ที่มือของนางจะถือภาชนะทองเหลืองเตรียมพร้อมสู้อยู่เบื้องหน้าก็ตาม กาญจึงเข้าใจได้ทันทีเลยว่าหัวของเขาโดนอะไรเข้าไป
“อย่าเข้ามานะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมกับเงื้อภาชนะทองเหลือง กาญทำหน้างงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งตัวเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะกอดนางเช่นกัน
“เสียงเอะอะอะไรกันรึ...สโรชา” เสียงหนึ่งดังขึ้นทำเอาหญิงที่มีนามว่าสโรชาอยู่ในอาการสำรวมทันที ก่อนจะมีร่างของใครคนหนึ่งเดินผ่านผ้าม่านเข้ามา
“มิมีอะไรดอกจ้ะ” สโรชาตอบกลับไป ชายเจ้าของเสียงมองมาที่กาญก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฟื้นแล้วรึ เจ้าหนุ่ม” ชายเจ้าของเสียงเอ่ยทักกาญทันที ที่เห็นกาญลุกนั่งอยู่บนเตียงที่ทำมาขึ้นมาจากหิน กาญไม่ทันได้ตอบคำถามนั้นเพราะเขายังเกิดอาการงุนงงกับเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ชายสูงวัยรูปร่างกำยันบึกบึนไว้ผมทรงมหาดไทยแบบโบราณปล่อยหนวดบนฝีปากยาวโค้งนุ่งโจงกระเบนยาวคลุมลงมาถึงหน้าแข้ง และไม่สวมเสื้อเผยให้เห็นรอยสักอย่างเดียวกันกับที่เขาเคยเห็นบนหน้าอกของขุนพันนั่งลงบนก้อนหินที่แกะเป็นม้านั่งเบื้องหน้ากาญ
“ข้าขอตัวก่อน...ท่านพ่อ” สโรชาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไปภายนอก ชายสูงวัยพยักหน้ารับน้อยๆ และหันหน้ามาหากาญอีกครั้ง
“บาดแผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะ” ชายสูงวัยเอ่ยถามกาญต่อทันทีและจากคำถามนั้นก็เหมือนทำให้กาญนึกขึ้นมาได้ว่าเขาโดนอาวุธลับของนินจาเข้าที่ไหล่ซ้าย และรู้สึกเจ็บแปลบๆขึ้นมาทันที เขาก้มดูที่แผลก็พบว่ามันถูกปกไว้ด้วยใบไม้สดที่ถูกตำจนละเอียดพอกนูนขึ้นมา
“แผล”กาญอุทานออกมาเบาๆ
“แผล...เราเป็นแผลจริงๆนี่มันไม่ใช่ความฝัน...หรือนี่คือเรื่องจริง...และเราอยู่ที่ไหนกันวะเนี่ย...”กาญคิดอยู่ในใจรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูกและมองออกไปรอบตัวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องที่เหมือนจะสร้างขึ้นมาจากหินทั้งหมด ด้านนอกหน้าต่างที่มองออกไปก็เห็นเพียงเมฆหมอก ลอยจางๆเหมือนกับว่าอยู่บนยอดเขาสูง และสายตาของเขาก็มาจบที่ชายสูงวัยที่นั่งกอดอกมองเขาอยู่อย่างพินิจพิจารณาอยู่เบื้องหน้า
“ตกลงว่าเจ้าจะไม่พูดกับข้าเยี่ยงนั้นรึ” ชายสูงวัยเอ่ยขึ้น
“ปะ...เปล่าครับ” กาญเมื่อตั้งสติได้จึงรีบตอบกลับไป
“อือ....ข้าถามว่าบาดแผลของเจ้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ชายสูงวัยกล่าวถามย้ำอีกครั้ง
“ครับ...ดีขึ้นมากแล้วครับ”กาญตอบออกไปพร้อมกับก้มดูที่บาดแผลตัวเองอีกครั้ง
“อือ เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว”ชายสูงวัยพูดจบก็พินิจพิเคราะห์บาดแผลของกาญ
“นับว่าเป็นบาดแผลที่หายได้เร็วมาก...ถ้าเทียบกับคนในนครฯของข้า” กาญก้มมองดูบาดแผลตัวเอง
“ครับ” กาญตอบสั้นๆ ชายสูงวัยพยักหน้าน้อยๆ มองหน้ากาญและเอ่ยขึ้น
“แล้วนี่เจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรเล่า” กาญเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้นและชี้มือมาที่ตัวเอง ชายสูงวัยพยักหน้ารับช้าๆกาญจึงตอบ
“ผมชื่อกาญครับ” ชายสูงวัยพยักหน้ารับอีกครั้ง
“อือ..อันที่จริงชื่อของเจ้าท่านดาบสได้บอกข้าไว้แล้วเพียงแต่ข้าอยากได้ยินจากปากของเจ้าก็เท่านั้น” กาญทำหน้างงๆเมื่อชายสูงวัยพูดจบ
“เอ่อ...แล้วคุณลุง เป็นใครหรือครับ...แล้วผมมานอนอยู่ที่ได้อย่างไรครับ” กาญถือโอกาสส่งคำถามกลับทันที
“ข้าชื่อพรพจน์ เป็นผู้รักษากฎ ณ ที่แห่งนี้ ...ส่วนเรื่องที่เจ้ามานอนที่นี่ได้อย่างไรนั้นก็เป็นเพราะว่าพญาวิหคเหยี่ยวไปรับเจ้ามาที่นี่”
“พญาวิหคเหยี่ยว!”กาญอุทานออกมาเบาๆ
“อือ...พญาวิหคเหยี่ยว เป็นนกที่ตัวใหญ่ สามารถบินโฉบโคหรือกระบือมาเป็นอาหารได้สบายๆ” กาญกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆเมื่อชายสูงว่าซึ่งมีนามว่าพรพจน์พูดจบ
“มันโฉบและพาเจ้ามารักษาบาดแผลพิษที่เจ้าโดนทำร้ายมานั่นปะไร...เอ...นี่เจ้าจำความก่อนสิ้นสติมิได้เลยหรือเยี่ยงไรกันเล่า...เจ้าหนุ่ม” กาญทำหน้าเอ๋อๆยังออกอาการงงๆอยู่แต่เขาก็พอจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งหมดได้
“คะ...ครับ ผมจำได้ว่า...นกเหยี่ยวตัวใหญ่มันโฉบผมมา...แต่หลังจากนั้นผมก็หมดสติไป”
“อืม...” พรพจน์พยักหน้าน้อยๆ กาญขมวดคิ้วเข้าหากันทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามต่อ
“แล้วชายที่ชื่อขุนพัน...เป็นอย่างไรบ้างครับคุณลุง” กาญเอ่ยถามถึงขุนพันทันทีที่ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ได้ทั้งหมด พรพจน์ส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะตอบออกมา
“พวกมันจับขุนพันไป...ยังไม่รู้ว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ขุนพันตอบออกมาเบาๆ กาญถึงกับแสดงสีหน้าเป็นห่วงขุนพันออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วอย่างนี้ จะหาทางช่วยขุนพันได้อย่างไรครับคุณลุง พวกนั้นเป็นใครกันทำไมต้องจับตัวขุนพันไปด้วย” กาญเอ่ยถามต่อทันที
“เรื่องหาทางช่วยขุนพันนั้นเรากำลังหาทาง และปรึกษากันอยู่...เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงดอกนะ เยี่ยงไรซะเราจะนำขุนพันกลับบ้านให้ได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย” ทั้งสองหยุดการสนทนาไปชั่วขณะก่อนที่กาญจะเอ่ยถามต่อ
“คุณลุงครับ....ทำไมพวกนั้นต้องตามล่าและต้องการตัวผมมากขนาดนี้ครับ” กาญพูดจบพร้อมกับมองหน้าพรพจน์ด้วยความสงสัย พรพจน์ถอนหายใจยาวก่อนจะตอบ
“อือ...เพื่อให้เจ้าได้ลดความสงสัยลงบ้าง ข้าจะบอกเจ้าบางอย่างที่เจ้าควรรู้” พรพจน์พูดจบกาญพยักหน้ารับช้าๆและตั้งใจฟัง
“ครับ... คุณลุงผมพร้อมจะฟังแล้วครับ”
“อือ... มีบางอย่างที่พวกมันต้องการในตัวเจ้า” พรพจน์พูดจบกาญก้มมองตัวเองอย่างงงๆก่อนกาญจะเอ่ยขึ้น
“ในตัวผม...มันมีอะไรซ่อนอยู่ในตัวผมหรือครับคุณลุง” กาญพูดจบก็ก้มมองมาที่ร่างกายตัวเอง
“พลังแห่งสายเลือด” พรพจน์ตอบออกมาสั้นๆแต่หนักแน่น
“พลังแห่งสายเลือด” กาญเอ่ยย้ำและทำหน้าสงสัยอย่างมาก
“พลังแห่งสายเลือดสุริยะเทพในตัวเจ้าเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้” กาญฟังพรพจน์พูดจบถึงกับขมวดคิ้วและยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ผมว่าไม่ใช่แล้วล่ะคุณลุง....คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่ๆ....ผมเป็นแค่ลูกแม่ค้าขายผลไม้เป็นคนธรรมดาครับ คงไม่มีพลังสายเลือดสุริยะเทพอะไรนั่นที่พวกมันต้องการแน่” กาญถึงกับยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเพราะเขาคิดว่ามันต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันแน่ๆ
“เจ้ายังไม่เข้าใจ” พรพจน์พูดช้าๆและมองมาที่กาญอย่างเข้าใจก่อนที่กาญจะตัดบทขึ้น
“ผมเข้าใจครับคุณลุง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่นอนครับ ผมว่าคุณลุงช่วยหาทางส่งผมกลับบ้านดีกว่าครับ ผมเป็นห่วงแม่... และตอนนี้แม่ผมกำลังต้องการผมมากด้วย” พรพจน์ฟังกาญพูดจบถึงกับส่ายหน้าน้อยๆอย่างเข้าใจว่ากาญต้องตอบกลับมาเช่นนี้
“เอาล่ะ...ยังไม่เชื่อก็ไม่เป็นอะไร...เอาไว้เวลาจะทำให้เจ้าเข้าใจเรื่องราวต่างๆไปเอง... เอาเป็นว่าเพลานี้เจ้าพักผ่อนให้หายดีก่อนและประเดี๋ยวสโรชาจะนำอาหารมาให้เจ้าที่นี่” พูดจบ
พรพจน์ก็ทำท่าลุกขึ้น
“ดะ เดี๋ยวก่อนท่านลุง” กาญเอ่ยขึ้นก่อนที่พรพจน์จะเดินออกไป
“แล้วท่านลุงจะส่งข้ากลับบ้านใช่ไหมครับ?” กาญส่งคำถามด้วยใบหน้าซื่อๆ
“ข้าไม่สามารถตอบเจ้าได้ในเรื่องนี้...เพราะข้าไม่ใช่ผู้ที่นำเจ้ามา” คำพูดของพรพจน์ทำเอาพรพจน์ถึงกับอ้าปากน้อยๆ
“อ้าว! แล้วผมจะกลับบ้านอย่างไรเล่าครับ” กาญไม่เลิกเซ้าซี้ถามเรื่องกลับบ้าน พรพจน์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะพูดขึ้น
“เอาเป็นว่าเจ้ากินอาหารและพักผ่อนก่อน แล้วข้าจะนำเจ้าไปพบกับท่านดาบส อาจารย์ของข้า... บางทีท่านดาบสอาจจะให้คำตอบที่เจ้าต้องการก็เป็นได้” พรพจน์พูดจบกาญก็ลุกขึ้นออกจากเก้าอี้หินทันที
“ท่านลุงผมไม่เป็นอะไรและไม่ต้องการพักผ่อนครับ... ผมต้องการกลับบ้าน ด่วนเลยครับ...พาผมไปพบท่านดาบสที่ท่านลุงว่าเถิดครับ ผมพร้อมแล้ว” พรพจน์จ้องเขม็งมองกาญตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะตอบกาญออกไป
“ข้าว่าเจ้ายังไม่พร้อม” พรพจน์พูดจบก็ส่งสายตาให้กาญดูตัวเองและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่สโรชาเปิดผ้าม่านนำสาวใช้สองคนถืออาหารเข้ามาแต่หญิงสาวใช้ทั้งสองรวมทั้ง
สโรชาก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อเจอกับภาพเบื้องหน้า
“ว้าย! เปรต!” เสียงสาวใช้ทั้งสองร้องขึ้น
“โครม!” สาวใช้ทั้งสองรวมทั้งสโรชาใช้มือปิดหน้าทำให้ถาดอาหารหล่นกระจายลงพื้นก่อนจะพากันร้องเสียงหลงวิ่งออกไป
“เฮ้ย!”กาญอุทานออกมาเสียงหลงเมื่อพบว่าบัดนี้เขายืนเปลือยเปล่าล่อนจ้อนต่อหน้าสาวงามก่อนจะรีบหยิบผ้าห่มบางๆบนเตียงมาคลุมตัวทันทีแต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว
“หึๆๆ” พรพจน์หัวเราะอยู่ในลำคอ
“ข้าบอกแล้วว่าเจ้ายังไม่พร้อม... บัดเดี๋ยวข้าให้คนจัดสำรับอาหารมาให้เจ้าใหม่ พร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ แล้วอย่าลืมใส่เสื้อผ้าก่อนล่ะ หึๆๆๆ” พูดจบพรพจน์ก็เดินออกไปจากห้อง
ไม่มีคำทักท้วงใดๆจากกาญคงมีแต่ความอับอายอยู่ในเวลานี้เท่านั้น
..........................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ