ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.78K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

91)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...อ่าวหว้าขาว...(ปัจจุบันอยู่ในเขตอ่าวน้อย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์)...

 

     ...อ่าวอันงดงามที่เป็นสถานที่ของน้ำทะเลสีครามและผืนทรายละเอียดสีขาวละลานตา...เวลานี้ถูกย้อมไปด้วยเลือดจนแดงฉาน!

 

      ' จบแล้วสินะ '  ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารกองอาทมาทผู้เต็มไปด้วยวิชาอาคมสายคงกระพันชาตรีทั้ง ๔๐๐ นาย ที่นอนระเกะระกะอยู่ ที่อยู่ท่ามกลางซากศพของเหล่าทหารพม่าที่สิ้นชีพไปจากการเข้าตะลุมบอน ในจำนวนที่มากกว่าหลายเท่าตัว...ชายผู้หนึ่งยืนประคองร่างและลมหายใจอยู่ด้วยดาบสองมือชุ่มโลหิตที่เริ่มแตกร้าวจนแทบจะใช้การไม่ได้ ขาที่จมลึกไปในน้ำทะเลสีแดงฉานครึ่งแข้งสั่นเทาราวกับใช้ควมพยายามอย่างที่สุดในการยืนให้นิ่ง...ลิ้นที่ตวัดเลียริมฝีปากที่แห้งผากไม่รับรสอะไรนอกจากรสเค็มของน้ำทะเลและรสฝาดของคาวเลือดของเหล่าทหารอาทมาทผู้เป็นทั้งผู้ใต้บังคับบัญชาและสหาย...ดวงตาที่พร่าเลือนของชายหนุ่มพยายามจ้องเขม็งไปที่เหล่าทหารพม่าระดับสูง ๓ นายที่อยู่บนหลังม้าที่กำลังควบตะบึงเข้ามาพร้อมกับค้อนสงครามอันหนักแน่นในมือ...อาวุธ...ที่ผู้ครอบครองวิชาสายคงกระพันชาตรีอย่างเขาเข็ดขยาดเป็นที่สุด!

 

      " ตายยยย!! "

 

        ชายหนุ่มไม่มีแรงเหลือพอจะตะโกนตอบโต้เหล่าทหารพม่าที่ตวาดก้องพร้อมควงค้อนขนาดใหญ่หมายปลิดชีวิตของเขา...เพราะเวลานี้เขาต้องรีดเร้นแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดภายในกายให้ไปอยู่ที่มือและขาทั้งสองข้าง...เพื่อการตอบโต้ไว้ลายครั้งสุดท้าย!

 

        วูบ!

 

        โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายหนุ่มม้วนตัววูบหลบปลายค้อนสงครามไปอย่างฉิวเฉียดชนิดปลายเส้นผมของเขาปลิวติดไปกับปลายค้อนอันหนักแน่นนั้น ก่อนที่ดาบที่จวนจะพังแหล่ไม่พังแหล่ในมือของเขาจะฟันฉับเข้าใส่ขาของม้าที่วิ่งสวนเขาไป จนทำให้ทั้งม้าทั้งทหารทั้งสามม้วนตัวหน้าคะมำลงฟาดำับผืนน้ำทะเลสีแดงฉานนั้นทันที

 

      " ม...มึง! "  ทหารพม่าทั้ง ๓ นายที่พลาดท่าจนกระทั่งต้องถลาลงทะเลสบถลั่นพร้อมกับรีบลุกขึ้นยืนสะบัดผมที่เปียกโชกพร้อมกับกระชับค้อนสงครามในมือเตรียมรับมือ แต่ก็ช้าไปเสี้ยววินาที เพราะพริบตาเดียวที่พวกเขาทั้ง ๓ ลุกขึ้นยืน ดาบของชายหนุ่มก็พุ่งเข้าถึงคอของพวกแล้ว!

 

        ฉัวะ! เคร้ง!!

 

        ดาบทั้งสองในมือบรรลุหน้าที่สุดท้ายของมันแล้ว เพราะหลังจากที่ดาบเสียบทะลุลำคอและปลิดวิญญาณของทหารทั้งสองนายนั้น ดาบที่แตกร้าวอยู่แล้วก็ถึงกัลปาวสานหักสะบั้นลงในทันที!

 

      " ม...มึง! ชดใช้ชีวิตสหายกูมา!! "  

 

        หลังจากที่ดาบทั้งสองปลิดชีวิตนายทหารทั้งสองนาย ทหารอีกคนหนึ่งที่ยังเหลือรอดอยู่ถึงกับตวาดลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่โดยทันที เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเหลือมือเปล่า ไม่เหลือซึ่งศาสตราวุธใดๆในมือที่จะสามารถต่อกรกับค้อนสงครามในมือของเขาได้แล้ว แต่ชายหนุ่มผู้นั้นกลับไม่มีท่าทีแตกตื่นลนลานเลยแม้แต่น้อย...เขารอจนกระทั่งในช่วงพริบตาเดียวค้อนสงครามในมือของอีกฝ่ายจะฟาดค้อนใส่หัวโดยหมายแยกกระโหลกของเขาเป็นเสี่ยงๆเพื่อเอี้ยวตัวหลบวูบ ส่งผลให้ค้อนนั้นพลาดเป้าไปเพียงองคุลีจนวืดลงไปฟาดน้ำทะเลเบื้องช่างจนแตกกระจาย ก่อนที่พริบตาเดียวเขาจะคว้าคอที่สวมเกราะหนักของอีกฝ่ายพร้อมทั้งกระชากวูบจนอีกฝ่ายถลาราวกับนกปีกหัก ร่วงลงในน้ำทะเลที่สูงเพียงครึ่งแข้งทันที

 

      " บ...ป...ปล่อย---กู! ---บ---บุ๋งๆๆ!! "

 

        นายทหารผู้เหลือรอดเพียงหนึ่งเดียวผู้นั้นไม่ทันพูดได้จบประโยคดี คอของเขาก็ถูกมือที่แข็งปานคีมเหล็กนั้นกดให้หัวจมลงไปใต้น้ำทะเลที่สูงเพียงครึ่งแข้งนี้ ทำให้เขาถึงกับสำลักพร้อมกับดิ้นรนสะบัดมือเท้าอย่างหนักเพื่อตะกายหาอิสรภาพของตน แต่เขาไม่ยินยอมให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ เพียงไม่กี่อึดใจต่อมามือไม้ที่ดิ้นรนอย่างหนักนั้นก็ค่อยๆสะบัดไปมาอย่างอ่อนแรงลง...จนกระทั่งในที่สุด...การดิ้นรนนั้นก็หยุดลงพร้อมๆกับการหลุดลอยไปของวิญญาณของนักรบสัญชาติพม่าผู้นั้น...ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั่งคร่อมอยู่จะผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆพร้อมกับก้มลงและกระซิบเบาๆว่า

 

      " ถ้าท่านยมบาลตรัสถาม ก็บอกไปเลยว่าผู้ที่สังหารเจ้า...คือขุนรองปลัดชู! "

 

     ...กองทัพของเหล่าทหารแห่งพระเจ้าอลองพญา เดินทางได้อย่างสะดวกดายและรวดเร็วเกินไป...

 

     ...นั่นเป็นความคิดที่เหล่าขุนนางและนายทหารทุกคนเห็นพ้องต้องกัน หลังจากที่กองทัพของพระเจ้าอลองพญา ภายใต้การนำของเจ้าชายมังระราชบุตร และแม่ทัพใหญ่มังฆ้องนรธา ตีค่ายของพระยายมราชที่ไปตั้งอยู่ ณ แก่งตุ่ม แขวงเมืองตะนาวศรีแตกพ่ายในเวลาที่รวดเร็วจนน่าตกใจ เสียไพร่พลไปหลายร้อย แม้แต่ตัวพระยายมราชเองก็เกือบจะสิ้นชื่อในที่รบ...และที่พวกเขารู้แน่นอนเลยก็คือ...ทัพพม่าที่ยกมาในคราวนี้ไมใช่ทัพดาดๆที่พวกเขาจะสามารถต้านทานเพื่อถ่วงเวลาได้อย่างง่ายๆเสียแล้ว...

 

     ...ท่ามกลางการประชุมปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดของเหล่าขุนนาง ผู้ที่เห็นช่องทางกลับเป็นหัวหน้าหน่วยอาทมาทที่ขอติดสอยห้อยตามมาด้วย...ขุนรองปลัดชู...ปลัดเมืองวิเศษไชยชาญชี้ไปที่ทำเลของอ่าวหว้าขาว...

 

     ...หากมองลงมาจากทางทิศเหนือซึ่งเป็นทิศที่เขาตั้งอยู่ อ่าวหว้าขาวจะมีสภาพเป็นคอขวดอันแคบเล็ก ที่ด้านขวามือคือดงทึบของพงไพรแห่งเทือกเขาตะนาวศรี ในขณะที่ด้านซ้ายติดกับท้องทะเลสุดลูกหูลูกตา...ด้วยพื้นที่หาดทรายที่ร่วนละเอียดและกว้างไม่มากเท่าไหร่นี้ หากมีการปะทะกัน...จำนวนจะไม่ใช่สิ่งตัดสินแพ้ชนะอีกต่อไป...

 

     ...ก่อนรุ่งเช้าของวันต่อมานั้นเอง กองทหารอาทมาททั้ง ๔๐๐ นายภายใต้การนำของขุนรองปลัดชูก็ยกจากทัพหลักที่ตั้งค่ายอยู่ ณ กุยบุรี มายึดชัยภูมิที่ได้เปรียบที่สุด ณ อ่าวหว้าขาวแห่งนี้...นายทหารแห่งกองอาทมาททุกนายกระชับดาบในมือแน่น รอคอยการเข้ามาติดกับทัพทหารพม่าที่เดินทัพขึ้นมา...

 

     ...ดวงตะวันยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้าดี...อ่าวหว้าขาว ก็ถูกย้อมให้แดงฉาน!...

 

        การจู่โจมอย่างกะทันหันด้วยชัยภูมิที่เหนือกว่าประสบความเสำเร็จอย่างงดงาม...กองทหารอาทมาท ๔๐๐ นายพุ่งเข้าสังหารทหารพม่าผู้ถลำลึกเข้ามาไปได้เฉียดพันคน...แต่นั่นก็เป็นเพียงไม่ถึง ๑ ใน ๘ ของกองทหารพม่าทัพหน้าทั้งหมดเท่านั้น

 

        ประมาณ ๒ ชั่วโมงหลังจากนั้น...ในเวลาที่ร่างกายของพวกเขาเริ่มจะกำลังปวดร้าวอย่างเหนื่อยล้า...ในที่สุด...ทัพหนุนจากกองทัพหลักก็มาถึง...

 

     ...แต่แทนที่ทัพหนุนนั้นจะมากันทั้งหมดสองพัน จำนวนที่ขุนรองปลัดชูนับได้จากการกะด้วยสายตานั้นกลับมีเพียง ๕๐๐ นายเท่านั้น!...

 

        ทัพหนุน ๕๐๐ ต่อให้รวมกับทัพอาทมาทที่เหลืออยู่ประมาณ ๓๐๐ ...ไม่เพียงพอเลยในการต้านทานกองทัพทหารพม่าที่หนุนเนื่องมากว่า ๘,๐๐๐ ...ถึงแม้ว่าชัยภูมิของอ่าวหว้าขาวจะเอื้อประโยชน์แก่พวกเขา ถึงแม้ว่าวิชาคงกระพันชาตรีที่คลุมกายเขาอยู่จะช่วยให้เขารอดพ้นจากคมหอกคมดาบได้...แต่ไม่อาจรอดพ้นจากเกือกม้าและค้อนสงครามที่ไว้ใช้ปราบคนอย่างพวกเขาโดยเฉพาะ...และที่สำคัญที่สุด...พวกเขาไม่อาจจะรอดพ้นสิ่งที่เรียกว่า สังขาร ไปได้...

 

     ...ในที่สุด หลังจากการปะทะของกองทัพหน้าเหล่าพม่าทั้งหมดประมาณ ๓,๐๐๐ นาย...ตั้งแต่รุ่งเช้าจนถึงบ่าย...ผู้เดียวที่แข็งแกร่งที่สุดจนกระทั่งรอดจากสมรภูมินรกนี่ได้...คือขุนรองปลัดชูผู้นี้ผู้เดียวเท่านั้น...

 

     ...แม้ว่าจะเก่งกาจ และคงกระพันเกินกว่าจะถูกฟันฆ่า...แต่ก็เหนื่อยล้าเกินจะยกศาสตราไหวอีกต่อไป...หลังจากกรำศึกมากว่า ๖ ชั่วโมง...ความเหนื่อยล้าของร่างกาย บวกกับความชอกช้ำของจิตใจจากการเหมือนถูกทรยศหักหลังจากแม่ทัพพระยารัตนาธิเบศน์ ที่ไม่ยอมยกทัพทั้งหมดมาหนุนตามคำสัตย์สัญญา...ท่ามกลางซากศพของเหล่าสหายศึก...ในที่สุด...เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงจะต่อสู้กับโชคชะตา และทหารพม่าทัพหน้าที่เหลืออีกกว่า ๕,๐๐๐ นายอีกต่อไปแล้ว...

 

      " จบแล้ว... "  ขุนรองปลัดชูทิ้งร่างที่เจ็บช้ำและเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของทั้งทหารพม่าและของกองอาทมาทพวกเดียวกัน ลงสู่น้ำทะเลอันเย็นเฉียบอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรง...ดวงตาที่ปรือลงของเขาหรี่มองไปยังดวงตะวันที่ฉายกล้าในยามบ่าย ก่อนที่ในที่สุดเขาจะฝืนหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

      " ฮ่ะๆ ความตาย...มันรสชาติเฝื่อนคอเช่นนี้นี่เอง... "  

 

        ครูดาบแห่งเมืองวิเศษไชยชาญครางออกมาเบาๆ พร้อมกับค่อยๆหลับตาลงอย่างช้าๆ...พร้อมกับที่หูที่โผล่พ้นน้ำทะเลจะได้ยินเสียงของกองทัพม้าของกองทหารพม่าที่เหลืออยู่อีกกว่า ๕,๐๐๐ นาย ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอยู่ไกลๆ ...ในขณะที่ผู้ที่เหลือรอดชีวิตต้านทานกองทัพทั้งห้าพันนั้น เหลือเพียงเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น...

 

     ...เก้าร้อย สู้กับสามพันก็ว่าหนักหนาสาหัสจนกระอักเลือดแล้ว...แต่นี่เหลือเพียงคนเดียว...สู้กับกองทัพที่เหลืออีกห้าพัน...ต่อให้เป็นพระกาฬมาเองก็คงจะไม่เหลือแม้แต่กระดูกแน่ๆ...

 

    ...เขากำลังจะตาย...นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน...แต่ในช่วงเวลานี้เขากลับไม่รู้สึกกลัวความตายที่ว่าเลยแม้แตน้อย...อีกทั้งยังไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรือโกรธเคืองพระยารัตนาธิเบศน์และขุนนางคนอื่นๆที่ทอดทิ้ง จนสามารถพูดได้ว่าทรยศหักหลังพวกเขาเลยแม้แต่น้อย...

 

    ...นั่นคงเป็นหนึ่งในข้อเสียหลักๆของเขา...เพราะเขาเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดีเกินไป...ถึงเขาจะตาย...แต่การตายของเขา...แลกมาด้วยการที่ทัพพม่าต้องเดินทัพเข้าสู่ราชอาณาจักรล่าช้ากว่าเดิมอีกว่า ๑ อาทิตย์เป็นอย่างน้อยแน่นอนเช่นกัน...สำหรับข้าราชการจากบ้านนอกเช่นเขา...เขาได้ตอบแทนพระคุณแผ่นดินอย่างมากเกินกว่าที่เขาจะได้คิดฝันไว้เลยทีเดียว...

 

       .....

 

      " แย่จริงๆนะ...แต่ถึงอย่างนั้น ก็ต้องบอกว่าสุดยอดไปเลย...ใช้กองทหารเพียง ๙๐๐ ต้านทานกองทัพกว่า ๓,๐๐๐ ได้ตั้งครึ่งค่อนวันเช่นนี้ ทั้งยังสามารถกำชัยได้อีก...ทั้งระดับของความคงกระพันชาตรี...นี่อาจจะสูงพอๆกับระดับของยัยพวกเสือสมิงของสิงห์เลยก็ได้นะเนี่ย "  ระหว่างที่เขากำลังนอนแช่น้ำทะเลอย่างหมดหวัง และหมดอาลัยตายอยากต่อชีวิตอยู่นั้น...เสียงของเด็กหนุ่มที่น่าจะอยู่ในช่วงวัยรุ่นคนหนึ่งก็ดังเข้ามากระทบหูเขาอย่างช้าๆ...ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขาหลอนไปเองเพราะใกล้ตายเต็มทนแล้ว...แต่ถ้าไม่ใช่เพราะหลอนไปเอง เสียงของเด็กหนุ่มนั้นก็ดังอยู่ใกล้ตัวเขามากเลยทีเดียว

 

      " น่าเสียดายนะ...ทัพทั้ง ๔๐๐ ของเขาบวกกับ ถ้าหากทัพเสริมไม่ได้มาเพียงแค่ ๕๐๐ แต่เป็นทัพทั้งหมดที่พระยารัตนาธิเบศน์และพระยายมราชคุมอยู่ที่กุยบุรี ที่รวมกันแล้วตั้งกว่าสามพัน...เมื่อยึดชัยภูมิที่ได้เปรียบและความชำนาญพื้นที่ล่ะก็...ทัพพม่าที่เหลืออีกห้าพันคงจะต้องพ่ายแพ้แน่ๆ ...แบบนั้นแทนที่จะถ่วงทัพได้เพียงอาทิตย์เดียว...ดีไม่ดีพระเจ้าอลองพญาอาจจะต้องตัดสินพระทัยเลิกทัพกลับไปเลยด้วยซ้ำก็เป็นได้...พระยารัตนาธิเบศน์โง่เง่าและตัดสินใจพลาดแล้ว... "  เสียงของชายที่น่าจะล่วงเลยวัยฉกรรจ์มาแล้วเอ่ยเหมือนเจตนาจะพูดกับเด็กหนุ่มคนนั้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบพร้อมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์อย่างผู้เจนศึก ในขณะที่เสียงของเด็กหนุ่มคนนั้นหัวเราะเบาๆทันที

 

      " ฮ่ะๆ ข้าคิดว่าท่านไม่ได้อยู่ในตำแหน่งออกญายมราชแล้วเสีอีก ท่านเมือง... "

 

      " ข้าแค่วิเคราะห์ไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น...แล้วใช่ว่าข้าจะอยากจะมาถึงยังใจกลางจุดปะทะระหว่างพม่ากับอโยธยานี้ด้วย นี่ถ้าไม่ใช่คำสั่งของท่านผู้เฒ่า ที่ได้รับคำแนะนำมาจากไกร ข้าคงไม่ถ่อมาถึงที่นี่แน่ๆ ...แล้วก็ อย่างทำท่าตื่นตาตื่นใจจนเกินงามนักสิ...ทำอย่างกับท่านไม่เคยเห็นทะเลอย่างนั้น "

 

      " อ้าว...ก็ไม่เคยเห็นจริงๆนี่  เพราะข้าเกิดที่เหนือ ทั้งยังไม่เคยมีภารกิจมายังภาคใต้นี่เลย... แต่เออ...ไหนๆก็พูดแล้ว...ข้ายังไม่เคยพบกับคนที่ชื่อว่าไกรนั่นเลย เพราะพอข้าเสร็จภารกิจหนสุดท้ายและกลับไปถึงหมู่บ้าน วันรุ่งขึ้นไกรกับท่านผู้เฒ่าก็ออกเดินทางไปอโยธยาเลย...เขาเป็นคนอย่างไรกันหรือ? ท่านเมือง "

 

      ' ท่านไกร?...หรือว่า...จะหมายถึงท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี? '

 

        คำถามของเด็กหนุ่มผู้นั้นทำให้ท่านขุนรองปลัดชูที่ยังคงนอนอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างงงงวย ในขณะที่ผู้ที่ชื่อเมืองนั้นเงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดเรียบๆว่า

 

      " เป็นเอตทัคคะในเชิงดาบอย่างที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน...ทั้งเมื่อแฝงตัวเข้าไปในอโยธยา เขาก็ใช้เวลาเพียงแค่เดือนเศษ ขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าพระยาพานทองระดับที่เกิอบจะเทียบเท่าเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยามหาเสนาได้...ในขณะที่กว่าข้าจะไต่ยศขึ้นถึงระดับพระยายมราชได้ยังใช้เวลาตั้งเกือบ ๒๐ ปี...ความสามารถเขาเป็นของจริงแน่นอน... "

 

      " โหย...ระดับสูงสุดๆเลยนี่...น่าเสียดายนักที่ข้าคลาดกับเขาไปเพียงวันเดียว ไมอย่างนั้นคงได้อยู่สนทนากันถูกคอแน่ๆ " 

 

      " ...ท่านผู้เฒ่าส่งข่าวมาว่าเวลานี้หน่วยคเณศร์เสียงาที่ไกรสร้างขึ้นกลายเป็นแหล่งกบดานและแหล่งพำนักของเหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตอย่างเต็มตัวแล้ว...ในขณะที่ไกรก็ได้ร่วมกับท่านผู้เฒ่า ล้างประวัติความผิดทั้งหมดของพวกเราจนสะอาดหมดแล้ว...ทั้งไกรยังได้รับอำนาจสิทธิ์ขาดในการคัดเลือกหน่วยคเณศร์เสียงาด้วยตนเอง...หลังจากกงานนี้ ท่านจะไปเที่ยวเล่นในอโยธยา หรือจะไปเข้าเป็นหนึ่งในหน่วยคเณสร์เสียงาของเขาเลนก็ยังได้...ความสามารถระดับท่านคงจะค่อยช่วยเหลือท่านผู้เฒ่าได้อย่างมหาศาลแน่นอน "

 

      ' ...คนพวกนี้รู้จักกับท่านไกร? และนี่ไม่ใช่เสียงที่เขาหูฝาดไปเองด้วย...ค...คนพวกนี้เป็นใครกัน?! '  

 

        ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็มีอำนาจเหนือความปลงหมดอาลัยตายอยาก...ขุนรองปลัดชูครางออกมาเบาๆพร้อมกับค่อยๆยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะครางเบาๆอย่างเจ็บปวดกับร่างกายที่ระบมไปหมด...ในขณะทีทันทีที่เขาลุกขึ้นนั่ง หญิงสาวผู้โพกผ้าคลุมปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิดจนไม่อาจจะจำแนกเชื้อชาติได้ก็ลุยน้ำเข้ามาใกล้พร้อมกับประคองเขาไว้ทันที

 

      " ช้าไว้ ท่านขุนรองปลัดชู...อาการของท่านสาหัสอยู่ "

 

         แม้ว่าจะยอมให้หญิงสาวเข้ามาประคอง แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อใจหญิงสาวผู้เข้ามาประคอง รวมถึงชายหนุ่มที่เป็นวัยรุ่นหนึ่งและวัยกลางคนหนึ่งในชุดรัดกุมสีดำสนิทที่ยืนอยู่บนหาด ขุนรองปลัดชูสอดส่ายสายตาที่ยังคงพร่าเลือนไปมา ก่อนที่ในที่สุดเขาจะร้องถามขึ้นเบาๆว่า 

 

      " พ...พวกเจ้า...พวกเจ้าเป็นใครกัน? พวกรู้จักท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯได้อย่างไร? "

 

      " หืม? เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ? ใครกัน? "  ผู้เป็นเด็กหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองชายวัยกลางคนที่ยืนกอดอกอยู่ ในขณะที่ชายวัยกลางคนที่น่าจะชื่อว่า เมือง ผู้นั้นถอนหายใจเฮือกพร้อมกับตอบกลับไปเบาๆ

 

      " ก็ตำแหน่งของไกรอย่างไรล่ะ "

 

      " อ๋อ...อ่า...ใช่แล้วล่ะ...ไกรส่งพวกเรามาเอง... "

 

      " ส่งมา? ทำไมกันล่ะ? "

 

      " เพราะไกรเหมือนจะล่วงรู้ล่วงหน้าว่าท่านจะรอดจากศึกที่เป็นเหมือนกับการฆ่าตัวตายนี้ได้...ท่ามกลางกองซากศพของทั้งศัตรูทั้งผู้เป็นสหายเช่นนี้ "  ชายวัยกลางคนที่ชื่อเมืองพูดเรียบพร้อมกับใช้เท้าเขี่ยร่างอันไร้วิญญาณของนายทหารกองอาทมาทผู้หนึ่งที่เขาจำได้ว่าติดตามเขามาตั้งแต่เขาประกาศหาอาสาสมัครที่เมืองวิเศษไชยชาญ...นั้นทำให้ใบหน้าของขุนรองปลัดชูบิดเบี้ยวด้วยความโกรธระคนกับความโศกเศร้าจนไม่อาจทนได้ทันที

 

      " อย่าทำอย่างนั้น! "

 

      " หืม? ทำอะไร? "

 

      " เขาเสียสละชีวิตเพื่อเป็นชาติพลี เจ้ากระทำเช่นนั้นมันราวกับไม่ให้เกียรติเขา "

 

      " เกียรติไม่มีค่าสำหรับคนตาย...ต่อให้ข้าไม่ทำเช่นนี้ พวกทหารพม่าที่กำลังยาตราทัพเข้ามาก็คงจะทำอยู่ดี และเชื่อเถอะว่าหลังจากที่ทำจนหนำใจแล้ว พวกมันก็จะปล่อยศพทิ้งไว้เช่นนี้ให้เป็นเหยื่อของแร้งกา...แบบนั้นยิ่งเทากับหนักกว่าการลบหลู่เกียรติอีกไม่ใช่หรือ? "

 

      " จ...เจ้า! "

 

      " คิดว่าเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวหรืออย่างไรที่ถูกทรยศหักหลัง...คิดว่าเจ้าเป็นเพียงผู้เดียวหรืออย่างไรที่ต้องทนเห็นผู้เป็นสหายล้มตายจากไปต่อหน้าต่อตา...พวกเราต่างก็ตกอยู่ในชะตาเดียวกันทั้งสิ้นนั่นแหละ! "  ชายผู้ชื่อเมืองตวาดออกมาพร้อมกับส่งกระแสจิตคุกคามวูบจนเขาถึงกับผงะ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันโต้ตอบอะไร เด็กหนุ่มผิวขาวผู้มาด้วยกันก็เข้ามาแทรกไว้พร้อมกับเอ่ยไกล่เกลี่ยเบาๆทันที

 

      " น่าๆ ท่านเมือง ท่านก็พูดเกินไป...อย่างไรเสียเขาก็ตรงเข้ากับลักษณะของเกณฑ์ที่เราใช้คัดเลือกมือสังหารแห่งหมู่บ้านเราแล้วนี่...เขาเป็นพวกพ้องของเราแล้วนะ...พวกพ้องแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตของพวกเรา "

 

      " พ...พวกพ้อง?...หมู่บ้านยุคันตวาต?...พวกเจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน? "

 

      " ถ้าจะให้อธิบายกันเวลานี้ กว่าจะเข้าใจกันคงมีหวังได้ถูกพวกทหารพม่าจับไปต้มยำทำแกงเป็นแน่ และข้าว่าเวลานี้ก็น่าจะควรแก่เวลาแล้ว พวกเรารับจรลีกันเถอะ "  ชายหนุ่มผิวขาวที่น่าจะเป็นเชื้อสายทางภาคเหนือเอ่ยเบาๆอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่คนอื่นหันไปมองทางเสียงฝีเท้าม้าของเหล่าทหารพม่าซึ่งเป็นกองหนุนที่ฟังจากเสียงแล้วน่าจะกำลังเข้าใกล้เข้ามาทุกที ก่อนจะถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

 

      " จริงเช่นท่านว่า...เรื่องอธิบายก็คงต้องรอไว้ทีหลัง เวลานี้คงต้องถอยตามที่ท่านว่าแล้วล่ะ "

 

      " ประเดี๋ยวก่อนสิ...แล้วหลักฐานเท็จที่พวกเราจะต้องสร้างเพื่อเป็นหลักฐานการตายของท่านชูผู้นี้ล่ะ? "  หญิงสาวปิดบังหน้าตาผู้ประคองเขาอยู่ร้องถามขึ้นเบาๆอย่างงงๆ แต่ผู้ที่ชื่อเมืองหันไปมองรอบๆพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและตอบกลับมาเรียบๆว่า

 

      " ที่นี่เต็มไปด้วยซากศพนับร้อยนับพัน...และทัพของพระเจ้าอลองพญาก็ต้องการจะร่นเวลาในการเดินทัพ พวกมันคงจะไม่ยอมเสียเวลามาหยุดตรวจสอบซากศพว่าผู้ใดเป็นผู้ใดหรอก...ถ้าให้ข้าพูด ข้าก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากแล้วว่า ณ เวลานี้...ขุนรองปลัดชู...นายปลัดเมืองผู้เป็นหัวหน้ากองทหารอาทมาท ได้สิ้นชีพไปพร้อมกับทั้ง ๔๐๐ กองอาทมาทของเขาแล้ว "

 

      " พ...พวกเจ้า...พวกเจ้าทั้งสาม...เป็นผู้ใดกันแน่?! "  

 

        ในที่สุด ขุนรองปลัดชูก็สามารถเค้นคำถามที่คาใจเขามากที่สุดออกมาจากปากและลำคอที่แห้งผากของเขาได้ ในขณะที่เมื่อได้ยินคำถาม ผู้ที่มาช่วยชีวิตเขาไว้ทั้งสามท่านก็หันไปมองหน้ากัน พร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆทันที

 

      " จะว่าไป ก่อนจะมาเป็นมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต พวกเราก็ถามเช่นนี้เหมือนกันหมดเลยนี่...เอาเถอะ...ข้าชื่อเมือง...อดีตออกญายมราช แต่ว่าเวลานี้เป็นมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตแล้ว "  ชายวัยกลางคนนามว่าเมืองพูดเป็นเชิงแนะนำตัวเรียบๆก่อนจะพยักเพยิดไปที่เด็กหนุ่มผิวขาวที่ยืนอยู่ข้างๆเป็นเชิงให้อีกฝ่ายเป็นผู้แนะนำต่อ ในขณะที่เด็กหนุ่มผิวขาวผ่องราวกับขุนน้ำขุนนางหรือไม่ก็ลูกท่านหลานเธอผู้นั้นยิ้มยิงฟันพร้อมกับเอียงคอค้อมหัวน้อยๆเป็นเชิงแนะนำตัวบ้างทันที

 

      " มือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตเช่นเดียวกัน...ชื่อของข้าคือ กาวิละ...กาวิละแห่งแดนเหนือ...ส่วนที่ประคองท่านอยู่นั่นคือน้องสาวร่วมสายโลหิตของข้าเอง "  

 

      " ยินดีที่ได้รู้จักนะเจ้าคะ ท่านขุนรองปลัดชู...นามของข้าคือ ศรีอโนชา...ศรีอโนชาแห่งแดนเหนือเจ้าค่ะ " 

 

      " ...ความไม่จีรังนั้นคือสัจธรรมอันเป็นความจริง...ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่แค่การยอมรับ...ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านยุคันตวาต...ท่านขุนรองปลัดชู "

 

 

 

 

........................................................

 

 

 

 

     ...สามอาทิตย์ต่อมา...ณ พระที่นั่งสุริยาศอมรินทร์...ที่เวลานี้ถูกใช้เป็นสถานที่ปรึกษาราชการศึกของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวง...ต่อหน้าพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์...พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ และพ่ออยู่หัวพระเจ้าอุทุมพร...

 

        ขุนนางหนุ่มในชุดเกราะรบศึกเต็มยศผู้หนึ่งค่อยๆคลานเข่าเข้ามาภายในท้องพระโรง...ท่ามกลางสายตาของขุนนางระดับพระและพระยาอันเป็นขุนนางระดับสูงทั้งปวง... ผ่านตำแหน่งตั่ง หรือที่นั่งประจำตำแหน่งของของขุนนางระดับอัครมหาเสนาบดีทั้งสองอย่างเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยามหาเสนา...รวมไปถึงตั่งของราชองครักษ์ระดับสูงสุดอย่างเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์คนใหม่ และเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีหนุ่มผู้เกรียงไกร...จนกระทั่งในที่สุด...เขาก็คลานเข่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพระที่นังทองคำอันงดงาม...ต่อหน้าพระพักตร์ ของพระเจ้าแผ่นดินทั้งสอง ผู้เป็นดั่งเจ้าชีวิตของเขา...

 

      " ถวายบังคมพ่ออยู่หัวพระพุทธเจ้าข้า... "  ทันทีที่เข้าที่เข้าทาง ขุนนางหนุ่มผู้นั้นก็รีบยกมือขึ้นประนมถวายบังคมอย่างงดงามและนอบน้อมที่สุด ซึ่งเขาเชื่อว่าเขาทำได้อย่างไม่มีที่ติแน่นอน...แต่การถวายบังคมของเขากลับไม่ได้ทำให้พ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์ประทับพระทัยได้เลยแม้แต่น้อย

 

      " พระยารัตนาธิเบศน์...ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเคยตรัสกับพระเชษฐา...พ่ออยู่หัวเอกทัศน์...ว่าทัพขัดตาทัพทั้งห้าพันนายที่ข้ามอบหมายให้ท่านและพระยายมราชเป็นแม่ทัพ เพื่อไปขัดตาทัพพระเจ้าอลองพญา ...น่าจะสามารถยันทัพพระเจ้าอลองพญาไว้ได้ประมาณเดือนเศษๆ หรืออย่างโชคช่วยหน่อยก็น่าจะยันได้ถึงสัก ๒ เดือน...แต่นี่เจ้ากลับแตกพ่ายยกทัพกลับมาไม่เป็นกระบวนทั้งๆที่เจ้ายังไม่ได้จับปืนจับดาบออกรบจริงๆเลยด้วยซ้ำ...ทั้งยังเสียกองอาทมาทอันเก่งกาจ และกองหนุนไปอีกเกือบพันนายโดยที่แทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย...เจ้ารู้หรือไม่?...ว่าการกระทำของเจ้ามันต้องลักษณะของผู้ที่หนีการศึกชัดๆ...เจ้าจะแก้ตัวว่าอย่างไร? "  พระเจ้าอุทุมพรตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงเยือกเย็นอยู่เป็นพื้น แต่น้ำพระสุรเสียงที่เยือกเย็นนี้กลับทำให้ขุนนางทุกคนถึงกับพร้อมใจกันเงียบกริบในทันที เพื่อรอคอยที่จะฟังคำแก้ต่างของพระยาแม่ทัพเฉพาะกิจผู้นี้

 

     ...เพราะถ้าหากยึดตามพระอัยการกบฏศึกล่ะก็...พระอัยการนั้นระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ในกรณีที่กองทัพยกออกไปรบกับข้าศึกก็ดี...หรือในกรณีที่ข้าศึกยกทัพมาประชิดเมืองก็ดี...กองทัพจะต้องไม่มีคำว่าถอย...ยิ่งทัพเดินเท้าที่ส่งออกไป ถอยกลับมาถึงกำแพงเมือง พระอัยการระบุไว้อย่างชัดเจนทีสุด ว่าให้จับแม่ทัพตระเวนบกตระเวนน้ำ แล้วให้ตัดเท้าตัดหัวเสียบประกานไว้หน้าทัพ...

 

     ...ถ้าหากคำแก้ตัวของพระยารัตนาธิเบศน์ผู้นี้ แก้ตัวออกมาไม่เข้าพระกรรณล่ะก็...งานนี้ทั้งหัวแม่เท้าและหัวของแม่ทัพผู้นี้ คงได้ปักเด่นเป็นสง่าอยู่บนกำแพงเมืองเป็นแน่!...

 

        ภายใต้กระแสของความกดดันที่อบอวลทั้งพระที่นั่ง...ในที่สุด...พระยารัตนาธิเบศน์ผู้นี้ก็ค่อยๆยกมือขึ้นจบถวายบังคม พร้อมกับทูลตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่สุดว่า

 

      " ทรงพระกรุณาเถิดพระพุทธเจ้าข้า...ศึกพม่าหนักเหลือกำลัง...พวกข้าพุทธเจ้าจึงแตกพ่ายกลับมาในที่สุด... "

 

 

 

 

 ....................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา