ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.76K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
94)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ย้อนกลับมาที่ท้องพระโรง พระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์...
ระหว่างที่ไกรกำลังใช้สายตาอันคมกริบหรี่มองไปที่เจ้าพระยาสุรสีห์หรือเจ้าพระยาพิษณุโลกอย่างพินิจ เขาก็รู้ตัวว่าไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่กำลังเป็นฝ่ายสำรวจ แต่แววตาของเจ้าพระยาพิษณุโลกก็บอกเขาว่าเขาเองก็เป็นฝ่ายถูกสำรวจเช่นกัน...อาจเป็นเพราะเขาและท่านผู้เฒ่าเป็นเจ้าพระยาหน้าใหม่ที่เขาไม่คุ้นเคย ทำให้เขาซึ่งมีอายุอ่อนกว่าจำเป็นต้องหลบเลี่ยงสายตาเพื่อรักษามารยาท ในขณะที่เจ้าพระยาพิษณุโลกเองก็ไม่อาจจะมองไกรได้นาน เพราะเจ้าพระยาผู้ถูกราชโองการลับเชิญมาก็เริ่มทยอยกันเข้ามาแล้ว ซึ่งเจ้าพระยามหาเสนาผู้นั่งอยู่ที่ตั่งฝั่งที่ติดกับไกรเป็นฝ่ายกระซิบแนะนำทีละคนๆ ไล่ตั้งแต่เหล่าเจ้าพระยาจตุสดมภ์ทั้ง ๔ และไปจนถึงเจ้าพระยาผู้เกี่ยวข้องกับราชการศึกโดยตรงทั้งหมดประมาณ ๑๐ กว่าคน ซึ่งนอกจากเจ้าพระยาพิษณุโลกที่ไม่รู้จักกับไกรมาก่อนแล้ว แต่ละคนต่างก็พยักหน้าให้กับชายหนุ่มพลางยิ้มให้อย่างเกรงอกเกรงใจกัน...ทั้งหมดต่างพากันพูดคุยกันเบาๆอย่างพยายามคาดเดาพระทัยของพ่ออยู่หัวในการเรียกพวกเขามาอย่างกะทันหันเช่นนี้ แต่ก็พูดคุยกันได้พักเดียว เพราะในที่สุด พ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็เสด็จออกมาถึงท้องพระโรงแล้ว...
" ขอพ่ออยู่หัวทั้งสองทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน... "
" พอเถอะ...เวลาเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองใดๆหรอก " พระเจ้าเอกทัศน์สะบัดหัตถ์ที่ผูกด้วยแถบผ้าสีขาวแน่น พร้อมๆกับที่เหล่าจ่าโขลนสาวผู้เป็นราชองครักษ์ ๔ นางจะค่อยๆยกโต๊ะเตี้ยๆที่ด้านบนถูกสลักเป็นแผนที่พื้นที่สุวรรณภูมิขนาดใหญ่ที่แสดงรายละเอียดอย่างชัดเจน พร้อมๆกับที่ท่านผู้เฒ่าจะพยักหน้าให้กับไกรพร้อมๆกับที่เขาจะลุกขึ้นจากตั่งของตน ค่อยๆคลานอย่างช้าๆไปจนถึงข้างโต๊ะแผนที่นี้ และล้วงหยิบเอาตุ๊กตาไม้ที่มีลักษณะคล้ายกับโมเดลทหารขึ้นมาตั้งไว้โดยตั้งไว้ที่จุดที่เป็นที่ตั้งกองทัพของทั้งฝ่ายอโยธยาและฝ่ายพม่าในปัจจุบันอย่างแม่นยำ ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรที่ประทับล้ำอยู่ด้านหน้าจะปัสสาสะลึกยาวพร้อมกับตรัสประกาศออกมาจนได้ยินไปทั่วทั้งท้องพระโรงว่า
" ทุกท่านน่าจะทราบดีอยู่แล้วสินะ ว่าเวลานี้เราเสียไปแล้วทั้งเมืองมะริดเมืองทวาย และกุยบุรี...ถ้าให้พูดตรงๆ เวลานี้เราเสียชายฝั่งตะนาวศรีทางด้านใต้ทั้งหมดให้กับกองทัพพม่าแล้ว "
ดำรัสอันราบเรียบของพระองค์ทำให้ท้องพระโรงอันโอ่อ่านี้เงียบสงัดลงอย่างน่าอึดอัด ในขณะที่เจ้าพระยาที่เป็นผู้รับผิดชอบทางอ้อมหลายๆคนถึงกับต้องก้มหน้าลงอย่างไม่อาจสบพระเนตรของพ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์ที่สาดไปทั่วได้...พระเจ้าอุทุมพรเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะเริ่มต้นตรัสขึ้นอีกครั้งว่า
" ตัวข้านั้นไม่อยากจะกดดันอะไรนัก แต่ปราการทางปีกษ์ใต้ที่เหลืออยู่ของเราในเวลานี้ก็มีเพียงปราณบุรีเท่านั้น ก่อนที่ทัพพม่าจะรุกถึงเพชรบุรีและราชบุรีได้...ในขณะที่กองทัพหลักของเราที่ไปตั้งรับอยู่ที่ด่านแม่ละเมาและเมืองกาญจนบุรี ด้วยปริมาณกำลังพลที่มากมาย และสถานการณ์ที่หญ้าเริ่มไม่พอปากหม้า ข้าวเริ่มไม่พอปากไพร่ ทำให้การเคลื่อนทัพกลับมาที่พระนครเป็นไปได้อย่างล่าช้าเสียเหลือเกิน...หากให้กะเวลาแล้ว ต่อให้กะให้เข้าข้างตัวเองแค่ไหน ทัพทั้งสองนั้นก็ไม่มีทางกลับมาถึงพระนครอยางทันท่วงทีเป็นแน่ "
" ...ไม่ทัน...อย่างนั้นหรือ? " ถึงตรงนี้ ไกรที่ยังคงนั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆก็ครางออกมาเบาๆอย่างครุ่นคิดทันที เพราะถ้าหากให้เขาคำนวณบ้าง ต่อให้ด่านที่ปราณบุรีแตกอย่างรวดเร็วตามประวัติศาสตร์ แต่ฝั่งอโยธยาก็ยังมีด่านที่เพชรบุรีและราชบุรีอีก ๒ ด่าน และถึงแม้ว่าเขาจะจำประวัติศาสตร์ตรงส่วนต่อไปไม่ได้แล้วก็ตาม แต่เขาก็รู้จักพระยาเพชรบุรี (เรือง) เป็นอย่างดี...ต่อให้เป็นทัพพระเจ้าอลองพญาอันเกรียงไกร แต่คนระดับท่านเรืองก็คงจะไม่ยอมปล่อยให้เมืองแตกเอาอย่างง่ายๆแน่ นั่นทำให้เขาคิดว่าทัพใหญ่ ๒ ทัพที่ถูกส่งไปรอเก้ออยู่ที่ทั้งด่านแม่ละเมาและกาญจนบุรีก็น่าจะมาทันแบบฉิวเฉียดจนเขาต้องอดครางออกมาเบาๆไม่ได้
...ถึงแม้ว่าเขาจะครางออกมาอย่างเบาๆแสนเบา แต่ก็ยังไม่พ้นหูของเจ้าพระยามหาเสนาเฒ่าที่นั่งอยู่ข้างๆ...ผู้เฒ่าผู้อยู่ในตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหมยิ้มให้ไกรบางๆพร้อมกับกระซิบพูดขึ้นเบาๆว่า
" กระผมว่าท่าเข้าใจผิดไปนะขอรับ ท่านไกร "
" ท่านออกญามหาเสนา ท่านบุนนาค? "
" กระผมเองก็คาดเดาเวลาเปรียบเทียบได้เช่นท่านนั่นแหละ ว่าทัพทั้งสองน่าจะมาถึงกำแพงเมืองอโยธยาได้พอดีก่อนที่ทัพพม่าจะยาตราทัพมาถึงชานเมืองได้...แต่ ท่านคงจะลืมอะไรไปบางอย่างนะ "
" ขอรับ? "
" ต่อให้เป็นทัพที่ถูกฝึกฝนให้อยู่ในระเบียบวินัยที่สุด แข็งแกร่งที่สุด แต่ทหารก็ยังเป็นคนนะขอรับ คน ที่ต้องการการพักผ่อน...ต้งการขวัญกำลังใจ ต้องการจะกลับมาเห็นหน้าลูกเมียให้ชื่นใจบ้างซักชั่วมื้อชั่วยาม หลังจากการโหมเดินทางอย่างหนักเช่นนั้น...หากท่านใช้ให้ทหารที่พึ่งกลับมาถึงเหล่านั้นออกไปรบทันที...คงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร "
" คงจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกรบเลยแน่ๆ " ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับคอตกลงอย่างยอมรับและละอายในความคิดอ่านที่ไม่รอบคอบของตน ก่อนจะหันไปกลับไปเพื่อตั้งใจฟังดำรัสของพ่ออยู่หัวอุทมพรต่อ ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรพยายามปั้นพระพักตร์ให้เคร่งขรึมที่สุดพร้อมกับตรัสต่อเรียบๆว่า
" ...เวลานี้ทั้งเจ้าพระยาศรีธรรมราช (เจ้าพระยาผู้ครองเมืองนครศรีธรรมราช เจ้าเมืองชั้นเอกเช่นเดียวกับเจ้าพระยาสุรสีห์) และพระยาเพชรบุรีต่างก็เกณฑ์ไพร่ทหารทั้งหมดที่รวบรวมได้อย่างฉุกละหุก และกำลังยกไปตั้งค่ายอยู่ที่ปราณบุรีแล้ว แต่ว่า... " พระองค์เหลือบเนตรไปสบเนตรของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เล็กน้อย ก่อนจะปัสสาสะเฮือกพร้อมกับตรัสเรียบๆต่อว่า
" ...ข้าและพระเชษฐาคาดเดาแล้วว่าด้วยความเร็วในการยาตราทัพของพระเจ้าอลองพญา ด่านปราณบุรีคงจะกันได้ไม่นาน "
" ถ้าอย่างนั้นทางที่ประเสริฐ พวกเราก็ควรจะถอนกำลังไพร่พลทั้งหมดทั้งมวล กวาดต้อนผู้คนเข้ามาในกำแพงเมืองอโยธยา และตั้งท่ารอรับศึกอยู่ภายในพระนครไม่ดีกว่าหรือพุทธเจ้าข้า " คราวนี้เจ้าพระยาสุรสีห์ยกมือขึ้นถวายบังคมพร้อมกับกราบทูลอย่างเป็นการเป็นงาน ในขณะที่คำทูลของเขาก็ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่รอบๆหลายคนทีเดียว
" จ...จริงเช่นที่ท่านออกญาสุรสีห์ว่าพุทธเจ้าข้า...หากเรากวาดต้อนผู้คนและเสบียงกรังเข้ามาเก็บไว้ในกรุง ส่วนที่เก็บเกี่ยวไม่ได้ก็เผาทิ้งเสีย เราก็น่าจะมีเสบียงและผู้คนบริบูรณ์มากพอจะจะต้านทัพพม่าไปจนถึงฤดูน้ำหลากได้ "
" ...เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก พวกมันก็จะถูกบังคับให้ถอยทัพกลับไปเอง แบบนั้นเราจะเป็นฝ่ายชนะโดยที่แทบไม่ต้องเสียกำลังไพร่พลโดยเปล่าดายเลย "
' พ...พลาดแล้ว ...แผนนี้ใช้ไม่ได้ ' ไกรคิดในใจอย่างรวดเร็วพร้อมกับหันขวับไปมองหน้าท่านผู้เฒ่าที่นั่งคุกเข่าอยู่ที่โต๊ะแผนที่ ซึ่งท่านผู้เฒ่าเองก็จ้องเขม็งมาอยู่ก่อนแล้วราวกับอ่านใจไกรออก พร้อมกับที่ท่านผู้เฒ่าพยักหน้าให้บางๆเป็นเชิงอนุญาตให้เขาพูดทันที
" อาญามิพ้นเกล้า...เราทำตามแผนเช่นนั้นไม่ได้หรอกพุทธเจ้าข้า "
" ว่าอย่างไรนะ?! " เจ้าพระยาสุรสีห์เจ้าเมืองพิษณุโลกหันขวับกลับมามองเขาพร้อมกับพูดเกือบๆจะตวาดออกมาอย่างกร้าวๆทันที แต่นาทีนั้นไกรไม่อาจจะหันไปสนใจได้...เขารีบนึกย้อนกลับไปในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เขาเคยอ่านผ่านตามาทั้งหมดเพื่อคิดถึงรายละเอียดของสงครามครั้งนี้ ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นถวายบังคมพร้อมกับทูลเบาๆทันที
" ทัพพระเจ้าอลองพญาที่ชนะศึกมาอย่างต่อเนื่องกำลังได้ใจ ในเวลานี้ยิ่งมีกำลังมากราวกับปลาได้น้ำ หากเราไม่จัดทัพใดๆเพื่อต่อต้านหรือลดทอนกำลังและความมั่นใจของพวกเขา กองทัพจะยาตราสู่อโยธยาอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเสือติดปีกเสียอีก... "
" ข้าพุทธเจ้าชอบด้วยกับความคิดของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ พุทธเจ้าข้า " ออกญาจักรีที่เงียบอยู่นานทูลขึ้นมาบ้างโดยเป็นการทูลเพื่อสนับสนุนไกรช้าๆ ในขณะที่ออกญามหาเสนาทูลต่อว่า
" หากทัพพระเจ้าอลองพญายังคงเดินทัพด้วยความเร็วระดับนี้ล่ะก็ ข้าพุทธเจ้าเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถกวาดต้อนผู้คนช้างม้าและเก็บเกี่ยวข้าวหญ้าเข้าเมืองได้ทัน ดีร้าย พวกเราจะขาดแคลนทั้งเสบียงกรังและไพร่พล จนไม่อาจจะรักษาพระนครไว้ได้ "
" ปากอัปมงคล! "
" กระผมเพียงแค่พูดไปตามความจริง...และสิ่งที่กระผมพูดมันก็ไม่เกินความจริงเลยแม้แต่น้อย...ท่านออกญาสุรสีห์เองก็น่าจะพอแยกแยะออก "
คำพูดโต้ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบของสมุหกลาโหมเฒ่าสร้างความไม่พอใจให้กับออกญาสุรสีห์ เจ้าเมืองพิษณุโลกผู้นี้ทันที แต่ก็ติดตรงที่ออกญามหาเสนาอาวุโสเกินกว่าเขาจะทำอะไรได้ถนัด ความซวยจึงมาตกอยู่ที่ไกรที่เป็นคนขัดแผนการของเขาเป็นคนแรก เพราะเขาหันกลับมาจ้องไกรที่นั่งอยู่ทางฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นฝั่งกลาโหมเขม็งพร้อมกับตวาดกร้าวๆทันที
" ถ้าอย่างนั้นท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี กระผมหวังว่าท่านคงไม่ได้เพียงแค่พูดขัดเพื่อหักหน้ากระผมเพียงเท่านั้นหรอกนะขอรับ...ขอให้กระผมได้ฟังแผนการอันชาญฉลาดของท่านเสียหน่อยเถอะ "
' ซวยตูจนได้...คิดผิดรึเปล่าน้อที่ไปขัดขึ้นแบบนั้น แต่เอาเถอะ...ถือว่าเรายังคงรับหน้าที่ตัวล่อ-ีนอยู่ก็แล้วกัน ' ไกรโคลงหัวพร้อมกับคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นถวายบังคมพร้อมกับค่อยๆคลนเข่าไปที่โต๊ะแผนที่นั้น ก่อนจะชี้ไปที่เมืองๆหนึ่ง ซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ที่อยู่เหนือปราณบุรีขึ้นมาพร้อมกับพูดเบาๆทันที
" เราจำเป็นต้องตั้งรับตามรายทาง เพื่อชลอและลดทอนกำลังของทัพพระเจ้าอลองพญาให้ได้มากที่สุด พร้อมกับเตรียมการตกแต่งพระนครให้รับศึกใหญ่ให้พร้อมที่สุด...และในเมื่อพ่ออยู่หัวทรงดำริแล้วว่าเราคงรักษาปราณบุรีไว้ไม่ได้แน่ๆ ...ปราการด่านถัดมาที่เราควรจะรักษาไว้ก็ต้องเป็นที่นี่...เมืองเพชรบุรี "
...เมืองเพชรบุรี...หัวเมืองชั้นตรีสำคัญที่เป็นดั่งปราการที่กั้นระหว่างเมืองในภาคใต้กับหัวเมืองชั้นโทที่รายล้อมรอบกรุงอโยธยา...
" ฮ่าๆๆๆ คำอันหลักแหลมของเจ้าต้องใจเรานัก ไกร...เมืองราชบุรีมีทั้งค่ายคูประตูหอรบที่มั่นคง มีทั้งเสบียงกรังทั้งข้าวน้ำที่บริบูรณ์ มีทั้งเจ้าเมืองผู้มากความสามารถ...และที่สำคัญ หากทัพของพระเจ้าอลองพญาไม่สามารถตีหักเอาเมืองนี้ได้ ทัพพม่าทั้งมวลก็ไม่สามารถรุกคืบขึ้นมาได้อีก...ณ ที่นั่น...เราจะสามารถถ่วงทัพได้นานทีเดียว " พระเจ้าอุทุมพรที่ประทับล้ำอยู่ด้านหน้าและทอดพระเนตรเห็นแผนที่ได้อย่างชัดเจนที่สุด
" ปัญหาก็คือ...ณ ที่นั่น...เราจะไม่สามารถผิดพลาดได้อีกต่อไป เพราะถ้าหากเสียเมืองเพชรบุรีไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเมืองก่อนๆ แผนการถ่วงทัพที่ว่าก็คงจะต้องล้มเลิกอีก...เราจำเป็นต้องมีแม่ทัพผู้มีความสามารถในการวางแผนการรบ...แม่ทัพ...ผู้ชาญการนรงค์ที่สุด " คราวนี้เป็นฝ่ายพระเจ้าเอกทัศน์ทรงตรัสขึ้นมาบ้าง...พระองค์ตรัสออกมาเรียบๆพลางกวาดสายพระเนตรอันคมกริบวูบไปที่จุดที่เจ้าพระยายมราชและพระยารัตนาธิเบศร์นั่งอยู่ ซึ่งทั้งสองคนต่างก็รีบก้มหน้าลงจนแทบติดพื้นทันที เพราะความผิดในกระทงที่พวกเขาต่างก็พ่ายศึกกลับมาแบบรวดเร็วชนิดนกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำยังไม่ได้ชำระความเลย...ทางที่ฉลาดที่สุดคือนั่งเงียบๆไว้เช่นนี้แหละ
" ข้าพุทธเจ้าขอเสนอให้ท่านออกญาเพชรบุรี ท่านเรือง เป็นขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ มีสิทธิ์ขาดในการสั่งการไพร่พลและขุนทหารคนอื่นๆทั้งหมดทั้งมวล ในการตั้งรับ ณ เมืองเพชรบุรีครานี้พระพุทธเจ้าข้า " เจ้าพระยาจักรี ท่านครุฑกราบทูลขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน ก่อนที่คำกราบทูลของเขาจะถูกขัดขึ้นอย่างปัจจุบันทันทีจากปากของขุนนางเฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางฝั่งพลเรือนว่า
" ทำเช่นนั้นมิได้พระพุทธเจ้าข้า ออกญาเพชรบุรีผู้นี้ในอดีตเคยคิดจะก่อการกบฏ ทั้งยังบังอาจคิดจะลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวอีก มันไม่สมควรจะได้รับพระราชานอภัยโทษ คืนยศฐาบรรดาศักดิ์ตั้งแต่แรกแล้ว อย่าว่าแต่จะได้รับพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิื แต่งตั้งให้เป็นระดับแม่ทัพผู้บัญชาการศึกเลย "
" อีกทั้งทัพที่ล่าถอยมานั้นยังมีท่านเจ้าพระยาศรีธรรมราชชาติเดโช ผู้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช และเจ้าพระยาไชยยาธิบดี ผู้เป็นเจ้าเมืองตะนาวศรีอีก ทั้งสองท่านล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าพระยานาหมื่นที่มีทั้งบรรดาศักดิ์และศักดินาสูงกว่าออกญาศรีสุรินทฤๅไชย (ชื่อบรรดาศักดิ์ออกญาเพชรบุรีของท่านเรือง) ...หากมอบอำนาจให้แก่ออกญาเพชบุรี เกรงว่าทั้งสองจะไม่ยอมรับอำนาจนั้น "
" กระผมนึกว่าผู้ที่ได้รับพระราชทานพระแสงดาบอาญาสิทธิ์จะเป็นผู้สั่งการทั้งหมดในการศึกโดยไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใดๆเข้ามาเกี่ยวข้องเสียอีก " อยู่ๆ ไกรก็พูดเปรยขึ้นเรียบๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนกระทั้่งขุนนางคนอื่นๆทุกคนหันมามอง ไม่เว้นแม้แต่ท่านผู้เฒ่าเอง พร้อมๆกับที่ไกรจะพูดต่อเรียบๆว่า
" พวกท่านเคยอยู่ในสถานการณ์ที่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นกับความตายบ้างหรือไม่...กระผมไม่อยากจะพูดอย่างโอ้อวดหรอกนะ เพราะมันไม่ใช่เรื่องน่าโอ้อวดใดๆ แต่กระผมเคยผ่านสถานการณ์นั้นมาแล้ว...สถานการณ์ที่เสี้ยววินาทีเดียวก็ตัดสินว่าเราจะรอดหรือเราจะตาย...ในเสี้ยววินาทีนั้น ความคิดที่ว่าเราอยู่ในยศใด ศักดินาเท่าไหร่ สูงส่งเพียงใด...มันล้วนแล้วแต่ถูกลืมเลือนไปหมดสิ้น...ในหัวของท่าน จะเหลือเพียง อยู่ หรือ ตาย เท่านั้น ...เราอยู่ในระหว่างการศึก ใจคอพวกท่านยังนึกถึงยศฐาบรรดาศักดิ์พรรค์นี้อยู่อีกหรือ? "
" เจ้าพระยาพิทักษ์! "
" หากไม่นับความผิดอันอุกฉกรรจ์ในอดีต ออกญาเพชรบุรีผู้นี้ก็เป็นคนพื้นที่ ที่น่าจะชำนาญในทำเลที่ตั้งซึ่งจะทำให้การรบได้เปรียบ และยังมีความสามารถมากเกินพอจะนำไพร่พลเข้าต่อกรกับทัพพม่าอันเกรียงไกรได้ และการนำ กระผมไม่ได้หมายความว่าแค่นำไปตาย แต่นำเข้าสู้รบอย่างกล้าหาญ และพาพวกเขากลับมาจากสมรภูมิได้...ในเวลาเช่นนี้ เราต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง ที่ยืนอยู่ในสมรภูมิและนำผู้คนได้ โดยไม่สนยศสูงต่ำใดๆทั้งสิ้น... "
" ท่านไกร... "
" เวลานี้พระแสงดาบอาญาสิทธิ์ควรอยู่ในมือของผู้ที่ใช้มันได้ ไม่ใช่ผู้ที่มียศพอจะใช้มัน... ถึงแม้ว่าผู้ที่ใช้มันได้จะเป็นเพียงขุนนางระดับพันก็ตาม...แต่ถ้าหากขุนนางระดับพันผู้นั้นสามารถพาทั้งกองทัพรอดจากสมรภูมิอันยากลำบาก หรือพากองทัพสู่ชัยชนะได้ กระผมก็ยินดีจะทำตามคำสั่งของขุนนางระดับพันผู้นั้นอย่างแน่นอน "
คำพูดของไกรดังกังวานไปทั่วทั้งท้องพระโรง สร้างความเงียบสงัดอย่างน่าใจหายไปทั่ว ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขามันผิด แต่เพราะคำพูดของเขามันถูกต้อง จนทุกคนถึงกับต้องก้มหน้าต่ำลงอย่างละอายแก่ใจทันที...เพราะการไม่เคยเผชิญกับศึกสงครามจริงๆมาหลายชั่วอายุคนทำให้พวกเขาเผลอยึดติดกับสิ่งที่เรียกว่า หัวโขน จนลืมเลือนสิ่งที่ควรทำไป...และเด็หนุ่มที่ชื่อไกรผู้นี้พึ่งจะสาดน้ำใส่ดวงตาที่มืดบอดนี้อย่างถนัดถนี่ที่สุด
...น่าละอายจริงๆ...
" ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ข้าไม่อยากจะขัดอารมณ์ลิงโลดของท่านหรอกนะ แต่ทว่าออกญาเพชรบุรีผู้นั้นมีประวัติในการก่อกบฏมาแล้ว...และกระผมไม่เชื่อว่าการติดอยู่ในคุกเพียงไม่ถึงขวบปีดีจะทำให้เขากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี...กลายมาเป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์ได้...ท่านมีอะไรมารับประกันว่าไอ้เรืองผู้นั้นจะไม่แปรพักตร์เข้ากับฝ่ายพม่ากัน " ผู้ที่ทำลายความเงียบสงัดนั้นคือเจ้าพระยาสุรสีห์ ผู้เวลานี้ลูบคางอย่างครุ่นคิดในอะไรบางอย่าง ซึ่งไกรก็แปลกใจเล็กน้อยที่เขาไม่ได้เห็นอาการค้านหัวชนฝาของอีกฝ่ายตามที่เขาคาดการณ์ไว้...เจ้าพระยาสุรสีห์ผู้นี้กลับเพียงแค่ชี้ช่องในจุดที่ทุกคนต่างก็คิดตรงกันเท่านั้น...นั่นทำให้ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆทันที
" กระผมเองก็เชื่อว่าคุกไม่ได้เปลี่ยนคนให้กลับเป็นคนดี แต่กระผมขอรับประกันว่าบางอย่างในตัวของท่านออกญาเพชรบุรีผู้นั้นเปลี่ยนไปแล้ว...และกระผมก็เชื่อมั่นในตัวของเขา ว่าเขาจะไม่มีทางทำให้พวกเรา และพ่ออยู่หัวผิดหวังเป็นแน่ "
" แน่แท้แก่ใจขนาดนั้นเทียวรึ? " เจ้าพระยาสุรสีห์แสยะยิ้มบางๆ ในขณะที่ไกรเองก็ยิ้มบางๆตอบกลับไปเช่นเดียวกัน ก่อนจะลงคุกเข่าลงและหันหน้าไปที่พระที่นั่งของพ่ออยู่หัวพร้อมกับยกมือถวายบังคมและทูลขึ้นอย่างมั่นคงจนดังก้องไปทั่วทันที
" ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ อาญามิพ้นเกล้า...ข้าพุทธเจ้าขอออกตัวเป็นนายประกันให้แก่ออกญาเพชรบุรีเองพระพุทธเจ้าข้า "
" !!! "
เวลานี้พระเจ้าอุทุมพรเหลือบพักตร์กลับไปสบเนตรของพระเชษฐาเล็กน้อย ก่อนจะผินพักตร์กลับมาพร้อมกับตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบและทรงอำนาจที่สุดว่า
" เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดอะไรออกมา เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...จริงอยู่ว่าออกญาเพชรบุรีเคยอยู่ในหน่วยของท่านมาก่อน แต่เวลานี้เขาไม่ใช่คนของท่านแล้ว...เขากลับคืนสู่อำนาจของเขา และอำนาจ เปลี่ยนใจคนได้เสมอ...หากออกญาเพชรบุรีแปรพักตร์ หรือเกิดทำอะไรโง่ๆขึ้นมา...โทษของเจ้าในฐานะนายประกันคือประหารโดยไม่มีการละเว้นใดๆทั้งสิ้น...เจ้าจะเชื่อใจ อดีตลูกน้อง ผู้นี้ถึงขนาดเอาชีวิตของเจ้าเข้าเดิมพันเลยเช่นนั้นหรือ "
" ข้าพุทธเจ้าไม่ได้เชื่อใจ อดีตลูกน้อง...แต่เชื่อใจ สหาย พระพุทธเจ้าข้า... "
คำกราบทูลของไกรทำให้พ่ออยู่หัวทั้งสองต้องผินพักตร์กลับไปสบเนตรกันอีกครั้งอย่างหารือในพระทัยกันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่ในที่สุด พ่ออยู่หัวเอกทัศน์จะสรวลออกมาเบาๆด้วยพระสุรเสียงแหบพร่า พร้อมกับที่พระองค์จะลุกขึ้นและหยิบพระแสงดาบสีทองอร่ามเล่มหนึ่งติดหัตถ์มาด้วย...จอมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรอโยธยาดำเนินอย่างช้าๆมาหยุดตรงหน้าโต๊ะแผนที่ ก่อนจะเดาะพระแงดาบในหัตถ์พร้อมกับตรัสด้วยพระสุรเสียงราบเรียบว่า
" ถึงเวลานี้...ข้าก็ยังไม่แน่แท้แก่ใจ ว่าเจ้าเป็นคนที่ดีจนเกิดมาอย่างผิดยุคผิดสมัยที่สุด หรือเป็นเพียงคนโง่เขลาคนนึงเท่านั้น...ไกร...ข้าจะขอรับข้อเสนอนายประกันของเจ้าดูสักครา และขอร่วมเดิมพันครั้งนี้ด้วย... "
" พ่ออยู่หัว "
" ถ่ายทอดราชโองการออกไปให้เป็นที่รับรู้โดยทั่ว...ข้าขอพระราชทานดาบอาญาสิทธิ์เล่มนี้ไปให้แก่ออกญาศรีสุรินทฤๅไชย ผู้เป็นเจ้าเมืองเพชรบุรี...ณ ที่นั่น ออกญาเพชรบุรีมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการสั่งการทัพทั้งหมดทั้งมวล และมอบหมายภาระหน้าที่ให้เขาตั้งรับกองทัพพม่า ณ เมืองเพชรบุรีนั่นอย่างสุดความสามารถ...และข้าไม่อาจจะทำใจรับความผิดพลาดได้อีกต่อไป...หากผิดพลาดอีก...หัวแรกที่ต้องสังเวยในการศึกครานี้คือหัวของเจ้า! เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี! "
" น้อมรับราชโองการ พระพุทธเจ้าข้า! "
..................................................
...ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา... ณ กำแพงที่กั้นระหว่างเขตราชฐานชั้นกลางและเขตราชฐานชั้นนอก...
...เสลี่ยงคานหามกรรชิงหุ้มผ้าขาว...เสลี่ยงระดับสูงสุดของยศขุนนางสามัญชนของเจ้าพระยาสุรสีห์ ค่อยๆหยุดลงอย่างช้าๆ ณ ประตูใหญ่ด้านหน้า ในขณะที่เจ้าพระยาสุรสีห์ เรืองเหลือบดวงตาอันคมกริบมองไปที่ขบวนทหารรับใช้ของเขาที่ยืนรออยู่ที่กำแพงด้านนอกนี้อย่างเป็นระเบียบนั้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับลงจากเสลี่ยงคานหาม และขยับ พระแสงราชศาสตรา พระแสงดาบอาญาสิทธิ์ประจำหัวเมืองพิษณุโลกในมือเล็กน้อยพร้อมกับพูดเรียบๆกับนางกำนัลผู้เชิญพานทองอันเป็นเครื่องประดับยศว่า
" ข้าจำเป็นต้องยกทัพขึ้นไปทางเหนือ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทัพกลับมาของทัพที่ถอยมาจากด่านแม่ละเมาและกาญจนบุรี กวาดต้อนผู้คนรวมถึงเก็บเกี่ยวข้าวหญ้า และเสบียงกรังกลับมาสู่พระนคร "
" หืม? ข้าเข้าใจว่าท่านจะขันอาสา ลงไปรบกับทัพพระเจ้าอลงอพญาเพื่อเอาความดีความชอบเสียอีก " เสียงเจื้อยแจ้วของนางรับใช้ผู้นั้นแจ่มใสและแสดงถึงความยำเกรงที่น้อยเกินกว่าที่จะเป็นนางรับใช้ ต่อให้เป็นนางรับใช้ที่สนิทเพียงใดก็ตาม...ในขณะที่เจ้าพระยาสุรสีห์หัวเราะในลำคอเบาๆอย่างไม่ถือสาใดๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะตอบมาประมาณนี้ พร้อมกับพูดเบาๆว่า
" หึๆ ข้าก็หมายใจจะอาสาเช่นกัน ถ้าหากไม่ติดภารกิจที่ได้รับราชโองการมานี่เสียก่อน "
" คิกๆ อย่าพูดเลย...เราต่างก็รู้กันดีว่าท่านเจ้าเล่ห์พอจะไม่ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเช่นนั้น "
ชิ้ง!
พระแสงดาบราชศาสตราถูกชักออกมาจากฝักทองอร่ามพร้อมกับจ่อไปที่คอเรียวงามระหงส์ของนางกำนัลผู้นั้น ดวงตาของเจ้าพระยาสุรสีห์ลุกวาวโรจน์พร้อมกับปลดปล่อยจิตคุกคามออกมา ก่อนที่เขาจะกัดฟันกระซิบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
" ระวังปากหน่อย...อย่าได้ลืมเลือนว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับใคร! "
แต่ทว่านางรับใช้ผู้นั้นกลับไม่ได้กลัวเกรงคมดาบและคำขู่ของอีกฝ่ายเลย...เธอเพียงยิ้มพรายพร้อมกับใช้มือเรียวบางเบี่ยงปัดคมดาบนั้นออกไปให้พ้นคอ ก่อนจะพูดตอบกลับเรียบๆ ทว่าแผงไว้ด้วยจิตคุกคามที่แข็งกร้าวไม่แพ้กันว่า
" อย่ามาข่มขู่ข้าเสียให้ยากเลย ออกญาสุรสีห์...เราต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกัน และข้าไม่ใช่เบี้ยล่างของท่าน ...อย่าเพียงเห็นวาข้าเป็นสตรีแล้วท่านจะขู่เข็ญได้ตามใจชอบ...เพราะถึงท่านจะเป็นบ่อเงินบ่อทองของข้า แต่เมื่อถึงที่สุด ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะทุบมันทิ้งอย่างไม่ใยดีเช่นกัน! "
เจ้าพระยาสุรสีห์จ้องเขม็งไปที่ดวงตาวาววับของนางรับใช้ผู้กล่าวลองดีผู้นั้นพร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างอดกลั้นกับการพูดลองดีของหญิงสาวผู้นี้ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะสูดลมหายใจลึกพร้อมกับเก็บพระแสงดาบราชศาสตราลงสู่ฝัก และพูดเรียบๆโดยไม่หันไปมองว่า
" ...มีผู้ใด...เคยบอกเจ้ารึเปล่า...ว่าเจ้ามันนังงูพิษ! "
" คิกๆ อย่างสม่ำเสมอเลยล่ะ "
" อ้อ...พูดถึงงูพิษ...ข้ากับเจ้าต่างก็ได้เห็นในผู้ที่เจ้าปรารถนาจะพบแล้วนี่...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...เด็กไกรผู้นั้น " เจ้าพระยาสุรสีห์เปลี่ยนเรื่องพูดช้าๆ ในขณะที่หัวข้อเรื่องใหม่ที่ถูกยกมาพูดนี้ทำให้หญิงรับใช้ที่เดินตามมาผู้นั้นถึงกับสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันที ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" เขาเป็นเพียงแค่คนโง่เขลาคนนึงเท่านั้น "
" ใครว่าล่ะ ข้ากลับเห็นว่าเขาเป็นคนกล้า เป็นคนฉลาด และซื่อตรงมากที่สุดคนนึงเท่าที่ข้าพบมาทีเดียวล่ะ "
" เขาโง่พอจะคัดง้างกับคนระดับท่าน โง่พอจะเอาหัวขึ้นพันกับหลักประหารเพื่อเป็นนายประกันให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติโยม และโง่พอจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกข้า...สำหรับข้า...คนโง่ก็คือคนโง่อยู่วันยันค่ำ...ถ้าหากเขายังยึดติดอยู่กับอุดมการณ์อันเป็นอุดมคติที่สูงส่งและเพ้อฝันนั้นต่อไป อีกไม่ช้าก็เร็ว...เขาจะพังทลายลง เพราะความโง่ของเขาเอง "
" ถ้าอย่างนั้นบุรุษผู้เป็นชายชาติอาชาไนยผู้น่านับถือในทุกยุคทุกสมัยก็เป็นเพียงคนเขลาสำหรับเจ้าสินะ "
" ท่านน่าจะภูมิใจนะ ที่ท่านไม่ได้ถูกรวมเป็นคนเขลาเช่นคนเหล่านั้น "
" เฮ้อ...หากเลือกได้ ข้าก็อยากจะลองเป็นอย่างเขาดูบ้าง...เสียดาย ที่คงไม่ทันเสียแล้ว "
" อย่าเลย...คนอย่างท่านน่ะ เดินหมากอย่างฉลาดๆเช่นนี้ไปนั่นแหละ ดีแล้ว...อย่างน้อยท่านก็ไม่ต้องตายอย่างโง่เขา...เช่นเดียวกับคนกล้าพวกนั้น "
เจ้าพระยาสุรสีห์เหลือบกลับมามองหญิงสาวที่ดวงตาหม่นแสงลงราวกับนึกย้อนไปในเหตุการณ์บางอย่างในอดีตของเธออย่างครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างผู้ที่อาวุโสกว่าทันที
" โถๆ พูดซะไม่มีดีเลยนะ...อย่างนั้นข้าก็อดสงสัยไม่ได้...ว่าถ้าเด็กไกรนั่นโง่เขลาชนิดไม่มีดีอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ...แล้วเจ้ายังมีธุระกงการอะไรกับเขาอีกล่ะ "
คำถามของเจ้าพระยานาหมื่นผู้เดินล้ำอยู่ข้างหน้าทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะกระตุกเป็นรอยยิ้มแสยะวูบทันที
" ข้า...ได้รับคำสั่งอันเด็ดขาดที่ไม่อาจโต้แย้งได้มาจากท่านผู้เฒ่า มาเพื่อเบิกตาเขาให้มองเห็นความจริงอันดำมืด ที่เป็นสัจธรรมของโลกใบนี้...ข้ามาเพื่อทำให้เขาฉลาดขึ้นอย่างไรล่ะ "
...ในที่สุด เจ้าพระยาสุรสีห์ผู้เป็นเจ้าเมืองพิษณุโลกก็เดินมาถึงจุดที่กองทหารของเขารอคอยอยู่ เขาผ่อนลมหายใจเล็กน้อยพร้อมกับกระโดดขึ้นม้าอย่างรวดเร็วด้วยกำลังและเรี่ยวแรงที่น่าเหลือเชื่อสำหรับชายวัยกลางคนเช่นเขา ในขณะที่หญิงรับใช้ผู้เดินตามมาจะยื่นพานทองให้กับหญิงรับใช้ที่ตามมาอย่างเงียบๆอีกคน ก่อนที่เธอจะค่อยๆถอดหน้ากากหนังที่ถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีตและบางเฉียบที่สุดจนดูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นหน้ากาก ที่สวมปิดบังอำพรางใบหน้าที่แท้จริงของตนไว้ออกอย่างช้าๆ พร้อมกับหมุนตัววูบเพียงชั่วเสี้ยววินาที เปลี่ยนเครื่องแต่งกายจากนางทาสรับใช้ กลายเป็นชุดของจ่าโขลนสาวที่แนบเนียนที่สุด ...ในขณะที่เจ้าพระยาสุรสีห์ที่มองมาอยู่ก่อนแล้วเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
" ให้ข้าเดานะ...ใบหน้านี้ก็ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า...ใช่หรือไม่? "
" คิกๆ อย่าพยายามคาดเดาให้รกสมองเลย ท่านออกญาสุรสีห์ เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดกับท่านหรอก "
" แปลว่าเราต้องแยกย้ายจากกันแล้วสินะ "
" อย่าพูดราวกับเราผูกพันกันเลย ท่านออกญา ข้าบอกแล้วว่าเราเป็นเพียงผู้ที่มีผลประโยชน์ร่วมกัเท่านั้น...และข้าก็ไม่ได้ไปตาย...ภารกิจของข้าคือการจัดการกับเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ กับไกรนั่น...ในขณะที่ท่านเองก็เพียงแค่ไปนั่งๆนอนๆ เพื่อดูกองทัพเดินทางกลับมาเท่านั้น "
" หึๆ เจ้ามันช่างปากกล้านัก แต่เอาเถอะ...เรื่องของไกรนั่น ข้าอยากจะขอร้องให้เจ้าเบาๆมือเสียสักนิดเถอะนะ เพราะข้าสังหรณ์ใจว่าข้ากับเขาอาจจะมีผลประโยชน์ร่วมกัน และข้าก็ออกจะชื่นชอบที่จะเก็บคนที่มีความสามารถอย่างเขาไว้ด้วย...ไม่ว่าจะในฐานะของมิตร หรือศัตรก็ตามที "
" คิกๆ เผื่อท่านไม่รู้นะ ข้าก็พยายามเบามือทุกงานนั่นแหละ...แต่ผลลัพธ์มันก็ออกมาวินาศสันตะโรทุกงานเช่นกัน...มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ "
" เห้อ...ข้าขอพูดอีกครั้ง...เจ้ามันนังงูพิษชัดๆ...ดารา!! "
.........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ