Zenteria อาณาจักรมนตรา มายาแห่งหมอก
เขียนโดย Dark_Shinigami
วันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 20.53 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ปะทะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความมายาที่ 10 ปะทะ
เมฟิสเดินวนเป็นรอบที่ร้อย แต่เขาก็หาบันไดที่เขาใช้ลงมาไม่เจอสักที
‘กับดัก! นี่มันกับดักชัดๆ!’เด็กหนุ่มคิดอย่างกระวนกระวายใจ เขาพยายามเค้นสมองถึงชื่อมนตราอาณาเขตบทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างกับดักประเภทนี้ แต่ด้วยความไม่ชำนาญด้านเวททำให้เขายังคิดมันไม่ออกเสียที!
“ให้ตายเถอะ สวรรค์!”เมฟิสรู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะร้องไห้กับความโง่ของตัวเองที่คิดว่าห้องลับแบบนี้จะไม่มีอะไรเตรียมไว้เซอร์ไพรส์เขา
“อย่างนี้มันเหมือนกับเขาวงกตที่ไม่มีทางออกเลยให้ตายสิ”เขาเหม่อมองต้นเสาหินที่เชื่อมพื้นกับเพดาน มองไปไกลๆ ก็เหมือนกับกำแพงหินไร้ที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาไม่หาทางออกไม่เจอ มองไปไหนก็สุดลูกหูลูกตา
“เดี๋ยวนะ... เขาวงกต? อืม...”เด็กหนุ่มจำได้ว่ามันมีมนตราอาณาเขตอยู่บทหนึ่งที่เกี่ยวกับเขาวงกต...
“วงกตนิรันดร์ ใช่แล้ว!”เจ้าของผมสีน้ำตาลสั้นมีสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด วงกตนิรันดร์เป็นมนตราอาณาเขตที่จะสร้างมิติจำลองซ้อนขึ้นมาในพื้นที่ขนาดจำกัด โดยมีจุดมุ่งหมายคือกักขังและถ่วงเวลา โครงสร้างของมันก็แล้วแต่ว่าผู้วางข่ายเวทออกแบบไว้อย่างไร แต่ในการจะทลายเขตเวทนั้นจะต้องมีพลังเวทมากกว่าปริมาณพลังเวทที่อีกฝ่ายตั้งไว้หรือสูงสุดคือเท่ากับพลังเวทผู้สร้าง แน่นอนว่าถ้าคิดจะทำลายก็ต้องเสี่ยงดวงว่าพลังเวทของเขาหรืออีกฝ่ายจะมากกว่ากัน
ดวงตาสีมรกตพราวด้วยความถูกใจ ก่อนเขาจะเอ่ยเรียกศัตราวุธประจำกายออกมา “โฟทิอาร์”
มีดคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา มีดคู่นั้นมีสีดำขลับทั้งเล่มที่ตีมาจากหินเฟกริส หินแห่งเปลวเพลิงที่พบในบริเวณภูเขาไฟเท่านั้น ด้ามจับสลักเป็นลวดลายเปลวเพลิงสีแดงสดเหลือบส้มโดดเด่น
“ห้วงวงกตไร้ทางออก เผยทางที่ปกปิด ยุติการซ่อนเร้น ปลดมนตราอาณาเขต – วงกตนิรันดร์ อันไบนด์!”เมฟิสเอ่ยคำร่ายเวทชัดเจน มีดคู่ที่ใช้ต่างสื่อพลังเวทถูกทุ่มสุดตัวลงปักพื้นจนเกิดรอยปริของหิน
‘เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ’รอยร้าวลามขยายราวกับรากไม้ที่แตกแขนงออก กลืนกินบริเวณพื้นไล่ลามขึ้นกำแพง เสียงราวกับแก้วที่กำลังปริแตกดังต่อเนื่องเช่นเดียวกับบริเวณโดยรอบที่เริ่มสั่นคลอน
‘เพล้ง!’บรรยายกาศรอบตัวเมฟิสแตกกระจาย เศษชิ้นส่วนเล็กๆ ดั่งผลึกแก้วร่วงกราวลงพื้นเป็นประกายหยอกล้อแสงไฟ เผยให้เห็นสภาพห้องที่แปลกไปจากเดิมเล็กน้อย
เมฟิสมองไปรอบๆ อีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้รอบตัวเขาไม่ใช่ห้องโล่งกว้างเหมือนก่อนหน้า มันเป็นห้องกว้างขนาดสามช่วงเสาเหมือนโถงทางเดิน เสาที่เคยเรียงรายนับไม่ถ้วนเหลือเพียงทางซ้ายและขวามือของเขาเท่านั้น เบื้องหน้ามองไปก็เห็นบานประตูคู่อยู่ไกลๆ นอกจากประตูแล้วก็ไม่มีทางออกอื่นใด เมื่อเห็นเป้าหมายแล้วเด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากผ่านประตูนั้นไป
“เก่งมาก เจ้าหนุ่ม”น้ำเสียงทุ้มต่ำดังก้องไปทั่วบริเวณ ทำให้เมฟิสชะงักเท้ากึกพลางสอดส่องสายตาหาที่มาของเสียง แต่แล้วสายตาของเขาก็สะดุดกับหมอกควันสีดำที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นจากอากาศธาตุหน้าประตู
“นานทีเดียว ที่ไม่มีผู้ใดเข้ามาที่แห่งนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต”ละอองสีดำฟุ้งรวมตัวก่อนเป็นร่างเงาที่สูงราวสองเมตร สองมือถืออาวุธหนักอย่างขวานด้ามโตที่สูงพอๆ กับตัวของเมฟิส แต่ดูจากท่าทางแล้ว เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของร่างใหญ่ตรงหน้าเขา
เมฟิสกระชับมีดในมือมั่น ในใจเตรียมจะพุ่งเข้าไปหามนุษย์เงานั้นแล้ว แต่เสียงเดิมก็ขัดเขาขึ้นมาก่อน “ข้าเองก็อยากจะให้เข้าไปโดยง่าย แต่น่าเสียดาย ผู้ที่จะผ่านประตูนี้ได้ ต้องแข็งแกร่งพอที่จะไม่เข้าไปตายด้านใน บุตรแห่งเซเทอร์ สำแดงพลังของเขาออกมาเสีย!”
ดวงตาสีมรกตน้ำงามไหววูบเมื่อชื่อของพ่อเขาถูกเอ่ยถึง มันฉายชัดถึงความคำนึงหาอย่างเศร้าสร้อย ใบหน้านั้นหมองลง แต่ชั่วครู่เด็กหนุ่มก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติ
“ก็สวยสิ! คนอย่างข้าไม่ได้กระจอกหรอกนะ!”รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น นานแล้วที่ไม่มีอะไรท้าทายมาเผชิญหน้ากับเขาเช่นนี้ เมฟิสกำมีดแน่นก่อนจะโถมร่างเข้าไปหามนุษย์เงา
เมฟิสตั้งใจใช้ความเร็วพุ่งประชิดตัวปาดมีดเป็นรูปตัวเอ็กซ์หมายจะโจมตีเนื้อช่วงลำตัวของอีกฝ่ายตรงๆ แต่เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ทัน แขนแกร่งยกขึ้นวาดขวานจามจากบนลงล่าง บริเวณที่เด็กหนุ่มจะเข้าประชิดเพื่อกันท่าทำให้เมฟิสต้องผละถอยหลังโดยที่คมขวานเฉียดเขาไปไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร!
แต่ด้วยความรวดเร็วเมฟิสใช้ขาซ้ายส่งตัวพุ่งกลับไปด้านหน้า ฉวยโอกาสใช้ขวานต่างฐานเหยียบ กระโดดขึ้นสูงเปลี่ยนเป็นโจมตีจากด้านบน “เสร็จข้าล่ะ!”
มีดทั้งคู่ในมือตวัดลงบริเวณศีรษะ มือทั้งสองของมนุษย์เงาผละจากด้ามขวานมาป้องกัน คมมีดบาดลึกลงแขน มือขยับปาดมีดลงพร้อมกดแรงเพิ่มเฉือนลึกเข้าเนื้อเพื่อผละคมมีดออกจากแขน สร้างแผลยาวลึกบนสองแขนที่มนุษย์เงาใช้ต่างเกราะ เมฟิสฉีกยิ้มเล็กๆ เมื่อสามารถสร้างบาดแผลให้มันได้
ยังไม่ทันที่ขาของเด็กหนุ่มจะแตะถึงพื้น แขนทั้งสองที่เคยไขว้กันใช้ต่างโล่ก็สะบัดปัดร่างของเมฟิสเข้ากระแทกเสาต้นไม่ไกลด้วยแรงมหาศาล!
ร่างสูงไถลร่วงลงพื้น มีดร่วงจากมือตกกระทบพื้น เขารู้สึกทั้งจุกและระบมด้วยการปัดป้องเพียงครั้งเดียวของอีกฝ่าย ในขณะที่บาดแผลที่เขาสร้างดูจะไม่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เงาแม้แต่นิดราวกับไร้ความรู้สึก...
“อูย...”เมฟิสกุมช่วงซี่โครงของตัวเอง แรงกระแทกและความเจ็บแปลบๆ ทำให้เขาคิดว่าซี่โครงเขาร้าวแน่ๆ “ลืมนึกไปเลยแฮะ ว่ามันจะเจ็บได้ยังไง”
เมฟิสพยุงตัวลุกขึ้นโดยใช้เสาต่างหลักค้ำ มืออีกข้างที่ว่างขยับผายออกด้านข้าง ในใจเรียกมีดคู่กายทั้งสองเล่มให้กลับสู่มือข้างนั้น มีดแฝดหลอมรวมเป็นหนึ่ง จากที่เคยยาวเพียงครึ่งไม้บรรทัดขยายยาวออกเท่าตัว ใบมีดเองก็หนาขึ้น
“ไฟร์บอมบ์”เจ้าของผมสีน้ำตาลเสกลูกไฟขนาดกลางใส่ร่างตรงหน้า ทันทีที่ปะทะลูกไฟนั้นก็ระเบิดออกส่งเสียงกึกก้องทั่วโถงทางเดิน แต่เมื่อควันหายไป สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็คือร่างไร้รอยขีดข่วนของมนุษย์เงา
“เวทใช้ไม่ได้ผลสินะ...”ดวงตาสีเขียวจ้องร่างที่ยังคงอยู่เบื้องหน้าประตูไม่ไหวติง หัวสมองประมวลคิดก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วพุ่งเข้าไปหาใหม่อีกครั้ง
แต่คราวนี้เขาไม่ได้คิดจะฟันร่างตรงหน้าตรงๆ เหมือนครั้งก่อน เขารอจังหวะให้อีกฝ่ายขยับมือทั้งสองที่ถือขวานยักษ์ ทันทีที่ขวานถูกเงื้อขึ้นสูง เด็กหนุ่มเข้าเสยหมัดเข้าที่คางของมันจนหน้าหงายด้วยความเร็วที่เร็วกว่า อีกมือหนึ่งก็ฟันเข้าใส่บริเวณข้อมือทั้งสองข้างอย่างแรง เฉือนเนื้อเถือกระดูกจนมือนั้นปล่อยขวานร่วงใส่หัวของตัวเองเพราะแบกรับน้ำหนักไม่ไหว
ศีรษะแบะออกตามน้ำหนักและแรงปะทะของตัวขวาน แต่ด้วยความที่มันเป็นเพียงเงา จึงไม่มีเลือดหรือมันสมองไหลออกมาแต่อย่างใด ร่างใหญ่โงนเงนก่อนจะล้มหงายตึงเมื่อสิ้นฤทธิ์
“ยังดีที่หัวเป็นจุดอ่อน”เมฟิสถอนหายใจด้วยความโล่งอก มองร่างตรงหน้าค่อยๆ สลายกลับไปเป็นความว่างเปล่าดังเช่นตอนแรก ก่อนจะมาสนใจประตูบานยักษ์ตรงนี้ตนที่ค่อยๆ แง้มออกราวกับต้อนรับ
เมื่อเปิดอ้าออกจนสุด สิ่งที่เขาพบตรงหน้าคือแสงสีทองอร่ามของทรัพย์สมบัติกองโต ที่ยอดกองสมบัติคือแท่นทองคำที่มือหนังสือเล่มหนึ่งวางอยู่ แต่ด้วยระยะทางที่ไกลทำให้เขาเห็นหนังสือเล่มนั้นไม่ชัด
นี่มันห้องอะไรกัน?
เขาไม่รู้ว่าตัวเองสลบไปตอนไหน แต่เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีเขาก็พบแต่ความมืดสนิท พร้อมกับความเจ็บแปลบบริเวณท้ายทอยและอาการปวดหัวที่พอจะบอกเขาได้ว่าหัวเขาต้องกระแทกอะไรสักอย่าง
มือทั้งสองถูกโซ่พันธนาการไพล่หลัง แต่ก็มีสายโซ่อีกเส้นที่ตรวนเขาไว้กับผนัง แต่ยังดีที่โซ่นั้นมีความยาวอยู่ในระดับหนึ่ง ทำให้เขาสามารถเดินเหินภายในห้องมืดๆ นั้นได้นิดหน่อยคลายความเมื่อยล้า ถึงจะยังไม่สามารถแตะถึงกำแพงฝั่งอื่นนอกจากด้านหลังเขาได้ก็ตาม
โซ่นั้นรัดแน่นจนเขารู้สึกเจ็บ ทั้งพยายามขยับก็ไร้ประโยชน์
เฟเรสพยายามเพ่งมองผ่านความมืดของห้องทึบนั้น แต่ไม่ว่าตาเขาจะชินกับความมืดมากแค่ไหน ก็ยังคงเห็นแต่ความมืดดำ บ่งบอกว่าห้องนี้ไม่มีแสงเล็ดรอดเข้ามาเลย
“มอร์เช่”เฟเรสพึมพำเรียกอาวุธของตัวเอง แต่ก็ไร้ผล อาวุธไม่ปรากฏขึ้นในมือเขาเช่นทุกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มจึงลองใช้เวทระดับต่ำที่สามารถร่ายได้โดยไม่ต้องพึ่งสื่อพลังเวทดู แต่ผลก็เหมือนเดิมว่าเขาไม่สามารถใช้เวทได้
ไม่ห้องนี้เป็นห้องที่ลงอาณาเขต‘ผนึกเวท’ ก็โซ่ที่เขาถูกล่ามไว้นี่ล่ะที่ถูกร่ายเวท‘กักมนตรา’
แต่ใครกันที่สามารถใช้เวทโบราณแบบนี้ได้?
ถ้าเฟเรสจำไม่ผิด เวทชั้นสูงพวกนี้ได้สาบสูญไปตั้งแต่สหัสวรรษแรก ตั้งแต่ยุคสมัยที่มิติแห่งนี้มีเพียงอาณาจักรเดียว’โอแซล’ และทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก ด้วยเหตุผลที่ว่าเวทพวกนี้ไร้ประโยชน์ในยุคที่ไร้ซึ่งสงคราม ผู้คนจึงเลือกที่ลืมเลือนมันไป เวทที่คนในปัจจุบันเรียกกันว่า มนตราโบราณ
เขาเองที่รู้จักก็เพราะได้อ่านหนังสือเก่าๆ ที่ซาครอสชอบค้นมาจากห้องสมุดเพื่ออ่านเล่น แต่ก็รู้เพียงชื่อและอำนาจของมัน ไม่มีจารึกถึงบทร่ายเวทแต่อย่างใด
เฟเรสขมวดคิ้วแน่นด้วยความเครียด หากคนที่รู้จักมนตราโบราณเป็นศัตรูกับเขา เขาที่รู้จักมนต์เหล่านั้นน้อยจะเอาอะไรไปสู้?
เด็กหนุ่มขยับตัวพิงกำแพง พยายามปรับท่านั่งให้สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะดูจากทีท่าแล้วเขาคงต้องอยู่ในห้องนี้อีกนานแน่ๆ แต่ด้วยมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ไหล่รั้งตึงและปวดตลอดเวลา
“เฮ้อ...”เฟเรสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ อดคิดไม่ได้ว่าช่วงนี้ชีวิตของเขามันวุ่นวายเหลือเกิน
ดวงตาสีน้ำเงินเหม่อมองไปในความมืด ในหัวคิดประมวลผลเรื่องต่างๆ เรื่อยเปื่อย ปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนนัยน์ตาคู่นั้นกำลังจะปรือปิดลง...
‘ครืด...’เสียงเหล็กหนักขูดพื้นหินพร้อมแสงสว่างแสบตาจากด้านหน้าของเขานั้นทำให้เฟเรสพ้นจากอาการสะลึมสะลือทันควัน
เด็กหนุ่มหรี่ตาลงเพื่อให้ม่านตาปรับตัวพร้อมเบือนหน้าหนีน้อยๆ เมื่อแสงนั้นจ้าเกินกว่าที่สายตาของเขาจะรับไหว ก่อนที่เขาจะมองเห็นภาพเบื้องหน้าชัดเจนขึ้น
ร่างเงายืนตระหง่านขวางทางออก ด้วยแสงที่ส่องมาจากด้านนอกทำให้เขาเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่จากเค้ารางๆ ที่เห็นก็พอจะบอกได้ว่าเป็นคนเดียวกันกับชายแปลกหน้าที่เขาเจอที่โรงเรียนอย่างแน่นอน
“เป็นไง พ่อหนุ่ม อยู่ในคุกมืดสบายดีรึเปล่า?”น้ำเสียงนั้นแฝงแววล้อเลียนไว้เต็มเปี่ยม แต่เฟเรสก็เลือกจะปล่อยให้มันผ่านไป
“...”เมื่อสิ่งที่ได้รับเป็นความเงียบ คนที่ยืนขวางทางประตูจึงถอนหายใจ “ไม่เอาน่า ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นใบ้”
“...”
“แค่พูดสักคำดอกพิกุลไม่ร่วงหรอกน่า”
“...”
“ข้าไม่ได้อยากพูดคนเดียวนา แค่ต้องนั่งเฝ้าเจ้าคนเดียวมาครึ่งค่อนวันข้าก็เบื่อจะแย่อยู่แล้ว”ชายวัยกลางโอดครวญ ก่อนจะดีดนิ้วเหมือนนึกอะไรออก
“เอาอย่างนี้ล่ะกัน”เขาเดินมานั่งยองๆ ด้านหน้าเฟเรสแล้วชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ข้าให้ถามคำถามได้สามคำถาม ถ้าตอบได้ข้าจะตอบให้”
“...”
“หรือเจ้าหูหนวก?”ตอนนี้ร่างบึกชักจะไม่แน่ใจเสียแล้วว่าอีกฝ่ายปกติครบทุกส่วนจริงหรือเปล่า
“ที่นี่ที่ไหน พวกเจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”เฟเรสตัดสินใจบอกด้วยประโยคที่ไม่เหมือนคำถามแต่เป็นประโยคบอกเล่า
“ในที่สุด! ข้านึกว่าเจ้าจะหูหนวกจริงๆ ซะอีก โอ้! ขอบคุณพระเจ้า”ชายหนุ่มทำท่าดีใจ ถึงแม้ว่าเฟเรสจะเห็นแค่ท่าทางแต่ก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความหน่ายใจ
“ที่นี่ที่ไหนข้าคงตอบไม่ได้ล่ะนะ ไม่งั้นจะเรียกลักพาตัวได้ยังไงจริงมั้ย?”เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปไม่ยอมตอบคำถามต่อไป พร้อมความรู้สึกที่เหมือนอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมาอย่างมีความหวัง เฟเรสจึงต้องตอบไปอย่างช่วยไม่ได้
“อืม”ตอนนี้เป็นเฟเรสที่ชักไม่แน่ใจว่าคนตรงหน้าคิดยังไงถึงเข้ามานั่งคุยเล่นกับเขากันแน่ ท่าทางนั้นก็ดูเด็กๆ ไม่สมริ้วรอยอายุที่ปรากฏบนใบหน้า ทั้งยังคำพูดคำจาเหมือนวัยรุ่นไม่ยอมโตนั่นอีก
“ข้อสอง เจ้าใช้คำว่าพวกข้าไม่ถูกหรอกนะ เพราะยังไงเสีย ข้าก็เป็นมนุษย์ที่ทำงานเป็นทหารรับจ้างธรรมดาๆ”
‘ทหารรับจ้างธรรมดาที่ฝีมือไม่ธรรมดาล่ะสิไม่ว่า’เฟเรสอดไม่ได้ที่จะข่อนแขวะในใจ เขาชักจะเริ่มรู้สึกรำคาญคนตรงหน้าแปลกๆ
“ส่วนพวกที่จ้างข้าเนี่ย เป็นพวกดาร์กเอลฟ์ แต่ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นใคร ข้าสนแต่เงินรางวัลอยู่แล้ว ส่วนชื่อข้า เรียกว่า โร้ค ก็แล้วกัน”ชายหนุ่มนิรนามที่เพิ่งเผยชื่อตนอย่างง่ายดายตอบต่อ ที่คำตอบที่เขาได้รับทำเอาเขาตกใจ
“ดาร์กเอลฟ์?!”เฟเรสเผลอทวนชื่อเผ่าพันธุ์อันแสนคุ้นเคยออกมา ดวงตาสีน้ำเงินเบิกกว้างเล็กน้อย หลายอย่างในหัวเขาเริ่มลงล็อค ถึงสาเหตุต่างๆ และทำไมเขาถึงถูกจับมา
“ช่าย ดาร์กเอลฟ์ ข้าเองก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกนั้นต้องการอะไรจากเจ้า และข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปทำอะไรให้เผ่านั้นไว้ แต่เจ้าถือว่าซวยมากเลยล่ะ พ่อหนุ่ม”โร้คเอ่ยพลางยักไหล่ “พวกนั้นเป็นพวกตื้อไม่เลิก แถมเป็นพวกแค้นฝังหุ่นอีกต่างหาก”
“...”เฟเรสขบฟันใช้ความคิด
‘ถ้าพวกมันจะจับข้ามาก็มีเพียงจุดประสงค์เดียว ตัวประกัน!’
เด็กหนุ่มผมดำหรี่ตาลงด้วยความหงุดหงิด หลังจากที่รู้ข่าวที่บ้านไม่นาน เขาก็ตกเป็นตัวประกันตามคำเตือนของอาเรสอย่างงั้นหรอ?!
“สีหน้าแบบนั้น แสดงว่าเจ้าเองก็มีธุระกับพวกนั้นล่ะสิ”โร้คเอ่ยเย้า แต่เฟเรสก็ไม่ตอบอะไรและใช้ความเงียบแทนคำตอบ แต่คนอายุมากกว่าก็เพียงหัวเราะร่วนกับความเงียบนั้น
“เอาเถอะ จะไม่บอกก็เรื่องของเจ้า ข้าก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องของพวกเจ้าอยู่แล้ว”
“ความจริงจะดีกว่านี้มากเลยล่ะ ถ้าเจ้าไม่รับงานของพวกดาร์กเอลฟ์มาน่ะนะ”น้ำเสียงกวนประสาทไม่แพ้กันดังมาจากด้านนอกห้อง เรียกความสนใจให้สองคนในห้องมืดหันไปหา ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินมาตรงธรณีประตูสร้างเงาพาดผ่านเข้ามาในห้องเล็ก
“เอาล่ะ ช่วยคืนรุ่นน้องที่น่ารักของข้ามาได้มั้ยเอ่ย?”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ