Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก

-

เขียนโดย Dark_Shinigami

วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.

  11 มายา
  1 วิจารณ์
  13.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) น้ำพุนิทรา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

มายาที่ 2 น้ำพุนิทรา

 

ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าขาวผนังสีฟ้าอ่อนเป็นลายดอกลิลลี่สีขาวงดงาม พื้นเป็นพื้นพรมสีน้ำเงิน เตียงเดี่ยวขนาดกลางปูด้วยผ้าปูที่นอนสีขาวสะอาด2ตัวตั้งอยู่ข้างๆตู้เสื้อผ้าไม้สีอ่อน2ตู้ ประตูไม้เรียบๆสีเข้มแยกไปเป็นห้องน้ำภายในห้อง หน้าต่าง หรือจะพูดให้ถูกคือประตูระเบียงเปิดไปยังระเบียงเล็กๆทำให้บรรยากาศในห้องดูปลอดโปร่ง โต๊ะอ่านหนังสือสองตัวตั้งอยู่ติดกันที่มุมห้อง

“เฟเรส เจ้าคิดว่าทำไมท่านคาลันถึงอยากรู้ถึง‘ความลับ’ขนาดนั้น”ซาครอสที่ยืนพิงข้างบานประตูระเบียงที่ถูกปิดสนิทเปิดปากถามขึ้นมา

“......ไม่แน่ใจ”เฟเรสนิ่งไปสักพักถึงตอบคำถามนั้น คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่เขาได้คุยกับคนที่ถูกกล่าวถึง

“แชนดร้า”เฟเรสเอ่ยขึ้นมาดื้อ กับคำที่เหมือนชื่อของคน – หญิงสาว – ที่ซาครอสไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย

“ใครน่ะ?”

“ไม่รู้ ท่านบอกว่าเป็นคนสำคัญของท่าน แต่ข้าไม่รู้จัก และข้าคิดว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุ”เฟเรสตอบด้วยประโยคที่ยาวกว่าปกติของเจ้าตัว

“แปลกดีที่เจ้าไม่รู้จัก แต่ถ้าอย่างงั้นมันก็ทำให้พวกเราต้องหา’ความลับ’ให้เจอให้ได้ ถ้ามัน..”ซาครอสพูดด้วยท่าทางครุ่นคิด

“ต่อให้หาไม่เจอ ท่านก็ไม่ว่าอะไร”เฟเรสตัดบทขึ้นมา ซาครอสไหวไหล่เล็กน้อย

“ถึงท่านจะไม่ว่า แต่ข้าคงรู้สึกไม่ดีนักหรอกนะ”

‘ก๊อกๆ’เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเมฟิสที่ลอยตามมาติดๆ “นี่ข้าเอง เข้าไปนะ”

เมฟิสเปิดประตูเข้ามาทันทีที่พูดจบ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเฟเรสกับซาครอสจะไม่ล็อกประตู

“พวกเจ้ารู้มั้ย มันสุดยอดมากเลย”เมฟิสกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นก่อนจะพูดต่อ

“ข้าได้เป็นรูมเมทของรัชทายาทแห่งเอราเรส! พระเจ้า! ชาตินี้ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าชายตัวเป็นๆระยะประชิดขนาดนี้”ซาครอสขำกับคำพูดของเมฟิส สักพักแล้วที่เขาไม่ได้เห็นเพื่อนเขาตื่นเต้นขนาดนี้

“ไม่แปลกหรอก เมฟิส ที่นี่มันเป็นศูนย์รวมเจ้าชายเจ้าหญิง มันไม่เหมือนโรงเรียนแถวบ้านพวกเราหรอกน่า”

“ยังไงข้าก็ตื่นเต้นอยู่ดีนี่”เมฟิสยิ้มกว้าง ก่อนจะเดินเข้ามาแล้วลากเก้าอี้จากโต๊ะอ่านหนังสือมานั่ง แล้วเริ่มเปิดประเด็นคุยสัพเพเหระ ช่วยฆ่าเวลาอีกสิบกว่าชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลานัดของพวกเขา

 

 

 

‘แก๊ง แก๊ง แก๊ง’เสียงระฆังจากหอนาฬิกาบริเวณโบสถ์ใกล้ๆโรงเรียนบ่งบอกเวลาเที่ยงคืนของวัน ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี จันทร์เสี้ยวสีเงินยวงส่องแสงอ่อนๆบ่งบอกว่าคืนทานาธอสใกล้จบลงแล้ว

เฟเรส เมฟิสและซาครอสเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบตามแนวกำแพงพุ่มไม้ที่พวกเขามาเมื่อตอนกลางวัน จนพวกเขามาถึงกับประตูลับที่ถูกเปิดไว้ก่อนหน้า

เฟเรสยกมือขึ้นเป็นเชิงให้สัญญาณว่าอย่าเพิ่งขยับ ก่อนเจ้าตัวจะเอี้ยวตัวไปมองภายในเพื่อดูว่าใครที่อยู่ในนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีทองสว่างก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินเข้าไปข้างในตามด้วยเมฟิสและซาครอส

เบื้องหน้าพวกเขาเป็นห้องทรงเหลี่ยมที่ล้อมรอบด้วยกำแพงพุ่มไม้ทั้งสี่ด้าน ใจกลางตั้งน้ำพุสีขาวงาช้าง บนยอดมีรูปปั้นของหญิงสาวประคองจันทร์เสี้ยวไว้ในอ้อมอก รายล้อมรอบน้ำพุเป็นไม้พุ่มเตี้ยระดับเข่าที่มีดอกสีน้ำเงินอมม่วง และบนพื้นหญ้ามีร่างสลบสไลของเหล่านิมฟ์

ซาซิเรียเดินมาก่อนจะยื่นแก้วใสให้พวกเขาทั้งสามคน

“พวกท่านสามารถตักน้ำในน้ำพุดื่มได้เลยนะคะ ไม่ต้องเยอะมากหรอกค่ะ สักครึ่งแก้ว แต่ข้าแนะนำให้ท่านหาที่นั่งดีๆก่อน เพราะฤทธิ์ของน้ำพุนั้นแรงพอสมควรทีเดียวเลยค่ะ”เธอกล่าวพร้อมขยับมือไปบนกำแพงพุ่มไม้ แล้วกำแพงเบื้องหลังพวกเขาก็ปิดกลับเป็นปกติ

เฟเรสเดินเข้าไป ค่อยๆตักน้ำด้วยแก้วใส ก่อนเจ้าตัวจะกลับมานั่งพิงกำแพงพุ่มไม้ ดวงตาสีไพลินเหลือบมองหญิงสาวสลับกับเพื่อนสนิทตน เมื่อเห็นอีกสองคนพยักหน้าเป็นเชิงว่าพร้อมเขาก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด

สักพักชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งของเปลือกตา ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว ก่อนที่โลกทั้งใบจะมืดสนิท

ซาซิเรียมองคนที่หลับไปก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบา เธอหันกลับไปเผื่อเผชิญหน้ากับคนที่อยู่เบื้องหลังข้อมูลที่เธอได้รับมา

“ทำไมถึงช่วยพวกเราคะ?”

“เพราะ ณ ตอนนี้ จุดมุ่งหมายของพวกเรานั้นไม่แตกต่างยังไงล่ะ ฮิฮิ”เสียงเล็กแหลมของเด็กสาวซึ่งดูจากภายนอกอายุอานามไม่น่าจะเกิน12ปี เส้นผมสีโอโรสดัดเป็นลอนทำผมทรงทวินเทลคลอเคลียบ่า ร่างเล็กบางอยู่ในชุดกระโปรงสีแดง-ขาวแนวโกธิค

“ตอนนี้หน้าที่ของข้าก็จบลงแล้ว ไว้เจอกันใหม่ยามถึงเวลาแห่งทางเลือก”เด็กสาวแย้มยิ้มพรายที่แลดูเจ้าเล่ห์เกินตัว ก่อนร่างนั้นจะหายไปด้วยเวทย์วาร์ป

ซาซิเรียจ้องมองบริเวณที่เคยมีเด็กสาวอยู่ ในใจได้แต่ครุ่นคิดว่าเธอควรจะบอกความจริงแก่เด็กหนุ่มทั้งสามคนดีรึเปล่า ในเมื่อข้อตกลงของเด็กสาวเมื่อครู่นั้นคือความลับแลกความลับ ตราบใดที่เธอไม่บอกความจริงของที่มา ความลับของเธอก็จะไม่ถูกเปิดเผย!

‘ข้าขอโทษนะคะ’

 

 

 

เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ในน้ำ น้ำสีดำสนิท เฟเรสพยายามมองไปรอบตัว แต่สิ่งที่เขามองเห็นนั้น...ไม่มีเลย แม้กระทั่งมือของเขาเอง

‘เจ้าประสงค์จะรู้สิ่งใด’เสียงหนึ่งดังก้อง เฟเรสหรี่ตาลงแม้จะรู้ว่าเขามองอะไรไม่เห็นก็ตาม แต่ในใจกำลังครุ่นคิด เพราะที่ซาซิเรียบอกว่าความฝันนั้น ไม่น่าจะมีเสียงดังขึ้นมาเพื่อถามอย่างที่เขาเผชิญอยู่แบบนี้

‘เจ้าประสงค์จะรู้สิ่งใด’เสียงที่ระบุเพศไม่ได้ดังขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นการยืนยันว่าต้องการจะรู้คำตอบของคำถามนั้น

‘ความลับแห่งสายหมอก’เสียงที่เขาต้องการจะพูดออกมานั้นเหมือนหายไปกับอากาศ ออกมาเป็นเหมือนคลื่นเสียงมากกว่าที่จะเป็นคำพูด

ทันใดนั้นเอง ความมืดมิดก็ค่อยๆจางหายไป เผยให้เขาเห็นถึงห้องโถงกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย และทางเดินที่ทอดยาวไปจนถึงบัลลังก์หินเรียบๆเบื้องหน้า  หน้าต่างมากมายเปิดรับแสงอาทิตย์จากภายนอก และร่างๆหนึ่งที่กำลังหันหลังให้เขา เหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ชุดครุยยาวสีขาวสะอาดเหมือนผู้ทรงศีลขลิบด้วยทองคำตามชายผ้า เส้นผมสีดำสนิทไล่ปลายสีทองยาวเกือบถึงกลางหลังพลิ้วไหวน้อยๆ หากแต่เขานั้นไม่เห็นใบหน้าของคนผู้นั้น ทุกอย่างเป็นเหมือนภาพนิ่ง

เฟเรสพยายามขยับ แต่ก็เหมือนเขาถูกตรึงอยู่กับที่ เจ้าตัวจึงตัดสินใจเพ่งมอง ก่อนที่แสงขาวจะสว่างวาบและปรากฏภาพใหม่ขึ้นแทนที่

รอบตัวเขาตอนนี้คือความมืด หากแต่ไม่มืดเหมือนตอนแรก เพราะเบื้องหน้าที่มีแสงสีฟ้าส่องมารำไร ทางเดินหินที่นำไปสู่ห้องโถง แท่งคริสตัลสีออกฟ้าเรืองแสงอ่อนท่ามกลางความมืด แต่ภาพที่เขาเห็นเผยให้เห็นเพียงส่วนหนึ่งของแท่งคริสตัลเท่านั้น ทำให้เขาไม่รู้ว่าหน้าตาทั้งหมดของมันเป็นยังไง ซึ่งถ้าเขาสามารถขยับได้ เขาก็คงได้เห็นทั้งหมด

เฟเรสถอนหายใจเบาๆในใจ รอบตัวเขากลับไปเป็นเวิ้งน้ำมืดทมิฬ เสียงปริศนาเสียงเดิมดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คำเปรยนั้นทำให้เฟเรสเบิกตากว้าง ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนโดนดึงขึ้นจากน้ำไป

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็พบกับสายตาของซาซิเรียที่ถูกส่งมาพอดี หญิงสาวยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงข้างๆ

“นั่งพักสักครู่แล้วค่อยลุกนะคะ ช่วงที่กลับมาใหม่ๆมันเหมือนความดันต่ำเลยล่ะค่ะ”

“อืม”เฟเรสตอบรับเรียบๆ ในหัวยังคงได้ยินถึงคำพูดสุดท้ายของเสียงนั้น

 ‘ภายภาคหน้า เจ้าจักต้องตัดสินใจ แม้จะแสนลำบากยิ่งก็ตาม สายเลือดแห่งโพรทิอุส’

 

 

 

“พวกเจ้าเห็นอะไรกันบ้าง?”ซาครอสถามขึ้นมา ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่บริเวณสวนใกล้ๆปราการเหมันต์แทน

“ที่ข้าเห็นเป็นประตูหินบานใหญ่ค่ะ เป็นบานประตูเรียบๆ แต่มีโซ่ตรวนตรึงบานประตูไว้อย่างแน่นหนา ทั้งสองข้างประตูเป็นคบเพลิงไม้ที่มีเพลิงสีฟ้าจุดอยู่ แล้วก็อีกอย่างเป็นรูปปั้นหินขนาดใหญ่สองรูปตั้งอยู่กลางสายหมอก ทั้งสองตั้งห่างกันประมาณสองเมตร ตอนแรกข้านึกว่ามันคือไลโอเนล*แต่ก็ไม่ใช่ค่ะ มันมีปีกเหมือนมังกรแทนที่ปีกขนนก และเขี้ยวของมันจะมีมีเขี้ยวที่ยาวกว่าปกติสองเขี้ยวยื่นออกมา และมีเขาบิดคดสองเขา ข้าเห็นเท่านั้นแหละค่ะ”ซาซิเรียอธิบาย ซาครอสลงมือจดข้อมูลลงหนังสือในมือของเขา

“ส่วนข้าเห็นปราสาทเล็กๆ ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขา ด้านข้างมีน้ำตกและทะเลสาบขนาดไม่ใหญ่มาก รอบๆมีต้นไม้เล็กใหญ่ เหมือนเป็นสวนท่ามกลางหุบเขาเลยล่ะ อีกอย่างที่ข้าเห็นเป็นเหมือนสร้อยถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะไม้เก่าๆ จี้ของสร้อยเป็นล็อกเก็ตทรงกลม ใจกลางมันสลักเป็นรูปสัตว์วิเศษที่เซียร์เห็น”เมฟิสพูดต่อ ซาครอสพยักหน้าก่อนจะหันมามองเฟเรส

“ห้องโถง บัลลังก์ ใครบางคนในชุดคลุมสีขาว ผมยาวสีดำไล่ทองที่ปลาย เห็นแค่ด้านหลัง แล้วก็ทางเดินหิน ปลายทางเป็นห้อง มีแท่งคริสตัลที่น่าจะขนาดใหญ่ส่องแสงสีฟ้าอ่อน”เฟเรสบอก แต่คำว่าน่าจะทำให้ซาครอสถามกลับ

“น่าจะ? แสดงว่าเจ้าเห็นแค่บางส่วนสินะ?”

“อืม”

“ส่วนที่ข้าได้เห็นเป็นใบหน้าของไวส์ อาร์เคอิก หรือ‘ผู้กล้า’นั่นแหละ แล้วก็อัญมณีขนาดเท่าฝ่ามือ สีของมันเหมือนสีของเลือด เรืองแสงอ่อนๆ อยู่ในมือของใครสักคน”เมื่อซาครอสกล่าวจบ ทุกคนก็เข้าสู่ห้วงคิดอีกครั้ง สักพักเฟเรสก็เปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง

“ซาซิเรียหาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์วิเศษที่เห็น ซาครอสเกี่ยวกับอัญมณี เมฟิส เจ้ากับข้า หาสถานที่”อีกสามคนที่เหลือพยักหน้าลงเป็นเชิงตกลง ก่อนที่เฟเรสจะพูดปิดท้ายแล้วพวกเขาแยกกันไปพักผ่อนก่อนเริ่มวันรุ่งขึ้น

“สิ่งที่พวกเราตามหาไม่ใช่’ความลับ’ จริงๆแล้วคือ’อำนาจ’”

 

 

 

“เพียงเพราะอยากได้อำนาจ ก็สามารถทำให้เกิดความวุ่นวายได้ ไม่ว่าจะมนุษย์หรือเผ่าพันธุ์ไหนๆก็น่ากลัวจังเลยนะครับ”น้ำเสียงทุ้มนุ่มดังภายในห้องที่มีเพียงแสงสลัวของไฟสีฟ้า

“ถึงต้องมีพวกเรา”น้ำเสียงเย็นยะเยือกตอบกลับ

“นั่นสินะครับ คิดไปแล้วก็น่าตลกสิ้นดี ทั้งๆที่พวกเราไม่เข้าใจ...ถึงความทะเยอทะยานนั่นแท้ๆ แต่กลับต้องมาห้ามไม่ให้คนทำในสิ่งเหล่านั้น ผมล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าการได้มาซึ่งอำนาจยิ่งใหญ่นั้นดีตรงไหน”ชายหนุ่มเอ่ย

“คำถามนั้นน่ะ ขนาดคนที่มีอำนาจนั้นอยู่ยังตอบพวกเจ้าไม่ได้เลย”เสียงที่สามติดเจ้าเล่ห์ดังขึ้นมาเรียกให้สองคนก่อนหน้าหันไปมองอย่างตกใจ

“ท่าน!”ทั้งสองเสียงแรกประสานด้วยอารามตกใจ ทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ

“เขาบอกให้ข้ามาบอกข่าวน่ะ ว่าอาร์เคอิก...”น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาลงราวกระซิบ

“รับทราบครับ/ค่ะ”

 

 

 

“นายหญิงคะ แบบนี้จะดีหรอคะ ตอนนี้‘พวกนั้น’คงรู้แล้วแน่ๆเลย”เด็กสาวเจ้าของเรือนผมสีโอโรสกล่าวถาม พร้อมเงยหน้าขึ้นมาจากตุ๊กตากระต่ายปุกปุยในมือของตัวเอง

ด้านหน้าเธอนั้นเป็นบัลลังก์ แต่ม่านทอสีทองขึงกับเสาทั้งสี่ล้อมบัลลังก์ แม้จะโปร่งแต่ก็ปิดบังให้เห็นเพียงแค่เค้าโครงใบหน้าเท่านั้น

“ดีแล้ว ถึงพวกนั้นจะเคลื่อนไหว ข้าก็ไม่กลัว อีกอย่างถึงเวลาที่กงล้อจะเริ่มขยับได้แล้ว ระหว่างเราและพวกมันควรมาถึงจุดจบว่าใครจะเป็นผู้กำชัย!”เสียงหวานนุ่มของสตรีเพศดังก้องทั่วห้อง เด็กสาวพยักหน้า

“แต่ว่า’ความลับ’มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลยไม่ใช่หรอคะ? ทำไมคนถึงคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่กันจังคะ?”

“พวกเขาไม่รู้ความจริง และความจริงเบื้องหลังมันโหดร้ายเกินกว่าที่’เจ้านั่น’จะยอมเปิดเผยแน่นอน”ผู้ที่ถูกเรียกว่านายหญิงกล่าวตอบ

“แล้วตอนนี้ท่านต้องการให้ข้าไปทำอะไรมั้ยคะ?”

“ยังก่อน เอโอน่า แต่อีกไม่นาน เจ้าจะได้ทำแน่ เพราะเพชฌฆาตโลหิตกำลังเคลื่อนพล”หญิงสาวกล่าว เอโอน่ายิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีก่อนจะถอนสายบัวเป็นเชิงเคารพ

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปเตรียมตัวล่ะนะคะ”

 

 

 

เช้าวันรุ่งขึ้น พระอาทิตย์ขึ้นสาดส่องผ่านบานหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้พร้อมด้วยเสียงร้องราวกับบทเพลงของเหล่าวิหก เรียกให้หนึ่งในเจ้าของห้องตื่นขึ้นมา

เฟเรสผุดลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ใบหน้ามึนๆตามประสาคนเพิ่งตื่นต่างจากใบหน้าเรียบๆยามปกติของตน เขามองไปที่นาฬิกาที่กำลังบอกเวลาหกโมงเช้า ชายหนุ่มปิดปากหาวก่อนจะหันไปทางหน้าต่าง คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันน้อยๆ เพราะเขาจำได้ว่าไม่ได้เปิดหน้าต่างทิ้งไว้เมื่อคืนแน่ๆ

ชายหนุ่มลุกออกจากเตียงเดินไปยังหน้าต่างหมายจะปิด แต่เมื่อเดินผ่านโต๊ะไม้ก็พบกับซองจดหมายตุงๆขนาดราวๆกระดาษA4ที่จ่าหน้าถึงเขา เมฟิสและซาครอส ลายมือที่เขียนทำให้เขารู้ถึงคนส่งและคนที่เปิดหน้าต่างเขาเข้ามาแล้ว

เฟเรสวางจดหมายลงที่เดิมก่อนจะเดินไปปลุกซาครอสที่หลับอยู่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงก็เดินหายเข้าไปอาบน้ำ

เมื่อเขาเดินออกมาอีกครั้งก็พบว่าเมฟิสได้เข้ามานั่งอยู่ด้วยแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาหน้าเครียดอีกครั้งคือสีหน้าของเพื่อนสนิททั้งสองของเขาที่ดูจะเค้าความจริงจังจางๆ ในมือของซาครอสคือผลึกเลตรา**ที่มีกระดาษแผ่นเล็กๆติดอยู่

“มีอะไร?”เฟเรสถามทันที ซาครอสและเมฟิสเงยหน้าขึ้นมาก่อนที่ซาครอสจะยื่นผลึกเลตราให้เขา

“ข้าไม่แน่ใจ แต่จากกระดาษเล็กๆที่แนบมามันเขียนไว้ว่าเกิดเรื่องแล้ว”เฟเรสรับมาขณะที่พยักหน้ากับคำกล่าวนั้น เด็กหนุ่มเพ่งจิตถ่ายพลังเวทลงในผลึกก่อนมันจะเรืองแสงวาบ จะลอยออกจากมือไปอยู่กลางอากาศ ในขณะที่ซาครอสจะกางอาณาเขตเวทย์ – ซาวด์ชีลด์ – เพื่อป้องกันเสียงเล็ดลอดออกไป

ร่างโปร่งแสงของชายหนุ่มผมสีทองเงางามยาวถึงกลางหลังปรากฎขึ้นมา ใบหน้าของเจ้าตัวนั้นหวานราวกับอิสตรี และหากมองเผินๆอาจจะมองเป็นหญิงเลยก็ได้ แต่ใบหน้านั้นก็เข้าคู่กับนัยน์ตาสีม่วงอเมทิสต์ที่บัดนี้ส่องประกายเคร่งเครียด

‘ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้รับจดหมายโดยเร็วนะ ที่ข้าให้คนเอาไปให้เพราะข้าไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเจ้า ข้าจะไม่ขออกนอกประเด็นล่ะนะ’ภาพจำลองของชายหนุ่มกล่าว

‘ตอนนี้มีข่าวร้ายทั้งหมดสองเรื่องด้วยกัน ข่าวร้ายเรื่องที่หนึ่ง ตอนนี้ดาร์กเอลฟ์บุกมาแล้ว แต่ไม่ต้องห่วง คนในตระกูลยังยันไหวอยู่ ถึงจะมีการนองเลือดไปไม่น้อยแล้วก็ตาม พวกเจ้าก็ระวังตัวด้วยล่ะ ข้าไม่แน่ใจว่าพวกมันจะไปหาพวกเจ้าด้วยรึเปล่า แต่ที่น่าแปลกคือพวกมันรู้กระทั่งฐานลับและเวลาประชุมของตระกูล ข้าเลยอดสงสัยไม่ได้ว่ามีหนอนรึเปล่า ตอนนี้ข้ากำลังตรวจสอบอยู่’เขาพูดรัว ก่อนจะหยุดหายใจสักพักแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เจือความเศร้าไว้

‘ข่าวร้ายเรื่องที่สองคือท่านลุงเซเฟอร์เสียแล้ว ท่านหนีออกมาจากห้องประชุมที่โดนพวกมันถล่มไม่ทัน ตอนนั้นมันชุลมุนมาก ข้าขอโทษด้วยนะเมฟิส ข้า...ข้าเสียใจด้วยจริงๆ’พอถึงจุดนี้ ดวงตาของชายหนุ่มก็คลอไปด้วยหยาดน้ำตา คนฟังทั้งสามคนเบิกตากว้างกับข่าวสารที่ได้รับ โดยเฉพาะเมฟิสที่สีหน้าตอนนี้เหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้

‘แล้วก็เรื่องสุดท้าย เฟเรส ข้าเจอบันทึกนั่นแล้วนะ อยู่ในซองจดหมายนั่นแหละ แต่ข้าไม่เข้าใจเจ้านิดหน่อยนะ บันทึกนั่นเป็นของใครกันเจ้าถึงอยากได้มันนัก? ยังไงก็ตาม ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมข้าจะติดต่อไปอีกครั้ง ถ้าพวกเจ้าได้อะไรคืบหน้าก็บอกกันได้นะ เพราะตอนนี้ที่นี่วุ่นวายมาก คงไปหาพวกเจ้าไม่ได้ ขอให้พวกเจ้าโชคดี’เมื่อจบภาพของชายหนุ่มก็หายไป พร้อมกับผลึกเลตราที่ตกลงสู่พื้นห้อง

‘กิ๊ง’เสียงตกกระทบดังก้องภายในห้องที่เงียบสงัด เฟเรสกับซาครอสยังคงประมวลผลจากข้อมูลที่ได้รับ ส่วนเมฟิสนั้นเหมือนจิตหลุดไปตั้งแต่ข่าวร้ายเรื่องที่สอง ในเมื่อคนที่จากไปนั้น...คือพ่อแท้ๆของเขาเอง!

“โธ่เว้ย! เจ้าพวกดาร์กเอลฟ์!!”เมฟิสสบถเสียงดังลั่นอย่างไม่เกรงใจเวลายามเช้าที่หลายๆคนยังไม่ตื่นกัน มือทั้งสองกำแน่นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน น้ำตาสีใสไหลอาบหน้าอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าเหยเกปนเปทั้งความเจ็บปวดจากการสูญเสียและความแค้น

เมฟิสยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเอง

“เมฟิส...”ซาครอสเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่แทบจะเป็นกระซิบ เขาเองก็เสียใจกับการจากไปของลุงของเขาเหมือนกัน แต่นั่นคงไม่เท่ากับความเศร้าของคนที่เป็นลูกชาย

“ข้า..คิดว่าโอเคแล้ว”เมฟิสหันกลับมายิ้มแห้งๆให้ แต่ต่อให้ไม่พูดอะไรอีกสองคนก็รู้ดี ว่ารอยยิ้มนั้นมันฝืนแค่ไหน

เฟเรสมองเพื่อนของเขา มือหนากำแน่นไม่แพ้เมฟิส ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ว่าพวกเขากับดาร์กเอลฟ์จะไม่มีวันญาติดีกันเป็นอันขาด!

แต่แล้วดวงตาสีไพลินก็สบเข้ากับสมุดบันทึกเล่มเก่าที่โผล่พ้นขอบซองจดหมายบนเตียงออกมา เขารู้สึกเหมือนจดจ่ออยู่ที่มันอย่างเดียว เฟเรสเดินเข้าไปหยิบมันออกมาจากซองและพลิกดูหน้าหลังอย่างไม่รู้ตัว บันทึกปกแข็งทำจากหนังสีน้ำตาลแก่ มีรอยริ้วบ่งบอกถึงอายุ เนื้อกระดาษด้านในออกสีเหลืองเล็กน้อย ชายหนุ่มเปิดมันออก พลิกอ่านทีละหน้าช้าๆ

“เฟเรส?”ซาครอสละสายตาจากเมฟิสมายังเฟเรสที่ดูเหม่อลอยเหมือนสติไม่อยู่กับตัวขณะที่สำรวจสมุดบันทึก เสียงเรียกนี้ทำให้เมฟิสหันมามองชายหนุ่มด้วย

หน้าชายหนุ่มซีดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเขาจำได้ว่าเป็นคนขอร้องให้อาเรสหรือชายหนุ่มในภาพจำลองหาให้เอง แถมกำชับอย่างแน่นหนาว่าเป็นของสำคัญมาก แต่ตอนนนี้เฟเรสชักจะไม่แน่ใจแล้วว่ามันสำคัญจริงรึเปล่า เขากลืนน้ำลายผ่านลำคอที่รู้สึกแห้งผากกะทันหัน ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“บันทึกเล่มนี้เป็นของใครกัน? ทำไมข้าถึงอยากได้มัน?”

+++++++++++++++++++++

*ไลโอเนล – สัตว์วิเศษมีหัวและร่างกายเหมือนสิงโต ขนาดใหญ่ราวเมตรนิดๆ แต่มีขนสีทองและผิวสีน้ำตาลทอง มีปีกขนนกสีขาวสะอาดกลางหลัง อุ้งเท้ามีเล็บแหลมคม

**ผลึกเลตรา – ผลึกสีเขียวอ่อนใสขนาดเท่าฝ่ามือที่ใช้แทนจดหมายเพราะเป็นเสมือนเครื่องบันทึกภาพและเสียง เพียงแต่จะบันทึกข้อความและภาพด้วยความคิด เป็นที่นิยมมากกว่าจดหมายในสมัยก่อน ถือเป็นวิทยาการเวทมนต์สมัยใหม่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา