โลกใบสุดท้าย

-

เขียนโดย xoxo

วันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 08.45 น.

  10 บท
  1 วิจารณ์
  13.10K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 08.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) วิหคลมนครฯ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

โลกใบสุดท้าย (เบญจภาคี)

บทที่ 6

วิหคลมนครฯ

 

หลังจากที่กาญได้สร้างความอับอายให้กับตัวเองต่อหน้าหญิงงามไปได้ไม่นานนัก สาวใช้ทั้งสองก็นำสำรับอาหารพร้อมกับเสื้อผ้ามาให้กาญ นางทั้งสองนำของมาวางบนโต๊ะหินเสร็จเรียบร้อยก็พากันมองมาที่กาญยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ก่อนที่นางหนึ่งจะพูดขึ้น

            “นี่พ่อรูปงามเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไรเล่า”นางสาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น กาญชี้มือมาที่ตัวเอง

            “ผมเหรอ” กาญถามพร้อมกับทำหน้าสงสัย

            “ก็เจ้านะสิคิดว่าข้าหมายถึงใครกัน...มีกันอยู่แค่นี้”

            “ผมชื่อกาญครับ” กาญตอบออกไป

            “กาญ...หรือกามจ๊ะ...ฟื้นขึ้นมาก็เล่นกอดรัดฟัดคุณหนูของข้าอย่างกับหื่นกระหายมาจากไหน” นางสาวใช้คนหนึ่งเอ่ยขึ้น กาญถึงกับอ้าปากน้อยๆด้วยอาการตกใจเมื่อรู้ว่ามีคนเห็นในสิ่งที่เขาทำโดยไม่ได้ตั้งใจ

            “ปะเปล่า..นะครับ...มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่ได้ตั้งใจครับ”กาญรีบปฏิเสธพัลวัน

            “เฮ้อ...เสียดายจริงๆ นี่ถ้าเจ้าฟัดข้าล่ะก็...ฮื่ม...” นางสาวใช้คนนั้นทำท่ากัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน

            “ทำไมหรือครับ” กาญพลอยถามซื่อๆ

“ข้าก็จะจับเจ้าทำผัวข้านะสิถามได้ ฮิๆๆ” นางสาวใช้คนนั้นเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำตาเลื่อนลอยประสานมือทั้งสองข้างไว้บนหน้าอกตัวเอง กาญถึงกับสะดุ้งเมื่อได้ยินนางพูดอย่างนั้นทันใดนั้นเองนางสาวใช้อีกคนจึงบรรจงเขกกะโหลกเพื่อนสาวทันที

            “โป๊ก!”

“โอ๊ย! นี่เจ้ามาตีหัวข้าทำไม...เจ็บนะนางบัวบาน” นางสาวใช้ขยี้หัวตัวเองด้วยความเจ็บปวดและบ่นพึมพำไปเรื่อย

“มันจะมากไปแล้วนางบัวตูม...ไม่รู้จักของใครเป็นของใคร...พ่อกามคนนี้ข้าเจอก่อนนะ” นางสาวใช้ที่มีชื่อว่าบัวบานเอ่ยขึ้นด้วยสุ้มเสียงที่ไม่พอใจ

“กาญครับพี่สาวไม่ใช่กาม” กาญรีบสวนคำพูดของบัวบานทันที

“ขอโทษจ้ะกาม...เอ๊ย! กาญ...” บัวบานพูดจบก็เดินมาหากาญ

“หมายความว่ายังไงนางบัวตูมว่าเจ้าเจอก่อน เจ้ากับข้ามาเห็นพ่อกามคนนี้”

“กาญครับพี่สาว” กาญรีบแย้งที่บัวบานพูดอีกครั้งโดยที่นางยังไม่ทันพูดจบประโยค

“เปลี่ยนชื่อซะดีมั้งตู...”  กาญแอบคิดอยู่ในใจ

“จ้ะกาญ...เจ้ากับข้ามาเจอพ่อกาญพร้อมกันนะนางบัวตูม” บัวบานพูดขึ้นบัวตูมทำท่าทางอารมณ์เสียก่อนจะหาเหตุผลมาแย้ง

“แต่ข้าเป็นคนถอดเสื้อเขานะ” บัวตูมเอ่ยอย่างนั้นบัวบานไม่ได้มีท่าทีว่าตกเป็นผู้เสียเปรียบแต่อย่างไรนางกลับสวนคำพูดของบัวตูมทันควัน

“ฮ่าๆๆๆ แต่ข้าเป็นคนถอดกางเกง” บัวบานเอ่ยอย่างเบาๆแต่หนักแน่นอย่างผู้กำชัยชนะ กาญอ้าปากค้างเมื่อเจอนางทั้งสองพูดอย่างนั้น แต่บัวตูมกลับหรี่ตาลงและยิ้มอย่างมั่นใจว่าตัวเองจะเป็นผู้ที่ได้ชัยชนะ ก่อนที่นางจะเอ่ยขึ้นดังๆว่า

“แต่ข้า...ถอดกางเกงลิงของเขา ฮ่าๆๆๆ ข้าชนะ” บัวตูมเอ่ยขึ้นอย่างสะใจ กาญแทบจะลมจับเมื่อเจอหมัดเด็ดของบัวตูม

“พอพอ...พอเถิดครับพี่สาว...อย่าเพิ่งทะเลาะกันเลย” กาญยกมือห้ามปรามสาวใช้ทั้งสองก่อนที่นางจะสรรหาเหตุผลมาหักล้างกันไปมากกว่านี้ และบัดนี้บัวตูมและบัวบานเหล่ตามองมาที่กาญอย่างมีนัย เสมือนว่านางทั้งสองจะสามัคคีกันแล้วโดยไม่ได้นัดหมาย

“เออ...จะให้ข้าสองคนใส่ชุดให้เจ้าหรือเปล่าจ๊ะชุดนี่มันใส่ยากนะจ๊ะ” บัวบานเอ่ยขึ้นก่อนจะทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ยและเดินเข้าใส่กาญ

            “มะไม่ต้องครับ...ผมใส่เองได้” กาญตอบออกไป

            “แหม...ไม่ต้องอายนักดอก วันแรกที่เจ้าเข้ามาพวกเราสองคนนี่แหละที่เป็นคนจับเจ้าเปลื้องผ้า” หญิงสาวใช้ที่ชื่อบัวตูมเอ่ยขึ้นบ้าง กาญถึงกับทำตาโตเมื่อได้ยินอย่างนั้น

            “หา! หมายความว่ายังไงครับ...” กาญอุทานออกมาพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ

            “ก็หมายความว่า ข้าเห็นอะจึ๋ยอะจึ๋ย...ของเจ้าหมดแล้วนะสิ อิๆๆๆ” พูดจบนางทั้งสองก็พากันหัวเราะเบาๆ กาญถึงกับอ้าปากตาค้างแสดงอาการตกใจ นางทั้งสองเห็นอย่างนั้นก็ต้องบอกเหตุผลที่นางทำให้กาญเข้าใจ

            “แต่ถ้าข้าสองคนไม่ทำเยี่ยงนั้นก็ไม่สามารถนำเจ้าลงแช่ในอ่างยาที่ท่านดาบสเตรียมไว้ได้...เจ้าโดนพิษมามิใช่ดอกรึ”

            “โดนพิษ...อ่างยา” กาญรำพึงออกมาเบาๆ

            “ใช่อ่างยา...อ่างของท่านดาบสใช้รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและพิษร้ายต่างๆได้อย่างฉมังทีเดียว...เจ้าเข้าใจนะข้าสองคนทำตามหน้าที่” บัวตูมพูดพร้อมกับทำหน้าใสซื่อมองมาที่กาญ กาญส่ายหัวไปมา เมื่อบัวตูมพูดจบ กาญอยากจะเอ่ยถามเต็มที่ว่าไม่มีผู้ชายทำหน้าที่แทนนางทั้งสองบ้างเลยหรือ แต่ก็ป่วยการเปล่าที่จะถามเอาความใดๆ กาญจึงตัดสินใจนิ่งเสีย

            “แหม....เอาน่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว...มาข้าจะใส่ชุดให้” บัวบานพูดจบนางทั้งสองก็พากันเดินปรี่เข้าหากาญทันที

            “ไม่ครับ...ผมขอล่ะครับ อย่าให้ผมอับอายมากไปกว่านี้เลย” กาญขอร้องเชิงอ้อนวอนนางทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้นจึงถอยออกมาและเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ

            “แหม... พ่อเนื้อทอง...ข้าสองคนเย้าเล่นแค่นี้ทำจะเป็นจะตายไปได้ ข้าสองคนไปล่ะ...เชอะ...ไม่สนดอก...คนรูปงามอย่างเจ้ามีน้อยจะตาย” บัวบานพูดจบก็ทำทีจะเดินออกไป

“นางบัวบานนี่เจ้าพูดผิดหรือเปล่า... คนรูปงามมีเยอะจะตายมิใช่เหรอ... ประเดี๋ยวพ่อหนุ่มคนนี้ก็เหลิงตาย” บัวตูมกระซิบเบาๆ

            “ดะเดี๋ยวก่อน....พี่สาวทั้งสอง” กาญเอ่ยขึ้นก่อนนางทั้งสองจะก้าวเดินออกไป นางทั้งสองหันมองหน้ากันด้วยสายตาที่มีความหวัง

            “จะเปลี่ยนใจเยี่ยงนั้นรึพ่อรูปงาม” บัวตูมพูดจบก็หันกลับมาหากาญ

            “เปล่าครับ...เพียงแต่ผมอยากรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน... พี่ใจดีทั้งสองพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ” กาญพูดจบนางสาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันและขมวดคิ้วอย่างคนโดนขัดใจ แต่ก็ไม่ถึงกับสะบัดสะโบกเดินออกไป

            “นี่เจ้าไม่รู้จริงๆหรือ” บัวบานเลิกคิ้วขึ้นและถามย้ำ กาญพยักหน้ารับช้าๆ และทำหน้าตาน่าสงสาร

            “ครับ...ผมไม่รู้จริงๆ” กาญย้ำอีกครั้ง นางสาวใช้ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้งเหมือนกำลังจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง

            “ก็ได้ข้าจะบอกเจ้ามันคงไม่ใช่ความลับดอกกระมัง” บัวบานหันมามองหน้าบัวตูม บัวตูมจึงพยักหน้าเป็นนัยให้นางพูด บัวบานจึงหันหน้ากลับมาหากาญอีกครั้งและเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

“ที่นี่คือวิหคลมนคร”

            “วิหคลมนคร!” กาญอุทานออกมาเบาๆ

            “วิหคลมนคร... คือที่ไหนหรือครับ” กาญทำหน้าสงสัยทันทีที่บัวบานพูดจบ บัวตูมเห็นอย่างนั้นจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

            “นครของเราอยู่บนเทือกเขาสูง... ทุกคนในนครนี้จะอาศัยอยู่ตามแนวหน้าผาสูงของเทือกเขาอันแสนใหญ่โตนี้... ตรงกลางเทือกเขานั้นก็เป็นที่ตั้งของเมืองเรา” กาญก็เดินไปดูที่หน้าต่างทันที เมื่อบัวตูมหยุดพูด

และเมื่อกาญชะโงกหน้าออกไปเขาก็ต้องรีบดึงตัวกลับเข้ามาเมื่อพบกับความเวิ้งว้างและกระแสลมที่ปะทะเข้ามาโดนใบหน้า กาญตั้งหลักสักพักก่อนจะชะโงกออกไปอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก็พบว่าเขากำลังอยู่บนหน้าผาสูงมองลงไปสุดลูกหูลูกตาเห็นต้นไม้ด้านล่างแค่เพียงสีเขียวเป็นพรืด กาญจ้องเขม็งออกไปเบื้องหน้าก็มองเห็นเทือกเขาน้อยใหญ่ขึ้นสลับซับซ้อนเต็มไปหมด เขาเริ่มคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขาว่านี่ดูเหมือนมันจะไม่เหมือนความฝันที่เขาคิดเข้าไปทุกทีเสียแล้วเพราะเขารู้สึกถึงความเจ็บจริงจากบาดแผลและความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่เหมือนเข้ากำลังก้าวถลำลึกเข้าไปทุกที

“หรือนี่คือความจริง...” กาญคิดอยู่ในใจ

แล้วถ้ามันเป็นความจริงทำไมคนพวกนี้จึงแต่งกายแบบโบราณ หนำซ้ำอาวุธที่ใช้ต่อสู้ก็เป็นแบบโบราณทั้งนั้นหรือว่าเรา....ย้อนอดีตมา...” เมื่อกาญคิดได้อย่างนั้นก็ถึงกับกับขมวดคิ้วเข้าหากันเป็นปมสงสัยอย่างหาคนอธิบายไม่ได้

ไม่ใช่...ต้องไม่ใช่ มันต้องเป็นความฝันหรืออะไรสักอย่างน่า... มันจะเป็นความจริงไปได้อย่างไรกัน...ย้อนเวลาทะลุมิติมีแต่ในหนังที่เราดูเท่านั้นแหละ... เราต้องหาทางกลับบ้านก่อนแล้วกัน... ”   เมื่อกาญคิดได้ดังนั้นจึงรีบหันหลังกลับไปหานางสาวใช้ทั้งสองทันที เพื่อหาหนทางกลับบ้าน

            “เอ่อ...พี่สาวทั้งสอง” แต่พอกาญหันหน้ามาเข้าก็ต้องหยุดกึกลงทันที เมื่อสโรชาหญิงสาวแสนสวยยืนอยู่เบื้องหน้ากาญและบัดนี้นางสาวใช้ทั้งสองไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว

            “เจ้ามองหาใครรึ?” สโรชาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นกาญกำลังมองหาใครสักคน

            “มองหาบัวตูมกับบัวบานสาวงามทั้งสองอยู่น่ะสิ”

            “ปะเปล่า..ครับ” กาญเลี่ยงที่จะตอบและถามหานางสาวใช้ทั้งสอง ในขณะที่ยืนห่มผ้าอยู่เพียงผืนเดียว

            “มองหาบัวตูมกับบัวบานสาวงามทั้งสองอยู่นะสิ” สโรชาพูดขึ้นอย่างเรียบๆ กาญไม่ตอบเพราะสโรชาพูดถูกที่นางเอ่ยถาม

            “นี่ตกลงว่าเจ้าจะใช้ผ้าห่มห่อตัวอยู่เยี่ยงนั้นรึ” สโรชาเอ่ยขึ้นเบาๆ

            “เอ่อ...” กาญออกอาการเก้ๆกังๆ

            “เจ้ารีบจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยเถิดบัดนี้ท่านพ่อกำลังรอเจ้าอยู่...อีกประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบท่านพ่อ” กาญพยักหน้ารับก่อนที่สโรชาจะเดินออกไปกาญรีบจัดแจงใส่เสื้อผ้าที่สาวใช้ทั้งสองนำมาให้

กางเกงที่ทำจากผ้าฝ้ายสีดำมีเชือกสำหรับรัดท่อนขาและเอวให้กระชับแน่น ส่วนรองเท้าที่ทำมาจากหนังของสัตว์ก็ต้องใช้เชือกรัดให้แน่นเช่นกัน เสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดผ่าด้านหน้าต้องใช้เชือกมัดเข้าหากันเมื่อเขาเห็นเสื้อตัวนี้ก็นึกถึงขุนพันขึ้นมาทันทีซึ่งกาญเคยเห็นขุนพันใส่เสื้อแบบนี้มาแล้วนั่นเอง

“ป่านนี้ขุนพันจะเป็นอย่างไรบ้างนะ เป็นเพราะเราแท้ๆนี่ถ้าเราไม่เสนอให้ขุนพันสู้กับพวกหมาป่า...นินจาพวกนั้นมันก็คงตามมาไม่ทันขุนพันคงไม่โดนพวกมันจับไป...ไม่น่าเลยเรา...”

กาญถอนหายใจยาวก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนแท่นหิน ในใจของกาญจะเป็นห่วงขุนพันแต่ก็ไม่ได้มากไปกว่าแม่ของเขา และเมื่อกาญเหลือบไปเห็นอาหารบนแท่นหินเบื้องหน้าก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที เขาพิจารณาอาหารเบื้องหน้าแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอ

            “เอาวะ ขอกินเอาแรงก่อนแล้วกัน” ก่อนเอ่ยออกมาเบาๆก่อนจะลงมือกินอาหารที่อยู่เบื้องหน้านั้น

 

            ณ ลานกว้างใจกลางเทือกเขาสูงแห่งนครวิหคลม เหล่าบรรดาชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนแท่นหินที่สร้างขึ้นเป็นชั้นทำขึ้นเหมือนอัฒจันทร์รายล้อมเป็นทรงกลมตรงกลางมีหลุมลักษณะเหมือนแอ่งกระทะล้อมรอบด้วยก้อนหิน สุมไฟให้แสงสว่างอยู่ ชายสูงวัยยืนจังก้ากอดอกสีหน้าเคร่งเครียด ซึ่งชายคนนั้นคือพรพจน์ผู้รักษากฎแห่งนครวิหคลมนั่นเอง

            “เอาล่ะ... พวกท่านรู้ใช่ไหมว่าข้าเรียกพวกท่านมาวันนี้ด้วยเรื่องอันใด” พรพจน์เอ่ยขึ้นท่ามกลางวงสนทนา

“ขอรับท่านหัวหน้า” ทุกคนในที่ประชุมตอบรับพร้อมกัน

            “อือ... เพลานี้ขุนพันถูกนักล่าอาณาจักรอสูรดำจับตัวไป... เป็นตายร้ายดียังไม่แน่ชัด...ข้าเห็นจะส่งกองกำลังออกไปช่วยขุนพันออกมาไม่ว่าจะเป็นหรือตายจะต้องนำร่างขุนพันกลับมาให้จงได้” พรพจน์พูดจบก็หยุดหันมองมายังผู้ประชุมที่นั่งรายล้อมอยู่เบื้องหน้า            ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

            “ใครมีความคิดเห็นเยี่ยงไรกับการศึกครั้งนี้ก็เอ่ยมาได้เลย”

            “ท่านหัวหน้า...ข้าขุนสา...ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการช่วยขุนพันออกมา...แต่ถ้าหากขุนพันเสียชีวิตไปแล้ว...เราจะไม่นำพาพี่น้องเราไปเสียเลือดเนื้อเปล่าๆดอกรึท่านหัวหน้า” ขุนสาชายฉกรรจ์สูงวัยนายหนึ่งเอ่ยขึ้น

            “ท่านขุนสา...ท่านหัวหน้า...ข้าขุนเดช...ข้ามั่นใจว่าขุนพันยังมีชีวิตอยู่...พวกเราก็รู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าขุนพันหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า” ชายฉกรรจ์นายหนึ่งที่มีนามว่าขุนเดชเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ

            “แต่ก็มิได้อยู่ยงคงกระพันมิใช่รึขุนเดช...เพลานี้ขุนพันอาจโดนซ้อมจนช้ำในกระอักเลือดตายไปแล้วก็เป็นได้...และอีกอย่างถ้าเราขืนยกกองกำลังเราออกไปต่อกรกับพวกมันซึ่งมีจำนวนมากกว่าพวกเราหลายสิบเท่านัก...นอกจากเราจะเสียเลือดเนื้อของพี่น้องเราแล้ว นครวิหคลมของเราก็อาจจะโดนทำร้ายจนสิ้นก็เป็นได้...ข้าเห็นว่าท่านหัวหน้าลองไตร่ตรองให้ดีอีกครั้งเถิด” ขุนสาเอ่ยขึ้น พรพจน์ยังกอดอกออกสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัดสักพักจึงเอ่ยขึ้น

            “เราชาววิหคลมนครผู้รักษากฎ ผู้ดูแลความสงบสุขของบรรดาอาณาจักรต่างๆ บัดนี้จะต้องมายอมจำนนเกรงกลัวความอหังการของนักล่าอาณาจักรอสูรดำโดยที่ไม่สามารถจะช่วยอาณาจักรนครต่างๆให้รอดพ้นจากการทำลายล้างของสัตว์นรกพวกนี้ไปได้...ข้ารู้สึกอับอายต่อพี่น้องเหล่านั้นจริงๆ ขนาดทหารกล้าอย่างขุนพันข้ายังหาทางช่วยออกมาไม่ได้”

            “ท่านหัวหน้า...ข้าขุนเรือง...พวกเราเข้าใจในหัวใจของท่าน พวกเราเองก็รู้สึกไม่แตกต่างไปจากท่านเลย” ขุนเรืองเอ่ยขึ้นเชิงปลอบใจ

            “ท่านหัวหน้าเอาเยี่ยงนี้เป็นไร” ขุนเดชเอ่ยขึ้น

            “ว่ามาขุนเดช...ท่านมีแผนการเยี่ยงไรก็ว่ามาเถิด” พรพจน์หันหน้ามาทางขุนเดช

“ข้าจะอาสานำกำลังบางส่วนลักลอบเข้าไปช่วยขุนพันออกมาเอง” ขุนเดชเอ่ยขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยสายตาที่มุงมั่น

“เจ้ามั่นใจว่าจะทำเยี่ยงนั้น” พรพจน์ถามย้ำในสิ่งที่ขุนเดชออกปากอาสา

“ขอรับท่านหัวหน้า...ข้าจะนำขุนพันกลับมาให้ได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย” ขุนเดชยังเอ่ยย้ำความต้องการของตนเอง พรพจน์สูดหายใจเข้าแรงๆมองมาที่ขุนเดชและพยักหน้าอย่างขอบคุณในการอาสาของขุนเดชครั้งนี้

“ดี...ถ้าเจ้ารับปากเยี่ยงนั้น...แล้วเจ้าจะมีใครอาสาไปกับเจ้าบ้างเล่า”

“เรื่องนี้ข้าได้พูดคุยกับ ขุนดำ และขุนสืบ ไว้ก่อนหน้าแล้วขอรับท่านหัวหน้า” ขุนเดชพูดจบก็หันมามองขุนดำและขุนสืบ

“ขอรับท่านหัวหน้า” ทั้งสองพยักหน้าตอบรับทันทีที่ขุนเดชพูดจบ พรพจน์พยักหน้าน้อยๆอีกครั้ง

“ดี...เยี่ยงนั้นเจ้าจงเตรียมกำลังที่เจ้าต้องการออกติดตามขุนพันได้เลย”

“ขอรับท่านหัวหน้า” ทั้งสามขุนพลเอ่ยรับพร้อมกันอย่างแข็งขัน

“มีใครคิดเห็นเป็นเยี่ยงไรอีกไหม” พรพจน์เอ่ยถามในที่ประชุม และบัดนี้ทุกคนเงียบกริบไม่มีคำตอบหรือคำถามใดๆในการออกอาสาของขุนพลทั้งสามในครั้งนี้

“ท่านขุนสา” พรพจน์หันมาหาขุนสาเหมือนจะถามความกับเขา

“ข้าก็ยังคิดเห็นเป็นเช่นเดิมท่านหัวหน้า...แต่ถ้าท่านขุนเดชมั่นใจเยี่ยงนั้นข้าก็ไม่สามารถปรามท่านได้ดอก...ขอให้ท่านและคณะปลอดภัยกลับมาแล้วกันอย่าให้เสียพี่น้องคนใดไปอีกเลย” พูดจบขุนเดชพยักหน้ารับน้อยๆ ที่ขุนสาพูดจบ และเมื่อดูเหมือนในที่ประชุมเหล่าบรรดาขุนพลของนครวิหคลมจะยุติลงแล้ว

“เอาล่ะวันนี้” พรพจน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรที่ต้องพูดคุยกันอีกแล้วในวันนี้ และก่อนที่พรพจน์จะเลิกการประชุม

“ประเดี๋ยวก่อนขอรับท่านหัวหน้า”

“มีอะไรรึ...ท่านขุนสา” ขุนสามองมาที่พรพจน์ประหนึ่งว่า พรพจน์ลืมพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งไป

“บุรุษที่ท่านดาบสให้ขุนพันไปรับมาล่ะขอรับ” คำถามเรียบง่ายของขุนสาทำเอาพรพจน์ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ และเมื่อเห็นว่าพรพจน์ยังไม่ตอบ ขุนสาจึงเอ่ยขึ้นต่อ

“เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ...บุรุษผู้นี้จะเป็นความหวังของพวกเราจริงอย่างที่ท่านดาบสได้ทำนายไว้เยี่ยงนั้นหรือ” พรพจน์ถอนหายใจเข้าช้าๆก่อนจะเอ่ยออกมา

“นี่เจ้าไม่เชื่อคำทำนายของท่านดาบสเยี่ยงนั้นรึ”

“มิใช่เยี่ยงนั้นท่านหัวหน้า...ด้วยความเป็นห่วงของข้า และข้าเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่คิดเห็นเยี่ยงข้า” ขุนพลในที่ประชุมต่างพากันพยักหน้าน้อยๆรับในสิ่งที่ขุนสาเอ่ยขึ้น พรพจน์จำต้องอธิบายความให้ขุนพลทุกคนได้ฟัง

“เอาล่ะ...ในเพลานี้ข้าได้ตัวบุรุษผู้นั้นมาแล้ว...และเพลานี้ก็ปลอดภัยดี...ส่วนเรื่องที่เป็นไปตามที่ท่านดาบสทำนายไว้หรือไม่นั้นข้าไม่สามารถล่วงรู้ได้...คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ทุกคนในที่ประชุมนิ่งเงียบเมื่อพรพจน์พูดจบเพราะทุกคนต่างเข้าใจความหมายของคำว่าต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

“เอาล่ะ...วันนี้ข้าขอบใจพวกท่านทุกคน...กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อเถิด...ข้าขอปิดประชุม” พูดจบพรพจน์ก็เดินออกจากที่ประชุมและขุนพลทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายออกไปทันที

 

และเมื่อกาญกินอาหารจนอิ่มดีแล้วก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เขาใช้มือคลำไปที่บริเวณลำคอก็ถึงกับใจหายวูบเมื่อพบว่าสร้อยที่ห้อยพระไว้บัดนี้มันไม่ได้อยู่ที่คอเขาเสียแล้ว

“ตายล่ะ!...สร้อยพระเราหายไปไหนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” กาญพยายามค้นหาดูตามที่นอนก็ไม่พบจนกระเขานั่งส่ายหัวไปมาอย่างแสนเสียดายพระเครื่ององค์นั้นเพราะเป็นพระที่พ่อให้เขาไว้ตั้งแต่เด็กๆ

“หาทางกลับบ้านดีกว่า...ขืนอยู่ต่อไปก็มีแต่เรื่องปวดหัว” กาญรำพึงออกมาเบาๆก่อนลุกขึ้นหาหนทางหนีจากที่นี่เขาเดินไปที่ประตูและเปิดผ้าม่านแง้มออกไปดูก็ต้องพบกับชายฉกรรจ์ยืนถือหอกเฝ้าหน้าประตูอยู่ทั้งซ้ายและขวากาญถอยออกมาและเดินไปที่หน้าต่างอีกครั้ง

“สูงอย่างนี้...ถ้าขืนตกลงไป” และยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดอะไรต่อไปสโรชาก็เดินเข้ามาภายในห้อง นางมองมาที่กาญก่อนจะมองไปที่อาหารบนโต๊ะหินซึ่งบัดนี้มันเหลือเพียงความว่างเปล่าก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เจ้าพร้อมแล้วสินะ”

“ครับ...ผมพร้อมแล้ว”กาญตอบกลับไป

“ถ้าเยี่ยงนั้นก็ตามข้ามา” สโรชาพูดจบก็เดินนำกาญออกไป กาญเดินตามสโรชาออกไปโดยที่ชายฉกรรจ์หน้าห้องทั้งสองคนไม่ได้ตามไปด้วย ถึงเวลานี้กาญจึงพักเรื่องการหลบหนีเอาไว้ก่อน ใจหนึ่งเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากนี้ อีกใจหนึ่งเขาก็อยากจะหนีกลับไปหาแม่ซึ่งนอนเจ็บอยู่ แต่ดูเหมือนเวลานี้เขาจะเลือกทางที่เขาต้องการไม่ได้เสียแล้วเขาจึงตัดสินใจปล่อยเหตุการณ์ต่างๆให้มันไหลไปตามแต่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

และเมื่อออกมาจากห้องสโรชาก็พากาญเดินไปตามทางที่ดูเหมือนจะเป็นอุโมงค์แต่ก็ไม่ไช่อุโมงค์ เนื่องจากมีช่องขนาดใหญ่ระหว่างทางเดินให้มองลอดออกไปเห็นทางที่เชื่อมต่อกันโยงใยไปทั่ว ไม่นานก็มีผู้คนแต่งกายแบบโบราณเดินผ่านมาและทุกคนจะทำความเคารพสโรชาทุกครั้งที่เดินผ่านนางไป เมื่อเดินไปเรื่อยๆก็พบว่าภายในเทือกเขาแห่งนี้มันเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่เมืองหนึ่งดีๆนี่เอง ซึ่งภายในถูกสร้างขึ้นด้วยความวิจิตรตระการตาแก่พบผู้พบเห็น บ้านเรือนถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยล้อมรอบด้วยแนวเขาที่สูงเสียดฟ้า และมีชาวเมืองจำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ตามแนวผาบนเทือกเขาอย่างเดียวกับห้องที่เขาเพิ่งออกมา ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามองจากภายนอกของเทือกเขาใหญ่แห่งนี้จะไม่มีทางรู้เลยว่าเบื้องหลังเทือกเขาแห่งนี้คือนครวิหคลม

“ที่นี่คือเมืองของพวกเรา” สโรชาชี้มือให้กาญดูบ้านเมืองที่อยู่เบื้องล่าง

“สวยงาม...ยังกับเมืองสวรรค์” กาญอุทานออกมาพร้อมกับทำตาโตๆ

“แล้วทำไมเมืองที่สวยงามเช่นนี้จึงมาอยู่ในที่แห่งนี้เล่า” กาญถามต่อ

“วิหคลมนครแห่งนี้อยู่ระหว่างพื้นโลกกับสรวงสวรรค์” คำตอบของสโรชาทำเอากาญถึงกับเลิกคิ้วสูงขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม

“หมายความว่าอย่างไร...พื้นโลกกับสรวงสวรรค์”

“ความหมายก็ตรงตามที่ข้าบอกนั่นแหละ...พวกเราอยู่กึ่งกลางระหว่างมนุษย์กับสวรรค์” สโรชาพูดจบกาญขมวดคิ้วเข้าหากัน

“ถ้าเช่นนั้น... พวกที่อยู่ในนครแห่งนี้ก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างนั้นหรือ” กาญเอ่ยถาม

“ก็ไม่เชิง...พวกเราใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป...มีเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน...แต่แตกต่างแค่เพียงว่า พวกเราชาวนครวิหคลมเป็นผู้รักษากฎกติกาการอยู่ร่วมกันของอาณาจักรมนุษย์บนโลกใบนี้ จะไม่มีการแย่งชิงหรือรุกรานอาณาจักรซึ่งกันและกัน” คำตอบของสโรชาดูราบเรียบแต่คิ้วกาญยังขมวดเป็นปมอยู่

“แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์...เอ่อ...ที่คุณหนู...ผมเรียกถูกใช่ไหม”

“เรียกข้าว่า สโรชา ก็ได้นะ”

“จะดีหรือครับคุณหนู....ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นการให้เกียรติ”

“ถ้าเยี่ยงนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะสะดวก” สโรชาตอบสั้นๆ

“ครับถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตเรียกคุณหนูก็แล้วกัน” สโรชาอมยิ้มน้อยๆ และคิดอยู่ในใจว่า

“อย่างน้อยชายผู้นี้ก็รู้จักการให้เกียรติผู้หญิง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือชายผู้นี้อาจละเมอถึงแม่ของเขาจริงๆก็เป็นได้...”

“เอ่อ...คุณหนูแล้วถ้าเกิดเหตุการณ์รุกรานกันขึ้นมาล่ะ” กาญถามต่อ

“พวกเราจะส่งกองกำลังนักรบวิหคนครออกไปช่วยอาณาจักรที่ถูกรุกราน” กาญพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

สโรชาพากาญเดินมาได้อีกไม่นานก็มายืนอยู่หน้าปากถ้ำแห่งหนึ่งโดยมีชายฉกรรจ์นายหนึ่งยืนอยู่ปากทางเข้าถือคบไฟอยู่ในมือ

“คุณหนูสโรชา” ชายฉกรรจ์นายนั้นเอ่ยทักและทำความเคารพสโรชาก่อนจะเดินนำเข้าไปในถ้ำแห่งนั้น ภายในถ้ำมืดมิดมีเพียงแสงคบไฟในมือชายผู้นำทางเท่านั้นที่ทำให้พวกเขามองเห็นทางเดินได้ ไม่กี่อึดใจกาญก็มองเห็นแสงสว่างร่ำไรอยู่เบื้องหน้าและเมื่อก้าวพ้นถ้ำออกมาก็พบกับบรรดาต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุมสองข้างทางเป็นทิวแถวร่มครึ้มแต่ที่วิจิตรตระการตาก็คือบรรดาต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นมีใบไม้เป็นพวงแก้วห้อยระย้าลงมาพลิ้วไหวตามกระแสลมเย็นที่โชยพัดมาเอื่อยๆบรรดาดอกไม้น้อยใหญ่ที่อยู่ข้างๆก็เบ่งบานดอกใบเป็นสีสันหลากหลายแต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือบรรดาดอกไม้เหล่านั้นสดใสเหมือนกับแก้วใส เหล่ามวลแมลงและผีเสื้อที่พากันบินตอมก็มีแสงสว่างอยู่ในตัวเองช่างดูสวยงามเปรียบประหนึ่งเดินอยู่บนสรวงสรรค์อย่างไรอย่างนั้น

กาญตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เขาได้เห็นอยู่เบื้องหน้าเขาอดใจไม่ไหวที่หยุดคลุกเข่าลงดูดอกไม้ข้างทางอย่างประหลาดใจในความสวยงาม สโรชาเห็นดังนั้นจึงหยุดลง ก่อนจะเดินเข้ามาหา กาญค่อยๆใช้มือทั้งสองของเขาโอบไปที่ดอกไม้ดอกหนึ่งให้อยู่ในอุ้งมือของเขา โดยไม่ได้เด็ดดอกไม้ออกมาแต่อย่างใด และเมื่อดอกไม้ดอกนั้นอยู่ในอุ้งมือของกาญมันกลับเปล่งแสงสว่างออกมาสว่างไสวสวยงามยิ่งนัก แม้แต่สโรชาเองเมื่อเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ เหล่าบรรดาแมลงและผีเสื้อต่างพากันมาบินวนล้อมดอกไม้ในมือกาญ กาญเองยังถึงกับอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ไม่นานนักกาญก็ปล่อยมืออกจากดอกไม้ และดอกไม้นั้นก็หรี่แสงกลับเป็นสภาพเดิม

“เหตุใดเจ้าสามารถทำเยี่ยงนั้นได้” สโรชาเอ่ยถามกาญด้วยความแปลกใจ

“ทำอะไรเยี่ยงนั้นหรือขอรับ?” กาญพยายามพูดตามแบบที่สโรชาพูดบ้าง

“เจ้ามิต้องพูดเยี่ยงเราก็ได้”

“ขอรับข้าจะไม่พูดเยี่ยงนั้นอีก” กาญอมยิ้มน้อยๆ

“นี่เจ้า!”สโรชาถอนหายใจเบาๆ

“เจ้าจะพูดเยี่ยงไรก็เรื่องของเจ้า..เมื่อครู่ข้าถามว่าแสงสว่างที่เกิดจากดอกไม้ตอนที่อยู่ในมือเจ้า...มันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไรกัน”   กาญไม่ตอบได้แต่ยักไหล่และส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเดินตามสโรชาไป

“ไม่เคยมีใครในวิหคลมนครทำเยี่ยงนั้นได้มาช้านานแล้ว...หรือว่าชายผู้นี้จะเป็น...ดังที่พ่อแก่ดาบสทำนายไว้จริงๆ”แม้จะไม่ได้คำตอบจากกาญแต่สโรชาก็แอบคิดอยู่ในใจ และอีกไม่กี่อึดใจต่อมาสโรชาก็พากาญมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเบื้องหน้านั้นมีต้นไม้ใหญ่โตมโหฬารแผ่กิ่งก้านสาขาลักษณะเหมือนต้นไทรที่กาญเคยเห็น แต่ทว่ารากไทรที่ระย้าลงมากลับเปล่งแสงเรืองๆออกมาได้ บวกกับความร่มครึ้มของสถานที่ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูสว่างและสวยงามเป็นยิ่งนัก

ภายใต้ต้นไม้ใหญ่มีกองไฟขนาดย่อมๆถูกสุมไว้ภายในก้อนหินใหญ่ล้อมรอบเป็นวงกลมเปลวไฟที่เกือบมอดลงยังคงส่องแสงให้เห็นร่างของชายชราผู้หนึ่งนั่งหลับตาอยู่บนอาสนะที่สร้างขึ้นจากหินแท่นใหญ่ ปูพื้นด้วยพรหมหนังสัตว์ ร่างกายของเขาห่อหุ้มไปด้วยผ้าสีขาวหม่นประหนึ่งนักบวชหรือนักพรตสำนักไหนสักแห่ง หนวดเคราและคิ้วสีขาวยาวสลวยพองาม ผมขาวยาวถูกมัดเป็นมวยไว้ด้านบนเป็นชั้น ใบหน้าที่ดูสงบนิ่งแฝงความเมตตาไว้เปี่ยมล้นและเบื้องล่างต่ำลงมาจากอาสนะไม่มากนักก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิมองมาที่เขา

“ท่านพ่อ...ท่านปู่” สโรชาเอ่ยขึ้นพร้อมกับย่อขาถอนสายบัวทำความเคารพ

“มากันแล้วรึ... มา...เข้ามานั่งที่นี่” พรพจน์บิดาของสโรชาเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้มือให้กาญเข้ามานั่งยังฝั่งตรงข้ามของเขา กาญทำตามอย่างว่าง่าย

“ข้าขอตัว...ท่านพ่อ...ท่านปู่” พรพจน์ไม่ตอบได้ยกมือเป็นสัญญาณให้สโรชาออกไปได้ กาญนั่งมองมาที่พ่อแก่ดาบสอย่างตาไม่กระพริบเหมือนกับว่าเขาเคยเห็นชายชราผู้นี้ที่ไหนมาก่อน ไม่นานนักชายชราก็ค่อยๆลืมตาขึ้นและมองมาที่กาญ กาญยกมือขึ้นพนมไหว้ชายชราอย่างเคารพนอบน้อม ชายชราพยักหน้ารับน้อยๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

“สุริยะกาญ” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยสุ่มเสียงอันแหบแห้ง กาญขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินที่ชายชราพูดเช่นนั้น

            “ผะผม..หรือครับ...สุริยะกาญ” กาญชี้มือมาที่ตัวเองก่อนจะถามย้ำ

            “ก็เจ้านั่นปะไร...จะมีใครให้ท่านอาจารย์เรียกอีกเล่า” พรพจน์เอ่ยขึ้น

            “เอ่อ...ผมไม่ทราบว่าคุณตาท่านนี้...ท่านจำผิดคนหรือเปล่าครับคุณลุง...ผมชื่อ

กาญครับ..กาญ ธรรมศักดิ์ นี่คือชื่อและนามสกุลของผม ไม่ใช่สุริยะกาญอย่างที่คุณตาเรียก...และอีกอย่าง ถึงแม้ผมจะคุ้นหน้าคุณตาท่านนี้...แต่ผมว่าผมไม่เคยเจอท่านมาก่อนแน่นอนครับ....ผมว่ามันคงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแล้วละครับ...ส่งผมกลับบ้านดีกว่าครับผมยังมีภาระที่สำคัญรออยู่ครับ” กาญพูดเสียยาวเหยียดและมองไปที่ชายทั้งสองอย่างอ้อนวอนประหนึ่งว่าจะขอกลับบ้าน ก่อนที่ชายชราและพรพจน์จะมองหน้ากันและยิ้มออกมาน้อยๆ

            “ใจเย็นๆก่อน..เจ้าหนุ่ม...ฟังท่านอาจารย์ก่อน...แล้วบางทีเจ้าอาจจะเข้าใจอะไรมากขึ้นก็เป็นได้” พรพจน์พูดจบกาญนั่งหลับตาและถอนหายใจยาวๆเหมือนกำลังรอฟังอะไรบางอย่างจากชายชรา

            “ข้ารู้ว่ามันเป็นเรื่องที่แสนยากที่จะอธิบายให้เจ้าเข้าใจได้โดยง่าย” ชายชราหรือดาบสพูดด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งแต่ยังคงแฝงไปด้วยพลัง

            “ในเพลานี้...เจ้าคงไม่อยากที่จะรับฟังอะไรจากข้า...มากไปกว่ากลับไปดูแลมารดาของเจ้า...เยี่ยงนั้นสินะ” ดาบสพูดจบกาญถึงกับหันมามองเขาด้วยความสนใจ

            “คุณตารู้ได้อย่างไรครับ”

            “หึๆๆ” ดาบสหัวเราะอยู่ในลำคอก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“ก็ตลอดการเดินทางเจ้าก็คิดเยี่ยงนั้นมิใช่ดอกรึ” คำพูดของดาบสเหมือนมันทิ่มแทงไปที่ใจของเขา

“ครับ...ผมคิดอย่างนั้น” กาญยอมรับโดยดีก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ

“ผมไม่รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน...หรือผมกำลังฝันอยู่...แต่สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือจะฝันอยู่ อย่างไร...ผมจะกลับไปช่วยแม่ของผมให้ได้ครับคุณตา” กาญพูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่มุ่งมั่น

“อือ... ความกตัญญูของเจ้าถึงจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิเยี่ยงไรก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมสินะ” ดาบสเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมาที่กาญด้วยสายตาที่อ่อนโยน

“ถ้าเป็นเยี่ยงนี้... ก็ป่วยการเปล่าที่ข้าพรรณนาอะไรให้เจ้าได้ฟัง”

“อ้าว! ทำไมล่ะครับคุณตา...ผมรอฟังอยู่ครับจะได้จบๆเสียที...ผมอยากกลับบ้าน”

“ก็นั่นปะไร...จิตใจของเจ้ายังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรมากไปกว่ากลับไปดูแลมารดาของเจ้า” ดาบสกล่าว

“แล้วมันผิดด้วยหรือไงที่เราคิดถึงแม่ของเรา...” กาญแอบคิดในใจ ก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้ง

“คุณตาครับ... นี่ผมฝันอยู่หรือเปล่าครับ” กาญเอ่ยถามหน้าซื่อๆ

“ถ้าข้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ฝันเจ้าจะเชื่อข้าหรือเปล่าล่ะ” กาญได้ยินดาบสพูดถึงกับส่ายหน้าก่อนจะตั้งตัวให้ตรงพร้อมถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง

“เอาเป็นว่านี่คือเรื่องจริง” กาญพูดขึ้น และหันมองมาทางพรพจน์ซึ่งพรพจน์เองก็พยักหน้ารับช้าๆ

“แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น...คุณตา...คุณลุง...ต้องการอะไรจากผมครับ...รีบบอกมาเถิดครับ...ถ้าผมทำให้ได้ผมจะทำให้โดยทันทีครับ”

“เรามิได้ต้องการอะไรจากตัวเจ้า...แต่เป็นเพราะตัวเจ้าต่างหากที่โดนกำหนดมาให้เป็นผู้พิทักษ์โลกใบนี้” คำพูดของพรพจน์ทำเอากาญถึงกับเงี่ยหูฟังอีกครั้ง

“อะ...อะไร นะครับ” กาญเงยหน้าขึ้นถามพรพจน์ด้วยสีหน้าสงสัยอย่างมากว่าหูของเขาไม่ได้ฟังผิด

“พิทักษ์โลกใบนี้และโลกหน้าที่เจ้ามา....จากศัตรูนอกโลก” พรพจน์พูดจบ กาญอ้าปากน้อยๆด้วยความประหลาดใจ

“โอยแม่เจ้า...พิทักษ์โลกจากศัตรูนอกโลก...กูจะบ้าตาย...เห็นกูเป็นอุลตร้าแมนรึไงวะ...” กาญแอบคิดอยู่ในใจและถอนหายใจแรงๆก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามพรพจน์ต่อ

“คุณลุงครับ ทำไมต้องเป็นผม” กาญถามเบาๆแต่หนักแน่น

“ก็เพราะเจ้าเป็น...”

“พอเถิด...ท่านหัวหน้า” พรพจน์ต้องหยุดกึกทันทีเมื่อดาบสเอ่ยขึ้นตัดบทด้วยเสียงอันแหบแห้ง

“เขายังไม่พร้อมที่จะรับรู้อะไรในตอนนี้ดอก”

“ขอรับ” พรพจน์พยักหน้ารับตามที่ดาบสพูด

“ข้าขอคุยกับเจ้าหนุ่มนี่ตามลำพังสักพักเถิด”

“ขอรับ ท่านอาจารย์” พูดจบพรพจน์ก็ลุกเดินมาจับไหล่กาญเบาๆก่อนจะเดินออกไปทันที ปล่อยให้กาญและดาบสอยู่กันตามลำพังสองคน ดาบสลุกขึ้นจากอาสนะและใช้ไม้เท้าเดินพยุงตัวเองมาหากาญในขณะที่เขากำลังก้มหน้าหลับตาอยู่

“คุณตา” กาญเอ่ยขึ้นเมื่อพบว่าดาบสมายืนอยู่เบื้องหน้าแล้ว

“บาดแผลเป็นเยี่ยงไรบ้างล่ะ” ดาบสเอ่ยถาม

“ไม่เจ็บแล้วครับ...คิดว่าคงหายดีแล้วครับคุณตา” กาญตอบพร้อมกับคลำที่บาดแผลตัวเองเบาๆ

“อือ..ดี...เยี่ยงนั้นเจ้าก็ตามข้ามาเจ้าหนุ่ม” ดาบสเดินออกจากต้นไม่ใหญ่ต้นนั้น

“ครับ” กาญเดินตามดาบสไปอย่างว่าง่าย ไม่นานนักดาบสก็พากาญมายืนอยู่บนเชิงผาสูงแห่งหนึ่ง

“เจ้าเห็นอะไรนั่นไหม” ดาบสแหงนหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า พร้อมทั้งชี้มือให้กาญมองดูอะไรบางอย่างเบื้องบนท้องฟ้า ซึ้งบัดนี้สิ่งที่กาญเห็นก็คือลูกไฟขนาดใหญ่กำลังพุ่งตกลงมา กาญทำตาเบิกกว้างเมื่อเห็นลูกไฟนั่น

“อุกกาบาต! นั่นใช่อุกกาบาตหรือเปล่าครับ” กาญอุทานออกมา

“อุกกาบาต...ถ้าเจ้าเรียกสิ่งที่เจ้าเห็นนั้นว่าอุกกาบาต...ก็คงใช่ตามที่เจ้าเรียก..แต่ทว่าสิ่งที่ตกลงมากับมัน” ดาบสหยุดพูด พร้อมกับทำหน้าหนักใจ

“ทำไมหรือครับ...อุกกาบาตมันคือก้อนหินธรรมดาจากห้วงอวกาศไม่ใช่หรือครับ” กาญมองหน้าดาบส และเอ่ยถามต่อด้วยความอยากรู้

“อือ....มันมิใช่แค่เพียงก้อนหินไฟจากนอกโลกเท่านั้นดอก...แต่มันมีสิ่งมีชีวิตที่มาจากห้วงจักรวาลตามลงมาด้วย”

“หือ!สิ่งมีชีวิตจากห้วงอวกาศ...คุณตาหมายถึงมนุษย์ต่างดาวอย่างนั้นหรือครับ”

“มนุษย์ต่างดาว!” ดาบสรำพึงออกมาเบาๆก่อนจะพยักหน้ารับอย่างช้าๆในขณะที่ยืนลูบหนวดเครายาวไปด้วย

            “ใช่...มนุษย์ต่างดาว...พวกมันแฝงตัวมากับก้อนอุกกาบาตที่เจ้าเห็นนั่น” กาญเม้มปากน้อยๆขมวดคิ้วเข้ากันเป็นปม

            “แล้วมันแฝงตัวลงมากันทำไมกันครับ” กาญเอ่ยถามด้วยความสงสัย

            “สงคราม” ดาบสตอบสั้นๆแต่ก็ทำให้กาญถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ

“สงคราม!...” กาญอุทานออกมาเบาๆพร้อมกับการกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆอีกครั้ง

“ใช่ สงครามแห่งการแย่งชิงทรัพยากร...สิ่งที่พวกมันต้องการจากโลกใบนี้คือทรัพยากร” ดาบสตอบน้ำเสียงเรียบๆ

“ทรัพยากร...อะไรหรือครับ” กาญเอ่ยถามต่อ

“ทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้” ดาบสพูดจบ กาญทำหน้ายุ่งๆก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ทุกอย่างเลย! แต่เอ...คุณตา...พวกที่ตามล่าผมกับขุนพัน เป็นมนุษย์ไม่ใช่หรือครับ ผมไม่เห็นมีมนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยนสักตัวเดียว” ดาบสพยักหน้าน้อยๆใช้มือลูบหนวดเครายาวก่อนจะตอบ

“ก็ใช่อย่างที่เจ้าว่า...ยังไม่ถึงเวลาที่พวกมันจะลงมือเองดอกเพราะมีมนุษย์บนโลกเป็นพวกของมัน...มนุษย์บนโลกส่วนหนึ่งเป็นฝ่ายอธรรม...เผ่าชนเหล่านี้เป็นพวกล่าอาณาจักรจะชอบทำสงครามแย่งชิงดินแดนอาณาจักรของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา”

“พวกล่าอาณาจักร...พวกซามูไรนินจาเนี่ยนะ” กาญพูดจบ ดาบสพยักหน้ารับน้อยๆ

“นอกจากพวกซามูไรหรือพวกนินจาแล้ว ยังมีชนเผ่าอำมหิตอีกหลายชนเผ่าเข้าร่วมกันเป็นนักล่าอาณาจักรเพื่อหวังจะได้ผลประโยชน์จากการทำสงครามแย่งชิงอาณาจักรต่างๆ” ดาบสถอนหายใจยาวๆ

“ในอดีตเป็นหน้าที่ของพวกเราชาววิหคลมนครนี่แหละที่คอยช่วยเหลืออาณาจักรต่างๆให้รอดพ้นจากการรุกรานมาได้ทุกครั้ง...โดยลำพัง เผ่านักล่าอาณาจักรเหล่านั้นไม่สามารถจะต่อกรกับกองกำลังของวิหคลมนครได้เลย” ดาบสหยุดถอนหายใจยาวๆก่อนจะพูดขึ้นต่อ

“จนกระทั่งมีสิ่งจากนอกโลกเข้ามาแสดงพลังให้เผ่านักล่าอาณาจักรได้เห็นและพวกมันเห็นว่าจะเป็นหนทางเดียวที่จะสามารถต่อกรกับชาววิหคลมนครได้...พวกนักล่าอาณาจักรจึงยอมจำนนต่อพลังนอกโลกและสรรเสริญพวกต่างดาวดุจเทพเจ้าและขนานนามว่าเทพเจ้าอสูรดำ

พวกมันหวังโค่นอาณาจักรต่างๆโดยเฉพาะวิหคลมนครให้อยู่ภายในเงื้อมมือพวกมันได้...โดยที่คนเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าพวกมันกำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือให้เข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเอง”ดาบสพูดจบกาญนิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้น

“ฟังดูแล้วช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินครับ...เอ่อ...แล้วทำไมพวกมันถึงต้องการตัวผมหรือครับคุณตา” ดาบสยืนลูบหนวดเคราเบาๆก่อนจะตอบ

“เพราะอสูรดำมันรู้ว่าเจ้าเป็นใคร” กาญทำหน้าสงสัยอย่างหนัก

“แล้วผมเป็นใครครับ?” คำถามของกาญทำเอาดาบสถอนหายใจยาวๆก่อนจะเอ่ยตัดบทขึ้น

“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง...ข้ายังไม่มีอารมณ์จะเล่าตอนนี้” อยู่ๆดาบสก็ทิ้งช่วงสำคัญของการสนทนา ปล่อยให้กาญเกิดอาการเซ็งเพราะเกือบจะได้รู้อยู่แล้วเชียวว่าเขาเป็นใคร

“โห...ต้องใช้อารมณ์ด้วยแฮะ..” กาญแอบคิดอยู่ในใจ ก่อนจะเอ่ยถามต่อ

“เรื่องราวมันดูใหญ่โตมากเลยครับ...แต่ผมก็ยังเห็นว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวผมนะครับ...คุณตา” กาญส่งคำถามและเพ่งสายตามองมาที่ดาบส

“อือ...เจ้าคิดเยี่ยงนั้นหรือ” ดาบสจ้องเขม็งมาที่กาญ

“ครับ...ผมคิดอย่างนั้น” กาญตอบอย่างมั่นใจ

“ข้าขอถามเจ้าสักคำ...เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้หรือเปล่าล่ะเจ้าหนุ่ม” คำถามของดาบสทำเอากาญหยุดอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“ครับคุณตา...ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณตากำลังจะถามผม...แต่นี่มันไม่ใช่ยุคที่ผมอยู่นี่ครับ...ถ้าทุกอย่างเป็นจริงอย่างที่คุณตาพูด... นี่มันเป็นยุคอดีตไม่ใช่หรือครับ... และมันน่าจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วในยุคของผมไม่ใช่หรือครับ” กาญพยายามหาเหตุผลมาหักล้างไม่หยุด

“เจ้ายังไม่เข้าใจจักรวาลและห้วงเวลาแห่งจักรวาลนี้เพียงพอ” กาญขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งและเอ่ยถามอย่างสงสัย

“อย่างไรหรือครับคุณตา...” ดาบสสูดหายใจเข้ายาวๆและลูบหนวดเครายาวไปด้วยก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ

“ทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงมหาจักรวาลนี้มันมีมิติแห่งกาลเวลา...และมิติแห่งกาลเวลามันสามารถหมุนวนมาชนกันได้ไม่ว่าจะเป็นยุคไหนสมัยไหนก็ตาม” ดาบสพูดจบกาญถึงกับเกาหัวอย่างงุนงง

“ไม่เข้าใจครับ...คุณตา...” กาญตอบออกมาสั้นๆ ดาบสถอนหายใจยาวก่อนจะพูดต่อ

“ในโลกปัจจุบันของเจ้าเคยได้ยินคำว่า ย้อนเวลาทุลุมิติ... อะไรทำนองนี้ไหมเจ้าหนุ่ม” การทำสีหน้าครุ่นคิด

“ย้อนเวลาทะลุมิติ...ครับ...ผมเคยดูหนัง...เอ...” กาญหยุดคิดในสิ่งที่ตัวเองได้ยินและพูดออกไป

“นี่หมายความว่าผมย้อนเวลาทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งหรือครับ” กาญออกอาการตื่นเต้นทำตาโตเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“เออ... คุยกับเจ้ามาตั้งนานข้าคิดว่าเจ้ารู้เรื่องแล้วเสียอีก” ในขณะที่กาญยังออกอาการตื่นเต้นอยู่ไม่หาย สักพักเมื่อตั้งสติได้กาญจึงเปิดคำถามถามต่อทันที

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า... ถ้าไม่มีใครสามารถปราบพวกมนุษย์ต่างดาวในภพนี้ได้ ก็จะไม่มีอนาคต... และโลกปัจจุบันที่ผมอยู่อย่างนั้นหรือครับ” ดูเหมือนกาญจะเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ดาบสพยายามอธิบายบ้างแล้ว

“อืม...เจ้าเข้าใจถูกแล้วถ้าไม่มีอดีต เจ้าว่ามันจะมีอนาคตให้เจ้าอยู่หรือไม่ล่ะ” กาญขมวดคิ้วเข้าหากันอีกครั้งสีหน้าแสดงออกถึงความครุ่นคิดอย่างหนัก และก็เอ่ยย้อนกลับมาที่คำถามเดิม

“แล้ว...ทำไมต้องเป็นผม” กาญพยายามส่งคำถามนี้อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน

“เรื่องนั้นเจ้าจะได้เข้าใจเองในอีกไม่ช้านาน” ดาบสพูดจบก็จ้องมองมาที่กาญก่อนจะยกมือขึ้นลูบหนวดเคราตัวเองและเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เพลานี้...เจ้าคงไม่มีจิตใจจะไปทำอะไรได้ดอกกระมัง” ดาบสหยุดพูดสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อในขณะที่กาญยังคงก้มหัวส่ายหน้าอยู่ต่อไป

“ข้าเห็นว่า...เจ้าจงกลับไปช่วยมารดาของเจ้าให้พ้นจากอันตรายเสียก่อนเถิด...แล้วค่อยกลับมาหาข้า” ประโยคสุดท้ายของดาบสทำเอากาญถึงกลับเงยหน้าขึ้นมาและแสดงอาการดีใจออกมาทันที

“อะไรนะครับ...ผมจะได้กลับบ้านหรือครับ” ดาบสพยักหน้ารับช้าๆ

“อือ...เจ้าจะได้กลับบ้านอย่างที่เจ้าต้องการ” ดาบสเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ

“ครับ...ขอบคุณครับคุณตาที่เข้าใจผม” กาญลุกผุดขึ้นจากที่นั่งและแสดงอาการดีใจอย่างกับเด็กๆ ดาบสเห็นถึงกับส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะเอ่ยถาม

“เดี๋ยวก่อนเจ้าหนุ่ม..ข้าขอถามอะไรเจ้าสักหน่อย”

“อะไรหรือครับ...คุณตา” กาญตอบกลับอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าจะช่วยมารดาเจ้าได้เยี่ยงใดเล่า...ในเมื่อเจ้าไม่มีปัจจัยสิ่งใดเลยที่จะช่วยมารดาของเจ้าได้เลยในมิติที่เจ้าจะกลับไป” คำพูดของดาบสทำเอากาญถึงกับอึ้งทันทีใบหน้ายิ้มแย้มกับหดหายไปสิ้นในความเป็นจริงที่ดาบสพูดออกมานั้น เขาค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนโขดหินอย่างเดิมเปลี่ยนจากอาการดีใจโดยฉับพลัน กาญก้มหน้าลงครุ่นคิดอย่างหนักอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“ผมจะทำทุกวิถีทางที่จะหาเงินมารักษาแม่ของผมให้ได้...แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของผมก็ตาม” คำพูดเบาๆของกาญแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและหนักแน่น

“เจ้าแน่ใจหรือว่า...ด้วยชีวิตของเจ้า เจ้าก็จะยอมแลกถ้ามารดาของเจ้าฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง...” เมื่อดาบสพูดจบกาญค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา

“ครับคุณตา...ผมแน่ใจ”กาญตอบกลับพร้อมด้วยสายตาที่มุ่งมั่น

“อืม...ดี...ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าจงมอบชีวิตที่เหลือของเจ้าให้กับข้าเถิด...ข้าจะช่วยมารดาของเจ้าให้ฟื้นขึ้นมาเอง”

“อะไรนะครับ” กาญถามย้ำอีกครั้งเมื่อดาบสพูดจบ

“เจ้าได้ยินมิผิดดอกเจ้าหนุ่ม...ข้าจะช่วยมารดาของเจ้าให้ฟื้นขึ้นมาเอง” ดาบสเอ่ยย้ำถ้อยคำของตัวเอง

“คุณตาพูดจริงหรือครับ...คุณตามีเงินให้ผมกลับไปรักษาแม่ของผมหรือครับ” กาญกลับมามีอาการดีใจอีกครั้ง

“ในยุคนี้เขาใช้เงินกันที่ไหนเล่าเจ้าหนุ่ม” ดาบสพูดจบก็ล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากสายประคดที่รัดเอวไว้ และสิ่งที่ติดมือของดาบสออกมาก็คือขวดน้ำเล็กๆขนาดเท่าหัวแม่มือ

“เอานี่ไป... เกสรน้ำตาดอกไม้จันทร์ทรามันจะช่วยให้มารดาของเจ้าฟื้นขึ้นมาได้” กาญยกมือขึ้นพนม แบมือทั้งสองข้างออกรับขวดน้ำเล็กๆนั้นด้วยความประหลาดใจ

“เกสรน้ำตา ดอกไม้จันทร์ทรา...คืออะไรครับ?” กาญทำหน้าสงสัย

            “เกสรน้ำตาดอกไม้ จันทร์ทรา...เป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอยู่บนเทือกเขาสูงในเวลาที่ดวงจันทร์ทรามาอยู่เหนือยอดเขาในตำแหน่งตรงกลางพอดี พลังแสงแห่งดวงจันทร์ทราจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้ดอกไม้จันทร์ทราโผล่พ้นออกมาจากพื้นดินรับพลังแห่งแสงจันทร์ทรานั้น และเมื่อนางร้องไห้นางจะสร้างสิ่งหนึ่งออกมาที่เรียกว่า...เกสรน้ำตา...หยดน้ำจากเกสรน้ำตานี้มันจะช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆรวมถึงบาดแผลฉกรรจ์ได้อย่างปลิดทิ้งทีเดียว” ดาบสหยุดพูดสักพักลูบหนวดเคราเบาๆและเอ่ยขึ้นต่อ ในขณะที่กาญยังอ้าปากหวออยู่ด้วยความทึ่งในสิ่งที่ดาบสพูด

“แน่นอนว่าเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มันยากมากเพราะโลกเราหมุนรอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา...ที่สำคัญไม่มีใครรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ยอดเขาแห่งไหน...และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ...จะทำอย่างไรให้นางดอกไม้จันทร์ทราร้องไห้ออกมาได้...มันเป็นสิ่งของที่หายากยิ่งนัก”เมื่อดาบสพูดจบ กาญถึงกลับกลืนน้ำลายลงคอในความหายากของเกสรน้ำตาฯนั่น ในใจก็อยากจะถามเต็มแก่ว่าท่านดาบสได้มันมาได้อย่างไร แต่เขาก็เลี่ยงที่จะละไว้ก่อนเพราะประเด็นที่เขาต้องการมันอยู่ที่ว่า

“ของสิ่งนี้จะทำให้แม่ผมฟื้นขึ้นมาได้จริงๆหรือครับคุณตา” กาญก้มมองดูขวดเกสรน้ำตาฯอย่างพินิจพิเคราะห์

            “เจ้าไม่เชื่อเยี่ยงนั้นรึ”

            “ปะเปล่าครับ”  กาญมองดูขวดเกสรน้ำตาฯอีกครั้งและเลี่ยงที่จะไม่ถามต่อว่าจะได้ผลหรือไม่เพราะเกรงจะว่าจะเป็นการหลบหลู่ และอาจจะทำให้เขาไม่ได้กลับบ้าน เขาจึงเปลี่ยนคำถามเสียใหม่

            “แล้วจะใช้อย่างไรครับคุณตา”

            “เจ้าจงใช้น้ำตาเกสรนี้หยดใส่บาดแผล...และหยดที่ปากอีกหนึ่งหยดมันจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมารดาเจ้าได้อย่างปลิดทิ้งและมารดาของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง” กาญพยักหน้ารับก่อนจะพูดขึ้น

            “ผมจะทำตามที่คุณตาบอกครับ” กาญกำขวดเกสรน้ำตาฯ แน่นอย่างมั่นใจ

            “อือ...แล้วเมื่อมารดาเจ้าหายดีแล้วก็อย่าลืมที่เจ้าลั่นสัจจะวาจาไว้กับข้าเล่า...เจ้าหนุ่ม” ดาบสเอ่ยถึงสัจจะวาจาที่กาญได้พูดเอาไว้

            “ครับ...ขอให้แม่ผมหายจริงๆเถิดครับ” สายตาของกาญดูมุ่งมั่นและพร้อมที่จะทำตามสัจจะที่ได้ให้ไว้กับดาบส

            “ดี...ถ้าเยี่ยงนั้นกลับไปหามารดาของเจ้าเถิด” เมื่อดาบสพูดจบกาญก็ยืนเก้ๆกังๆมองซ้ายมองขวาก่อนจะพูดขึ้นอย่างซื่อๆ

            “ครับ....เอ่อ...แล้วผมจะไปยังไงล่ะครับคุณตา....แถวนี้มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างไหมครับ”

            “แหม...เจ้านี่พอรู้ว่าจะได้กลับบ้านก็ตลกได้ขึ้นมาเลยนะ” ดาบสยังคงพูดออกมาด้วยสุ่มเสียงที่แหบแห้ง ส่วนกาญก็ได้แต่อมยิ้มน้อยๆ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความหวังที่เขาจะได้กลับบ้าน และยังได้ของวิเศษกลับไปรักษาแม่ของเขาอีก

            “ครับ”

            “ตามข้ามาทางนี้...เจ้าหนุ่ม” ดาบสเดินนำกาญไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหน้าผาแห่งนั้นเท่าใดนักและสักพักดาบสก็พากาญมายืนอยู่หน้าถ้ำเล็กๆ

“ไป เข้าไปด้านในกัน” ดาบสเดินนำกาญเข้าไปภายในถ้ำแห่งนั้นทันที ซึ่งภายในถ้ำนั้นปรากฏหินงอกหินย้อยส่องแสงประกายทำให้เห็นภายในถ้ำนั้นได้อย่างชัดเจน และ ณ มุมถ้ำแห่งนั้นเองปรากฏมีแท่นหินสี่เหลี่ยมลักษณะเหมือนเตียงนอนมีหมอนและพรมปูไว้อย่างดี

            “เอาล่ะเจ้าหนุ่ม...เจ้าจงนอนลงบนเตียงหินแห่งนี้เถิด” กาญทำหน้างงๆ

            “ผมยังไม่ง่วงนะครับ...คุณตา” กาญพูดหน้าซื่อๆ

            “อือ...ถ้าเจ้าไม่นอนข้าก็ไม่สามารถนำเจ้ากลับไปได้...ข้าไปล่ะ” ดาบสออกอาการหงุดหงิดใจในความเฉไฉของกาญ และก็เล่นเอาดาบสถอนหายใจเบาๆอีกครั้ง

            “นอนนอน...ครับนอน” กาญก็รีบขึ้นบนเตียงหินทันทีและบัดนี้เขาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมมือทั้งสองข้างประสานกันไว้แน่นที่หน้าอกโดยมีขวดเกสรน้ำตาฯอยู่ในมือ

            “เอาล่ะ...หลับตาลงได้” เสียงของดาบสเอ่ยขึ้น กาญทำตามที่ดาบสพูดอย่างว่าง่าย สักพักดาบสจึงหลับตาและท่องคาถาพึมพำ

            “เอ๊ะ!...เดี๋ยวครับคุณตา” กาญสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นนั่งเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้

            “อะไรของเจ้า” ดาบสต้องหยุดสวดกะทันหัน

            “ถ้าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง...อย่างนี้ขุนพันก็กำลังลำบากอยู่สิครับ” กาญทำสีหน้าครุ่นคิด

            “อือ...เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงดอก...คนเยี่ยงขุนพันยังไม่ตายง่ายๆ”

“แต่เขาช่วยชีวิตผมไว้นะครับ...ผมควรจะทำอะไรบ้าง”

“อือ...ข้ารู้...เจ้ารีบไปรีบมาเถิด...เผื่อว่าเจ้าอาจจะได้กลับมาช่วยขุนพันก็เป็นได้” กาญกัดฟันน้อยๆอย่างเข้าใจที่ดาบสพูดและค่อยๆเอนกายลงนอนหลับตา ดาบสจึงเริ่มบริกรรมคาถาต่อแต่ก็ต้องหยุดกึกอีกครั้งเมื่อกาญสะดุ้งลุกขึ้นมา

            “เอ๊ะ! เดี๋ยวครับ”

            “โป๊ก!” ยังไม่ทันที่กาญจะพูดอะไรก็โดนไม้เท้าของดาบสเข้าที่ศีรษะอย่างจัง

            “โอ๊ย!” กาญร้องออกมาเบาๆพร้อมกับเอามือขยี้หัวตัวเองไปมา

            “นี่ข้าท่องคาถาค้างสองรอบแล้วนะ...อะไรของเจ้าอีกล่ะทีนี้” ดาบสทำเสียงขุ่นๆ

            “แหม..คุณตา...ผมอยากจะรู้ว่าถ้าผมไปแล้วจะกลับมาได้อย่างไรก็เท่านั้นครับ” กาญบ่นพึมพำออกมา

            “อือ...ข้ามีวิธีที่จะนำเจ้ามาได้ก็แล้วกัน”

            “ครับ...ครับ”

            “ตกลงว่าเจ้าหมดเรื่องที่จะถามข้าแล้วใช่ไหม” ดาบสพูดจบกาญลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มแห้งๆ

            “แหะๆ...ไม่มีแล้วครับ...พร้อมแล้วครับ” พูดจบกาญก็หลับตาลงทันที

“เพิ่งจะพร้อมเหรอ...นี่ข้าพร้อมก่อนเจ้ามาสองครั้งแล้วสินะ” กาญไม่โต้แย้งในสิ่งที่ดาบสบ่นออกมาเขานอนหลับตาและยิ้มน้อยๆ ในมือกุมขวดแก้วที่ดาบสให้ไว้แน่น ขณะที่ดาบสหลับตาท่องคาถาอยู่สักพักก็เอามือมาลูบที่ใบหน้ากาญเบาๆและหลังจากนั้นความรู้สึกของกาญก็ดับวูบลงทันที เขาหลับลงไปด้วยความสุขและความหวังที่ว่าแม่ของเขาจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและจากที่ต้องเคร่งเครียดกับชีวิตมานาน เวลานี้กาญรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกแม้ว่าเขาจะให้สัจจะวาจาไว้กับท่านดาบสอย่างไรก็ตามเขาพร้อมที่จะกลับมาทำตามคำสัญญานั้น

 

........................................................................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา