The Revenge ความแค้นที่หอมหวาน

9.2

เขียนโดย MeTang

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.06 น.

  36 ตอน
  10 วิจารณ์
  42.60K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 15.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

34) ตอนที่ 34

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               รถยนต์สองประตูแล่นผ่านแสงแดดยามสายมาจอดหน้าอพาร์ทเม้นต์หรูห้าชั้น แม้อุณหภูมิในวันนี้จะสูงกว่าเมื่อวานนี้มาก แต่กลับไม่ได้ส่งผลให้หัวใจของใครบางร้อนตามแม้แต่น้อย

                “ขอบคุณที่มาส่งนะครับ เดี๋ยวผมเปลี่ยนชุดแล้วไปมหาวิทยาลัยเองได้ครับ”

                “ไม่เอา... ฉันจะไปส่งนายให้ถึงมหาวิทยาลัย”

                “แต่นี่ก็สายมาแล้วผมไม่อยากรบกวนเวลาริวกิแล้วล่ะครับ ไปก่อนนะครับ” ปอนด์ถลาตัวออกจากรถไปอย่างรวดเร็วก่อนจะปิดประตูด้วยความรีบเร่ง

                “ฉันรอนะ” ริวกิตะโกนไล่หลังปอนด์

                ปอนด์รู้สึกเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อนิดหน่อย อาจจะเพราะช่วงนี้เขาต้องเจอเรื่องหนักหนาสาหัสไม่ซ้ำแต่ละวัน แผลเก่าจากป้องศักดิ์ก็ยังไม่หายดี ยังมาโดนแผลใหม่จากซินดี้เข้าไปอีก แต่ที่หนักสุดก็คงเป็นแผลจากริวกิที่เขาเพิ่งได้มาสดๆร้อนๆเมื่อคืนนี้

                “อ้าวน้องปอนด์ ไม่เจอหน้าหลายวันเลยนะครับ” หมูยามของหอพักเจ้าเก่าทักทายอย่างคนคุ้นเคย

                “ครับพี่หมู ไว้ค่อยคุยกันนะครับผมสายแล้ว” ปอนด์เดินผ่านโซนรับแขกของอพาร์ทเม้นต์ และเร่งรีบเดินขึ้นบันไดที่อยู่ในห้องโถงอย่างรวดเร็ว ปอนด์ไล่เรียงลำดับความคิดถึงสิ่งที่ต้องเตรียมไปเรียนในระหว่างที่ก้าวขึ้นบันแต่ละขั้น

                อาการปวดเกร็งที่กล้ามเนื้อทำให้ปอนด์เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะรับมือกับมันได้ดีขึ้น ปอนด์รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนชุดนักศึกษาในเวลาไม่ถึงห้านาที โชคดีที่ก่อนออกมาจากออฟฟิศเจสันได้เตรียมน้ำอุ่นในอ่างให้อาบไว้ตั้งแต่ตอนเช้ามืด แต่ถ้าไม่ใช่เพราะริวกิพยายามไซร้ซอกคอปอนด์ตอนอาบน้ำจนเกือบเคลิ้ม เขาก็คงไม่เสียเวลาจนเกือบสายแบบนี้          

                ปอนด์ตรวจเช็คสิ่งที่ต้องเตรียมไปมหาวิทยาลัยอีกครั้ง เขาตั้งโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่ห้องเพราะแบตเตอร์รี่หมดเกลี้ยงจนไม่มีประโยชน์ที่จะต้องพกพาไปให้หนัก อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนติดสังคมออนไลน์เท่าไหร่ จึงไม่รู้สึกเดือดร้อนหากไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้ ปอนด์เปิดประตูห้องออกด้วยความเร่งรีบ ด้วยความที่เขามัวแต่ก้มหน้าก้มตาตรวจสิ่งของในกระเป๋ากางเกงจึงทำให้หัวไหล่ของเขาชนเข้ากับร่างกายของผู้ชายคนหนึ่ง

                “จ... โจ๊ก” ปอนด์โพล่งออกมาด้วยความตกใจ

                “ใช่... ฉันเอง” โจ๊กทำหน้ากวนใส่ “ทำไมวันนี้ถึงอยู่ห้องได้ล่ะ แล้วเมื่อวาน...”

                “เอาเหอะนะค่อยคุยกัน ตอนนี้สายแล้วอาจารย์ยิ่งโหดๆอยู่” ปอนด์ปิดประตูห้องก่อนจะควงแขนลากโจ๊กให้ลงบันไดมา

                “เมื่อวานฉันเก็บเอกสารทุกวิชาที่แกขาดเรียนไว้ให้แล้ว ตอนเย็นค่อยกลับมาเอาแล้วกันนะ”

                “ขอบใจมากนะเพื่อนรัก” ปอนด์ตบบ่าโจ๊กเบาๆ

                “เปลี่ยนคำขอบใจเป็นหอมแก้มสักทีได้ป่าววะ”

                “ทะลึ่ง... คนยิ่งรีบๆอยู่”

                “ไม่ได้ไปเรียนกับแกนานแล้วนะ”

                “นานอะไรกัน คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า”

                “อือ... คงจะเป็นอย่างนั้น” โจ๊กทำสีหน้าหนักใจ

                “เป็นอะไรไปอีก ก็นี่ไงได้ไปเรียนด้วยกันแล้ว พอใจยัง?” ปอนด์กอดคอโจ๊กเพื่อปลอบใจ

                ทั้งคู่ก้าวเท้าลงจากบันไดขั้นสุดท้ายถึงยังพื้นของห้องโถง ปอนด์เงยหน้ามองไปยังทางเดินที่กว้างขวาง แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นริวกินั่งรออยู่ที่ม้าหินอ่อน ปอนด์รีบปล่อยมือออกจากคอของโจ๊กในทันทีโดยที่ไม่รู้ตัว

                “ร... ริวกิ ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้ว” ปอนด์พูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก “อ... เอ่อ... นี่ โจ๊กครับ”

                “ฉันจะไปส่งนายที่มหาวิทยาลัย” ริวกิพูดโดยที่ไม่สนใจโจ๊กที่ทำท่าจะยกมือไหว้

                “ไม่เป็นไรหรอก มหาวิทยาลัยอยู่ใกล้แค่นี้เองเดี๋ยวผมไปกับโจ๊กเองก็ได้ อีกอย่างผมไม่อยากรบกวนเวลางานของริวกิด้วย”

                “ฉันกลับไปตอนนี้ก็ยังทำงานไม่ได้หรอก”

                “ทำไมเหรอครับ”

                “ก็เมื่อคืนนายวาดลีลาบนโต๊ะทำงานฉันจนข้าวของตกกระจัดกระจายไปหมด” ริวกิมองโจ๊กที่ยืนทำหน้าเหวอ “ป่านนี้เลขาส่วนตัวฉันคงยังเรียงแฟ้มเอกสารยังไม่เสร็จหรอก สงสัยวันหลังคงต้องกลับไปทำกันที่เตียงหรือไม่ก็...”

                “ริวกิ” ปอนด์ตะโกนลั่นด้วยความอาย “ทำไมพูดแบบนั่นละครับ”

                “ฉันพูดผิดตรงไหน” ริวกิยิ้มที่มุมปากอย่างผู้กุมชัยชนะ “เรื่องจริงทั้งนั้น”

                “เข้าใจนะครับว่าคนเพิ่งได้ก็อยากอวดเป็นธรรมดา” โจ๊กที่หน้าซีดเผือดเริ่มโต้ตอบ “คนที่ใกล้ชิดกันมานาน ลึกซึ้งกันมานานอย่างผมคงไม่ต้องพูดอะไรมากหรอกครับ ของแบบนี้รู้ๆกันอยู่”

                “น... นายหมายว่าว่าอะไร?” ริวกิกลายเป็นฝ่ายตกใจ

                “พอทีเถอะนายทั้งคู่แหละ” ปอนด์เริ่มหงุดหงิด “พูดจาอะไรคิดถึงใจคนที่ถูกพาดพิงบ้างได้มั้ย ให้เกียรติกันบ้างเถอะ”

                “ก็...” โจ๊กอ้าปากจะเถียง

                “หยุด” ปอนด์ชี้นิ้วไปที่โจ๊ก

                “รู้หรือยังว่าใครสำคัญกว่า” ริวกิพยายามเยาะเย้ย

                “นายก็ต้องหยุด” ปอนด์เลื่อนนิ้วไปทางริวกิ “พอเลยทั้งสองคนนั่นแหละ ฉันรีบไปเรียนเข้าใจมั้ย”

                “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันขับรถไปส่ง” ริวกิยิ้มให้ปอนด์อย่างห่วงใย “แต่ว่ารถฉันมันนั่งได้แค่สองคนนะ เพื่อนนายคงต้องไปเอง”

                “เอ่อ...” ปอนด์มองใบหน้าที่พยายามข่มอารมณ์ของโจ๊ก เขาไม่อยากให้เพื่อนรักของเขารู้สึกถูกทอดทิ้ง ยิ่งช่วงหลังๆโจ๊กชอบพูดจาแนวนี้อยู่บ่อยๆ ปอนด์ก็เริ่มตระหนักว่าเขาต้องเพิ่มความใส่ใจมากขึ้น “ผมจะไปมหาวิทยาลัยกับโจ๊กครับ ส่วนริวกิก็กลับออฟฟิศไปก่อนแล้วกันนะ”

                “แต่...” ริวกิมองเห็นโจ๊กแอบยิ้มและยักคิ้วเยาะเย้ย

                “เอาไว้เจอกันตอนบ่ายสองแล้วกันนะครับ ผมจะรอริวกิที่คาเฟ่ในมหาวิทยาลัย”

                “รู้หรือยังว่าใครสำคัญ... โจ๊กถลึงตาใส่ริวกิ

                “โจ๊ก” ปอนด์ตวาดเสียงเข้ม

                ริวกิได้แต่เก็บอารมณ์หงุดหงิดไว้ในใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกไม่ค่อยชอบหน้าโจ๊ก อาจเพราะโจ๊กชอบทำหน้าตากวนๆใส่ หรือไม่ก็คงคำพูดและท่าทางที่แสดงตัวออกมาเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของปอนด์ แล้วยิ่งปอนด์มีทีท่าเข้าข้างโจ๊กอีกด้วย มันทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้โจ๊กเพิ่มไปอีก นอกจากนี้แล้วริวกิก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง ว่าทำไมเขาถึงต้องยอมปอนด์แทบจะทุกเรื่อง ทำไมเขาถึงเห็นร้อยยิ้มของปอนด์แล้วหัวใจของเขาพองโต จนเขาอยากจะเก็บร้อยยิ้มเหล่านั้นไว้กับตัวคนเดียว

               

 

                หลังจากบอกแนวข้อสอบปลายภาคแก่นักศึกษาทั้งหมดแล้ว อาจารย์จึงปล่อยให้นักศึกษาทุกคนเลิกชั้นเรียนก่อนกำหนดครึ่งชั่วโมง ปอนด์ยังพอมีเวลาก่อนที่ริวกิจะมารับ เขาจึงชวนสองเพื่อนสนิทไปหาอะไรทานเล่นที่คาเฟ่ของมหาวิทยาลัย

                คาเฟ่นี้จะมีนักศึกษาชุมนุมกันอย่างวุ่นวาย เพราะที่นี่มีทั้งร้านเค้ก ร้านเครื่องดื่ม และของทานเล่นอื่นๆมากมาย แต่วันนี้ผู้คนกลับบางตากว่าปกติมาก จึงทำให้เหลือโต๊ะว่างอีกเยอะแยะ ปอนด์เลือกนั่งตรงกลางที่มองเห็นง่ายที่สุด เผื่อว่าริวกิเขามาจะได้ไม่เสียเวลาตามหาเขานาน

                “จะเอาอะไรมั้ย เดี๋ยวไปซื้อให้” โจ๊กถามปอนด์กับฟ้าที่นั่งแช่ลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว

                “ฟ้าเอาชาเขียวปั่นหวานน้อยๆ น้ำเชื่อมเยอะๆ แล้วก็วิปปิ้งครีมฟูๆ”

                “ควบคุมน้ำหนักอยู่ใช่มั้ยถึงสั่งหวานน้อยๆ แต่ให้ใส่น้ำเชื่อมเยอะๆ จะได้ไม่รู้สึกผิดต่อตัวเองมากสินะ” โจ๊กแซว

                “รู้ทันตลอด”

                “ฉันเอาแตงโมปั่นนะ” ปอนด์ยิ้ม

                “โอเค” โจ๊กหันลงตรงไปยังร้านน้ำที่อยู่ใกล้ๆ

                “เมื่อวานโชคดีนะที่อาจารย์ไม่เช็คชื่อ” ฟ้ามองใบหน้าปอนด์อย่างห่วงใย “มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าถึงไม่ได้มาเรียน”

                “ก็นิดหน่อย” ปอนด์ตอบกลับ “แต่ตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้วล่ะ”

                “อะไรดีจ๊ะ แผลหรือหัวใจ”

                “มันก็...” ปอนด์หลบสายตาของเพื่อนรัก “ทั้งสองอย่างแหละ”

                “ตายแล้ว! อิจฉา! เมื่อไหร่จะพามาเปิดตัวคะคุณเพื่อน”

                “ไม่รู้สิ... ปอนด์ยังไม่แน่ใจเลยว่าเราคบกันในสถานะเดียวกันหรือเปล่า แต่สำหรับตัวปอนด์เอง ก็รู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้วล่ะ”

                “เอาน่า! อย่าคิดมากเลย ปล่อยให้มันค่อยๆเป็นค่อยๆไป”

                “จริงๆวันนี้เดี๋ยวเขาก็จะรับไปดูหนัง”

                “ว๊าย! เดทแรกมั้ยเนี้ย”

                “ก... ก็คงใช่มั้ง” ปอนด์หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ “แต่จริงๆปอนด์อยากให้ฟ้ากับโจ๊กไปด้วยนะ ขอเขาไปแล้วด้วย แต่... เอ่อ... เขาไม่ค่อยรู้จักก็เลยอาย หรือไม่ก็ไม่ถนัดกับการเข้าสังคม”

                “ไม่เป็นไรปอนด์ ฟ้าเข้าใจ” ฟ้ายิ้มด้วยความอารี “ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากๆเถอะ น่าจะผ่านเรื่องร้ายกันมาไม่น้อย เวลามีความสุขก็อย่ากังวลกับความทุกข์ที่ยังมาไม่ถึงจนเกินไป”

                “ขอบคุณมากนะฟ้า ถ้าปอนด์ไม่ได้ฟ้าคอยแนะนำอะไรหลายๆอย่าง ทุกวันนี้ปอนด์ก็คงยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร”

                “เพื่อนๆมาปรึกษาเยอะดี... ฟ้าชอบ”

                “ได้แล้ว” โจ๊กวางแก้วน้ำชาเขียวปั่นกับแตงโมปั่นไว้ตรงกลางโต๊ะ ก่อนที่เขาจะนั่งลงใกล้ๆปอนด์ “คุยอะไรกันอยู่เหรอ เล่าให้ฟังมั่งสิ”

                “ป่าวนี่” ปอนด์ปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “อ้าว! ทำไมซื้อมาแค่สองแก้ว แกไม่กินอะไรเหรอ”

                “ไม่เอา... ฉันรอกินของแกดีกว่า”

                “ไม่ได้! ไม่ให้กิน!” ปอนด์ทำหน้ามุ่ยก่อนจะรีบดึงแก้วน้ำแตงโมปั่นจากกลางโต๊ะไว้กับตัว

                “ขี้งกว่ะ ฝากซื้อเงินก็ไม่จ่าย น้ำใจก็ไม่มี งอนดีกว่า”

                “เฮ้ย! ลืมจ่ายเงินจริงๆด้วย” ปอนด์ยิ้มแก้เขิน “ถ้าอย่างนั้นลืมต่อดีกว่า เดี๋ยวเหลือครึ่งแก้วค่อยแบ่งให้กินนะ”

                “ปอนด์ลืมแต่ฟ้าตั้งใจนะ” ฟ้ายิ้มทะเล้น พลางดูดชาเขียวในมืออย่างไม่สนใจ

                “ช่างมันเถอะราคาไม่ถึงร้อยเสี่ยโจ๊กเลี้ยงได้สบายอยู่แล้ว”

                “ป๋ามากค่ะเสี่ย เลี้ยงน้ำปั่นแก้วล่ะห้าสิบบาท วางท่าอย่างกับเลี้ยงกาแฟขึ้นห้างแก้วละสองร้อยเชียวนะคะ” ฟ้ากระแนะกระแหน

                “เอาเหอะน่า... ว่าแต่...” โจ๊กเกลี่ยผมปอนด์เล่น “ผมเริ่มดำแล้วนะปอนด์ แกจะย้อมผมอีกมั้ย”

                “น่าจะไม่ย้อมแล้วแหละ แค่นี้ผมก็เกือบเสียแล้ว”

                “ฝีมือฉันย้อมให้ไง ผมก็เลยไม่แห้งเสีย”

                “ไม่เกี่ยวมั่งเหอะ มันอยู่ที่การดูแลของเจ้าของผมหรอก”

                “อ๋อเหรอครับ” โจ๊กลากเสียงยาวอย่างขี้เล่น

                นิ้วมือที่ลูบไล้ไปตามเส้นผมแต่ละเส้นและแววตาที่อบอุ่นของโจ๊ก ทำให้ปอนด์รู้สึกแปลกๆ เขารู้สึกว่าโจ๊กไม่เหมือนเดิมและดูเหมือนมีอะไรอยู่ในใจที่เขาไม่รู้อยู่

                “จะไปกันได้หรือยัง” เสียงชายหนุ่มทุ้มต่ำที่ดุดันดังมาจากข้างหลังของโจ๊ก

                “ร.. ริวกิ” ปอนด์เงยหน้ามองไปยังเจ้าของเสียงด้วยความตกใจ “มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมถึงมาเร็วจัง”

                ริวกิปรากฏตัวในชุดสบายๆ เขาสวมเสื้อยืดสีฟ้าน้ำทะเลกับกางเกงขาสั้นสีครีม เจ้าพ่อไนต์คลับในลุคที่สดใสดูแปลกตามากสำหรับปอนด์ แต่ถึงแม้ริวกิจะสลัดชุดสูทเปลี่ยนสไตล์มาเป็นแนวสบายๆ เขาก็ยังคงดูมีภูมิฐานมาดนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงกระจายออกมาจากตัวอยู่ดี

                “มาทันฟังตั้งแต่นายย้อมผม สงสัยคงจะเลือกสีกันเพลินจนมองไม่เห็นฉันล่ะมั้ง”

                ปอนด์สีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาจากริวกิ เขาไม่รู้ว่าทำไมริวกิถึงดูเหมือนจะกลับไปเป็นคนเยือกเย็นอีกครั้งทุกครั้งที่ปอนด์อยู่กับเพื่อนๆ

                “ตกลงว่าจะไปกันได้หรือยัง”

                “ค... ค... ครับ” ปอนด์กุลีกุจอลุกด้วยความเกรงใจ “ขอโทษด้วยนะโจ๊ก... ฟ้า... ปอนด์ไปก่อนนะ ไว้เจอกันใหม่”

                “จ้า... ไม่เป็นไรปอนด์” ฟ้ายิ้มกรุ้มกริ่ม “เดท... เอ๊ย! เที่ยวให้สนุกนะ”

                “แล้วเพื่อนๆนายไม่ไปด้วยกันเหรอ” ริวกิมองใบหน้าของปอนด์

                “อ้าว! ผมนึกว่าริวกิไม่ให้...”

                “ฉันให้เจสันซื้อตั๋วเผื่อแล้ว”

                “ถ้าอย่างนั้นผมขอไปกับเพื่อนนะครับ เพราะรถริวกินั่งได้แค่สองคน ผมไม่อยากทิ้งเพื่อนให้ไปกันเอง”

                “นายไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” ริวกิคว้ามือปอนด์ไว้ “ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ”

                “มันใช่เลย” ฟ้ากรี๊ดในลำคอเบาๆเมื่อเห็นริวกิสัมผัสตัวปอนด์    

                “จะไปกันยังไงล่ะครับ?” ปอนด์ถามอย่างสงสัย

                “เมื่อเช้าฉันเพิ่งไปถอยรถใหม่แบบสี่ประตูมา” ริวกิมองหน้าปอนด์ด้วยสีหน้าเรียบง่าย “พอใจหรือยัง... คราวหน้าถ้านายจะไปไหนมาไหนกับเพื่ออีกเป็นสิบคน ฉันก็จะไปถอยรถบรรทุกมาขับ โอเคนะ”

                “ร... ริวกิ” ปอนด์พูดไม่ออกกับสิ่งที่ริวกิทำลงไป

                “อย่าเพิ่งเข้าใจอะไรผิดว่าที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อนายนะ ฉันก็แค่... เอ่อ... ฉันตั้งใจจะถอยรถใหม่อยู่แล้ว พอดีวันนี้มีเวลาว่างด้วยก็แค่นั้นเอง” ริวกิหน้าแดง “ไปกันได้หรือยังล่ะ”

                “ไปค่ะไป” ฟ้าแทบจะกระโดดลุกจากเก้าอี้ในทันที “ชอบจังเวลาผู้ชายงอนกัน”

                “นายล่ะจะไปมั้ย” ริวกิจ้องโจ๊กด้วยแววตาหาเรื่อง เขาดึงตัวปอนด์เข้ามาให้อยู่ในอ้อมแขน “จะไม่ไปก็ได้นะ”

                “ขาดผมไปหนังคงไม่สนุกครับ” โจ๊กลุกขึ้นจ้องหน้าริวกิราวกับว่ากำลังท้าทายให้แข่งอะไรสักอย่าง

                “ว๊าย! ศึกชิงนาง” ฟ้าพยายามเก็บอาการตื่นเต้น

                “เอ่อ... ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะครับ” ปอนด์ดันตัวริวกิให้เริ่ม เขารู้สึกว่าหากไม่รีบหนีออกไปจากที่นี่ คงมีใครสักคนถูกแทงตายก็ได้

 

                กว่าทั้งหมดจะมาถึงห้องรอชมภาพยนตร์ในห้างฯหรูก็เสียเวลาเพราะรถติดไปไม่น้อย แต่โชคดีที่ริวกิรอบคอบ เผื่อเวลาสำหรับเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว จึงทำให้ทุกคนมาทันเวลาก่อนภาพยนตร์จะฉาย

                ริวกิโทรศัพท์บอกตำแหน่งที่อยู่ให้เจสันรู้ได้ไม่นาน ลูกน้องคนสนิทก็เดินตรงดิ่งมาหาเขาอย่างว่องไว เจสันเข้ามาในห้องด้วยสภาพที่แตกต่างจากปกติเช่นเดียวกับริวกิ

                “วันนี้คุณดูดีมากเลยครับเจสัน” ปอนด์ยิ้มให้เจสันที่อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น

                “ไม่เห็นจะชมฉันบ้างเลย” ริวกิกอดอกอย่างถือตัว

                “ริวกิก็ดูหล่อแล้วครับ จะใส่ชุดไหนก็หล่อ... พอใจหรือยัง”

                “แล้วเวลาไม่ใส่อะไรล่ะ”

                “ทะลึ่ง!”

                “ผมจองสามแถวบนสุดตามที่ท่านสั่งให้แล้วครับ” เจสันกระแอมเบาๆ ก่อนจะรายงานผลของงานที่ได้รับคำสั่ง “เดี๋ยวพนักงานตรวจตั๋วจะพาท่านเข้าไปที่โรงภาพยนตร์เองครับ”

                “อะไรนะ ริวกิซื้อทำไมตั้งสามแถว” ปอนด์ถามอย่างตกใจ

                “ฉันก็ซื้อเผื่อเพื่อนนาย” ริวกิมองหน้าปอนด์อย่างสงสัย “ทำไมล่ะ มีปัญหาอะไร”

                “ซื้อเผื่อเยอะไปมั้ยครับ ผมบอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วยอีกสองคนเอง”

                “ก็ฉันไม่ชอบเบียดเสียดกับคนอื่น ถ้านายจะโทรตามเพื่อนคนอื่นมาดูด้วยก็ได้นะ”

                “แบบนี้มันเอาเปรียบคนอื่นเกินไปนะครับ”

                “ฉันเอาเปรียบตรงไหน ที่นั่งทุกที่ฉันก็เสียเงินในราคาปกติเท่ากันกับคนอื่น”

                “มันก็ถูกครับที่ว่ามันคุณจ่ายเงิน แต่อาจจะมีอีกหลายคนที่เขาอยากดูหนังเรื่องนี้เหมือนกัน” ปอนด์มองหน้าริวกิด้วยสายตาอ่อนโยน “ผมไม่อยากให้คุณใช้เงินของคุณรังแกคนอื่น”

                “ว๊าย! หล่อ ใจดี สปอร์ต ดูแบดบอยนิดๆ” ฟ้าพึมพำ

                “แล้วนายจะให้ฉันทำอย่างไรต่อล่ะ เงินฉันก็จ่ายไปแล้ว ฉันก็แค่อยากมาดูหนังกับนายโดยที่ไม่อยากต้องนั่งอึดอัดกับคนอื่น ฉันทำผิดมากไปมั้ย”

                “ผม... ผมขอโทษนะครับ” ปอนด์รู้สึกผิด “ผมคงคิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป จนลืมคิดถึงความรู้สึกของริวกิ”

                “จะให้ไปคืนตั๋วหรือปล่อยให้คนอื่นดูฟรีตอนนี้มันก็คงวุ่นวายไป เพราะอีกไม่กี่นาทีโรงหนังก็จะเปิดแล้ว” เจสันรีบเสริม “ผมว่าใจเย็นๆนะครับ เรื่องนี้อาจจะไม่ร้ายแรงขนาดนั้นก็ได้ครับ”

                “เป็นพวกคนมีเงินแต่ไม่มีน้ำใจสินะ” โจ๊กรีบทับถม

                “ต้องขออภัยด้วยนะครับ ผมเองที่ไม่รอบคอบ ไม่ได้แนะนำท่านริวกิ” เจสันออกรับ

                “เอาเป็นว่าผมต้องขอโทษทุกคนแล้วกันนะครับ ที่คิดมากไปหน่อย” ปอนด์รีบตัดบท

                “คราวหน้าฉันจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกก็แล้วกัน ฉันเองก็เอาแต่ความสบายใจของตัวเองเป็นใหญ่ จนลืมคิดถึงความรับผิดชอบต่อสังคมเหมือนกัน”

                “ได้เวลาโรงภาพยนตร์เปิดแล้วล่ะครับ” จันก้มหน้าเช็คเวลาจากนาฬิกาข้อมือของตัวเอง “เดี๋ยวผมรอที่ห้องนี้แล้วกันนะครับ”

                “อ้าว! เจสันไม่ไปดูด้วยกันเหรอครับ” ปอนด์ถามขณะที่เขาและคนอื่นๆลุกขึ้น

                “อ๋อไม่ครับผมต้อง...”

                “ก็เข้าไปดูด้วยกันสิ ปอนด์ชวนดูหนังแกก็อย่าเสียมารยาท” ริวกิสั่งด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

                “ครับท่านริวกิ... ขอบคุณครับคุณปอนด์”

                “ต้องขอบคุณริวกิสิครับ จะขอบคุณผมทำไม”

                ริวกิกอดคอปอนด์ลากออกไปนอกห้องด้วยกัน ในสายตาคนแถวนี้ต่างมองทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้หนุ่มหล่อที่กอดคอหยอกล้อกันอย่างสนิทสนม แต่ในสายตาสาววายผู้มีความสนิทชิดเชื้อกับปอนด์แล้ว รู้ได้ในทันทีว่าสองคนนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้น ที่เกินจากคำว่าปกติ

 

 

                สำหรับปอนด์แล้วการดูหนังในวันนี้ทุกอย่างสนุกดี ยกเว้นบางช่วงที่เขาต้องศูนย์เสียสมาธิไปจนดูไม่รู้เรื่อง เพราะการนั่งตรงกลางระหว่างริวกิกับโจ๊ก เป็นสิ่งที่ยากสาหัสสำหรับเขา ปอนด์ต้องเขม่นโจ๊กทุกครั้งที่ขว้างป๊อปคอร์นใส่ริวกิ แล้วเขาก็ต้องคอยตีมือริวกิทุกครั้งที่พยายามดีดน้ำจากหลอดเพื่อเอาคืนโจ๊กบ้าง ตรงกันข้ามกับเจสันที่นั่งอยู่ข้างๆโจ๊ก เขาดูจะสงบเงียบที่สุดในบรรดาทุกคนจนปอนด์ไม่แน่ใจว่าเจสันหลับไปหรือเปล่า ส่วนฟ้าก็เอาแต่จ้องหน้าริวกิที่นั่งอยู่ข้างๆจนปอนด์ต้องส่งสายตาเตือนเธอก่อนที่ลูกตาเธอจะถลนออกมาอยู่บ่อยครั้ง

                โชคดีที่สามแถวบนไม่มีใครนั่งอยู่ ไม่เช่นนั้นคงได้มีคนรำคาญพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้นปอนด์ก็ยังรู้สึกผิดๆนิดๆ ที่เก้าอี้ข้างหลังว่างเปล่าไม่มีคนนั่ง

                ริวกิกอดคอปอนด์พากันเดินออกจากโรงหนังทันทีที่หนังจบ เศษป๊อบคอร์นจากความหมั่นไส้ของโจ๊กติดอยู่ที่เสื้อผ้าของเขานิดหน่อย เช่นเดียวกับโจ๊กที่มีคราบน้ำหยดเป็นวงแทบทั้งเสื้อนักศึกษาของเขา ทั้งคู่ดูเหมือนไม่ได้เข้าไปดูหนังเลย

                “เล่นอะไรกันเหมือนเด็ก” ปอนด์หยุดปัดเศษป๊อบคอร์นออกจากเสื้อของริวกิ “ดูสิเลอะหมดเลย”

                ริวกิส่งสายตาเยาะเย้ยให้โจ๊กที่เดินตามมาข้างหลัง เมื่อปอนด์ใช้มือปัดไปตามเสื้อผ้าของเขา สิ่งนี้สร้างความรำคาญใจให้โจ๊กอยู่ไม่น้อย

                “เฮ้ยกระเป๋าตัง” โจ๊กทำท่าทางล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างลุกลี้ลุกลน “สงสัยจะหล่นอยู่ในโรงหนัง ปอนด์กับฟ้าช่วยเข้าไปหาให้หน่อยสิ”

                “ทำไมไม่เข้าไปหาด้วยกันล่ะ” ฟ้าที่เดินตามมาติดๆถาม

                “เอ่อ... โจ๊ก... โจ๊กปวดท้อง ขอเข้าห้องน้ำก่อนได้มั้ย จะไม่ไหวอยู่แล้ว”

                “อ๋อ... ได้สิ รีบไปเถอะโจ๊ก” ปอนด์เดินกลับเข้าไปในโรงหนังพร้อมกับฟ้า

                “หาทางไปห้องน้ำเองเจอมั้ย หรือต้องให้ฉันไปส่ง” ริวกิพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นปอนด์เดินหายลับไป               

                “ไม่ต้องทั้งสองอย่าง” โจ๊กขยับตัวเข้าใกล้ริวกิ

                “ท่าทางนายดูไม่เหมือนคนรีบเข้าห้องน้ำเลยนี่ ให้ฉันเดานะ... เรื่องกระเป๋าตังหายก็คงเป็นเรื่องโกหก” ริวกิจ้องมองโจ๊กด้วยสายตาที่เอาจริงเอาจัง “ต้องการอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า”

                “ฉลาดเหมือนกันนี่” โจ๊กยิ้มมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นนายก็น่าจะฉลาดพอที่จะรู้ว่าฉันก็เหม็นขี้หน้านายจะตายอยู่แล้ว ที่ฉันทนฝืนมานี่ก็เพราะปอนด์ รู้ไว้ด้วยนะ”

                “ฉันเองก็ไม่ได้ชอบขี้หน้านายเท่าไหร่หรอกนะ”

                “ฉันไม่สนหรอกนะว่านายกับปอนด์ไปทำอะไรมา หรือรู้สึกอย่างไรต่อกัน แต่ฉันอยากให้นายถอยห่างออกไปเสีย คนอย่างนายไม่ควรอยู่ใกล้ปอนด์”

                “แล้วคนอย่างนายเรียกได้ว่าเหมาะสมที่จะอยู่กับปอนด์อย่างนั้นเหรอ”

                “ฉันไม่ได้พูดถึงเรื่องความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม” โจ๊กจ้องตาริวกิอย่างไม่ท้อถอย “ฉันหมายถึงคนอย่างนายอยู่ไปก็มีแต่จะพาความเดือดร้อนมาให้ปอนด์”

                “ปอนด์เล่าอะไรให้นายฟัง” ริวกิเริ่มรู้สึกโมโห เขาอยากจะรู้ว่าปอนด์เล่าอะไรให้โจ๊กฟังกันแน่ ทำไมโจ๊กถึงได้พูดจาแบบนี้ออกมา

                “ปอนด์น่ะเหรอ” โจ๊กหัวเราะเบาๆ “เขาแทบไม่เคยบอกกับใครเรื่องนายด้วยซ้ำ รวมไปถึงเนื้อตัวที่เป็นแผลบอบช้ำขนาดนั้น ขนาดเราสนิทกันมาตั้งหลายปี เขายังไม่ปริปากบอกอะไรสักอย่าง”

                “ถ้านายไม่รู้อะไรจริงสักเรื่อง นายก็ไม่ควรจะมาพูดแทนใคร”

                “ฉันว่านายรู้อยู่แก่ใจดีว่าแผลต่างๆที่ปอนด์ได้รับมันมีที่มาที่ไปอย่างไร ฉันเชื่อว่านายต้องมีเอี่ยวกับแผลพวกนั้นแน่นอน ถ้านายไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง นายก็ต้องเป็นสาเหตุให้ชีวิตปอนด์ต้องตกอยู่ในอันตรายขนาดนั้น”

                ริวกิถึงกับผงะกับความจริงที่โจ๊กพูด เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง เรื่องร้ายๆทุกอย่างที่ปอนด์เจอก็ล้วนมีต้นตอมาจากเขาทั้งนั้น มันเจ็บใจจนจุกที่เขาไม่สามารถวิ่งหนีความจริงข้อนี้ได้

                “แต่ก่อนชีวิตของปอนด์ก็ร่าเริงเป็นปกติ แต่พักหลังมานี้ปอนด์ก็ดูแปลกๆไป เริ่มขาดเรียนบ่อย เริ่มมีแผลฟกช้ำตามร่างกาย” โจ๊กพยายามไล่ต้อนเมื่อเห็นริวกิจนมุม “ทั้งหมดก็เพราะนาย”

                “ฉันเป็นคนเดียวที่สามารถปกป้องปอนด์ได้”

                “นายไม่จำเป็นต้องปกป้องอะไรปอนด์เลย เพราะปัญหาทุกอย่างมันตามติดตัวนายมา แค่นายไม่ต้องยุ่งกับปอนด์ ปล่อยให้ปอนด์มีชีวิตที่ปกติเหมือนเมื่อก่อน แค่นี้ปอนด์ก็อยู่อย่างปลอดภัยแล้ว”

                คำพูดของโจ๊กแทงตรงเข้าไปกลางใจของริวกิจนเกิดรอยแผลบาดลึกลงไป เขาหมดสิ้นเหตุผลที่จะใช้แก้ต่างให้กับตัวเอง แม้เขาจะพยายามปกป้องปอนด์ให้ดีที่สุด แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาปอนด์ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจริงๆ ปัญหามันไม่เพียงแค่ตามจองล้างจองผลาญชีวิตของริวกิ แต่มันจะแผดเผาทุกคนที่ใกล้ชิดไปด้วย

                การที่มีปอนด์อยู่ใกล้ๆตัวก็เหมือนเอาปอนด์มาเป็นเกราะกำบัง เพราะคนที่อยากจะเล่นงานเขาไม่สนหรอกว่าจะเป็นใครหรือวิธีใด แล้วยิ่งหากคนพวกนั้นรู้ว่าปอนด์คือจุดอ่อนในชีวิตริวกิ ทุกคนคงเล็งเป้าหมายไปทำร้ายปอนด์อย่างแน่นอน สิ่งที่โจ๊กพูดมาแม้มันจะยากที่จะรับฟัง แต่มันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้

                “ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ออกไปจากชีวิตปอนด์เถอะถ้านายรักเขาจริงๆ แม้ฉันจะไม่ได้มีเงินทองมากเท่านาย แต่ฉันสามารถดูแลปอนด์ให้ปลอดภัยและมีความสุขได้มากกว่านายแน่นอน”

                โจ๊กทิ้งประโยคที่เจ็บแสบไว้ตรงกลางใจของริวกิก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในโรงหนังไป โจ๊กก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองต้องพูดจาอะไรทำร้ายจิตใจริวกิออกไปแบบนั้น โจ๊กแค่รู้สึกว่าไม่อยากให้ปอนด์ต้องใกล้ชิดกับริวกิ เพราะสิ่งนี้มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะสูญเสียสิ่งมีค่าในชีวิตไป

                “โจ๊กหาหลายรอบก็ไม่เจอเลย” ปอนด์ร้องบอกโจ๊กทันทีที่เห็นโจ๊กเดินหน้าเศร้าเข้ามา

                “ฉันลองหาใหม่แล้วเจอมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงนี่แหละ ขอโทษนะที่ทำให้ต้องเดือดร้อน”

                “อื้อหือ... มันน่าตีจริงๆนะโจ๊ก อย่างนี้ต้องปรับโทษเป็นเลี้ยงมื้อเที่ยงแบบจัดหนักหนึ่งมื้อดีมั้ยเนี้ย” ฟ้าโอดครวญ

                “ปอนด์” โจ๊กเดินตรงไปหาปอนด์

                “ว่าไง”

                “ขอโทษนะ”

                “อ๋อ...” ปอนด์รู้สึกงุนงงเล็กน้อย “ไม่เป็นไรเรื่องเล็กน้อย”

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเรากลับกันเถอะ” ฟ้าชักชวน

                ทั้งสามคนเดินออกมาจากโรงหนังในทันที โจ๊กมองหลังปอนด์ที่เดินนำหน้าด้วยความรู้สึกไม่ดี แต่เขาก็ย้ำกับตัวเองว่านั่นเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำ และมันถูกต้องที่สุดแล้ว เหตุผลทั้งหมดเหล่านี้คือสิ่งที่โจ๊กใช้เพื่อกลบความรู้สึกผิดของตัวเอง

                “อ้าว! แล้วริวกิล่ะ” ปอนด์เอ่ยปากถามทันทีเมื่อเขาไม่เห็นริวกิกับเจสันยืนรออยู่นอกโรงหนัง

                “สงสัยกลับไปแล้วมั้ง” โจ๊กตอบ

                “กลับไม่บอกกันเลยนี่นะ” ปอนด์รู้สึกหงุดหงิด

                “ไม่เห็นเป็นไรเลย แกก็กลับกับฉันเหมือนเดิมได้” โจ๊กตบบ่าปอนด์เบาๆ “เหมือนแต่ก่อน”

                “อ๋อ... อืม...”

                ปอนด์มองใบหน้าโจ๊กที่พยายามสื่อข้อความบางอย่างถึงเขา แต่ปอนด์ก็ไม่อยากพยายามเข้าใจมัน เพราะตอนนี้ปอนด์รู้สึกไม่ดีที่ริวกิหายตัวไปโดยไม่สนใจเขา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา