ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
93)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...เช้าวันต่อมา...ณ เขตพระราชฐานชั้นกลาง...พระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์...
" อ้าว? มาแล้วรึ ไกร " ท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ซึ่งเวลานี้อยู่ในชุดและตำแหน่งของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็กฝ่ายพลเรือนเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับโบกมือให้ไกรที่เดินตามทางอิฐแดงอยู่ไกลๆ ในขณะที่ไกรที่เวลานี้เองก็อยู่ในชุดสีดำของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีเต็มยศเช่นกันโบกมือทักทายเช่นกันพร้อมกับกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับพูดเบาๆทันที
" ข้าคงไม่ได้มาสายใช่ไหมขอรับ? ท่านผู้เฒ่า "
" สายสิฟะ! พ่ออยู่หัวมีราชโองการเรียกเข้าพบตั้งนานแล้ว มัวทำอะไรอยู่ " ท่านผู้เฒ่าบ่นพลางแบกเขี้ยววับทันที ก่อนจะใช้ดวงตาที่คมกริบสำรวจทั่วร่างกายของชายหนุ่มตรงหน้า...และเมื่อสังเกตเห็นเหงื่อที่ซึมชื้นตามหลังตอของอีกฝ่าย พร้อมกับที่อีกฝ่ายไม่ได้พกดาบประจำกายมาด้วย นั่นทำให้เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดเรียบๆทันที
" นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ขี่ม้ามา แต่เดินมาจากจวนทั้งอย่างนี้เลย "
" ข...ขอรับ " ไกรก้มหน้าลงและพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับเบาๆ ในขณะที่เมื่อเห็นช่นนั้น ท่านผู้เฒ่าก็จุ๊ปากลั่นทันที
" เจ้าคิดว่าเวลานี้เจ้าเป็นใครกัน...คิดว่าตัวเองอยู่ในฐานะที่ไม่มีผู้ใดรู้จักหรืออย่างไร...สำหรับคนทั่วไป เจ้าคือผู้ที่เวลานี้ถูกยกให้เป็นผู้ที่มีเชิงดาบที่น่าหวาดเกรงที่สุดในราชอาณาจักร...สำหรับพวกบรรลัยกัลป์ เจ้าคือก้างชิ้นโตที่ต้องกำจัดทิ้งให้ได้อยู่นะ...ทั้งอย่างนี้ใจคอเจ้ายังจะเดินมาตามลำพังทั้งยังไม่ได้พกดาบมาด้วยอีกหรือ? "
" อ๋อ ดาบน่ะข้าพกมานะ แต่ฝากพวกทหารมหาดเล็กและจมื่นไวยวรนารถผู้เป็นเจ้าเวรฤทธิ์ไว้ที่ป้อมประตูทางเข้าเขตราชฐานชั้นกลาง ตามกฎที่ห้ามนำศาสตราวุธเข้ามาในเขตราชฐานน่ะขอรับ " ไกรพยายามพูดแก้ตัวเบาๆ แต่คำแก้ตัวของเขาก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหันขวับกลับมามองด้วยสีหน้าประมาณว่าไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองทันที
" นี่เจ้าจะบอกว่าเจ้าฝากดาบสดายุและดาบสัมพาที...ศาสตราระดับสูงที่ถูกตีจากมือของยูกิโอะไว้กับใครก็ไม่รู้จักอย่างนั้นหรือ?!...เจ้าเป็นราชองครักษ์ผู้ครอบครองพระธำมรงค์พระราชทานนะ! ไอ้กฎพรรค์นั้นน่ะมองข้ามไปสิฟะ! "
" อ...เอ่อ...จะว่าไม่รู้จักก็ไม่ใช่นะขอรับ...เพราะจมื่นไวยฯนี่ก็เคยไปมาหาสู่จวนข้าบ่อยๆ แถมพวกเขาก็ไม่ใช่พวกที่ร่วมมือกับกลุ่มกบฏด้วย "
" คิดง่ายเกินไปแล้ว...ไกร " ท่านผู้เฒ่าครางออกมาเบาๆพร้อมกับเหลือบมามองชายหนุ่มผู้เวลานี้ให้ความรู้สึกเป็นเหมือนลูกชายของเขาช้าๆ ก่อนจะพูดต่อเป็นเชิงสอนว่า
" ...จริงอยู่ว่าเหตุการณ์คืนนั้นมีเพียงเวรเดชของจมื่นศรีสรรักษ์ และเวรสิทธิ์ของจมื่นเสมอใจราชเท่านั้นที่ร่วมกับกลุ่มบรรลัยกัลป์ก่อกบฏ...แต่สำหรับข้าแล้ว...ต่อให้พวกมันไม่ได้ร่วมก่อกบฏก็จริง แต่พวกมันล้วนแต่มีความผิด ความน่ารังเกียจไม่ต่างกันหรอก "
" ท่านผู้เฒ่า... "
" จำไว้นะ ไกร...ที่คนชั่วสามารถกระทำการเหิมเกริมหยาบช้าได้ ก็เพราะเหล่าผู้คนที่ปากพูดว่าเป็น คนดี พากันนิ่งดูดายเช่นนี้แหละ... "
" ... "
" เฮ้อ...เอาเถอะ...เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง เวลานี้เข้ามาในพระที่นั่งก่อนเถอะ...เจ้าเป็นเด็ก ไม่สมควรให้ผู้ใหญ่ต้องรอ "
" ผู้ใหญ่?...ว่าแต่ตกลงท่านเรียกข้ามาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ "
" อ้าว? นี่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าหรอกหรือ? " คราวนี้ท่านผู้เฒ่าหันกลับมามอง ในขณะที่ไกรยักไหล่เบาๆพร้อมกับพยักหน้าตอบกลับไป นั่นทำให้ชายหนุ่มผู้อยู่ในศักดิ์ของจางวางแห่งมหาดเล็กฝ่ายพลเรือนทั้งมวลถอนหายใจเฮือก ก่อนจะตอบกลับมาเบาๆว่า
" พ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์เรียกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ระดับเจ้าพระยานาหมื่นสำคัญๆทุกคน เพื่อมาปรึกษาราชการศึกสำคัญ...เป็นการลับที่สุดอย่างไรล่ะ "
เอื้อก!
" ด...เดี๋ยวก่อนๆ งานนี้หยุดเลย...ลำพังท่านผู้เฒ่ายังพอทน แต่ถึงข้าจะอยู่ในระดับเจ้าพระยา แต่ก็ไม่น่าจะใช่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อะไรที่มีความสามารถพอจะถวายคำปรึกษาราชการศึกใดๆได้นะขอรับ "
" ใครว่าล่ะ...เจ้าน่ะเป็นรายชื่อเจ้าพระยาคนแรกๆเลยที่พ่ออยู่หัวมีราชโองการเรียกตัวด้วยซ้ำ "
" ง...ไหงงั้นล่ะท่านผู้เฒ่า! " ไกรร้องออกมาลั่น ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเอามือกุมขมับพร้อมกับแยกเขี้ยววับใส่วูบ
" ฐานผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการปราบปรามกบฏ และผู้เป็นต้นคิดแผนการอันแยบยลที่สุด... "
" เวรกรรม " ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆอย่างยอมรับชะตากรรม ในขณะที่ท่านผู้เฒ่า
หัวเราะพลางตบไหล่ชายหนุ่มเบาๆทันที
" ฮ่าๆๆ เอาเถอะๆ อย่างน้อยๆเจ้าก็ทำหน้าที่เป็นตัวล่อเป้าชั้นดีได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ ...มาเถอะ...ปล่อยให้พ่ออยู่หัวและเจ้าพระยาชั้นผู้ใหญ่อื่นๆคอยไม่ใช่เรื่องที่เด็กอย่างเจ้าควรทำนักหรอก "
" เจ้าพระยาชั้นผู้ใหญ่? " ไกรได้แต่ทวนคำเบาๆพร้อมกับเดินตามท่านผู้เฒ่าเข้าไปในพระที่นั่งอันวิจิตรงดงามนี้ติดๆ ...เมื่อเข้าไปถึงด้านใน พวกเขาก็พบกับสองเจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีที่นั่งเคี้ยวหมากรออยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเขาก็ยิ้มทักทายบางๆพร้อมกับค้อมหัวทักทายทันที
" ท่านบุนนาค (นามเจ้าพระยามหาเสนา) ...ท่านครุฑ (นามเจ้าพระยาจักรี) "
" ท่านไกร... "
" นี่อย่าบอกนะขอรับว่าพวกท่านมานั่งคอยท่าอยู่ก่อนนานแล้วเนี่ย "
" อ้อ...เปล่าหรอกขอรับ พวกกระผมมาทำธุระและทำราชการในเขตราชฐานชั้นกลางนี้อยู่แล้ว พอดีกับมีราชโองการเรียกตัวพวกข้าเลยมารอเลย "
" แปลว่ามีแต่พวกเราหรือขอรับ? " ไกรถามเบาๆพร้อมกับเดินเลี่ยงไปนั่งอยู่ ณ ตั่งประจำตำแหน่งของเขา ซึ่งอยู่ต่ำกว่าและไกลจากพระที่นั่งกว่าตั่งของสองเจ้าพระยาอัครมหาเสนาเล็กน้อย...ในขณะที่เมื่อได้ยินคำถาม เจ้าพระยาเฒ่าทั้งสองได้แต่หันไปมองหน้ากันก่อนะหัวเราะเบาๆทันที
" เจ้าพูดราวกับเป็นเด็กอมมือไปได้ ไกร...ถึงนี่จะเป็นราชโองการลับของพ่ออยู่หัว แต่ก็เกี่ยวพันกับราชการศึก พระองค์ไม่อาจจะปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวพันกับบ้านเมืองขนาดนี้กับคนเพียง ๔ คนได้...ถึงแม้ว่าทั้ง ๒ ใน ๔ ...ทั้งเจ้าพระยามหาเสนาและเจ้าพระยาจักรีจะเป็นขุนนางผู้มีอำนาจสูงสุดก็ตาม " ท่านผู้เฒ่าผู้เวลานี้อยู่ในตำแหน่งของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางหัวหน้าเหล่ามหาดเล็กฝ่ายพลเรือนตอบกลับคำถามของไกรเรียบๆพร้อมกับเดินไปนั่งที่ตั่งที่ถูกตั้งเสมอกับไกรในฝั่งตรงข้าม ในขณะที่เมื่อได้ยินคำตอบ เจ้าพระยาจักรีหรือท่านครุฑก็ถอนหายใจเฮือกทันที
" แล้วอีกอย่าง...จะบอกว่ากระผมและท่านบุนนาคเป็นขุนนางผู้มีอำนาจสูงสุดก็ออกจะผิดไปนะขอรับ "
" เอ๋? "
" ถึงจะบอกว่าพวกกระผมเป็นเจ้าพระยาจักรี...อัครมหาเสนาบดีผู้ควบคุมหัวเมืองทั้งฝ่ายเหนือทั้งมวลก็จริง แต่ก็เป็นเพียงแต่ในนามเท่านั้นล่ะ...ถ้าจะให้พูดว่าอำนาจที่แท้จริงเหล่านั้นอยู่ในมือผู้ใด...กระผมก็คงต้องบอกว่า--- "
ก่อนที่ท่านครุฑผู้เป็นเจ้าพระยาจักรี จะได้ทันว่าอะไรต่อไป ...บานทวารลงรักอันวิจิตรงดงามขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าพระที่นั่งก็ถูกเปิดออกด้วยมือของเหล่าคนรับใช้ที่ถูกยกกันมาแสดงแสนยานุภาพของยศศักดิ์ของผู้เข้ามาทั้งหมด ก่อนที่เจ้าพระยาวัยกลางคนผู้อยู่ในชุดขุนนางฝ่ายพลเรือนชั้นสูงเต็มยศ...ผู้มีดวงตาคมกริบอย่างผู้หยั่งรู้และเจ้าแผนการที่รับกับริมฝีปากที่ถูกเม้มบางอย่างครุ่นคิดตลอดเวลา จะเดินถือดาบฝักทองอันวิจิตรงดงามแทบจะเทียบเท่าพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ เข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยที่สุด ราวกับเชื้อพระวงศ์หรือเจ้านายสังกัดกรมดำเนินเข้ามาเอง...ตามมาด้วยเหล่านางรับใช้ที่เชิญเครื่องประดับยศศักดิ์ เช่นพานทอง น้ำเต้าน้ำทอง เครื่องทองต่างๆ รวมไปถึงกระบี่กั้นหยั่นและกระบี่บั้งทอง อันเป็นเคื่องยศประจำตำแหน่งมาอย่างครบครันทีเดียว!
' อื้อหือ...แค่เห็นครั้งแรกโดยไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันยังรู้เลยว่าเป็นคนขี้โอ่แบบสุดๆ...เจ้าพระยาจตุสดมภ์กรมไหนกันล่ะเนี่ย? ' ไกรที่หันไปมองถึงกับต้องเลิกคิ้วพร้อมกบคิดในใจเล็กน้อยทันที ในขณะที่เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยามหาเสนาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีที่ไกรเข้าใจว่าน่าจะมีอำนาจสูงสุดในหมู่ขุนนางทั้งมวล ต่างก็พร้อมใจกันลุกยืนขึ้น และค้อมหัวเป็นเชิงเคารพและทักทายขุนนางวัยกลางคนผู้พึ่งเข้ามาถึงผู้นี้้ทันที
" ท่านเจ้าพระยาสุรสีห์พิศณุวาธิราชฯ...ท่านเรือง "
' เจ้าพระยาสุรสีห์?์! อ...อย่าบอกนะว่า?! ' ไกรลุกพรวดขึ้นจากตั่งอันเป็นที่นั่งประจำตำแหน่งของตนเองพร้อมกับเบิกตากว้างเพ่งมองเจ้าพระยาวัยกลางคนผู้พึ่งเข้ามาใหม่นี้อย่างละเอียดทันที
...เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง)...เจ้าพระยานาหมื่น...เจ้าเมือง และผู้สำเร็จราชการแห่งเมืองพิษณุโลก...หัวเมืองชั้นเอกที่ถือกำลังพลเทียบเท่า หรือบางครั้งอาจจะมากกว่าทัพหลวงแห่งราชอาณาจกัรอโยธยาด้วยซ้ำ...และที่แน่นอนที่สุด...เจ้าชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก... ๑ ใน ๕ ชุมนุมที่เกิดขึ้นหลังกรุงศรีอยุธยาแตก...ชุมนุมที่กล้าแข็งทั้งกำลังพลและเสบียงอาหารที่พรั่งพร้อมที่สุด...ที่แม้แต่ก๊กเจ้าตากก็ยังไม่สามารถหักตีให้แตกได้เลยทีเดียว!!
....................................................
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...ณ ราชอุทยานหลวงในเขตพระราชฐานชั้นใน...ราชอุทยานสวนองุ่น...
" นี่...ด้วยศักดิ์ฐานะของหม่อมฉัน...หม่อมฉันไม่อยากจะพูดอะไรหรอกนะ สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...แต่ตามกำหนดการแล้ว ในเวลานี้พระองค์จะต้องร่ำเรียนสรรพวิชากับท่านพระมหาราชครู ราชปุโรหิตาจารย์นะเพคะ... " อนาสตาเซีย ซี. ฟอลค่อน หญิงสาวชาวตะวันตก...มือสังหารอันดับหนึ่งแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ที่เวลานี้กลายมาเป็นจ่าโขลนพิเศษที่มีอำนาจในหมู่เหล่าจ่าโขลนเป็นรองเพียงคุณท้าวศรีสัจจาเท่านั้น อดเอ่ยทูลขึ้นเบาๆไม่ได้ เพราะเวลานี้ เธอและอเทตยา...มือฉมังธนูชาวมอญผู้มาเป็นจ่าโขลนอีกคนนึงกำลังตามโดยเสด็จองค์หญิงสิริจันทร เข้ามาภายในสวนองุ่นแห่งนี้ตามลำพังเพียงแค่ ๓ คนเท่านั้น ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรสรวลออกมาเบาๆอย่างไม่อนาทรร้อนพระทัยอะไรทั้งสิ้น ก่อนจะผินพักตร์กลับมาตรัสเบาๆว่า
" ไม่เอาด้วยหรอก เวลานี้ข้าอยู่ระหว่างโกรธท่านพระมหาราชครูที่เกือบจะตัดสินประหารท่านไกรอยู่นะ...แล้วอีกอย่างนึง เรียนกับพระมหาราชครูน่าเบื่อชวนหลับจะตาย ประเดี๋ยวข้าค่อให้สมเด็จพระปิจตุฉาพินทวดีสอนคราวหลังก็ได้...พระปิจตุฉาสอนได้น่าฟังกว่าตั้งเยอะ... "
" ต...แต่พระองค์เล่นทรงหนีออกมาโดยมีผู้ติดตามเพียงแค่หม่อมฉันกับอเทตยาเช่นนี้...ถ้าหากเรื่องถึงพระกรรณสมเด็จพระอัครมเหสี มีหวังพวกหม่อมฉัน... "
" โธ่เอ้ย...คุณท้าวทั้งสองเป็นถึงผู้ที่อยู่สังกัดหน่วยคเณศร์เสียงาอันเกรียงไกรของท่านไกร และถูกขนานนามว่าเก่งกาจเทียบเท่าคุณท้าวศรีสัจจาเชียวนะ...ต่อให้มากันเพียง ๒ คน แต่ข้าก็เชื่อว่าคงไม่มีภยันอันตรายใดๆมาถึงกาบข้าได้แน่นอน ใช่หรือไม่ล่ะ "
" พระองค์ทรงดำริง่ายเกินไปแล้ว " อนาสตาเซียทูลตอบเบาๆพร้อมกับถอนหายใจเฮือก ในขณะที่อเทตยาที่ตามโดยเสด็จมาอย่างเงียบๆมาโดยตลอดยิ้มพรายอย่างน่ารักพร้อมกับพูดเป็นเชิงทูลขึ้นเบาๆว่า
" พระองค์ทรงอย่าได้ลืมเลือนว่าพวกหม่อมฉันก็ยังคงเป็นคน หาได้เก่งกล้าสามารถถึงขนาดกระทำการได้ทุกอย่างดุจพลิกฝ่ามือ...ท่านไกรมอบหมายหน้าที่มาให้พวกหม่อมฉันถวายการอารักขาพระองค์ด้วยชีวิตก็จริง แต่ก็ใช่ว่าหม่อมฉันจะสามารถปกป้องพระองค์ไปได้ตลอดนะเพคะ "
" พ...พูดอะไรของเจ้าน่ะ อเทตยา! " อนาสตาเซียหันไปดุจ่าโขลนสาวอีกคนเบาๆ เพราะอีกฝ่ายเริ่มพูดจาอย่างไม่เหมาะไม่ควรแล้ว...แต่องค์หญิงสิริจันทรกลับทรงหันมาแย้มพระสรวลพรายอย่างไม่โมโหโกรธาใดๆทั้งสิ้น...
" ท่านไกรเชื่อในฝีมือของท่าน...ข้าเองก็เชื่อเช่นเดียวกับท่านไกร...แล้วเหตุใดท่านถึงไม่เชื่อในฝีมือของตนเองล่ะ ท่านอเทตยา "
คำตรัสสวนกลับมาขององค์หญิงทำให้จ่าโขลนพิเศษชาวมอญนามว่าอเทตยานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเธอจะหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับค้อมหัวให้องค์หญิงที่ดำเนินนำอยู่ตรงหน้าเป็นเชิงเคารพและยอมแพ้ทันที
" เฮ้อ...พระองค์ทรงกล่าวได้อย่างแสนกลนัก...หม่อมฉันยอมแพ้เลย...จริงอย่างที่พระองค์ว่า หม่อมฉันก็มั่นใจในฝีมือตนเองเช่นกัน และเมื่อเป็นคำสั่งของท่านไกร ต่อให้ต้องปกป้องพระองค์ด้วยชีวิต หม่อมฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ....พระองค์โปรดวางพระทัยได้เลย "
" เห็นไหมล่ะ ท่านอนาสตาเซีย...ภายใต้การถวายการอารักขาของท่านทั้งสอง...ข้าปลอดภัยดีแน่นอน "
' พ...พูดง่ายเกินไปแล้ว! ' หลังจากได้ยิน อนาสตาเซียก็โวยลั่นขึ้นทันที ถึงแม้ว่าเป็นการโวยลั่นในใจก็ตามทีเถอะ ก่อนที่เธอจะหันซ้ายทีขวาทีเพื่อมองทั้งเจ้าหญิงสิริจันทรและอเทตยาสับไปสับมาพร้อมกับคิดในใจต่ออย่างงงงวยทันที
' ป...แปลกแฮะ...ต่อให้ไม่นับเรื่องลำดับยศ ...ในอดีต อเทตยาเคยพยายามจะปลงพระชนม์องค์หญิง ในขณะที่องค์หญิงเองก็เกือบจะสังหารอเทตยาไปแล้วด้วยซ้ำเมื่อคราวที่กลายเป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง ...แล้วไฉนทั้งสองคนถึงได้ดูสนิทและเข้าขากันเช่นนี้ล่ะเนี่ย... '
แต่ก่อนที่อนาสตาเซียจะได้ทันพูดหรือทูลอะไรต่อไป ทั้งเธอและอเทตยาที่มีประสาทสัมผัสแหลมคมพอๆกัน หรืออาจจะมากกว่าเธอด้วยซ้ำต่างก็หันขวับไปยังทิศทางหนึ่งด้านหน้าอย่างจับกระแสอะไรบางอย่างได้...พริบตาเดียวที่จับกลิ่นอายผิดปรกติได้ ทั้งอนาสตาเซียและอเทตยาต่างก็พุ่งพรวดล้ำมาด้านหน้าพร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับศึกทันที
" อนาสตาเซีย... "
" อย่าพึ่งเรียกศาสตราออกมา...ศาสตราใหม่ของข้าและศาสตราของเจ้าที่ได้รับการเสริมขีดความสามารถจากท่านหญิงยูกิโอะแล้วไม่ใช่ศาสตราทั่วไป ทั้งสัมผัสนี่ก็ไม่ได้เป็นจิตที่แรงกล้าอะไรนัก... "
" จริงของเจ้า...อีกฝ่ายมีแค่ ๒ คน ทั้งยังไม่มีจิตคุกคามตอบโต้มาอีก...เจ้าคิดว่าอย่างไร? "
" น่าจะเป็นพวกนางกำนัล หรือไม่ก็เจ้านายฝ่ายสตรีองค์ใดมาเที่ยวเล่นล่ะกระมัง " คราวนี้องค์หญิงสิริจันทรที่อยู่เบื้องหลัง แต่ก็ได้ยินคำสนทนาของอีกฝ่ายทั้งหมดก็ทรงตรัสออกมาเบาๆบ้าง ทำให้จ่าโขลนผู้อารักขาทั้งสองนางหันกลับมาเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆทันที
" ต่อให้เป็นนางกำนัลก็ไม่น่าจะมากันเพียง ๒ นาง... " อเทตยาพูดเบาๆพร้อมกับค่อยๆสาวเท้าเข้าไปทางทิศที่จับสัมผัสได้อย่างช้าๆโดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ ราวกับการย่องของเสือสมิงไม่มีผิด จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นแนวต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า เธอก็หยุดชะงักกึกพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างเล็กน้อย...ก่อนที่เธอจะค่อยๆหันกลับมาพร้อมกับพยักหน้าเรียกทั้งอนาสตาเซียและองค์หญิงสิริจันทรให้เข้าไปดูสิ่งที่เธอกำลังเห็นอยู่ด้วยทันที
กึก!
เมื่อเห็นเช่นนั้นองค์หญิงสิริจันทรก็ขยับวรกายหมายจะดำเนินเข้าไปทอดพระเนตรบ้าง แต่อนาสตาเซียที่ขวางหน้าอยู่ยกแขนขึ้นห้ามไว้เสียก่อน พร้อมๆกับที่เธอจะขมวดคิ้วูบทันที
" ท่านอนาสตาเซีย? "
ถึงจะบอกว่านับตลอดเวลาที่อเทตยาย้ายมาอยู่ในฝั่งเดียวกัน เธอจะไม่เคยทำสิ่งใดอันมีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อหมู่บ้านยุคันตวาตหรือต่อพวกเธอเลยก็ตามที...แต่ด้วยความที่เธอเป็นมือสังหารที่ถูกเคี่ยวกรำมาอย่างดี นั่นทำให้เธอไม่ได้ให้ความไว้วางใจอีกฝ่ายมากมายนัก...อย่างน้อยๆเธอก็ไม่ได้ไว้ใจมือฉมังธนูู้นี้เม่ากับที่ไกรไว้ใจแน่ๆ
ซึ่งดูเหมือนอเทตยาเองก็รู้ถึงความจริงข้อนี้ดี และเธอก็รู้ดีว่าเธอก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะเรียกร้องอะไรได้อยู่แล้ว...ทำให้ถึงแม้ว่าอนาสตาเซียจะทำท่าทีที่เสียมารยาทกับเธอหลายครั้งแต่เธอก็ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองอะไร คราวนี้ก็เช่นกัน เพราะอเทตยาเพียงแค่ขมวดคิ้วใส่เล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกอีกครั้งเป็นการสำทับว่าเธอต้องการให้ทั้งสองมาดูนี่จริงๆ ทำให้อนาสตาเซียได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับลดแขนลงเพื่อเปิดทางให้องค์หญิงดำเนินเข้าไปอย่างอยากรู้อยากเห็นทันที
" ท่านอเทตยา? " เมื่อมาถึง องค์หญิงสิริจันทรก็เลิกขนงเล็กน้อยเป็นเชิงถาม แต่จ่าโขลนสาวเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากตัวเองเป็นเชิงให้พระองค์เงียบ ก่อนจะใช้นิ้วชี้นิ้วนั้นชี้ไปที่ลานเล็กๆตรงหน้า...ลานหญ้า ที่ถูกรายล้อมด้วยเหล่าต้นไม้ใหญ่ที่คงไม่สามารถถูกพบได้หากไม่ใช่เหตุบังเอิญหรือตั้งใจจะหาจริงๆ...และที่น่าสนใจที่สุดคือบุคคลสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลางลานเล็กๆนั้น...
" พระราชบิดา...พระราชปิตุลา? "
ใช่แล้ว...ผู้ที่ประทับอยู่กลางลานเล็กๆที่ถูกแอบซ่อนอยู่ภายในราชอุทยานสวนองุ่นอันกว้างใหญ่แห่งนี้ คือจอมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาทั้งสองพระองค์...สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ และสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรนั่นเอง...
" สมควรแก่เวลาแล้วนะ...สมเด็จท่าน "
" หืม? "
" เฮ้อ...พระองค์ทรงลืมเลือนไปเสียแล้วกระมัง ว่าพระองค์ทรงมีราชโองการเรียกเหล่าเจ้าพระยาทั้งมวลให้ไปรอเพื่อปรึกษาราชการศึกนะพุทธเจ้าข้า...ต่อให้เป็นพระองค์เองก็ไม่สมควรจะปล่อยให้พวกขุนนางเหล่านั้นรอนะ "
" อ้อ...ถึงเวลาแล้วหรือนี่?...เฮ้อ...เวลามันช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆนะ " พระเจ้าเอกทัศน์ที่เวลานี้นั่งอยู่บนพื้นหญ้าพร้อมกับใช้เศษกิ่งไม้แหลมๆ ขีดเขียนอะไรบางอย่างอยู่ข้างๆกับก่องเดินที่ถูกกอบด้วยพระหัตถ์จนสูงขึ้นจากพื้นดิน ๒ กอง ก่อนที่พระองค์จะขยับพระวรกายและลุกขึ้นอย่างช้าๆโดยมีผู้เป็นพระอนุชาเข้ามาประคอง...ในขณะที่พระอนุชาธิราชผู้เวลานี้อยู่ในราชศักดิ์ของพระเจ้าแผ่นดินและจอมทัพเหลือบเนตรมองไปที่กองดินทั้งสองที่ผู้เป็นเชษฐาสร้างขึ้นด้วยหัตถ์ของพระองค์เอง ก่อนจะปัสสาสะยาวพร้อมกับตรัสเรียบๆว่า
" จะดีหรือ? ที่พระองค์ฝังเถ้ากระดูกของพวกนางไว้ ณ ที่นี้ "
" อืม...ที่นี่แหละ ดีแล้ว "
" พระองค์ทรงทราบหรือไม่ ว่าพระองค์เป็นถึงจอมราชาแห่งราชอาณาจักรอโยธยา พระองค์อยู่เหนือกฎเกณฑ์และข้อบังคับทั้งมวล พระองค์ทรงเป็นดั่งสมมติเทพ...เพราะฉะนั้นหากพระองค์อยากจะสร้างโกศบรรจุอัฐิให้นางทั้งสอง...ข้าพุทธเจ้าเชื่อว่าคงจะไม่มีผู้ใดกล้าขัดพระองค์แน่ๆ "
" นางทั้งสองที่ท่านว่าน่ะ มีความผิดฐานพยายามจะกระทำการปลงพระชนม์ข้า ปลงพระชนม์ท่าน และปลงพระชนม์เจ้านายชั้นสูงแทบทุกพระองค์ที่อยู่ในพระที่นั่งนั่น...ทั้งยังพยายามจะลักพาลูกสาวข้าอีก...พวกนางไม่สมควรจะได้รับการระลึกถึง ไม่ว่าจะในฐานะใดทั้งสิ้น " พระเจ้าเอกทัศน์ขยับหน้ากากของพระองค์พร้อมกับดำรัสตอบกลับไปเรียบๆ แต่ถึงแม้ว่าจะทรงสวมทับไว้ด้วยหน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ แต่แม้แต่พระเจ้าอุทุมพรยังสามารถบอกได้เลยว่าผู้เป็นเชษฐากำลังปิดบังอะไรอยู่แน่ๆ นั่นทำให้พระองค์ถึงกับปัสสาสะอีกครั้งเฮือกทันที
" พระองค์ทรงมุสาไม่เก่งเอาเสียเลยนะ...ต่อให้นางสองคนกระทำการหยาบช้าถึงเพียงนั้น แต่พระองค์ก็ยังคงโศกเศร้า ทรงโทมนัสต่อการจากไปอย่างกะทันหันของพวกนางทั้งสอง...พระองค์ยังคงรัก ยังคงสเน่หาพวกนางไม่เสื่อมคลาย "
" แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร ทานอุทุมพร...ในเมื่อความรักมันสวนทางกับความถูกต้อง...เมื่อครั้งที่เจ้าจอมแมนตะโกนถามข้าว่าข้ายังรักพวกนางอยู่ไหม...ตัวข้านั้นรัก และยังคงรักนางอยู่ไม่เสื่อมคลาย...แต่เจ้าจะให้ข้าบอกไปเช่นนั้นหรือ?...เจ้าจะให้ประวัติศาสตร์ตราหน้าข้าว่าข้าเป็นผู้ที่บูชาความรักเหนือกฎบ้านเมืองอย่างนั้นหรือ? ...ผู้ที่อยู่ในศักดิ์ฐานะอย่างเรารักได้ แต่ที่ต้องรักที่สุดคือบ้านเมือง...ตวามรักที่ข้ามีให้แก่พวกนาง...ข้าขอเก็บไว้เช่นนี้แหละ...ดีแล้ว "
พระเจ้าอุทุมพรเหลือบเนตรมองจอมกษัตริย์ผู้เป็นเชษฐาช้าๆอย่างไม่รู้จะปลอบพระทัยอะไรดี ...พระองค์เป็นหมอที่รักษาโรคาพยาธิทางกายได้อย่างเอกอุก็จริง แต่สำหรับโรคทางใจนั้น...คงจะต้องให้เวลาเป็นผู้รักษาเท่านั้นแหละ...
...หลังจากที่จอมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์เสด็จดำเนินจากไป ...ผู้ซุ่มดู ทั้ง ๓ ก็ค่อยๆออกมาจากไม้ใหญ่ที่ใช้เป็นที่แฝงกายแอบดูอยู่อย่างช้าๆ โดยที่ไม่ทั้ง ๓ ไม่มีผู้ใดสามารถเอ่ยคำใดออกมาได้...พวกเธอได้แต่สบสายตาและสายพระเนตรกันอย่างนิ่งอึ้งไป...ยิ่งเมื่อทั้งองค์หญิงและจ่าโขลนผู้อารักขาทั้งสองคนดำเนินและเดินมาถึงกองเดินที่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ทรงก่อไว้เป็นดั่งโกศของทั้งเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมน และได้เห็นข้อความสั้นๆที่พระเจ้าเอกทัศน์ทรงขีดไว้ด้วยกิ่งไม้อย่างบรรจงว่า...
...สตรีผู้เป็นที่รักทั้งสอง...ตั้งแต่วินาทีแรก ตราบถึงวินาทีสุดท้าย...หลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ ที่นี้...
" พระราชบิดา... " องค์หญิงสิริจันทรรำพึงออกมาด้วยพระสุรเสียงบางเบา ในขณะที่อนาสตาเซียก้มลงพร้อมกับยกมือไหว้อย่างไทยเพื่อเคารพสถานที่หลับใหลสุดท้ายของเจ้าจอมผู้เป็นระดับชั้นบัญชาการแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ทั้งสอง ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆว่า
" ข้าไม่นึกเลยว่าหลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้น พ่ออยู่หัวจะยังคงสเน่หาในเจ้าจอมทั้งสองไม่เสื่อมคลายเช่นนี้ "
" ความรักมันไม่ได้เกี่ยวกับถูกผิดหรอก อนาสตาเซีย...หากลงได้รักด้วยใจภักดิ์แล้ว...ต่อให้ผู้ที่เรารักแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด...ความรักก็ยังคงอยู่ ไม่มีวันเสื่อมคลายแน่นอน...สำหรับข้าแล้ว...รักด้วยใจภักดิ์นั้นสวยงามเสมอ " อเทตยาที่อยู่เบื้องหลังก้มดวงตาหรุ่บต่ำลงพร้อมกับพูดตอบคำถามอนาสตาเซียเบาๆ ถึงแม้ว่าหางเสียงของเธอจะบางเบาจนราวกับพูดกับตัวเองก็ตามที
" ฮ่ะๆ...พูดไปข้าก็ไม่เข้าใจหรอก อเทตยา...เพราะข้าอาจจะยังไม่โตพอจะรู้จักความรักกระมัง "
" โถๆ ยัยหนูน้อย "
" ชะ...ยัยมอญนี่! "
" คิกๆ...ถ้าเจ้าโตพอจะรู้จักความรักนะ อนาสตาเซีย...เจ้าจะรู้เองว่า ...เพื่อรักแล้ว ต่อให้อุปสรรคใดๆขวางอยู่ด้านหน้า...ต่อให้ต้องบุกฝ่าเขาดาบทะเลเพลิง...เจ้าก็พร้อมจะฝ่าด้วยความเต็มใจเลยล่ะ "
" เชอะ พูดได้น่าฟังนักนะ...ข้าจะรอดูว่าเมื่อวันที่เจ้ามีความรัก เจ้าจะทำได้อย่างที่พูดหรือไม่ อเทตยา "
" คิกๆ รอท่าชมได้เลย อนาสตาเซีย "
ระหว่างที่จ่าโขลนสาวทั้งสองกำลังพูดคุยกันอย่างออกรสอยู่นั้น เจ้าหญิงสิริจันทรก็ค่อยๆก้มลงมองอนุสรณ์เล็กๆที่พระราชบิดาของพระองค์เป็นผู้กอบขึ้นเองกับหัตถ์ของพระองค์เอง เพื่อระลึกถึงเจ้าจอมผู้ล่วงลับทั้งสอง พร้อมๆกับที่คำพูดของจ่าโขลนผู้ถวายการอารักขาพระองค์อย่างอเทตยาจะยังคงดังก้องกังวานอยู่ภายในหทัยของเธอ...มันทำให้พระองค์แอบริษยาในความแน่วแน่ของจ่าโขลนสาวชาวมอญผู้นี้เหลือเกิน...ยิ่งเมื่อเทียบกับพระองค์แล้วยิ่งแล้วใหญ่...
' ...เพื่อรักแล้ว...เราจะทำได้ถึงขาดไหนกัน?... '
.....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ