ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

92)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

    ...ณ จวน อันเป็นเรือนไม้ขนาดใหญ่ประจำตำแหน่งของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...จางวางหัวหน้ากองทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้ง ๔ เวร และหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงา...หน่วยราชองครักษ์พิเศษที่เวลานี้เป็นที่กล่าวขวัญเลื่องลือกันไปทั่วพระนคร...ว่่าเก่งกาจที่สุดในแผ่นดิน...

 

       เคร้ง!!

 

       เสียงของดาบซ้อมอันไร้คมสีเงินวาวที่ปะทะกันจนเกิดเสียงดังบาดหูไปทั่วทั้งลานกว้าง พร้อมๆกับเสียงครางอย่างฮือฮาของเด็กหนุ่มหลายคนที่นั่งล้อมลานสี่เหลี่ยมนี้เกิดขึ้นเป็นประจำมากว่าอาทิตย์แล้ว...และวันนี้เป็นวันที่พิเศษยิ่งกว่าทุกวัน ตรงที่ผู้ที่เป็นคู่ประลองบนลานกว้างนี้ คือเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ เจ้าพระยาหนุ่มผู้เป็นเจ้าบ้าน...และหลวงยกกระบัตรเมืองตากผู้เป็นอดีตหน่วยคเณศร์เสียงานั่นเอง...

 

     " ใจเย็น ท่านสิน...อย่าเร่งจังหวะมากนัก...ประเดี๋ยวก็หกล้มหัวฟาดเจ็บตัวไปหรอก "  ไกรที่เวลานี้สวมเพียงโจงกระเบนสีเข้มที่ยกสูงและผูกไว้แน่นเพื่อความทะมัดทแมงโดยเปลือยร่างท่อนบนอันเป็นมันเลื่อมและเหมือนจะกำยำขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ในขณะที่ดาบซ้อมซึ่งเป็นดาบไร้คมสีเงินวาวในมือทั้งสองข้างตวัดไปมาอย่างรวดเร็วเพื่อปัดป้องดาบซ้อมในมือของหลวงยกกระบัตรสินที่พยายามโถมแทงเข้ามาในทุกๆจุดอ่อนของกระบวนดาบของเขา...ในขณะที่เมื่อได้ยิน สินที่เวลานี้อยู่ในโจงกระเบนตัวเดียวเช่นเดียวกับเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

     " ระวังไว้ให้ดีเถอะ ท่านไกร...จะทำหน้าระรื่นได้ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นแหละ! "  สินพูดตอบกลับมาเบาๆพร้อมกับตวัดดาบโถมแทงเข้าใส่ไกรอย่างรวดเร็วอีกครั้ง และการโถมแทงครั้งนี้ทำให้เจ้าพระยาหนุ่มถึงกับต้องขมวดคิ้ววูบทันที

 

       เคร้ง!!

 

     " เฮ่ยๆ ดาบเมื่อกี๊ใส่จิตสังหารลงมาเต็มที่เลยไม่ใช่รึอย่างไร?! "

 

     " อ้ะ...ขออภัยขอรับ...อารามตกใจ ข้าคงกะแรงผิดไปหน่อย "

 

     " กะแรงผิดบ้าอะไรเล่า! แบบนี้มันกะเอาข้าหยอดน้ำข้าวต้มชัดๆเลยนะเฟ้ย! "

 

       เคร้ง!!

 

     ' แย่ล่ะสิ...อาจจะเป็นเพราะชินกับน้ำหนักของดาบสดายุและดาบสัมพาทีที่ช่วงนี้ใช้อยู่เป็นประจำไปแล้ว พอกลับมาจับดาบซ้อมที่น้ำหนักผิดไปเลยรู้สึกขัดๆจนช้าลงไป ๑ จังหวะ...ในขณะที่ท่านสินใช้ดาบปกติอยู่แล้วเลยไม่มีผลอะไร...แถมระดับของท่านสินในเวลานี้ไม่ใช่ระดับที่จะหยอกล้อเล่นได้ด้วยแล้วสิ '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับเลือกที่จะกระโดดหลบดาบแทนที่จะปัดป้องเหมือนทุกครั้ง แตการหลบของเขายิ่งทำให้สินได้ใจจนกระทั่งเร่งจังหวะเพิ่มขึ้นไปอีกเหมือนพยายามจะเผด็จศึก แต่การพยายามเร่งจังหวะอย่างกะทันหันทำให้เขาก้าวเท้าผิดจังหวะไปเล็กน้อย ซึ่งถ้าเป็นคนปกติก็คงจะแทบจะสังเกตไม่เห็น...แต่สำหรับนักดาบระดับสูงแล้วมันคนละเรื่องกันเลย 

 

       การเร่งจังหวะของสินก็กลายเป็นช่องให้คนที่เก่งในการจับจุดผิดพลาดอย่างไกรแสยะยิ้มวูบ พร้อมกับขยับลงมือทันที

 

      ' เสร็จตูล่ะ! '

 

       วูบ!

 

 

    ...ไม่กี่นาทีต่อมา...

 

     " ปัดโธ่เอ้ย...คิดว่าจะสามารถชนะท่านได้แล้วเชียว...เพราะจังหวะนั้นจังหวะเดียวแท้ๆ "  หลวงยกกระบัตรหนุ่มแห่งเมืองตากผู้มีนามว่าสินครางออกมาเบาๆทันที หลังจากผลการประลองสรุปออกมาว่าเขายังคงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่เช่นเดิม แม้ว่าเขาจะพัฒนาฝีดาบขึ้นจากเดิมชนิดเทียบกันไม่ได้แล้วแท้ๆ ...ในขณะที่คู่ประลองและอดีตหัวหน้าของเขาอย่างไกรที่นั่งใช้กระบวยตักน้ำจากตุ่มเล็กๆขึ้นมาดื่มแก้กระหายหัวเราะออกมาเบาๆพร้อมกับพูดต่อว่า

 

     " จะว่าไปก็ใช่นั่นแหละ...ท่านยังคงมีพื้นนิสัยใจร้อนหลงเหลืออยู่ ถึงจะพัฒนาฝีมือจนข้าไม่อาจจะออมมือให้ได้แล้วก็ตามทีเถอะ "

 

     " แปลว่าถ้าข้าใจเย็นลงกว่านี้ อย่างท่านน่ะไม่อยู่ในสายตาข้าเลยใช่หรือไม่ขอรับ? "

 

     " นี่พูดแบบจริงจังหรือคิดจะกวนโทสะกันเนี่ย? "  ไกรหันไปถามเบาๆขณะตักน้ำเย็นๆใส่กระบวยส่งไปให้ ในขณะที่สหายผู้มีชื่อเสียงอีกคนหนึ่งอย่างพระยาเพชรบุรีหรือท่านเรืองที่นั่งอยู่ใกล้ๆหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

     " ท่านผิดเอง ท่านไกร...ที่ไปบอกมันว่าเป็นสหาย "

 

     " ฮ่าๆๆ เอาน่าๆ สิน...อย่างไรเสียข้าก็ยังมีอีโก้---หมายถึงเกียรติในฐานะนักดาบที่จะแพ้ไม่ได้อยู่เหมือนกันนะ "

 

     " ชิ...ประเดี๋ยวก็ต้องชนะสักวันล่ะน่า "  สินครางออกมาเบาๆก่อนจะรับกระบวยน้ำที่ไกรส่งมาให้พร้อมกับพึมพำขอบคุณเบาๆ ในขณะที่ไกรหยิบผ้าขึ้นมาซับเหงื่อพลางมองไปที่ลานกว้างที่เวลานี้มีศกุนตลายืนอยู่กลางลานเพื่อรับหน้าที่เป็นครูสอนเชิงดาบให้กับเหล่าเด็กหนุ่มที่มานั่งกันสลอนราวกับที่นี่กลายเป็นโรงฝึกหรือสำนักดาบกลายๆไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกทันที

 

     " เฮ้อ...มันเป็นอย่างงี้ไปได้ไงฟะเนี่ย "

 

     " หืม? "  ทั้งสินและเรืองหันไปมองเหล่าเด็กหนุ่มที่ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นลูกขุนน้ำขุนนางที่เริ่มฝึกหัดดาบที่เป็นแนวดาบของหมู่บ้านยุคันตวาตที่หญิงสาวนามว่าศกุนตลาซึ่งเป็นหน่วยคเณศร์เสียงาคนใหม่เป็นผู้สอนให้ตามช้าๆ ก่อนจะเลิกคิ้วเล็กน้อยทันที

 

     " อ้าว...ก็ดีแล้วนี่ขอรับ...ครึกครื่้นดีออก "

 

       แต่คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ไกรเหลือบสายตาคมปลาบหันไปมองพร้อมกับแยกเขี้ยววับทันที

 

     " ไอ้คนที่เป็นตัวต้นเรื่องอย่างพวกท่านน่ะเงียบไปเลยเฟ้ย! "

 

     ...สำหรับเหตุผลที่เหล่าลูกท่านหลานเธอพวกนี้ต่างก็มาออกันเต็มบ้านของเขาเช่นนี้ ต้นเหตุก็มาจากท่านเรืองกับท่านสิน รวมไปถึงเขาด้วยนี่แหละ ที่ต่างก็ได้รับการอวยยศ อวยบรรดาศักดิ์และพระราชทานอภัยโทษกลับคืนสู่ตำแหน่งหน้าที่เดิม...ที่แม้ว่าถ้าด้วยเหตุผลที่พวกเขาเป็นตัวจักรสำคัญในการปราบปรามกลุ่มกบฏที่เกิดขึ้นภายในราชวังแล้ว การอวยยศหรือพระราชทานอภัยโทษนี้เป็นเรื่องปรกติแบบโคตรๆ ...แต่เนื่องจากเหตุผลสำคัญที่ว่านั้นถูกปิดเป็นความลับไม่ให้แพร่งพรายออกไป ทำให้จากสายตาของบุคคลภายนอกแล้ว ไกรกลับคืนสู่ตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีที่แถมด้วยบ้านและที่ดิน หลังจากต้องโทษทัณฑ์ถอดลงเป็นตะพุ่นหญ้าช้างได้เพียงอาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ...พร้อมๆกับที่ท่านเรืองได้กลับคืนสู่บรรดาศักดิ์พระยาเพชรบุรีตามเดิม ในขณะที่สินได้รับพระราชทานศักดินาเพิ่มมากขึ้นจากเดิม ส่วนอเทตยาและอนาสตาเซียซึ่งเป็นสตรีในหนวยของเขาต่างก็ได้รับพระราชทานเบี้ยอัฐเป็นอันมาก...นั่นทำให้จากสายตาของบุคคลภายนอกแล้ว...ไกรคือคนโปรดของพ่ออยู่หัวทั้งสองแน่นอน และผู้ที่อยู่หน่วยคเณศร์เสียงาทุกท่านต่างก็ได้รับการอวยยศกันอย่างรวดเร็วราวกับตะไลที่ถูกจุดขึ้นฟ้าทั้งสิ้น...

 

     ...นั่นทำให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่แทบทุกท่านเข้าใจ(แบบผิดๆ)ไปแล้วว่าหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรเป็นเหมือนหนทางที่รวดเร็วที่สุดของเด็กหนุ่มทุกคนที่เลื่อนระดับสู่ระดับชั้นสูงได้ในพริบตา...

 

     ...หลังจากการเข้าใจผิดนั้นเกิดขึ้น ในวันต่อมา ภาระก็ตกอยู่ที่หัวกระไดของจวนเรือนของไกรซึ่งเข้ากับสุภาษิตไทยนั่นคือไม่เคยแห้งทันที เพราะเหล่าขุนนางเฒ่าแทบทั้งหมดที่มีลูกชายในวัยรุ่นที่เริ่มแก่พอจะเข้ารับราชการได้ ต่างก็พากันนำลูกชายของพวกเขามาฝากไกรและหน่วยคเณศร์เสียงาของเขาโดยทันที...

 

     " ครึ้กครื้นดีจังเลยนะขอรับ... "

 

     " ครึ้กครื้นไปคนเดียวเถอะ...แค่นี้ข้าก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว! "

 

       แน่นอนว่าหลังจากได้ฟังคำขอร้องของเหล่าขุนนางเฒ่าเหล่านั้น ไกรก็บอกปฏิเสธในทันที...เพราะต่อให้เขาไม่ได้ตกลงกับท่านผู้เฒ่าไว้แล้วว่าจะให้หน่วยคเณศร์เสียงาของเขาเป็นที่พำนักของเหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตของเขาเพื่อความเป็นเอกภาพและความสะดวกในการเคลื่อนไหวอะไรแล้ว เขาก็ไม่อยากหาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวเพิ่มอีกในเวลาอันใกล้นี้ด้วย ซึ่งก็ต้องถือว่าเขาโชคดีอยู่ไม่น้อยที่ขุนนางเฒ่าที่มายื่น แป๊ะเจี๊ยะ---หมายถึงคิดจะฝากลูกชายเข้าหน่วยของเขาเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเป็นระดับคุณหลวง หรือคุณพระ หรืออย่างสูงสุดก็เป็นเพียงพระยาระดับกลางที่ศักดินาไม่เกิน ๕,๐๐๐ ไร่...ไม่ใช่ระดับเจ้าพระยาพานทอง หรือระดับนาหมื่นอย่างเจ้าพระยาจักรีที่เคยมาฝากหลวงยกกระบัตรสินไว้ ในขณะที่ไกรเองในเวลานี้เป็นเจ้าพระยาพานทองจึงสามารถบอกปัดปฏิเสธไปได้โดยไม่จำเป็ต้องให้เหตุผลอะไรมากนัก

 

       แต่ถึงแม้ไม่ได้ศอก พวกเขาก็ขอแค่คืบก็ยังดี...ถึงจะไม่สามารถฝากเข้าหน่วยคเณศร์เสียงาได้ แต่เหล่าคุณพ่อทั้งหลายแหล่เหล่านั้นก็ยื่นข้อเสนอว่าขอแค่ให้มาฝึกกระบวนดาบกับไกรในฐานะลูกศิษย์ลูกหาก็ยังดี ทั้งยังให้เหตุผลที่ไม่อาจโต้แย้งสำทับมาอีกว่าเหล่าลูกชายของพวกจำเป็นต้องมีวิชาไว้ป้องกันตัวในฐานะชายชาติทหารผู้หนึ่งบ้าง ทั้งด้วยเวลาที่ศึกพม่ากำลังจะประชิดชายแดนนี่ยิ่งแล้วใหญ่...หากเขายังทำใจยักษ์ไม่รับลูกๆของพวกเขาเป็นศิษย์อีก เขาจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปจนตาย!---หมายถึงทุกคนจะครหานินทาเขาว่าหวงวิชาจนไม่สนความเป็นความตายของคนชาติเดียวกันเช่นนี้ นั่นเป็นการมัดมือชกให้เขาไม่อาจจะปฏิเสธได้อีกต่อไป...

 

     " ก็เลยจำต้องรับมาทั้งหมดเนี่ยนะขอรับ? "

 

     " ถูกต้องขอรับ! "

 

       ถึงจะรับมาทั้งหมดและสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยฝึกดาบให้ แต่วิชาดาบของไกรเป็นวิชาดาบที่พัฒนาจากวิชาดาบพื้นฐานของหมู่บ้านยุคันตวาตโดยใช้เวลาพัฒนาผ่านรุ่นต่อรุ่นมาหลายร้อยปี จนกระทั่งกลายเป็นวิชาดาบสองมือที่สืบทอดมาในตระกูลของเขาในยุคปัจจุบัน ทำให้เขาไม่สามารถสอนวิชาดาบของเขาให้กับผู้ใดได้...ทางออกก็กลายเป็นวิชาดาบที่เป็นเหมือนรากเหง้าของวิชาดาบสองมือของเขา อย่างวิชาดาบพื้นฐานแห่งหมู่บ้านมือสังหารอย่างหมู่บ้านยุคันตวาตนั่นเอง...

 

    ...ถึงแม้ว่าจะแก้ปัญหาในเรื่องนี้ไปได้ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ ผู้ใดจะเป็นคนสอน...เพราะท่านผู้เฒ่าที่เป็นเจ้าของวิชา เวลานี้ก็ยุ่งอยู่กับการจัดการสะสางงานกับตำแหน่งใหม่ของเขาอย่างเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ที่ขึ้นมาแทนที่เจ้าพระยาราชมนตรีฯคนเดิมที่ทนพิษบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนไม่ไหวและสิ้นชีพไปในคุกเรียบร้อยแล้ว...ในขณะที่อนาสตาเซียที่เป็นลูกสาวบุญธรรมและเป็นผู้สืบทอดวิชาดาบอย่างลึกซึ้งที่สุดก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะสอนใครได้...ด้วยเหตุผลที่ว่าคนในยุคสมัยนี้ไม่ได้ยอมรับคนที่หน้าตาเป็นฝรั่งแขนลายเต็มขั้นอย่างเธอแบบในยุคสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทำให้พวกเด็กหนุ่มๆเหล่านี้คงจะไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักที่เธอจะมาเป็นอาจารย์ดาบให้พวกเขา ...ส่วนสิงห์น่ะตัดไปได้เลย เพราะด้วยพื้นนิสัยของมันหลังจากที่ไกรได้สัมผัสมาคงจะไม่สามารถเป็นครูสอนใครแบบดีๆได้แน่...ผลกรรมจึงไปตกอยู่ที่มือสังหารสาวที่เหลืออยู่อีกเพียงคนเดียว...ศกุนตลา...

 

    ...ซึ่งในตอนแรกนั้นด้วยความเป็นอิสตรีและความงดงามของเธอ (แม้ว่าใบหน้างดงามนั้นจะถูกปิดบังซะครึ่งนึงด้วยหน้ากากรูปยักษ์แสยะยิ้ม และกระแสพลังที่แผ่ออกมารอบๆตัวเธอไม่ใชอะไรที่ควรจะเข้าใกล้เลยก็ตามที) ทำให้พวกเด็กหนุ่มเหล่านั้นไม่ค่อยเชื่อน้ำมนต์หญิงสาวเท่าไหร่นัก (ออกจะพยายามหลีเธอด้วยซ้ำ) แต่หลังจากที่เธอสอนให้เห็นถึงความต่างชั้นด้วยการจัดการคว่ำพวกเขาทั้งหมดด้วยดาบซ้อมเพียงเล่มเดียวชนิดไร้รอยขีดข่วน แถมยังแทบไม่หอบเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้พวกเขาต่างก็พร้อมใจกันเรียกเธอว่า อาจารย์ โดยดุษฎี...

 

     " ข้าไม่อยากจะพูดหรอกนะ ท่านไกร...แต่ข้าขอบอกเลยนะว่ากระบวนดาบของสตรีที่นามว่าศกุนตลานี่ไม่ใช่ระดับเล่นๆเลยนะ...ท่านไปรู้จักกับนาง...กับหน่วยคเณศร์เสียงาคนใหม่ๆพวกนี้ได้อย่างไรกัน? "  เรืองที่นั่งมองกระบวนดาบของศกุนตาที่ค่อยๆถ่ายทอดให้เหล่าเด็กหนุ่มทีละน้อยๆอดพูดขึ้นมาเบาๆไม่ได้...ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ที่เดินในสายนักดาบ แต่เขาก็แก่พอจะมองถึงระดับของอีกฝ่ายออก...ในขณะที่ไกรที่นั่งเท้าคางมองอยู่เช่นกันถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับพูดตอบกลับไปเบาๆว่า

 

     " ถ้าให้เล่าก็คงยาวน่ะ...ที่ข้าบอกได้ก็คือสิ่งที่นางถนัดไม่ได้มีแค่วิชาดาบกับการเป็นครูเช่นนี้แน่...ว่าแต่... "  ชายหนุ่มเหลือบมองไปทางพระยาเพชรบุรีที่เลือกที่จะนั่งเว้นระยะห่างจากเขาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามต่อเบาๆว่า

 

     " และถ้าให้ข้าเดา...พวกท่านคงไม่ได้มาหาข้าเพียงเพราะมาพูดคุยสารทุกข์สุขดิบในฐานะสหาย หรือมาแค่ประลองดาบกันหรอกนะ...ใช่หรือไม่? "

 

       คำถามของไกรทำให้ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกทันที โดยที่สินเป็นฝ่ายปล่อยให้เรืองที่อาวุโสกว่าเป็นผู้ตอบคำถามนั้นเบาๆว่า

 

     " ยังสายตาแหลมคมเช่นเดิมนะขอรับ ท่านไกร...ถูกแล้วล่ะ พวกข้ามาลาท่านน่ะขอรับ "

 

     " ลา? "

 

     " ขอรับ ท่านไกร...ท่านก็น่าจะทราบแล้วสินะว่ากองทัพเราที่กุยบุรี (ปัจจุบันอยู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์) แตกแล้ว ปราการด่านต่อไปก็เหลือเพียงที่ปราณบุรี (ประจวบคีรีขันธ์เช่นกัน) เท่านั้น ก่อนที่ทัพพระเจ้าอลองพญาจะมาถึงเพชรบุรีของข้า...พ่ออยู่หัวทั้งสองจึงมีราชโองการให้ข้ารวบรวมกำลังพลที่เพชรบุรีไปช่วยตั้งรับที่ปราณบุรี และตกแต่งค่ายคูประตูหอรบที่เพชรบุรีใหม่เสียหมด เผื่อว่าปราณบุรีแตกอีกก็คงต้องถอยร่นมายังเพชรบุรีของข้านั่นแหละ " 

 

     " ส่วนข้านั้นก็ต้องกลับไปที่ตาก เพราะพระยาตากในเวลานี้เองก็แก่ชราจนสุขภาพร่างกายไม่ไหวแล้ว ไม่อาจจะเดินทางมารับราชการศึกที่อโยธยานี้ได้ ท่านจึงมีใบบอกมาให้ข้าซึ่งเป็นยกกระบัตรขึ้นไปตากและคุมกำลังพลที่เกณฑ์เตรียมไว้ที่ตากและละแวกใกล้เคียงมาเสริมกำลังพลที่นี่น่ะ "

 

     " แปลว่าจะแยกย้ายกันแล้วสินะ? "  ไกรพูดเบาๆพลางตักน้ำเย็นๆด้วยกระบวยขึ้นมาซดอีกรอบ แต่เขาก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีไม่ค่อยพอใจนักของชายหนุ่มผู้เป็นสหายทั้งสอง จนเขาต้องเลิกคิ้วใส่ทันที

 

     " อะไร? "

 

     " เฮ้อ...เปล่าขอรับ...แค่รู้สึกว่าสำหรับผู้เป็นสหายกัน ท่านเป็นห่วงเป็นใยพวกข้าน้อยกันเหลือเกินก็เท่านั้น "

 

     " โธ่เอ้ย...นึกว่าเรื่องอะไร "  ไกรครางออกมาเบาๆ อันที่จริงก็ต้องบอกว่าถูกที่เขาไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่จริงๆนั่นแหละ เพราะเขารู้อยู่แล้วจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ในยุคของเขาว่าทั้งสองอยู่รอดปลอดภัยแน่นอนอยู่แล้ว

 

     " เรื่องนั้นแหละขอรับ...ถึงจะบอกว่าเป็นสหาย แต่ในฐานะที่เคยเป็นหัวหน้าพวกเรามาก่อน ก็น่าจะเป็นห่วง หรืออย่างน้อยๆก็น่าจะถ่ายทอดมนต์คาถาของท่านให้พวกเราโดยถือเป็นลูกศิษย์ลูกหาบ้าง...คาถาที่ทำให้มีจักรเพชรล้อมรอบปกป้องตัวท่านจากเดรัจฉานวิชาทั้งมวลอยู่ในเวลานี้น่ะขอรับ "  เรืองพูดเบาๆพร้อมทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยและปะเหลาะขอให้ชายหนุ่มสอนสุดยอดคาถาที่เคยใช้ปราบสองเจ้าจอมนั้น ซึ่งเขาก็ปะเหลาะขอมาตั้งแต่วันแรกๆ จนกระทั่งถึงวันนี้ ซึ่งผลก็ยังคงเหมือนเดิม คือไกรส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างไม่มีเยื่อใยพร้อมกับพูดเรียบๆว่า

 

     " อย่างที่ข้าเคยบอก พระเวทคาถานั้นเป็นคาถานั่นไม่ใช่คาถาที่ควรจะมีผู้ใดรับรู้ได้ขอรับ...ข้าต้องขอโทษด้วยที่ข้าสอนท่านหรือผู้ใดไม่ได้จริงๆ "

 

     " ก็แค่หวงวิชาสินะ ใช่ไหมท่านเรือง...ทำเช่นนี้มันราวกับไม่ห่วงว่าพวกข้าจะพลาดท่าเสียทีหรือเป็นอะไรสักนิด "  สินที่นั่งฟังอยู่เงียบๆหันไปพยักเพยิดใส่เรือง ในขณะที่ไกรหัวเราะเบาๆทันที

 

     " ข้าก็อยากเห็นเช่นกันว่าใครมันจะทำให้ท่านพระยาและท่านหลวงยกกระบัตรคนเก่งพลาดท่าเสียทีได้...แต่เอาเถอะ... "  ไกรขยับเปลี่ยนท่านั่งใหม่พร้อมกับกระแอมไอเบาๆและพูดขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเบาๆว่า

 

     " ท่านเรือง สิน...ที่ข้าไม่ได้มีท่าทีเป็นห่วงเพราะข้าเชื่อใจพวกท่าน...พวกท่านถือเป็นชายชาตินักรบที่เกรียงไกรที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักมา และต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุดใอนาคตแน่นอน เพราะฉะนั้นศึกพระเจ้าอลองพญาคราวนี้..ทั้งสองโปรดรักษาตัวให้ดีนะ...ถือว่านี่เป็นคำขอ้องของข้าเลยก็แล้วกัน "

 

     " ท่านไกร... "

 

       ก่อนที่ชายหนุ่มทั้งสองจะได้ทันพูดอะไรต่อ การสนทนาของพวกเขาทั้ง ๓ คนก็ถูกขัดด้วยหญิงสาวผู้มีรูปร่างและหน้าตาบาดใจชายนางหนึ่ง ที่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับทักทายเจ้าพระยาพิทักษ์ฯด้วยชื่อเปล่าๆอย่างถือสนิทเบาๆทันที

 

     " ไกร... "

 

     " อ้าว? อุษา " 

 

       คำทักทายกลับอย่างสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าไกรเองก็สนิทกับหญิงสาวตรงหน้าไม่แพ้กันทำให้เรืองและสินหันไปมองหน้ากันทันที

 

     " คนใหม่อีกแล้วหรือขอรับ? "

 

     " เดี๋ยวๆๆ หยุดเลยๆ ไอ้ที่ว่าคนใหม่นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน? นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไรฟะ! "  ไกรหันไปโวยใส่ทั้งสองลั่น ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองหัวเราะเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นทันที

 

     " เฮ้อ...ถ้าอย่างนั้นพวกข้าทั้งสองขอลาเลยก็แล้วกันนะขอรับ ท่านไกร... "

 

       คำพูดของทั้งสองทำให้ไกรหันไปมองเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มบางๆทันที

 

     " โชคดีมีชัยนะ ท่านเรือง ท่านสิน...แล้วพบกันใหม่อีกครั้งนึง "

 

     " โชคดีมีชัยเช่นกันขอรับ ท่านไกร "

 

        หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองกล่าวลาและเดินถอยออกไป ไกรก็ถอนหายใจเฮือกและหันหน้ากลับมาหาหญิงสาวผู้เป็นมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างเพ่งพิจอีกครั้ง...เพราะถึงแม้ว่าหญิงสาวจะมีท่าทีขวางๆและไม่กินเส้นไกรเหมือนเดิม แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เจ้าจอมทั้งสองถูกสังหารที่พระตำหนักปลายทองนั้น อุษาดูเงียบขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเธอยังปฎิเสธที่จะมาอยู่สังกัดหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรและเหมือนกับพยายามหลบหน้าไกรอีกต่างหาก มันทำให้เขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่หญิงสาวมาหาเขาเองในวันนี้

 

     " นั่งก่อนสิ อุษา ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก "  ชายหนุ่มพูดเบาๆเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเงอะงะเล็กน้อยอย่างวางตัวไม่ถูก ในขณะที่เมื่อได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวก็เลือกที่นั่งที่ทิ้งระยะจากไกรเล็กน้อย พร้อมๆกับที่ไกรรินชาที่เริ่มอุ่นๆแล้วใส่จอกและยื่นส่งให้เป็นมารยาทันที

 

     " ไกร "

 

     " หืม? มีธุระอะไรก็ว่ามาเลย "

 

       หญิงสาวดวงตาหรุ่บต่ำลงและเงียบไปเล็กน้อยอย่างตัดสินใจ ก่อนที่ในที่สุดเธอจะสูดหายใจลึกอย่างตัดสินใจเด็ดขาดพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆทันที

 

     " ไกร ข้ามีเรื่องที่สำคัญมากจะบอกเจ้า...เรื่องของ อเท--- "

 

     " เรื่องของใครหรือเจ้าคะ? ท่านอุษา "

 

       ก่อนที่อุษาจะได้พูดประโยคสำคัญมาจนจบประโยค หญิงสาวผู้เป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรอย่างอเทตยา...มือฉมังธนูสาวชาวมอญจะแทรกเข้ามากลางวงสนทนาด้วยการเข้ามากอดแขนไกรไว้พร้อมกับเลิกคิ้วสวยบางและพูดเบาๆอย่างสนอกสนใจทันที

 

     " อ...อเทตยา? ...ธ...โธ่...อย่าเข้ามาอย่างปัจจุบันทันด่วน แถมยังปิดบังจิตเช่นนี้สิ ข้าตกอกตกใจหมด นึกว่าผีสางนางไม้ที่ไหน...ล...แล้วอย่าเข้ามากอดเช่นนี้ ตัวข้าเหนียวเหนอะและเหม็นเหงื่ออยู่นะ "  ชายหนุ่มพูดเบาๆพร้อมกับพยายามกระเถิบถอยห่าง แต่มือฉมังธนูสาวยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับขืนไว้ไม่ยอมให้ไกรถอยห่างพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

     " ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ เหงื่อของท่านไกรไม่เหม็นหรอก ออกจะหอมด้วยซ้ำ...ว่าแต่...พูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่หรือเจ้าคะ ฟังดูน่าสนุกเชียว "

 

     " อุษากำลังจะบอกอะไรบางอย่างน่ะ แต่เธอก็เข้ามาแทรกเสียก่อน เลยยังไม่รู้กัน วาอย่างไร อุษา? "

 

     " อย่างนั้นหรือเจ้าคะ ท่านอุษา...ท่านจะบอกอะไรท่านไกรกัน "  อเทตยาหันไปสำทับถามอุษาบ้าง...โดยที่ไกรไม่สามารถมองเห็นได้ แม้จะยังคงยิ้มแย้มอยู่ แต่ดวงตาวาววับของหญิงสาวก็ฉายวาบจนอุษาถึงกับขนลุกซู่พร้อมกับตัวสั่นเบาๆราวกับลูกนกอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ทันที

 

    ...ดวงตา...ของผู้ที่กุมชีวิตของเธอไว้โดยสิ้นเชิง...

 

     " อุษา...เป็นอะไรรึเปล่า หน้าเจ้าซีดเผือดเลยนะ "  ไกรถามเบาๆพร้อมกับทำท่าจะเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการ แต่อุษาขยับถอยออกห่างไปพร้อมกับส่ายหน้าอย่างรวดเร็วจนผมกระจายทันที

 

     " ย...อย่าเข้ามา! ---ข้า...ข้าหมายถึงข้าไม่เป็นอะไร "

 

     " อ...อืม...ว่าแต่ที่เธอพูดค้างไว้? "

 

     " ข...ข้า... "  มือสังหารสาวตะกุกตะกักเล็กน้อยพร้อมกับสบสายตาสงสัยใคร่รู้ของไกร แต่ข้างๆสายตาสงสัยใคร่รู้ของไกรนั้นก็ยังคงมีสายตาวาววับของอเทตยาที่มองมาที่เธออยู่ด้วยเช่นกัน มันทำให้การเตรียมใจของเธอแทบจะพังทลายจนกลายเป็นฝุ่นผงทันที

 

     " ข้าเพียงแค่จะมาลาเจ้าเพื่อกลับไปหมู่บ้านเท่านั้น และอาจจะกลับไปอย่างถาวรเลยด้วย... "

 

     " ห...หา? อ้าว? ถ้าเรื่องนี้เจ้าก็ควรจะไปลาท่านผู้เฒ่าสิ...มาบอกกับข้าทำไมกัน "  ไกรถามขึ้นอย่างงงๆ ในขณะที่อุษาผงะไปพร้อมกับมีท่าทีอึกอั่กเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะสะบัดหน้าพร้อมกับลุกขึ้นและสะบัดหน้าหนีไปโดยไม่ยอมสบสายตาสงสัยของไกรทันที

 

     " ข...ข้าบอกว่าข้าแค่มาลาเท่านั้น ไม่มีอะไรมากน้อยไปกว่านี้...เจ้าทำธุระของเจ้าต่อไปเถอะ...ช้าลาล่ะ! "

 

     " ป...ประเดี๋ยวก่อน อุษา "  ไกรพยายามเรียกอีกฝ่าย แต่หญิงสาวไม่ยอมที่จะเสียเวลาฟังเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอสะบัดหน้าพร้อมกับรีบผลุนผลันสาวเท้าออกไปโดยทันทีโดยไม่ยอมพูดอะไรต่อเลย

 

     " อ...อะไรหว่า? "

 

     " แหมๆ สงสัยนางคงเหม็นหน้าท่านแล้วเสียล่ะกระมั้ง ท่านไกร "  อเทตยาที่ยังคงคล้องแขนไกรอยู่พูดพลางยิ้มเบาๆ ในขณะที่ไกรส่งเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอทันที

 

     " จริงอยู่ที่เธอออกจะขวางๆข้า แต่แบบนี้มันไม่น่าเรียกว่าเหม็นหน้าแล้วมั้ง...ยังกับเธอกลัวอะไรบางอย่างอยู่อย่างนั้นแหละ "

 

     " หืม? ท่านไปเผลอลวนลามส่วนใดของนางเข้ารึเปล่าล่ะเจ้าคะ นางเลยกลัวท่าน "

 

     " โห นี่ไม่เชื่อใจกันเลยนี่หว่า อเทตยา...ข้าไม่ได้ทำอะไรเฟ้ย! ว่าแต่เจ้าเถอะ ไปทะเลาะอะไรกับอุษาเข้ารึเปล่า? "

 

     " หืม? เปล่านี่เจ้าคะ...ว่ากันตามตรง ข้าออกจะสนิทกับท่านอุษามากกว่าคนอื่นๆด้วยซ้ำ " 

 

       ไกรเหลือบกลับมามองมือฉมังธนูสาวชาวมอญผู้มีดวงหน้าและท่าทางเหมือนกับ เพียงออ ผู้เป็นน้องสาวของเขาไม่มีผิดเพี้ยนอย่างพยายามค้นหาความจริง แต่เขาก็ไม่พบอะไรนอกจากรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และงดงามของหญิงสาวเท่านั้น ทำให้เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกทันที

 

     " สนิทกันไว้ก็ดีแล้วล่ะ อเทตยา อย่างไรเสียเราก็เป็นพวกเดียวกันแล้วนี่ "

 

       โดยที่ไกรไม่ทันได้สังเกตเห็น ดวงตาของมือฉมังธนูสาวส่องประกายวาบพร้อมกับรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ราวหยาดน้ำค้างของเธอจะยกแสยะวูบอย่างน่าขนลุกทันที

 

     " นั่นสินะ...อย่างไรก็เป็นพวกเดียวกันแล้ว...ไม่สนิทกันเข้าไว้ก็แย่น่ะสิเจ้าคะ "

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

    ...ณ เขตพระราชฐานชั้นใน...พระตำหนักใหญ่อันเป็นที่ประทับแห่งสมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี...

 

    ...เจ้าหญิง สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรที่เวลานี้ทรงประทับพับเพียบอยู่บนตั่งไม้นิ่งอยู่นาน ดวงเนตรกลมโตสีอ่อนเหม่อพิศมองไกลออกไปยังพระราชอุทยานสวนองุ่น พระราชอุทยานหลวงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ลิบๆอย่างเหม่อลอย...นาน จนเหล่านางสนองพระโอษฐ์ที่รายล้อมอยู่ชักเห็นท่าไม่ดี จึงค่อยๆจะเข้ามาโดยคิดจะทูลเรียกอีกฝ่าย แต่ก่อนที่พวกเธอจะได้ทำเช่นนั้น สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีผู้เป็นพระปิจตุฉา (ป้า) และเจ้าของพระตำหนักแห่งนี้ก็ เสด็จผ่านมาและทรงทอดพระเนตรสังเกตเห็นเสียก่อน พระองค์จึงกางพัดในหัตถ์ขึ้นพร้อมกับตรัสเบาๆกับผู้เป็นนัดดาที่ประทับอยู่อย่างเหม่อลอยนั้นว่า

 

     " ...ทรงเป็นอะไรรึเปล่าเพคะ องค์หญิงสิริจันทร? "

 

     " พ...พระปิจตุฉาเพคะ? "

 

     " หืม? สีพระพักตร์ไม่ค่อยดีเลยนะเพคะ ทรงไม่สบายพระวรกายหรือพระทัยอะไรหรือเปล่า? หรือว่าทรงไม่ชอบพระทัยที่ต้องมาประทับอยู่ที่พระตำหนักของหม่อมฉันเช่นนี้...หม่อมฉันต้องขออภัยด้วยนะเพคะ แต่อีกซักไม่กี่มื้อกี่เพลาพระตำหนักหลังใหม่ของพระองค์ก็คงจะสร้างเสร็จแล้วล่ะ "

 

     " ป..เปล่าเลยเพคะ พระตำหนักของพระปิจตุฉาน่าอยู่และสุขสบายดีมากจนหม่อมฉันอิจฉาเลย...เพียงแต่... "

 

     " หืม? "

 

     " หม่อมฉัน...เพียงแค่มีเรื่องที่ติดใจอะไรบางอย่างเท่านั้น "

 

       สีพระพักตร์ที่เป็นทุกข์และลำบากพระทัยขององค์หญิงน้อยผู้เป็นนัดดาทำให้เจ้าฟ้าพินทวดีเลิกขนงเล็กน้อย ก่อนที่พระองค์จะินพระพักตร์ไปมองเหล่านางสนองพระโอษฐ์ที่นั่งอยู่รอบๆพร้อมกับตรัสสั่งเรียบๆว่า

 

     " พวกเจ้า....ไปที่ไหนก็ไป...ข้ามีกิจธุระจะสนทนากับสมเด็จเจ้าฟ้าตามลำพัง "

 

       โดยไม่จำเป็นต้องตรัสสั่งซ้ำ เหล่านางสนองพระโอษฐ์ต่างก็รู้หน้าที่ของตนดี เพราะพวกเธอต่างก้มลงพร้อมกับถอยออกไปอย่างเงียบๆจนกระทั่งเพียงไม่ถึงกึ่งอึดใจเท่านั้น ศาลากลางพระตำหนักแห่งนี้ก็เหลือเพียงเจ้าฟ้าพินทวดีผู้เป็นปิจตุฉา และเจ้าฟ้าสิริจันทรผู้เป็นนัดดาเท่านั้น

 

     " เรื่องของเจ้าเด็กไกร...หมายถึงเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีนั่นสินะเพคะ? "  เมื่ออยู่ตามลำพัง พระพี่นางพินทวดีก็ทรุดลงประทับข้างๆผู้เป็นนัดดาพร้อมกับตรัสออกมาตรงๆอย่างรู้ทัน ในขณะที่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าหญิงสิริจันทรก็ได้แต่ก้มพระพักตร์ที่เรื่อแดงเป็นลูกตำลึงสุกลงอย่างอับจนถ้อยคำทันที

 

     " พ...เพคะ "

 

     " หืม? เด็กนั่นมาทำจาบจ้วงอะไรให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัยเช่นนั้นหรือ? หม่อมฉันจะได้สั่งโบยให้ความไร้ยางอายนั้นกระอักออกมาทางปากเสียให้สิ้น "

 

     " ป...เปล่าๆเพคะ เพียงแต่...ท่านไกร "

 

     " ??? "

 

     " หลังจากเหตุการณ์ที่หม่อมฉันจำได้อย่างเลือนราง ที่ราชอุทยานสวนองุ่นนั่น...ถึงพระองค์จะบอกว่าหม่อมฉันเพียงเพ้อเพราะพิษไข้ ในความทรงจำของหม่อมฉัน แม้เลือนรางแต่ก็ยังเด่นชัดจนหม่อมฉันไม่อาจเชื่อได้ว่ามันเป็นเพียงหลับฝัน...และ...หลังจากนั้น...แม้ว่าท่านไกรจะพยายามทำตัวเป็นปกติ แต่ดูเหมือนท่านพยายามจะเว้นระยะห่างจากหม่อมฉันมากขึ้น "

 

     " พระองค์เป็นถึงราชธิดาในสมเด็จพ่ออยู่หัว ที่ประสูติแต่พระอัครมเหสี...ศักดิ์และสิทธิ์ของพระองค์มีมากเกินกว่าที่เด็กนั้นจะถือดีมาพูดจาจาบจ้วงอะไรได้ ยิ่งเมื่อเด็กนั่นเป็นถึงเจ้าพระยาเช่นนี้แล้วด้วย การวางตัวต่อหน้าธารกำนัลก็ยิ่งสำคัญที่สุด...แต่ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆทั้งสิ้นเลยนี่ "

 

     " ม...ไม่ต้องกังวล? "  เจ้าหญิงสิริจันทรตรัสทวนคำเบาๆ ในขณะที่พระพี่นางแย้มพระสรวลพรายอย่างอารีย์ในนัดดาของพระองค์พร้อมกับใช้หัตถ์ลูบเกศายาวสลวยนั้นเบาๆทันที

 

     " พระองค์จำได้หรือไม่...ว่าในคราวกบฏเจ้าจอมเพ็ง-เจ้าจอมแมนนั่น  เจ้าพระยาพิทักษ์ฯเป็นผู้มาอัญเชิญพระองค์ไปที่ปลอดภัยด้วยตนเองเลยนะเพคะ ทั้งๆที่เด็กนั่นจะให้ผู้ใดมาเป็นผู้อัญเชิญพระองค์เองก็ได้...เชื่อหม่อมฉันเถอะนะเพคะ ว่าเด็กนั่นมีจิตที่ภักดีต่อพระองค์ และเทิดทูนพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใดแน่นอน "

 

     " หม่อมฉัน...ไม่ได้อยากอยู่เหนือเขาเลยเพคะ "

 

     " องค์หญิง? "

 

       ในวันนั้นพระองค์จดจำได้ติดพระเนตร ถึงช่วงเวลาที่ท่านไกรและจ่าโขลนพิเศษชาวตะวันตกนามว่าอนาสตาเซียผลัดกันดูแผลจากการต่อสู้ของกันและกันพลางหัวเราะให้กันอย่างสนิทสนมที่สุด...ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงทราบจากปากของจ่าโขลนนามว่าอนาสตาเซียและคนอื่นๆแล้วว่าเธอและไกรเป็นเพียงสหายสนิทกันเท่านั้น แต่ท่าทีเช่นนั้นก็ทำให้พระองค์ถึงกับไหววูบในดวงหทัยไม่ได้...เพราะมันเป็นความรู้สึกที่บอกว่าพระองค์ได้แต่ประทับอยู่เฉยๆ โดยปล่อยให้ไกรและอนาสตาเซีย หรือแม้แต่จ่าโขลนพิเศษอีกนางนามว่าศกุนตลาค่อยๆเดินจากไปด้วยกันอย่างช้าๆ...มันให้ความรู้สึกราวกับพระองค์กำลังถูกทิ้งไว้ด้านหลังไม่มีผิดเพี้ยน...

 

    ...ถึงจะรู้ดีว่าถ้าหากวัดด้วยความสามารถแล้ว พระองค์เป็นเพียงอิสตรีธรรมดา ไม่ได้ทรงฉลาดล้ำและเจ้าแผนการอย่างสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดี หรือไม่ได้มีวิชาในเชิงดาบหรือการต่อสู้ใดๆเทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีอย่างอนาสตาเซียหรือศกุนตลา...แต่อย่างน้อยๆ พระองค์ก็ไม่อยากจะเป็นเหมือนภาระของชายหนุ่มไปตลอด...

 

    ...พระองค์ไม่ได้อยากประทับอยู่เหนือเขา และนั่งมองเขาเดินทิ้งห่างไปเรื่อยๆเช่นนี้...แต่พระองค์อยากที่จะก้าวเดินเคียงข้างชายหนุ่มไปพร้อมๆกันต่างหาก...

 

     " ถ้า...เพียงแค่หม่อมฉัน...มีพลังอยู่ในมือสักนิด... "

 

    ...ใช่แล้ว...หากมีพลังอยู่ในมือ...พระองค์ก็จะก้าวไปพร้อมกับไกรได้...โดยที่ไม่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังเช่นนี้อีกต่อไป...

 

 

 

 

 

..........................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา