The Revenge ความแค้นที่หอมหวาน

9.2

เขียนโดย MeTang

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 04.06 น.

  36 ตอน
  10 วิจารณ์
  42.67K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 15.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) ตอนที่ 22

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               ในยามบ่ายของวันที่ฟ้าครึ้ม บรรยากาศสีเทาชวนให้อารมณ์คิดถึงใครสักคนฟุ้งขึ้นมาในใจ ริวกินั่งบนเก้าอี้ประจำที่เขานั่งทำงาน แต่วันนี้เขากลับนั่งหันหลังให้โต๊ะที่มีเอกสารกองพะเนิน แล้วเหม่อมองก้อนเมฆสีหม่นอย่างไร้อารมณ์ โดยมีเจสันยืนไร้ตัวตนอยู่ข้างหลัง

                ริวกิรู้สึกว่าอากาศแบบนี้มันทำให้เขาเหมือนไม่มีแรงหรือกำลังจะทำอะไร เขาได้แต่นั่งเงียบอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมมาหลายชั่วโมงแล้ว ริวกิก็ไม่แน่ใจว่าการนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างตอนที่ฝนกำลังจะตกมันทำให้เขาล่องลอย หรือเป็นเพราะในหัวของเขากำลังคิดถึงใครบางคนกันแน่

                ท้องฟ้าสลัวในยามนี้ไม่ต่างกับจิตใจของริวกิ ที่ต้องการแสงสว่างเพื่อทำให้เขาพบหนทางที่สดใส และมองโลกใบใหม่ได้อย่างชัดเจนขึ้น ความหวั่นไหวในใจเริ่มก่อตัวเช่นเดียวกับเมฆฝนภายนอกหน้าต่างนั่น

                “ท่านริวกิครับ คุณซินดี้โทรมาครับ” เจสันผู้ซื่อสัตย์รายงานเจ้านาย

                “ฉันยังไม่อยากคุยกับใคร มีเรื่องอะไรให้เธอบอกนายไว้ได้เลย”

                “ครับท่าน”

                “อีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้เวลาเดินทางแล้วนะครับ” เจสันเตือนริวกิด้วยความหวังดี “หรือท่านจะให้เลื่อนเที่ยวบินเป็นวันอื่น เพราะดูท่าว่าฝนจะตกหนัก อาจจะมีปัญหาเรื่องการเดินทางได้นะครับ”

                “เจสัน” ริวกิขานชื่ออย่างอ่อนล้า เขาแทบจะไม่ได้ฟังเลยว่าเจสันพูดว่าอะไร “แกว่ากลับไปคราวนี้ท่านพ่อจะดีใจที่เจอหน้าฉันหรือเปล่า”

                “ต้องดีใจสิครับ ท่านไม่ได้พบท่านริวกิหลายปีแล้ว ต้องดีใจมากๆแน่นอนครับ”

                “ฉันยังจำได้ตอนที่ฉันกลับไปหาท่านพ่อเมื่อหลายปีที่แล้ว ท่านไล่ฉันให้กลับมาทำงานอย่างกับฉันไม่ใช่ลูก ทั้งๆที่ตอนนั้นฉันลำบากใจแทบแย่” ริวกิพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “ฉันแค่ต้องการได้รับไออุ่นจากอ้อมกอดของคนที่ฉันเรียกว่าพ่อแค่เท่านั้นเอง”

                เจสันไม่ได้ตอบอะไร เขายังจำภาพในวันนั้นได้ดี เป็นวันที่ริวกิเพิ่งเริ่มมาทำงานที่ประเทศไทยใหม่ๆ แรงกดดันมหาศาลที่ถาโถมมาหาเขาในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท แล้วไหนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับพนักงานทุกคน ตอนนี้ริวกิที่ยังอ่อนประสบการณ์ไม่ได้เข้มแข็งเหมือนตอนนี้ เขาทั้งเปราะบาง อ่อนไหว และต้องการที่พึ่ง จากนั้นไม่นานริวกิจึงตัดสินใจบินกลับญี่ปุ่นเพื่อไปหาท่านพ่อด้วยใจที่อ่อนล้า

                ทันทีที่เท้าของเขาเหยียบบนผืนแผ่นดินญี่ปุ่น ท่านพ่อกลับส่งคนให้มาไล่ริวกิกลับทันที ริวกิที่รู้สึกโดดเดี่ยวถึงกลับปล่อยน้ำตาให้ไหลพรากออกมา เพื่อเป็นการบรรเทาหัวใจที่เจ็บปวดของเขา ริวกิเฝ้าถามกับตัวเองเสมอมาว่าเขาทำอะไรผิด ทำไมท่านพ่อกับเขาถึงได้เย็นชาใส่แบบนี้ การที่ท่านแม่กับท่านพี่ตายมันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย

                เจสันอยู่ในเหตุการณ์นั้นและจดจำเรื่องราวได้ทั้งหมด เสียงคร่ำครวญที่ปริ่มจะขาดใจ และน้ำตาที่กลั่นมาจากความเศร้าทุกหยด นั่นเป็นการร้องไห้ครั้งสุดท้ายของริวกิที่เจสันเห็น นับจากวันนั้นถึงวันนี้ ริวกิมีความเข้มแข็งมากขึ้นพอๆกับความเย็นชาที่เกาะหัวใจเขา เจสันเฝ้าภาวนาขอให้สักวันหนึ่งหัวใจที่เยือกเย็นของเจ้านายที่เขาเคารพรักมากที่สุด จะละลายและอ่อนโยนลงได้ในสักวัน

                ริวกิจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของเขา ราวกับว่าต้องการให้ใครสักคนที่เขาต้องการโทรมา ในขณะเดียวกันนี้เมฆฝนที่ตั้งเค้ามานานเริ่มปล่อยหยาดฝนให้โปรยปรายลงมาชโลมไปทั่วทุกพื้นที่ ช่วยเพิ่มความเย็นให้กับหัวใจอันหนาวเหน็บของใครบางคน

 

                เสียงฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่ว ปอนด์สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ วันนี้เป็นวันที่ฝนตกทั่วทั้งกรุงเทพฯ นอกจากจะมีความเย็นชุ่มฉ่ำแล้ว สายฝนยังนำพาความเกียจคร้านมาสู่ปอนด์ด้วย เขายกตัวขึ้นบิดไล่ความเมื่อยล้าเบาๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา

                “ห๊ะ” ปอนด์อุทานออกมาเมื่อพบว่าตัวเองตื่นมาตอนเกือบหกโมงเย็นแล้ว

                ปอนด์ดีดตัวลุกจากที่นอนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้แฟลชไดร์ฟสีดำหล่นลงไปยังพื้น เขายืนดูเจ้าสิ่งนั้นด้วยท่าทีงัวเงีย ก่อนจะเอื้อมไปคว้ามันไว้

                “เอาไงดีเนี้ย” ปอนด์พูดกับตัวเองเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือ ในหัวก็คิดถึงคำไหว้วานจากผู้หญิงลึกลับที่ชื่อว่าซินดี้ คำขอบ้าๆที่เขาพยายามจะไม่คิดถึงมัน

                “แบบนี้แล้วกัน” ปอนด์ยกมือพนมเหนือหัว “พระพิรุณผู้ศักดิ์สิทธิ์ หากต้องการให้ลูกทำความดีช่วยเหลือชีวิตผู้คนขอให้หลังจากที่ลูกอาบน้ำเสร็จขอให้ฝนหยุดตก เบิกทางให้ลูกเดินทางไปทำสิ่งดีๆสำเร็จด้วยเถิด”

                ปอนด์ลุกขึ้นเตรียมตัวอาบน้ำอย่างฉับไว้ เขาค่อยๆบรรจงถอดเสื้อผ้าทีละชิ้นจนท่อนบนเปลือยเปล่า จากนั้นจึงก้าวเท้าย่างเข้าสู่ห้องน้ำอย่างพิรี้พิไร เขาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

                น่าแปลกที่วันนี้ปอนด์ใช้เวลาทำความสะอาดร่างกายนานกว่าปกติ ทุกซอกที่เคยขัดเคยถูเขาก็วนเช็ดล้างมันอยู่ซ้ำๆ จนในที่สุดก็เริ่มทนความหนาวเย็นของอากาศไม่ไหวจนต้องออกมาจากห้องน้ำเพื่อแต่งตัวให้ร่างกายอบอุ่นก่อน

                “ฝนยังไม่หยุดตกเลย ขอโทษด้วยนะริวกิ สงสัยพระพิรุณคงไม่อยากให้ฉันไปเจอนาย” ปอนด์พึมพำอยู่ริมหน้าต่าง “ถ้านายจะโทษ ก็จงโทษสายฝนที่ไม่เข้าข้างคนใจร้ายอย่างนายก็แล้วกัน”

                ปอนด์หยิบแฟลชไดร์ฟขึ้นมานั่งทบทวนเรื่องราวต่างอีกครั้ง เขาเฝ้าถามคำตอบในหัวใจซ้ำไปซ้ำมา ว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี จริงๆแล้วเขารู้สึกอย่างไรกับริวกิกันแน่ ปอนด์ย้ำถามตัวเองอยู่หลายรอบแต่ก็ยังไม่สามารถค้นหาความลับของหัวใจได้สักที

                “ทำไมต้องมีแต่เรื่องนายมาวนเวียนในชีวิตของฉันนะ” ปอนด์รำพึงรำพันกับตัวเอง “ทั้งๆที่นายทำร้ายฉันอย่างเลือดเย็น ฉันควรจะโกรธนายและสาปแช่งนายถึงจะถูก แต่ทำไม...”

                ฝนฟ้าแปรปรวนตามจิตใจของปอนด์มากขึ้น สายฝนยังคงเทลงมาราวกับก้อนเมฆที่รอยรั่ว ปอนด์ลุกขึ้นและเปิดตู้เสื้อผ้า เขาจำได้ว่าเก็บร่มสีใสไว้ในนี้ ปอนด์พยายามรื้อเพื่อจะหามัน

                “ถือว่านายยังโชคดีนะที่ฝนซาลงแล้ว ฉันจะช่วยนายอีกครั้งก็ได้ริวกิ” ปอนด์พูดกับตัวเอง “ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย แล้วจากนั้นก็ขอให้นายหายไปจากชีวิตฉันเสียที”

                ท้องฟ้าภายนอกยังไม่มีทีท่าว่าจะแจ่มใส ปอนด์เดินกางร่มออกมาจากอพาร์ทเม้นต์ เขาตั้งใจว่าจะไปให้ถึงออฟฟิศของริวกิหลังสองทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่คนอื่นที่นั่นเลิกงานหมดแล้ว

 

                เป็นเวลาสองทุ่มครึ่งพอดีที่ปอนด์มาถึงออฟฟิศของริวกิพอดี เขาฝ่าฝนที่กรำหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะหยุด เสื้อผ้าเปียกปอนเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ปอนด์จะสนใจ เขาลงจากรถแท็กซี่และเดินตรงไปยังลิฟท์ของออฟฟิศทันที โชคดีที่ปอนด์สามารถจดจำทางเดินได้ และสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ แม้ว่าคราวนี้จะไม่มีเจสันเดินนำก็ตาม

                ปอนด์กดลิฟท์ขึ้นไปชั้นที่ยี่สิบสี่อย่างช่ำชอง นี่ถ้าเป็นคนอื่นคงนึกว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็คงมาที่นี่เป็นประจำ จึงทำให้คุ้นชินทางกับที่นี่เป็นอย่างดี เขาเดินออกมาทันทีที่ลิฟท์มาส่งเขาถึงชั้นที่ต้องการ ปอนด์เดินไปตามทางเดินจนถึงห้องทำงานของริวกิ ปอนด์เดินผ่านเค้าเตอร์ของรุ่งรัตน์ที่ว่างเปล่าและเปิดประตูห้องทำงานของริวกิออก

                คนแรกที่ปอนด์เจอกลับไม่ใช่ริวกิตามที่เขาคาดหวัง แต่กลับเป็นผู้หญิงในชุดทำงานกระโปรงสั้นเหนือเข่า เธอผู้นั้นกำลังยืนสาละวนกับกองเอกสารบนโต๊ะทำงานของริวกิ

                “ค... คุณรุ่งรัตน์” ปอนด์เอ่ยชื่อออกมาด้วยความตกใจ

                “ค่ะ คุณเอ่อ...” หญิงสาวที่มีสีหน้าตกใจไม่แพ้กันกล่าว

                “ผมปอนด์ครับ”

                “อ๋อค่ะ ฉันจำคุณได้”

                “คือผมมาหาคุณริวกิครับ”

               “นัดไว้หรือเปล่าครับ”

               “เอ่อ... คือ... ผมไม่ได้นัดครับ”

               “แล้วมีธุระอะไรกับคุณริวกิหรือเปล่าคะ”

               “ก็... มีนิดหน่อยครับ”

               “ฝากเรื่องไว้ที่พี่ได้นะคะ พี่เป็นเลขาของคุณริวกิ”

               “อ๋อไม่เป็นไรครับ ผมอยากคุยเป็นการส่วนตัวมากกว่าครับ”

               “ถ้าอยากนั้นเดี๋ยวพี่ค่อยเรียนให้คุณริวกิทราบ และจัดคิวพบในวันอื่นให้นะคะ”

               “ไม่เป็นไรครับ” ปอนด์มีท่าทีประหม่า เขาไม่รู้มาก่อนว่ากระจะเจอริวกิเป็นเรื่องยากเย็นขนาดนี้ เพราะปกติแล้วปอนด์จะเจอหน้าริวกิโดยที่เขาแทบจะไม่ต้องรับบัตรคิวด้วยซ้ำ “ผมขอนั่งรอในห้องนี้ได้หรือเปล่าครับ”

               “เกรงว่าถ้าน้องปอนด์จะรอคงต้องนานหน่อยนะคะ”

               “ทำไมล่ะครับ แล้วริวกิ...” ปอนด์หยุดพูดในทันทีเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของรุ่งรัตน์เมื่อปอนด์เรียกชื่อริวกิ “ผมหมายถึง คุณริวกิไปไหนเหรอครับ”

               “คุณริวกิไปญี่ปุ่นค่ะ ยังไม่มีกำหนดกลับ”

               ปอนด์หลุดสีหน้าตกใจออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ เขาอุตส่าห์ฝ่าฟันความยากลำบากมาเพื่อหวังจะได้เจอริวกิ เขาหวังจะได้พูดอะไรสักอย่างกับริวกิ และได้ยินริวกิกวนประสาทเขากลับมา

               “ไปนานหรือยังครับ” ปอนด์แสดงความผิดหวังออกมาจากน้ำเสียง

               “ป่านนี้...” รุ่งรัตน์ก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตัวเอง “เครื่องคงออกแล้วค่ะ”

               “อ๋อครับ ไม่เป็นไรครับ” ปอนด์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง โดยมีสายตารุ่งรัตน์จับจ้องอยู่ตลอดเวลา “ถ้าอย่างนั้นผมขอกลับก่อนดีกว่าครับ”

               “แน่ใจนะคะว่าไม่ฝากอะไรไว้”

               “ไม่ครับ” ปอนด์หลบสายตาของรุ่งรัตน์ “ผมแค่คิดว่าไม่กี่วันที่แล้วผมคิดว่าลืมอะไรบางอย่างไว้ที่คุณริวกิ ผมแค่จะมาดูว่ามันอยู่ที่เขาหรือเปล่า”

               “อะไรเหรอคะ”

               “หัวใจของผมครับ” นี่คือคำตอบที่ดังลั่นอยู่ในใจ เมื่อปอนด์ได้ยินคำถามของรุ่งรัตน์ เขาเดินกลับหลังออกจากห้องนั้นมาอย่างเงียบๆ ทิ้งความรู้สึกว่างเปล่าและความมึนงงของรุ่งรัตน์ไว้ในห้องนั้น

               พายุฝนกระหน่ำท่วมตัวและหัวใจของปอนด์ เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเดินกลางสายฝนเพื่อให้ตัวเองเปียก ปอนด์อาจจะต้องการทำมิวสิควีดีโอเพลงเศร้าเหมือนที่เขาเคยดู หรือไม่ก็ปล่อยให้หยาดฝนกลบเกลื่อนคราบน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

               ทำไมต้องร้องไห้? ปอนด์เฝ้าถามตัวเองในขณะที่เดินอยู่ริมถนนไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสายฝนอันหนาวเหน็บ ทำไมริวกิถึงหนีหายไป? ปอนด์เริ่มสับสนกับตัวเองว่าทำไมเขาต้องเสียใจที่ริวกิหายไปจริงๆ นี่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ เขาควรจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่คำขอของเขาเป็นจริง ทำไมเขาต้องแคร์ริวกิด้วย ในเมื่อสำหรับริวกิปอนด์อาจจะเป็นแค่ของเล่นสนุกแก้เครียดก็เท่านั้นเอง? หลากหลายคำถามที่ปอนด์ตั้งขึ้นมากับตัวเอง มันฉุดเขาให้จมสู่ความรู้สึกที่เปล่าเปลี่ยว เขารู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นที่หัวใจอย่างแปลกประหลาด

               ความหนาวเหน็บบาดลึกไปถึงหัวใจของเด็กหนุ่มที่เดินตากฝน รอยแผลที่หัวใจรักษาได้ยาก มีเพียงความรู้สึกที่อ่อนโยนจากคนหนึ่งคนเท่านั้นจะรักษาความเจ็บปวดนี้ได้ ปอนด์ได้เรียนรู้แล้วว่าความผิดหวังเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน หรือจะทุกข์ทรมานเท่าไหร่ ปอนด์สัญญากับตัวเองแล้วว่า เขาจะต้องก้าวผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปให้ได้ แต่ก่อนอื่นใด ปอนด์ต้องหาวิธีทำให้น้ำตาหยุดไหลให้ได้เสียก่อน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.2 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.2 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา