Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก
-
เขียนโดย Dark_Shinigami
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.
11 มายา
1 วิจารณ์
13.63K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) เพื่อนใหม่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมายาที่ 3 เพื่อนใหม่
“บันทึกเล่มนี้เป็นของใครกัน? ทำไมข้าถึงอยากได้มัน?”คำถามนั้นทำให้เมฟิสและซาครอสชะงักกึก
“เจ้าจำไม่ได้?”ซาครอสถามเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง เฟเรสพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบว่า’ใช่’
“ตอนนั้นข้าจำได้ว่าพวกเรารู้นะ ว่ามันเป็นของใคร”เมฟิสพูดขึ้นมา แต่หลังจากคิดอยู่สักพักหนึ่งเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจพลางยกมือขึ้นยอมแพ้
“ไม่ไหวแฮะ นึกไม่ออกเลย”
เฟเรสพลิกหน้ากระดาษช้าๆ พยายามอ่านข้อความอย่างละเอียดเพื่อหาเบาะแสองเจ้าของบันทึก ก่อนเขาจะเจอชื่อที่ลงท้ายไว้ในหน้าสุดท้ายที่มีการจดบันทึก
‘ฟริเซีย โพรทิอุส’นามสกุลที่ปรากฏนั้นทำให้เขาตกใจอีกรอบหนึ่ง เพราะมันเหมือนกับที่เสียงปริศนานั้นเรียกเขา
“โพรทิอุสอย่างงั้นหรอ?”ซาครอสพึมพำ แต่สีหน้าเจ้าตัวบ่งบอกเลยว่าเขารู้จักนามสกุลนี้
“เคยได้ยิน?”เฟเรสถามทันที ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด หากได้คำตอบบ้างสักเรื่องก็คงจะดี
“ใช่ เคยเปิดไปเจอตอนนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์น่ะ เป็นตระกูลที่ถูกบันทึกไว้ว่าสิ้นตระกูลแล้ว ตั้งแต่เกือบ200ปีก่อน เป็นตระกูลเก่าแก่ ไม่สิ เรียกให้ถูกคือราชวงศ์ดั้งเดิมของดินแดนปิศาจมากกว่า เป็นราชวงศ์ที่ปกครองเมืองดาร์กเอลก่อนที่โซเทริสจะขึ้นครองน่ะนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครพูดถึง เพราะงั้นถ้าไม่อ่านเจอก็คงยากจะรู้จัก”ซาครอสอธิบาย เฟเรสพยักหน้า คำตอบบางส่วนคลี่คลาย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่า’สายเลือดแห่งโพรทิอุส’ ทั้งๆที่พ่อของเขาก็ไม่ใช่โพรทิอุส ส่วนแม่ของเขาก็...
“...”เฟเรสปิดสมุดบันทึกในมือ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ
“ช่างมัน ยังมีเรื่องอื่นต้องทำอยู่ เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว”เฟเรสสกล่าว พลางชี้มือไปที่นาฬิกาแขวนกำแพงเหนือโต๊ะอ่านหนังสือที่กำลังบอกเวลาเจ็ดโมงนิดๆ ส่วนคาบเรียนแรกเริ่มกี่โมงน่ะหรอ? แปดโมงยังไงล่ะ!
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ที่อาคารสีฟ้าอ่อน หลังจากที่เดินหาห้องเรียนกันอยู่นาน แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกห้านาทีให้เอ้อระเหย ห้องนั้นเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ครึ่งหลังห้องเป็นขั้นบันไดไต่ระดับขึ้นไป โต๊ะยาววางเรียงอย่างเป็นระเบียบไล่ขึ้นไปตามขั้น หน้าห้องเรียนมีกระดานดำขนาดใหญ่
ภายในห้องมีนักเรียนนั่งอยู่ประปราย อาจด้วยจำนวนคนในปราการเหมันต์ที่น้อยอยู่แล้วทำให้ห้องนั้นดูกว้างเกินจำเป็น
เครื่องแบบของโรงเรียนนั้นจะเป็นเสื้อคอเต่าสีขาวแขนกุดรัดรูปคลุมทับด้วยเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวขลิบทองยาว ที่อกเสื้อคลุมด้านซ้ายเป็นสัญลักษณ์โรงเรียน และที่ปลอกแขนสีเทาไร้แถบสีบอกความเป็นปี1 กางเกงขายาวสีดำยาวถึงข้อเท้าทับด้วยบู๊ทยาวสีดำ ส่วนเครื่องแบบนักเรียนหญิงก็เหมือนกับชุดของผู้ชายแต่จากกางเกงเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีดำจับจีบยาวเกือบถึงหัวเข่ารับกับบู๊ทสีดำยาวครึ่งขา
“สวัสดี...”เด็กหนุ่มหน้ามึนราวกับยังไม่ตื่นนอนทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ เส้นผมสีน้ำเงินสว่างยาวซอยระบ่ายุ่งๆเหมือนไม่ได้เซ็ตทรง นัยน์ตาสีอำพันที่ปรือลงตลอดเวลาฉายรอยง่วงงุนอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดี!”เมฟิสทักทายอย่างอารมณ์ดีขัดกับอารมณ์หดหู่ที่เจ้าตัวเพิ่งแสดงออกมาเมื่อราวๆชั่วโมงก่อน เด็กหนุ่มผมน้ำตาลหันกลับมาหาทั้งญาติทั้งเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะแนะนำคนใหม่ให้รู้จัก
“นี่คือโนเอล เอราทิส รูมเมตที่ข้าเล่าให้พวกเจ้าฟัง”เมฟิสฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะแนะนำอีกสองคน
“ส่วนนี่เฟเรสกับซาครอส เพื่อนสนิทข้าเอง”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”โนเอลกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“เช่นกัน”ซาครอสก็ยิ้มกลับ แล้วเฟเรสน่ะหรอ? ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันอยู่
ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประเด็นคุยอะไรเพิ่ม อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา ทำให้ทุกคนรีบแยกย้ายกันไปนั่งที่
“สำหรับคนมาใหม่ สวัสดีและยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนแห่งนี้ ครูชื่อนิโคไล คลอส สอนวิชาประวัติศาสตร์ของทุกชั้นปีเพราะฉะนั้นเราจะเจอหน้ากันจนกว่าจะจบจากโรงเรียนแห่งนี้แน่นอน”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองสั้นเสยเรียบดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังแว่นทรงรีไร้กรอบกวาดมองรอบห้อง
“เนื้อหาที่เรียนไปก่อนหน้านี้กรุณาไปตามกันจากเพื่อนเอาเอง เราจะมากันจากส่วนที่ค้างไว้”นิโคไลบอก ขณะที่มองจ้องยังเหล่านักเรียนปี1ของทั้งสองหอด้วยสายตากดดัน
“มิติเซนทีเรีย เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ยังไม่มีนักประวัติศาสตร์คนไหนหาคำตอบได้ แม้แต่มนต์ย้อนเวลาก็ยังไม่สามารถย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมิติแห่งนี้ได้เพราะฉะนั้นเราจะมาเริ่มประวัติศาสตร์มิติกันที่เหตุการณ์แบ่งแยกดินแดน
เดิมทีดินแดนทั้งสามนั้นเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า โอแซล แต่แน่นอนว่านั้นไม่รวมถึงดินแดนแห่งหมอกที่ยังคงปริศนามาจนถึงปัจจุบัน ทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน เกิดการทะเลาะระหว่างเผ่าหลายครั้งหลายครา แต่ทุกครั้งไม่มีอะไรที่ร้ายแรงถึงขนาดเกิดความบาดหมางระหว่างกัน จนกระทั่ง................”นิโคไลอธิบายเนื้อหาไปเรื่อยๆ ท่าทางราวกับไม่ใส่ใจนักเรียน แต่สายตาที่คอยสอดส่องทำให้ไม่มีใครกล้าหลับสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะหลับไปนิโคไลก็เพียงแค่ปรายตามองก่อนจะจดอะไรบางอย่าง บนกระดานดำค่อยๆปรากฏตัวอักษรสีขาวตามที่ชายหนุ่มพูด เมื่อเขียนเต็มกระดานก็จะหายไปแทบจะในทันที ทำให้นักเรียนปี1ที่ยังตื่นอยู่พากันจดกันระวิง
“และนั่นก็ทำให้เกิดแบ่งแยกออกเป็นสามดินแดน ดินแดนแห่งเทวา ดินแดนแห่งมนุษาและดินแดนแห่งปิศาจ ต่างเผ่าพันธุ์แยกกันอยู่และสร้างข้อตกลงระหว่างแดนดินขึ้นมาเพื่อความสันติระหว่างกัน ส่วนเรื่องข้อตกลงพวกเจ้าจะได้ไปเรียนกันในวิชาการปกครอง ขอให้โชคดี”ทันทีที่พูดจบ นิโคไลก็ปิดหนังสือในมือลงแล้วเดินออกจากห้องเรียนไปแทบจะทันที
เมื่อนิโคไลเดินออกจากห้องไป ซาครอสที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดก็หันกลับไปเพื่อสังเกตเพื่อนร่วมชั้นปี ซึ่งนับดูแล้วมีทั้งหมด14คนรวมพวกเขาเข้าไปด้วย ทุกคนนั่งอยู่กับที่เหมือนคาบต่อไปไม่มีเรียนทำให้ซาครอสมองอย่างสงสัยเล็กน้อย เพราะเขายังไม่ได้ตารางเรียนเลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“เฮ้! พวกเจ้าน่ะ เพิ่งมาใหม่สินะ”เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรับกับใบหน้าหวานที่ดูร่าเริง ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายจ้องตรงมายังพวกเขาทั้งสามคน
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อเมย์เดีย เมย์เดีย แอสเทอเรีย”
“ข้าเมฟิส เลสรอยด์ ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”เมฟิสยิ้มกลับ
“ส่วนข้าซาครอส เรราวีเทีย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”ซาครอสยิ้มสุภาพตามแบบฉบับสุภาพบุรุษที่ดี ส่วนเฟเรสนั้นก็เพียงแนะนำตัวสั้นๆ
“เฟเรส”
หญิงสาวพาพวกเขาไปแนะนำกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆของเธออีกสองคน คนแรกเป็นเด็กสาวผมสีบลอนด์น้ำตาลกับนัยน์ตาสีเดียวกันนามคาริน่า ทาราเดีย คนที่สองนั้นเป็นเด็กสาวท่าทางเหนียมอายต่างจากคนแรกที่ดูกระฉับกระเฉงชื่อเอลิน่า ทาเอริส เธออมีดวงตาสีส้มซิทรินรับกับเส้นผมสีเหลืองอ่อน
“ความจริงคาบต่อไปต้องเรียนการปกครองแต่อาจารย์ติดธุระเลยเป็นคาบว่างน่ะ”ดูเหมือนคาริน่าจะสังเกตท่าทางของซาครอสที่ดูเหลียวซ้ายแลขวามองคนในห้องที่นั่งคุยกันงงๆเหมือนสงสัยว่าทำไมทุกคนถึงนั่งกับอย่างสบายใจ เธอจึงพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“แบบนี้นี่เอง”ซาครอสพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดขอบคุณกับคาริน่า ซึ่งสาวเจ้าก็ตอบกลับมาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
ซาครอสหันกลับไปหาเฟเรสเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็พบกับสีหน้าเหนื่อยใจน้อยๆของเฟเรส รอยยิ้มแห้งๆของเอลิน่า และเมย์เดียกับเมฟิสที่เมื่อครู่ยังดีๆ แต่ตอนนี้กลับนั่งกัดกันอยู่ซะดื้อๆ
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น”ซาครอสถามขึ้นมา
“ไร้สาระน่ะ”เฟเรสตอบกลับสั้นๆเหมือนระอา ทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงอ้อมๆโวยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“เจ้าว่าใครน่ะ!”เมฟิสและเมย์เดียหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเริ่มกัดกันด้วยหัวข้อปัญญาอ่อนหัวข้อใหม่อย่างการพูดตามกัน ซาครอสหลุดขำกับท่าทางของทั้งสองคน ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า สองคนนี้ท่าจะไปกันได้?
ทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและน่าเบื่อในสายตาของเฟเรส ไม่ว่าจะเป็นคาบสัตว์วิเศษ เวทมนตร์พื้นฐาน ปรุงยาหรือกระทั่งศาสตร์การต่อสู้ เพราะทุกวิชาในช่วงนี้นั้นยังเป็นทฤษฎีทั้งหมด
เฟเรสเก็บสมุดจดลงกระเป๋าเมื่ออาจารย์ประจำวิชาศาสตร์การต่อสู้เดินออกไป ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องมานั่งเรียนหลังขดหลังแข็งต่อแล้ว
“พวกคุณสนใจไปทานมื้อเย็นด้วยกันมั้ยครับ?”เด็กหนุ่มผมสีเทา ตาสีครามที่พวกเขารู้จักในชื่อ คิลรัส โอรีเวียเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“ไปกับใครมั่งหรอ? โซลีเรีย?”เมฟิสถามขึ้นมา พลางยกชื่อของคนที่น่าจะเป็นเพือนสนิทของเด็กหนุ่ม อย่างเด็กสาวผมสีน้ำทะเลยาวระกลางหลังถักเป็นเปียเดี่ยวรับกับดวงตาสีฟ้าอ่อนจนเกือบเงินนามโซลีเรีย โครเทไลน์ แต่เธอมีนิสัยต่างจากหนุ่มเรียบร้อยอย่างคิลรัสแทบจะสุดขั้ว ในเมื่อเธอเป็นคนที่เฉยเมย ไม่ค่อยเห็นหัวใคร และนิ่งสนิท
“ครับ ตอนนี้มีผม โซล คุณเมย์เดีย คุณคาริน่าแล้วก็คุณเอลิน่าครับ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆจะไปด้วยรึเปล่า”คิลรัสยิ้มตอบ
“ข้าไม่มีปัญหาอะไร แล้วพวกเจ้าล่ะ?”เมฟิสหันมาทางเฟเรสและซาครอส เฟเรสทำเพียงไหวไหล่เหมือนยังไงก็ได้
“ก็ได้นะ”ซาครอสตอบสั้นๆ วันนี้พวกเขาไม่ได้มีนัดอะไรเร่งด่วนอยู่แล้ว
“คิล สรุปทุกคนไปกันหมดนะ”เมย์เดียกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างอารมณ์ดีเข้ามาบอก
“ครับ”คิลรัสยิ้มกว้าง ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปยังร้านที่อยู่ในตัวเมืองอาเรเวีย
ภายในร้านNira’s Cuisine เป็นร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองอบอุ่นและลวดลายบนผนังที่เป็นดอกทานตะวันสดใสเข้ากับโต๊ะและเก้าอี้ไม้สีเข้ม
พวกเฟเรสเดินเข้าไปก็พบว่าในร้านนั้นค่อนข้างว่างเปล่า อาจจะด้วยความที่ว่ายังไม่ถึงเวลาครื้นเครงอย่างเวลา5-6โมงเย็น
“ร้านนี้เป็นร้านแกงนีร่า*ชื่อดังของเมืองนี้เลยล่ะครับ”คิลรัสเอ่ยขึ้นมาหลังจากพวกเขาเดินมานั่งที่โต๊ะแล้ว
หลังจากสั่งอาหารไป ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ ข้าวสีขาวราดด้วยแกงสีเหลืองอมส้มตัดกับใบสมุนไพรสีเขียวสดหลายชนิดและชิ้นเนื้อกรอส**ตัดพอดีคำ ทั้งอาหารที่อร่อย กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ทำให้บางคนหลุดชมไม่หยุดปาก
“จะว่าไป ทำไมจู่ๆถึงชวนออกมาล่ะ?”เมฟิสถามทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ ทำให้ซาร่า เซเวทิคอฟหรือเด็กสาวผู้เข้มงวดและได้รับการขนานนามอย่างรวดเร็วจากเมฟิสว่า’คุณแม่’ดุขึ้นมา
“เสียมารยาทจริงๆ เคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูดสิ!”ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์จ้องเขม็งมายังเมฟิส ทำเอาเมฟิสเกือบสำลัก แต่ยังดีที่ซาครอสข้างๆเอาแก้วน้ำให้ดื่มทัน
“สมน้ำหน้า”เมย์เดียพึมพำขำๆ
“ผมเห็นว่ามันเพิ่งเปิดเรียน แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นน่ะครับ เลยชวนทุกคนออกมาทานข้าวกัน”คิลรัสตอบยิ้มๆ
“แต่แกงนี่อร่อยมากเลยล่ะค่ะ”โอเรียกล่าวชมอาหาร หากคิลรัสคือพ่อพระ โอเรียก็เปรียบเสมือนแม่พระดีๆนี่เอง เธอมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีฟ้าเข้มคลอเคลียไหล่บาง และนัยน์ตากลมโตสีเดียวกัน
“นั่นสินะคะ แกงนีร่าหาทานที่อาณาจักรพวกเราไม่ได้ด้วย”เด็กสาวท่าทางห้าวๆที่นั่งอยู่ข้างๆโอเรียเอ่ยขึ้นมาบ้าง เธอเป็นองครักษ์ประจำตัวของโอเรีย เมย์ริน ทานารอส และหลังจากที่รู้จักกันไม่นาน พวกเฟเรสก็ได้รู้ว่า เธอไม่พูดสุภาพกับใครยกเว้นโอเรีย เรออส เด็กหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีเขียวอ่อน หรือที่หลายๆคนพร้อมใจกันยกให้เป็นก้อนน้ำแข็งควบตำแหน่งหัวหน้าชั้นปี1แห่งปราการเหมันต์และเหล่าอาจารย์
“ตอนเรียนนี่ข้าคงจะมาทำตัวเป็นลูกค้าประจำแน่นอนเลย”เรย์ ซากาเรส องครักษ์ประจำตัวเรออสบอก เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าออกหวานๆเล็กกับเส้นผมสีแดงเพลิง
“พวกคุณชอบก็ดีแล้วล่ะครับ”คิลรัสพูดขึ้นมาบ้าง ก่อนที่พวกเขาจะทานกันไปคุยกันไปตามประสาวัยรุ่น แถมด้วยบรรยากาศที่เฮฮาเป็นกันเอง ทำให้พวกเขาหลายคนสนิทกันมากขึ้น หลังจากพวกเขาทานมื้อเย็นกันเสร็จก็หารกันจ่ายก่อนจะพากันกลับเข้าหอ
“จะว่าไป นี่กี่โมงแล้วหรอ?”เมย์เดียถามขึ้นมา ขณะที่เรออสเอื้อมมือทั้งสองขึ้นไปเปิดกลไกที่น้ำพุ
“ห้าโมงเกือบครึ่ง”เฟเรสกล่าวตอบ ทำให้เมย์เดียยิ้มรับก่อนที่เธอจะถามต่อ
“สนใจจะนั่งคุยกันก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องรึเปล่า? หรือถ้าพวกเจ้าอยากจะมีเวลาส่วนตัวก็ไม่เป็นไรนะ”
“ก็ดีนะ”คาริน่าเสริมขึ้นมา
“ใช่ ฆ่าเวลาดี”เมฟิสพูดบ้าง
“งั้นมานั่งล้อมวงกันเลยย”เมย์เดียว่าจบก็ลากแต่ละคนมานั่งบนโซฟาแกมบังคับไม่ให้ชิ่งออกไป
“ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าทำอะไรกันที่บ้านหรอ”เมย์เดียเริ่มเปิดประเด็นถามขึ้นมาทันที
“ข้าก็นอนๆเล่นๆไปวันไง ชีวิตสบายก็เงี้ยแหละ”เมฟิสพูดขึ้นมาติดกวนประสาท เมย์เดียเลยหันมาแขวะเข้าให้
“อ๋อ มิน่าล่ะ เจ้าถึงได้เป็นคนแบบนี้”
“คนแบบนี้นี่มันคนแบบไหนกันห๊ะ?! ว่าแต่ข้าแล้วเจ้าเถอะ”เมฟิสถามกลับ
“อย่างน้อยข้าก็ทำอะไรที่ดูดีกว่าเจ้าเยอะล่ะ ข้าช่วยพ่อข้าค้นคว้าวิจัยวิทยาการเวทมนตร์ย่ะ ตาบื้อ”เมย์เดียสวนกลับ และแล้วทั้งสองก็ได้โต้คารมกันอีกยกท่ามกลางสายตาเหนื่อยใจของใครหลายๆคน
“เมฟิสนี่เป็นแบบนี้เสมอเลยหรอ?”เรย์ถามกับเฟเรสซึ่งนั่งมองเงียบๆ
“อืม ประจำ”เฟเรสตอบ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอรู้ว่าเจ้าตัวระอาไม่น้อย
“ฮะๆๆ”เรย์ยิ้มแห้งๆ
“ทะเลาะกันแบบนี้ สองตัว(?)นั่นคงสนิทกันพอดูสินะ”ซาร่าพูดขึ้นมาบ้าง แต่ดูจากสรรพนามแล้วคงจะรำคาญไม่มากก็น้อย
“ต..ตัวเลยหรอ”คาริน่าทีได้ยินพึมพำ แต่ก็ยิ้มหวานเมื่อซาร่าส่งสายตาพิฆาตมาให้
“ดุจัง”คาริน่าเบ้ปากเล็กๆ
“ฮ้าว..ยัยนั่นน่ะ..ถูกสอนให้..ฮ้าว..อยู่ในระเบียบมาตลอดก็เลย..เป็นแบบนั้นน่ะ”โนเอลพูดเสียงยานไปหาวไป
“อย่างงี้นี่เอง เอ๊ะ ว่าแต่ ทำไมเจ้ารู้ได้ล่ะ”คาริน่าถามกลับ โนเอลจ้องด้วยตาปรือๆเหมือนคาริน่าถามอะไรแปลกๆ
“ก็รู้จักกัน ฮ้าว...ตั้งแต่เด็กนี่”
“งั้นที่เขาว่ากันว่าองค์ราชาเซนเทียสท่านเป็นคนเข้มงวดก็จริงสินะครับ”คิลรัสพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“อื้อ ท่านเซนเรียสเข้มงวดก็จริง แต่ที่เข้มงวดจริงๆแล้วน่ะ..ฮ้าว..ท่านซีเลีย แม่ของยัยนั่นต่างหาก”โนเอลตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหาววอดใหญ่
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ ง่วงนอน”โนเอลบอกเสียงราวกับจะหลับ
“อื้อ/ค..ค่ะ/ครับ”โนเอลโบกมือลาน้อยๆ แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นผ่านประตูลับไป
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ โซล เอ่อ..ผมขอตัวก่อนนะครับ”คิลรัสบอกพลางยิ้มแห้งๆ เมื่อเพื่อนของตนจู่ๆก็ลุกพรวดเดินออกจากห้องไป
“ส..สองคนนั้น ก..ก็ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”เอลิน่าพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากเห็นโซลีเรียกับคิลรัสเดินออกไป
“นั่นสินะ สองคนนั้นดูอยู่ด้วยกันตลอดเลยนี่นะ”คาริน่าพูดขึ้นมาบ้าง
“สงสัยคงเป็นแฟนกันมั้ง”เมย์รินตัดบทขึ้นมากลางวงห้วนๆ
“แต่ข้าไม่เหมือนนะจ้ะ ข้าว่าเหมือนพี่น้องกันมากกว่า”โอเรียเอ่ยเสียงหวานขึ้นบ้าง เมย์รินพยักหน้า
“ข้าเห็นด้วยกับโอเรียนะ อืม...รู้แล้ว มาๆเดี๋ยวข้าจะทำนายไพ่ให้”คาริน่าบอกก่อนจะเรียกสำรับไพ่ทาโร่ต์ขึ้นมาในมือ สับไพ่แล้วกรีดไพ่เป็นรูปครึ่งวงกลมลงบนโต๊ะ
“เริ่มจากลินน่าเลยล่ะกัน ใช้มือซ้ายเลือกไพ่มาหนึ่งใบเลย”คาริน่าบอกยิ้มๆ เอลิน่าพยักหน้าน้อยๆก่อนจะยื่นมือซ้ายออกมาจับไพ่ แล้ววางหงายลงบนโต๊ะ คาริน่ามองไพ่ยิ้มๆ ก่อนจะอธิบายความหมายไพ่ และแล้วทั้งกลุ่มก็นั่งรุมดูด้วยความตื่นเต้นว่าใครจะได้ไพ่อะไร
+++++++++
*แกงนีร่า – แกงที่มีลักษณะคล้ายกับแกงพะแนงของบ้านเรา เพียงแต่จะมีรสชาติความหอมมันไม่เท่า จะมีกลิ่นของเครื่องเทศและสมุนไพรมากกว่า
**เนื้อกรอส – เนื้อจากสัตว์ที่มีหน้าตาคล้ายไก่ แต่มีขนาดตัวใหญ่ประมาณหมี มีขนสีน้ำตาลแก่ มีปีก และบินได้ มีขาที่ยาวกว่าไก่ทั่วไปและจงอยปากสีทอง ตาสีแดงดูดุร้ายต่างจากนิสัยรักสงบ เนื้อมีสีครีม รสชาติคล้ายไก่ แต่จะมีความกลมกล่อมโดยไม่ต้องหมัก เนื้อมีความนุ่มและเนียนมากกว่า แถมเมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอม เป็นเนื้อที่นิยมนำมาปรุงอาหารมากที่สุด
“บันทึกเล่มนี้เป็นของใครกัน? ทำไมข้าถึงอยากได้มัน?”คำถามนั้นทำให้เมฟิสและซาครอสชะงักกึก
“เจ้าจำไม่ได้?”ซาครอสถามเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง เฟเรสพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบว่า’ใช่’
“ตอนนั้นข้าจำได้ว่าพวกเรารู้นะ ว่ามันเป็นของใคร”เมฟิสพูดขึ้นมา แต่หลังจากคิดอยู่สักพักหนึ่งเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจพลางยกมือขึ้นยอมแพ้
“ไม่ไหวแฮะ นึกไม่ออกเลย”
เฟเรสพลิกหน้ากระดาษช้าๆ พยายามอ่านข้อความอย่างละเอียดเพื่อหาเบาะแสองเจ้าของบันทึก ก่อนเขาจะเจอชื่อที่ลงท้ายไว้ในหน้าสุดท้ายที่มีการจดบันทึก
‘ฟริเซีย โพรทิอุส’นามสกุลที่ปรากฏนั้นทำให้เขาตกใจอีกรอบหนึ่ง เพราะมันเหมือนกับที่เสียงปริศนานั้นเรียกเขา
“โพรทิอุสอย่างงั้นหรอ?”ซาครอสพึมพำ แต่สีหน้าเจ้าตัวบ่งบอกเลยว่าเขารู้จักนามสกุลนี้
“เคยได้ยิน?”เฟเรสถามทันที ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่คำถามเต็มไปหมด หากได้คำตอบบ้างสักเรื่องก็คงจะดี
“ใช่ เคยเปิดไปเจอตอนนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์น่ะ เป็นตระกูลที่ถูกบันทึกไว้ว่าสิ้นตระกูลแล้ว ตั้งแต่เกือบ200ปีก่อน เป็นตระกูลเก่าแก่ ไม่สิ เรียกให้ถูกคือราชวงศ์ดั้งเดิมของดินแดนปิศาจมากกว่า เป็นราชวงศ์ที่ปกครองเมืองดาร์กเอลก่อนที่โซเทริสจะขึ้นครองน่ะนะ แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีใครพูดถึง เพราะงั้นถ้าไม่อ่านเจอก็คงยากจะรู้จัก”ซาครอสอธิบาย เฟเรสพยักหน้า คำตอบบางส่วนคลี่คลาย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงถูกเรียกว่า’สายเลือดแห่งโพรทิอุส’ ทั้งๆที่พ่อของเขาก็ไม่ใช่โพรทิอุส ส่วนแม่ของเขาก็...
“...”เฟเรสปิดสมุดบันทึกในมือ ก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะ
“ช่างมัน ยังมีเรื่องอื่นต้องทำอยู่ เตรียมตัวไปเรียนได้แล้ว”เฟเรสสกล่าว พลางชี้มือไปที่นาฬิกาแขวนกำแพงเหนือโต๊ะอ่านหนังสือที่กำลังบอกเวลาเจ็ดโมงนิดๆ ส่วนคาบเรียนแรกเริ่มกี่โมงน่ะหรอ? แปดโมงยังไงล่ะ!
เมื่อพวกเขาเดินมาถึงห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ที่อาคารสีฟ้าอ่อน หลังจากที่เดินหาห้องเรียนกันอยู่นาน แต่ก็ยังเหลือเวลาอีกห้านาทีให้เอ้อระเหย ห้องนั้นเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่ครึ่งหลังห้องเป็นขั้นบันไดไต่ระดับขึ้นไป โต๊ะยาววางเรียงอย่างเป็นระเบียบไล่ขึ้นไปตามขั้น หน้าห้องเรียนมีกระดานดำขนาดใหญ่
ภายในห้องมีนักเรียนนั่งอยู่ประปราย อาจด้วยจำนวนคนในปราการเหมันต์ที่น้อยอยู่แล้วทำให้ห้องนั้นดูกว้างเกินจำเป็น
เครื่องแบบของโรงเรียนนั้นจะเป็นเสื้อคอเต่าสีขาวแขนกุดรัดรูปคลุมทับด้วยเสื้อคอตั้งแขนยาวสีขาวขลิบทองยาว ที่อกเสื้อคลุมด้านซ้ายเป็นสัญลักษณ์โรงเรียน และที่ปลอกแขนสีเทาไร้แถบสีบอกความเป็นปี1 กางเกงขายาวสีดำยาวถึงข้อเท้าทับด้วยบู๊ทยาวสีดำ ส่วนเครื่องแบบนักเรียนหญิงก็เหมือนกับชุดของผู้ชายแต่จากกางเกงเปลี่ยนเป็นกระโปรงสีดำจับจีบยาวเกือบถึงหัวเข่ารับกับบู๊ทสีดำยาวครึ่งขา
“สวัสดี...”เด็กหนุ่มหน้ามึนราวกับยังไม่ตื่นนอนทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงเอื่อยๆ เส้นผมสีน้ำเงินสว่างยาวซอยระบ่ายุ่งๆเหมือนไม่ได้เซ็ตทรง นัยน์ตาสีอำพันที่ปรือลงตลอดเวลาฉายรอยง่วงงุนอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดี!”เมฟิสทักทายอย่างอารมณ์ดีขัดกับอารมณ์หดหู่ที่เจ้าตัวเพิ่งแสดงออกมาเมื่อราวๆชั่วโมงก่อน เด็กหนุ่มผมน้ำตาลหันกลับมาหาทั้งญาติทั้งเพื่อนทั้งสองคนก่อนจะแนะนำคนใหม่ให้รู้จัก
“นี่คือโนเอล เอราทิส รูมเมตที่ข้าเล่าให้พวกเจ้าฟัง”เมฟิสฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะแนะนำอีกสองคน
“ส่วนนี่เฟเรสกับซาครอส เพื่อนสนิทข้าเอง”
“ยินดีที่ได้รู้จัก”โนเอลกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
“เช่นกัน”ซาครอสก็ยิ้มกลับ แล้วเฟเรสน่ะหรอ? ไม่ต้องบอกก็คงรู้กันอยู่
ยังไม่ทันที่จะได้เปิดประเด็นคุยอะไรเพิ่ม อาจารย์ประจำวิชาก็เดินเข้ามา ทำให้ทุกคนรีบแยกย้ายกันไปนั่งที่
“สำหรับคนมาใหม่ สวัสดีและยินดีต้อนรับสู่โรงเรียนแห่งนี้ ครูชื่อนิโคไล คลอส สอนวิชาประวัติศาสตร์ของทุกชั้นปีเพราะฉะนั้นเราจะเจอหน้ากันจนกว่าจะจบจากโรงเรียนแห่งนี้แน่นอน”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองสั้นเสยเรียบดวงตาสีน้ำตาลเข้มหลังแว่นทรงรีไร้กรอบกวาดมองรอบห้อง
“เนื้อหาที่เรียนไปก่อนหน้านี้กรุณาไปตามกันจากเพื่อนเอาเอง เราจะมากันจากส่วนที่ค้างไว้”นิโคไลบอก ขณะที่มองจ้องยังเหล่านักเรียนปี1ของทั้งสองหอด้วยสายตากดดัน
“มิติเซนทีเรีย เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ ยังไม่มีนักประวัติศาสตร์คนไหนหาคำตอบได้ แม้แต่มนต์ย้อนเวลาก็ยังไม่สามารถย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของมิติแห่งนี้ได้เพราะฉะนั้นเราจะมาเริ่มประวัติศาสตร์มิติกันที่เหตุการณ์แบ่งแยกดินแดน
เดิมทีดินแดนทั้งสามนั้นเป็นหนึ่งเดียว เรียกว่า โอแซล แต่แน่นอนว่านั้นไม่รวมถึงดินแดนแห่งหมอกที่ยังคงปริศนามาจนถึงปัจจุบัน ทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกัน เกิดการทะเลาะระหว่างเผ่าหลายครั้งหลายครา แต่ทุกครั้งไม่มีอะไรที่ร้ายแรงถึงขนาดเกิดความบาดหมางระหว่างกัน จนกระทั่ง................”นิโคไลอธิบายเนื้อหาไปเรื่อยๆ ท่าทางราวกับไม่ใส่ใจนักเรียน แต่สายตาที่คอยสอดส่องทำให้ไม่มีใครกล้าหลับสักเท่าไหร่ ถึงแม้จะหลับไปนิโคไลก็เพียงแค่ปรายตามองก่อนจะจดอะไรบางอย่าง บนกระดานดำค่อยๆปรากฏตัวอักษรสีขาวตามที่ชายหนุ่มพูด เมื่อเขียนเต็มกระดานก็จะหายไปแทบจะในทันที ทำให้นักเรียนปี1ที่ยังตื่นอยู่พากันจดกันระวิง
“และนั่นก็ทำให้เกิดแบ่งแยกออกเป็นสามดินแดน ดินแดนแห่งเทวา ดินแดนแห่งมนุษาและดินแดนแห่งปิศาจ ต่างเผ่าพันธุ์แยกกันอยู่และสร้างข้อตกลงระหว่างแดนดินขึ้นมาเพื่อความสันติระหว่างกัน ส่วนเรื่องข้อตกลงพวกเจ้าจะได้ไปเรียนกันในวิชาการปกครอง ขอให้โชคดี”ทันทีที่พูดจบ นิโคไลก็ปิดหนังสือในมือลงแล้วเดินออกจากห้องเรียนไปแทบจะทันที
เมื่อนิโคไลเดินออกจากห้องไป ซาครอสที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดก็หันกลับไปเพื่อสังเกตเพื่อนร่วมชั้นปี ซึ่งนับดูแล้วมีทั้งหมด14คนรวมพวกเขาเข้าไปด้วย ทุกคนนั่งอยู่กับที่เหมือนคาบต่อไปไม่มีเรียนทำให้ซาครอสมองอย่างสงสัยเล็กน้อย เพราะเขายังไม่ได้ตารางเรียนเลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“เฮ้! พวกเจ้าน่ะ เพิ่งมาใหม่สินะ”เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรับกับใบหน้าหวานที่ดูร่าเริง ดวงตาสีน้ำตาลทองเป็นประกายจ้องตรงมายังพวกเขาทั้งสามคน
“ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าชื่อเมย์เดีย เมย์เดีย แอสเทอเรีย”
“ข้าเมฟิส เลสรอยด์ ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”เมฟิสยิ้มกลับ
“ส่วนข้าซาครอส เรราวีเทีย ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”ซาครอสยิ้มสุภาพตามแบบฉบับสุภาพบุรุษที่ดี ส่วนเฟเรสนั้นก็เพียงแนะนำตัวสั้นๆ
“เฟเรส”
หญิงสาวพาพวกเขาไปแนะนำกับกลุ่มเพื่อนคนอื่นๆของเธออีกสองคน คนแรกเป็นเด็กสาวผมสีบลอนด์น้ำตาลกับนัยน์ตาสีเดียวกันนามคาริน่า ทาราเดีย คนที่สองนั้นเป็นเด็กสาวท่าทางเหนียมอายต่างจากคนแรกที่ดูกระฉับกระเฉงชื่อเอลิน่า ทาเอริส เธออมีดวงตาสีส้มซิทรินรับกับเส้นผมสีเหลืองอ่อน
“ความจริงคาบต่อไปต้องเรียนการปกครองแต่อาจารย์ติดธุระเลยเป็นคาบว่างน่ะ”ดูเหมือนคาริน่าจะสังเกตท่าทางของซาครอสที่ดูเหลียวซ้ายแลขวามองคนในห้องที่นั่งคุยกันงงๆเหมือนสงสัยว่าทำไมทุกคนถึงนั่งกับอย่างสบายใจ เธอจึงพูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“แบบนี้นี่เอง”ซาครอสพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะพูดขอบคุณกับคาริน่า ซึ่งสาวเจ้าก็ตอบกลับมาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
ซาครอสหันกลับไปหาเฟเรสเหมือนจะถามอะไรบางอย่าง แต่ก็พบกับสีหน้าเหนื่อยใจน้อยๆของเฟเรส รอยยิ้มแห้งๆของเอลิน่า และเมย์เดียกับเมฟิสที่เมื่อครู่ยังดีๆ แต่ตอนนี้กลับนั่งกัดกันอยู่ซะดื้อๆ
“เกิดอะไรขึ้นล่ะนั่น”ซาครอสถามขึ้นมา
“ไร้สาระน่ะ”เฟเรสตอบกลับสั้นๆเหมือนระอา ทำให้ผู้ถูกกล่าวถึงอ้อมๆโวยพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“เจ้าว่าใครน่ะ!”เมฟิสและเมย์เดียหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเริ่มกัดกันด้วยหัวข้อปัญญาอ่อนหัวข้อใหม่อย่างการพูดตามกัน ซาครอสหลุดขำกับท่าทางของทั้งสองคน ในใจก็อดคิดไม่ได้ว่า สองคนนี้ท่าจะไปกันได้?
ทั้งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วและน่าเบื่อในสายตาของเฟเรส ไม่ว่าจะเป็นคาบสัตว์วิเศษ เวทมนตร์พื้นฐาน ปรุงยาหรือกระทั่งศาสตร์การต่อสู้ เพราะทุกวิชาในช่วงนี้นั้นยังเป็นทฤษฎีทั้งหมด
เฟเรสเก็บสมุดจดลงกระเป๋าเมื่ออาจารย์ประจำวิชาศาสตร์การต่อสู้เดินออกไป ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องมานั่งเรียนหลังขดหลังแข็งต่อแล้ว
“พวกคุณสนใจไปทานมื้อเย็นด้วยกันมั้ยครับ?”เด็กหนุ่มผมสีเทา ตาสีครามที่พวกเขารู้จักในชื่อ คิลรัส โอรีเวียเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ
“ไปกับใครมั่งหรอ? โซลีเรีย?”เมฟิสถามขึ้นมา พลางยกชื่อของคนที่น่าจะเป็นเพือนสนิทของเด็กหนุ่ม อย่างเด็กสาวผมสีน้ำทะเลยาวระกลางหลังถักเป็นเปียเดี่ยวรับกับดวงตาสีฟ้าอ่อนจนเกือบเงินนามโซลีเรีย โครเทไลน์ แต่เธอมีนิสัยต่างจากหนุ่มเรียบร้อยอย่างคิลรัสแทบจะสุดขั้ว ในเมื่อเธอเป็นคนที่เฉยเมย ไม่ค่อยเห็นหัวใคร และนิ่งสนิท
“ครับ ตอนนี้มีผม โซล คุณเมย์เดีย คุณคาริน่าแล้วก็คุณเอลิน่าครับ แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆจะไปด้วยรึเปล่า”คิลรัสยิ้มตอบ
“ข้าไม่มีปัญหาอะไร แล้วพวกเจ้าล่ะ?”เมฟิสหันมาทางเฟเรสและซาครอส เฟเรสทำเพียงไหวไหล่เหมือนยังไงก็ได้
“ก็ได้นะ”ซาครอสตอบสั้นๆ วันนี้พวกเขาไม่ได้มีนัดอะไรเร่งด่วนอยู่แล้ว
“คิล สรุปทุกคนไปกันหมดนะ”เมย์เดียกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างอารมณ์ดีเข้ามาบอก
“ครับ”คิลรัสยิ้มกว้าง ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางไปยังร้านที่อยู่ในตัวเมืองอาเรเวีย
ภายในร้านNira’s Cuisine เป็นร้านอาหารขนาดไม่ใหญ่มาก ตกแต่งด้วยโทนสีเหลืองอบอุ่นและลวดลายบนผนังที่เป็นดอกทานตะวันสดใสเข้ากับโต๊ะและเก้าอี้ไม้สีเข้ม
พวกเฟเรสเดินเข้าไปก็พบว่าในร้านนั้นค่อนข้างว่างเปล่า อาจจะด้วยความที่ว่ายังไม่ถึงเวลาครื้นเครงอย่างเวลา5-6โมงเย็น
“ร้านนี้เป็นร้านแกงนีร่า*ชื่อดังของเมืองนี้เลยล่ะครับ”คิลรัสเอ่ยขึ้นมาหลังจากพวกเขาเดินมานั่งที่โต๊ะแล้ว
หลังจากสั่งอาหารไป ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ ข้าวสีขาวราดด้วยแกงสีเหลืองอมส้มตัดกับใบสมุนไพรสีเขียวสดหลายชนิดและชิ้นเนื้อกรอส**ตัดพอดีคำ ทั้งอาหารที่อร่อย กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ ทำให้บางคนหลุดชมไม่หยุดปาก
“จะว่าไป ทำไมจู่ๆถึงชวนออกมาล่ะ?”เมฟิสถามทั้งๆที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ ทำให้ซาร่า เซเวทิคอฟหรือเด็กสาวผู้เข้มงวดและได้รับการขนานนามอย่างรวดเร็วจากเมฟิสว่า’คุณแม่’ดุขึ้นมา
“เสียมารยาทจริงๆ เคี้ยวให้เสร็จแล้วค่อยพูดสิ!”ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์จ้องเขม็งมายังเมฟิส ทำเอาเมฟิสเกือบสำลัก แต่ยังดีที่ซาครอสข้างๆเอาแก้วน้ำให้ดื่มทัน
“สมน้ำหน้า”เมย์เดียพึมพำขำๆ
“ผมเห็นว่ามันเพิ่งเปิดเรียน แล้วพวกเราก็ยังไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นน่ะครับ เลยชวนทุกคนออกมาทานข้าวกัน”คิลรัสตอบยิ้มๆ
“แต่แกงนี่อร่อยมากเลยล่ะค่ะ”โอเรียกล่าวชมอาหาร หากคิลรัสคือพ่อพระ โอเรียก็เปรียบเสมือนแม่พระดีๆนี่เอง เธอมีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีฟ้าเข้มคลอเคลียไหล่บาง และนัยน์ตากลมโตสีเดียวกัน
“นั่นสินะคะ แกงนีร่าหาทานที่อาณาจักรพวกเราไม่ได้ด้วย”เด็กสาวท่าทางห้าวๆที่นั่งอยู่ข้างๆโอเรียเอ่ยขึ้นมาบ้าง เธอเป็นองครักษ์ประจำตัวของโอเรีย เมย์ริน ทานารอส และหลังจากที่รู้จักกันไม่นาน พวกเฟเรสก็ได้รู้ว่า เธอไม่พูดสุภาพกับใครยกเว้นโอเรีย เรออส เด็กหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีเขียวอ่อน หรือที่หลายๆคนพร้อมใจกันยกให้เป็นก้อนน้ำแข็งควบตำแหน่งหัวหน้าชั้นปี1แห่งปราการเหมันต์และเหล่าอาจารย์
“ตอนเรียนนี่ข้าคงจะมาทำตัวเป็นลูกค้าประจำแน่นอนเลย”เรย์ ซากาเรส องครักษ์ประจำตัวเรออสบอก เขาเป็นเด็กหนุ่มหน้าออกหวานๆเล็กกับเส้นผมสีแดงเพลิง
“พวกคุณชอบก็ดีแล้วล่ะครับ”คิลรัสพูดขึ้นมาบ้าง ก่อนที่พวกเขาจะทานกันไปคุยกันไปตามประสาวัยรุ่น แถมด้วยบรรยากาศที่เฮฮาเป็นกันเอง ทำให้พวกเขาหลายคนสนิทกันมากขึ้น หลังจากพวกเขาทานมื้อเย็นกันเสร็จก็หารกันจ่ายก่อนจะพากันกลับเข้าหอ
“จะว่าไป นี่กี่โมงแล้วหรอ?”เมย์เดียถามขึ้นมา ขณะที่เรออสเอื้อมมือทั้งสองขึ้นไปเปิดกลไกที่น้ำพุ
“ห้าโมงเกือบครึ่ง”เฟเรสกล่าวตอบ ทำให้เมย์เดียยิ้มรับก่อนที่เธอจะถามต่อ
“สนใจจะนั่งคุยกันก่อนแยกย้ายกันเข้าห้องรึเปล่า? หรือถ้าพวกเจ้าอยากจะมีเวลาส่วนตัวก็ไม่เป็นไรนะ”
“ก็ดีนะ”คาริน่าเสริมขึ้นมา
“ใช่ ฆ่าเวลาดี”เมฟิสพูดบ้าง
“งั้นมานั่งล้อมวงกันเลยย”เมย์เดียว่าจบก็ลากแต่ละคนมานั่งบนโซฟาแกมบังคับไม่ให้ชิ่งออกไป
“ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าทำอะไรกันที่บ้านหรอ”เมย์เดียเริ่มเปิดประเด็นถามขึ้นมาทันที
“ข้าก็นอนๆเล่นๆไปวันไง ชีวิตสบายก็เงี้ยแหละ”เมฟิสพูดขึ้นมาติดกวนประสาท เมย์เดียเลยหันมาแขวะเข้าให้
“อ๋อ มิน่าล่ะ เจ้าถึงได้เป็นคนแบบนี้”
“คนแบบนี้นี่มันคนแบบไหนกันห๊ะ?! ว่าแต่ข้าแล้วเจ้าเถอะ”เมฟิสถามกลับ
“อย่างน้อยข้าก็ทำอะไรที่ดูดีกว่าเจ้าเยอะล่ะ ข้าช่วยพ่อข้าค้นคว้าวิจัยวิทยาการเวทมนตร์ย่ะ ตาบื้อ”เมย์เดียสวนกลับ และแล้วทั้งสองก็ได้โต้คารมกันอีกยกท่ามกลางสายตาเหนื่อยใจของใครหลายๆคน
“เมฟิสนี่เป็นแบบนี้เสมอเลยหรอ?”เรย์ถามกับเฟเรสซึ่งนั่งมองเงียบๆ
“อืม ประจำ”เฟเรสตอบ แต่ฟังจากน้ำเสียงก็พอรู้ว่าเจ้าตัวระอาไม่น้อย
“ฮะๆๆ”เรย์ยิ้มแห้งๆ
“ทะเลาะกันแบบนี้ สองตัว(?)นั่นคงสนิทกันพอดูสินะ”ซาร่าพูดขึ้นมาบ้าง แต่ดูจากสรรพนามแล้วคงจะรำคาญไม่มากก็น้อย
“ต..ตัวเลยหรอ”คาริน่าทีได้ยินพึมพำ แต่ก็ยิ้มหวานเมื่อซาร่าส่งสายตาพิฆาตมาให้
“ดุจัง”คาริน่าเบ้ปากเล็กๆ
“ฮ้าว..ยัยนั่นน่ะ..ถูกสอนให้..ฮ้าว..อยู่ในระเบียบมาตลอดก็เลย..เป็นแบบนั้นน่ะ”โนเอลพูดเสียงยานไปหาวไป
“อย่างงี้นี่เอง เอ๊ะ ว่าแต่ ทำไมเจ้ารู้ได้ล่ะ”คาริน่าถามกลับ โนเอลจ้องด้วยตาปรือๆเหมือนคาริน่าถามอะไรแปลกๆ
“ก็รู้จักกัน ฮ้าว...ตั้งแต่เด็กนี่”
“งั้นที่เขาว่ากันว่าองค์ราชาเซนเทียสท่านเป็นคนเข้มงวดก็จริงสินะครับ”คิลรัสพูดแทรกขึ้นมาบ้าง
“อื้อ ท่านเซนเรียสเข้มงวดก็จริง แต่ที่เข้มงวดจริงๆแล้วน่ะ..ฮ้าว..ท่านซีเลีย แม่ของยัยนั่นต่างหาก”โนเอลตอบ ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหาววอดใหญ่
“ข้าขอตัวก่อนล่ะ ง่วงนอน”โนเอลบอกเสียงราวกับจะหลับ
“อื้อ/ค..ค่ะ/ครับ”โนเอลโบกมือลาน้อยๆ แล้วเดินออกจากห้องนั่งเล่นผ่านประตูลับไป
“อ๊ะ เดี๋ยวสิ โซล เอ่อ..ผมขอตัวก่อนนะครับ”คิลรัสบอกพลางยิ้มแห้งๆ เมื่อเพื่อนของตนจู่ๆก็ลุกพรวดเดินออกจากห้องไป
“ส..สองคนนั้น ก..ก็ดูสนิทกันจังเลยนะคะ”เอลิน่าพูดขึ้นมาบ้าง หลังจากเห็นโซลีเรียกับคิลรัสเดินออกไป
“นั่นสินะ สองคนนั้นดูอยู่ด้วยกันตลอดเลยนี่นะ”คาริน่าพูดขึ้นมาบ้าง
“สงสัยคงเป็นแฟนกันมั้ง”เมย์รินตัดบทขึ้นมากลางวงห้วนๆ
“แต่ข้าไม่เหมือนนะจ้ะ ข้าว่าเหมือนพี่น้องกันมากกว่า”โอเรียเอ่ยเสียงหวานขึ้นบ้าง เมย์รินพยักหน้า
“ข้าเห็นด้วยกับโอเรียนะ อืม...รู้แล้ว มาๆเดี๋ยวข้าจะทำนายไพ่ให้”คาริน่าบอกก่อนจะเรียกสำรับไพ่ทาโร่ต์ขึ้นมาในมือ สับไพ่แล้วกรีดไพ่เป็นรูปครึ่งวงกลมลงบนโต๊ะ
“เริ่มจากลินน่าเลยล่ะกัน ใช้มือซ้ายเลือกไพ่มาหนึ่งใบเลย”คาริน่าบอกยิ้มๆ เอลิน่าพยักหน้าน้อยๆก่อนจะยื่นมือซ้ายออกมาจับไพ่ แล้ววางหงายลงบนโต๊ะ คาริน่ามองไพ่ยิ้มๆ ก่อนจะอธิบายความหมายไพ่ และแล้วทั้งกลุ่มก็นั่งรุมดูด้วยความตื่นเต้นว่าใครจะได้ไพ่อะไร
+++++++++
*แกงนีร่า – แกงที่มีลักษณะคล้ายกับแกงพะแนงของบ้านเรา เพียงแต่จะมีรสชาติความหอมมันไม่เท่า จะมีกลิ่นของเครื่องเทศและสมุนไพรมากกว่า
**เนื้อกรอส – เนื้อจากสัตว์ที่มีหน้าตาคล้ายไก่ แต่มีขนาดตัวใหญ่ประมาณหมี มีขนสีน้ำตาลแก่ มีปีก และบินได้ มีขาที่ยาวกว่าไก่ทั่วไปและจงอยปากสีทอง ตาสีแดงดูดุร้ายต่างจากนิสัยรักสงบ เนื้อมีสีครีม รสชาติคล้ายไก่ แต่จะมีความกลมกล่อมโดยไม่ต้องหมัก เนื้อมีความนุ่มและเนียนมากกว่า แถมเมื่อสุกแล้วจะมีกลิ่นหอม เป็นเนื้อที่นิยมนำมาปรุงอาหารมากที่สุด
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ