ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

89)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...เหตุการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายในคืนธาตุไม่ปกติผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว และเงียบสงบ...เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนั้นถูกปิดไว้เป็นความลับที่ไม่มีวันถูกแพร่งพรายออกไปสู่ภายนอกกำแพงพระราชวัง ด้วยเหตุผลแห่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญนั่นก็คือความมั่นคงในราชอาณาจักร...ราชอาณาจักร...ที่กำลังจะเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ...

 

     ...หลังจากที่ไกรออกมาจากศาลาอันเป็นศาลาตัดสินโทษทัณฑ์เฉพาะกิจพร้อมกับการเสด็จของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ โดยปล่อยให้อำนาจแห่งการตัดสินโทษทัณฑ์เหล่าทหารฝ่ายกบฏที่เหลือตกอยู่ในพระราชอำนาจของสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ซึ่งจากที่ไกรได้ฟังจากปากของท่านผู้เฒ่าในภายหลัง คำตัดสินโทษทัณฑ์ของพระองค์ก็ทำให้ไกรอดแปลกใจเล็กน้อยไม่ได้ เพราะพระองค์ทรงมีราชโองการอภัยโทษเหล่าทหารฝ่ายกบฏเหล่านั้น โดยไม่เอาโทษทัณฑ์เลยแม้แต่น้อย...

 

      " เดาว่าสมเด็จพระพี่นางพินทวดีทรงไม่เห็นชอบด้วยกำเรื่องนี้แน่ๆ...ใช่ไหมล่ะขอรับ "

 

      " หึๆๆ ทรงพิโรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยล่ะ...แต่ช่วยไม่ได้ สมเด็จท่านทรงมีราชสิทธิ์เปฺ็นราชโองการ "

 

      " แล้วท่านล่ะขอรับ? ว่าอย่างไรบ้างกับราชโองการนั้น? "

 

        คำถามของไกรทำให้ท่านผู้เฒ่าที่นั่งเล่นหมากรุกอยู่กับเขาตรงหน้าเลิกคิ้วน้อยๆก่อนจะยิ้มบางๆทันที

 

      " เจ้าฉลาดถาม...ไกร...เฮ้อ...ถึงเวลานั้นข้าจะพูดอะไรไมได้ แต่ข้าก็นับถือจังหวะเวลา ที่สมเด็จท่านทรงแสดง พระคุณ ออกมา ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์แสดง พระเดช  เสร็จสิ้นไปแล้วพอดี...พวกทหารมหาดเล็กจากทั้ง ๒ เวรนั่นเป็นเพียงทหารที่ต้องทำตามคำสั่ง พวกเขาอยู่ในสภาพน้ำท่วมปากและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก...อย่างน้อยก็หลายๆคนล่ะนะ...เรากำลังจะเข้าสู่สงคราม และประหารผู้คนในเวลาเช่นนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น...การพระราชทานอภัยโทษในโทษที่ถูกกำหนดให้ตายอย่างแน่นอนแล้วของพระองค์ทำให้ทหารมหาดเล็กเหล่านั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่...พวกมันสำนึกผิดและซาบซึ้งในพระมหากรุณธิคุณอันเปี่ยมล้น และยิ่งเต็มไปด้วยความจงรักภักดี...พูดก็พูดเถอะนะ ข้าว่าเวลานี้พวกมันอาจจะมีความจงรักและพร้อมจะตายแทนพระองค์เหนือกว่าพวกเราด้วยซ้ำ "

 

      " แล้ว...เรื่องของนายทหารแห่งเวรสิทธิ์ผู้นั้น...ผู้ที่สังหารจมื่นเสมอใจราชและควบคุมเหล่าทหารมหาดเล็กที่พร้อมจะเข้าตะลุมบอนเต็มที่นั่นให้อยู่ในความสงบและยอมแพ้อย่างราบคาบได้ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่หลังจากการยอมแพ้คือโทษประหารแน่ๆ...เขาทำได้อย่างไรกัน? "

 

      " หืม? ...อ้อ...นายสุจินดาหุ้มแพรน่ะหรือ? อ้าว? ข้านึกว่าพวกเจ้าได้เจอกันแล้วเสียอีก "

 

      " นาย...สุจินดา...หุ้มแพร? "  ไกรขมวดคิ้วน้อยๆอย่างสะกิดใจในชื่อ หรือตำแหน่งของอกีฝ่าย แต่ตัวม้าสีดำของท่านผู้เฒ่าที่พยายามจะกินเรือของไกรทำให้เขาหันกลับมาจดจ่ออยู่กับหมากบนกระดานอีกครั้ง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิดพร้อมกับพูดต่อเบาๆทันที

 

      " เขาไม่เหมือนกับทหารมหาดเล็กทั่วไป...เก่งกาจ...มั่นใจ...และเด็ดขาดที่สุด...ดีไม่ดีเขาอาจจะเก่งกว่าเจ้าด้วยซ้ำไปนะ "

 

      " ฮ่ะๆ นี่จะพูดกะให้ข้าริษยาเขารึอย่างไรกันขอรับ? "

 

      " ด้วยความที่เขาเป็นหนึ่งในฝ่ายกบฏ ทำให้คุณงามความดีของเขาที่ช่วยชีวิตพวกกบฏเหล่านั้นและให้ความร่วมมือกับพวกเราถูกเพิกเฉย ...เขาไม่ได้รับการอวยยศขึ้น ยังคงเป็นนายสุจินดาหุ้มแพรอยู่เช่นเดิม...แต่ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมนะ ว่าความสามารถของเขามันสูงเกินกว่าระดับทหารมหาดเล็กไปแล้ว...ถ้าว่างๆเจ้าน่าจะหาเวลาไปพูดคุยกับเขานะ "

 

      " เฮ้อ...ถ้าว่างนะขอรับ... "

 

      " ฮ่าๆๆๆ เออ! ข้าขอโทษที่พูดเข้าใจดำ "

 

     ...หลังจากการตัดสินโทษทัณฑ์ก็ถึงเวลาแห่งการปูนบำเหน็จความชอบ...ท่านเรืองได้รับการคืนยศและบรรดาศักดิ์ทั้งมวลเมื่อครั้งก่อนที่เขาจะถูกจับยัดเข้าคุกในข้อหาฝ่ายกบฏ ในเวลานี้เขากลับคืนสู่ฐานะของพระยาเพชรบุรีเต็มตัว พร้อมกับงานใหม่ล่าสุดนั่นก็คือการกลับไปที่เมืองเพชรบุรีและเกณฑ์ทหารกลับมารักษาพระนคร...ในขณะที่สินที่มีความชอบไม่แพ้กัน (ถึงจะขลุกขลักนิดหน่อยตอนถูกวิญญาณสัมพเวสีเข้าสิง) ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รับอวยยศให้สูงขึ้นจากหลวงยกกระบัตรเมืองตาก (เพราะจากสายงานแล้ว ตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่าหลวงยกกระบัตรก็คือพระยาเจ้าเมืองตาก แต่พระยาตากคนปัจจุบันยังไม่ได้ถูกโยกย้ายหรือเสียชีวิต) แต่เขาก็ได้รับพระราชทานราชศักดินาให้สูงขึ้นจนกระทั่งอยู่ในระดับสูงสุดของบรรดาศักดิ์ หลวง ทุกคน และแน่นอน...สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาคิดว่าเป็นรางวัลก็คือ เขากำลังก้าวเดินด้วยขาของตัวเอง ออกจากบารมีของผู้เป็นพ่อบุญธรรมอย่างเข้าพระยาจักรีนั่นเอง...

 

      " เจ้าฝึกเขามาดี...ไกร "

 

      " ข้าไม่อาจจะอวดอ้างความชอบนั้นได้หรอกขอรับ...ข้าไม่เคยฝีกหรือสั่งสอนเขา...นั่นคือความสามารถของเขาเอง... "

 

      " เฮ้อ...เจ้าจะว่าอะไรมันก็เรื่องของเจ้าก็แล้วกัน... "  ท่านผู้เฒ่าพูดเบาๆอย่างตัดรำคาญ ก่อนที่จะขยับม้าสีดำของเขาเพื่อไล่เบี้ยหมากเรือสีขาวของฝั่งเขา นั่นทำให้ไกรกระพริบตาปริบๆก่อนจะก้มลงไปมองที่กระดานทันที...ประจวบเหมาะกับที่หญิงสาวสองนางในชุดจ่าโขลนชั้นสูงเต็มยศที่เดินเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มผละจากกระดานและหันไปทักทายทั้งสองทันที

 

      " นาสตี้...อเทตยา... "

 

      " ไกร/ท่านไกร "

 

        หลังจากเหตุการณ์ราตรีเลือดในคืนนั้น นอกจากสินและเรืองแล้ว ทั้งอนาสตาเซียและอเทตยาเองก็มีความดีความชอบไม่แพ้กัน ค่าที่ร่วมมือกับคุณท้าวศรีสัจจาและเหล่านางจ่าโขลนนางอื่นๆ ปกป้องพระตำหนักและถวายการอารักขาสมเด็จเจ้าฟ้า องค์หญิงสิริจันทรอย่างสุดความสามารถ (ถึงแม้ว่าองค์หญิงสิริจันทรจะทรงปลอดภัยดีอย่ที่อื่นแล้วก็ตามที) รวมถึงต้านทานและจัดการกับกลุ่มกบฏทหารมหาดเล็กเวรเดชภายใต้การนำของจมื่นศรีสรรักษ์ จนสามารถควบคุมตัวจมื่นศรีสรรักษ์ผู้เป็นหนึ่งในหัวหน้าฝ่ายกบฏไว้ได้...ถึงพวกเธอเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จอย่างงดงามก็จริง แต่เนื่องด้วยตามโบราณราชประเพณีไม่เคยมีการอวยยศให้แก่เหล่าสตรี...พวกนางจึงได้เพียงเบี้ยอัฐ (ที่จำนวนไม่ใช่น้อยๆ) เป็นสินรางวัลโดยไม่ได้มีการเลื่อนยศใดๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าในสังคมที่ชายหญิงยังไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้มันถือเป็นเรื่องปรกติ...แต่ไกรและท่านผู้เฒ่าก็รู้ดีว่า จุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเธอไม่ได้อยู่ที่รางวัลอันเป็นอามิสสินจ้างอยู่แล้ว

 

        หลังจากที่หญิงสาวทั้งสองนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ท่านผู้เฒ่าก็หันไปรินชาจากกาชาลงใส่จอกเล็กๆสองจอกและเลื่อนส่งให้ราวกับรู้ดีว่าหญิงสาวทั้งสองต้องกระหายน้ำมากแน่ๆ ก่อนที่ปากจะเอ่ยถามเบาๆว่า

 

      " เป็นอย่างไรบ้าง...เรื่องที่ให้จัดการไปสืบน่ะ? "

 

        คำถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบของท่านผู้เฒ่าทำให้อนาสตาเซียที่กำลังยกชาขึ้นจิบหันไปทองหน้าอเทตยาที่เวลานี้ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเล็กน้อย ในขณะที่อเทตยายักไหล่บางๆของเธอเหมือนเป็นสัญญาณว่าให้อนาสตาเซียเป็นคนพูดรายงานเอง ในขณะที่เธอทรุดลงไปนั่งเกาะอยู่ข้างๆไกรเงียบๆ นั่นทำให้อนาสตาเซียถอนหายใจเฮือก แต่เธอก็ไม่ได้ว่าหรือขัดอะไร...มือสังหารสาวที่เวลานี้อยู่ในคราบของจ่าโขลนชั้นสูงยกชาขึ้นจิบอีกเล็กน้อยก่อนจะเริ่มต้นพูดขึ้นเบาๆทันที

 

      " พวกเรา...หมายถึงข้ากับอเทตยาย้อนกลับไปที่ พระตำหนักปลายทอง เพื่อรวบรวมหลักฐานอีกครั้ง...แต่ก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ...มือสังหาร หรือ กลุ่มมือสังหาร ที่ทำ ลงมือได้อย่างหมดจดจนน่ารังเกียจจริงๆ "

 

        คำพูดของหญิงสาวทำให้ไกรและท่านผู้เฒ่าหันมามองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งคู่จะพร้อมใจกันถอนหายใจเฮือกโดยไม่ได้นัดหมายกันทันที

 

      " น่าประหลาดแท้ๆ "

 

      " เจ้าใช่คำผิดไปหน่อยนะ ไกร...เรื่องนี้ไม่ใช่น่าประหลาด...แต่เป็นน่าโมโหที่สุดต่างหากล่ะ! "  ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกร้าวๆอย่างแทบจะเก็บอารมณ์ไม่อยู่ พร้อมกับระบายอารมณ์ด้วยการโขกหมากตัวม้าใส่กระดานไม้อย่างแรงจนทั้งกระดานถึงกับสะเทือนสะเทือน ในขณะที่ไกรเหลือบมองหมากบนกระดานที่เวลานี้หมากฝั่งของท่านผู้เฒ่ากำลังไล่ต้อนหมากฝั่งของเขาอยู่พร้อมกับเอ่ยพูดเบาๆว่า

 

      " เย็นไว้ก่อนน่า ท่านผู้เฒ่า "

 

      " เจ้าไม่ต้องมาพูดให้ข้าเย็นลงเลยนะ ไกร...ทั้งเจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเรา เธอคือพยานปากสำคัญ...เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่กุ่มมือสังหารเถื่อนอย่างกลุ่มบรรลัยกัลป์นั่น...การที่พวกนางถูกสังหารทิ้งพร้อมกับเหล่าจ่าโขลนและนางกำนัลผู้ทำหน้าที่ควบคุม และคุ้มกันอารักขาเจ้าจอมทั้งสองร่วมหลายสิบนางนี่ถือเป็นการประกาศศักดา และเป็นการหยามหน้าข้าอย่างที่สุด! "

 

 

     ...ในตอนจบของเรื่องนี้ไม่เหมือนกับเทพนิยาย หรือนิทานที่ไกรได้ฟังในตอนเด็กๆ...ที่ในตอนจบพระเอกและนางเอกอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขบนปราสาทขาว ในขณะที่ตัวร้ายต่างพร้อมใจกันสำนึกผิดและกลับตัวเป็นคนดี พร้อมใจกันประสานเสียงร้องเพลงสามัคคีชุมนุมกันรอบกองไฟกันอย่างมีความสุข...เพราะหลังจากเหตุการณ์ราตรีเลือดนั้นผ่านไปเพียง ๓ ราตรีเท่านั้น พวกเขาก็ได้รับข่าวอันน่าตกตะลึงที่สุดจากเขตราชฐานชั้นใน...ข่าวการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเจ้าจอมมารดาเพ็งและเจ้าจอมมารดาแมน ที่ถูกสังหารอย่างเลือดเย็นและไม่น่าเป็นไปได้ภายในพระตำหนักปลายทอง อันเป็นที่คุมขังของพวกนางนั่นเอง!...

 

     ...เพียงไม่กี่นาทีหลังจากที่ทราบข่าวนี้ ทั้งท่านผู้เฒ่าและไกรต่างก็รีบรุดไปยังพระตำหนักปลายทองอันงดงามแห่งนั้นทันที แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาได้พบก็คือร่างอันไร้วิญญาณของสองเจ้าจอมคนสำคัญ โดยที่เจ้าจอมแมนผู้น้องมีสภาพแย่กว่าศพอื่นๆเล็กน้อยซึ่งดูจากลักษณะแล้วท่านผู้เฒ่าบอกว่าน่าจะเป็นผลจากการพยายามต่อสู้ขัดขืนเพื่อรักษาชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย...ในขณะที่ร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าจอมเพ็งผู้พี่ รวมไปถึงนางกำนัลและเหล่าจ่าโขลนที่คุ้มกันอยู่ภายนอกพระตำหนักเกือบทั้งหมดถูกสังหารอย่างหมดจดและเฉียบขาดที่สุดด้วยของมีคมที่ถูกแทงเข้าจุดตายอย่างบริเวณลำคอและอวัยวะสำคัญอย่่างแม่นยำ จนแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นฝีมือของมนุษย์...

 

     ...ในขณะที่เกือบทั้งหมดถูกสังหาร มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รอดชีวิต...และหนึ่งในผู้ที่รอดชีวิตเหล่านั้นก็คืออุษา...มือสังหารสาวแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตผู้เชี่ยวชาญในการแฝงตัวอย่างที่สุด...ที่ทานผู้เฒ่ารอบคอบพอด้วยการมอบหมายให้เธอแฝงตัวมาอยู่ในกลุ่มของนางกำนัลเพื่อเป็นการควบคุมและคุ้มกันพยานปากสำคัญผู้เป็นกุญแจไขไปสู่กลุ่มบรรลับกัลป์ทั้งสองนี้...แต่ถึงจะรอดชีวิตมาได้ เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะอุษาตกอยู่ในสภาพช๊อคจนพูดไม่ออกและนิ่งซึมไปอย่างถนัดตาทีเดียว...

 

      " อืม...นาสตี้...ว่าแต่เวลานี้อุษาเป็นอย่างไรบ้าง? "  ไกรที่นึกขึ้นได้หันไปถามอนาสตาเซียเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียที่เวลานี้ถือวิสาสะหยิบขนมจุกจิกเล็กๆที่ถูกตั้งไว้เคียงน้ำชามากินเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่และตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " อุษาในเวลานี้ดีกว่าเมื่อครั้งแรกที่เราเจอเยอะ จนเธอสามารถบอกเรื่องราวต่างๆในคืนที่เจ้าจอมทั้งสองถูกสังหารได้แล้ว แต่ก็เท่านั้นแหละ เพราะเธอบอกว่าเธอถูกทุบจนสลบไปเสียก่อน เลยไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น " 

 

      " เฮ้อ...เท่าที่จำได้ เหมือนพวกเธอเคยบอกว่าอุษาเป็นสายแฝงตัวเพื่อประชิดเป้าหมาย ไม่ใช่สายถึกทนเท้าที่ชนกับเป้าหมายตรงๆอย่างไอ้สิงห์ ทำให้เรื่องพลังการต่อสู้แล้วเธอไม่น่าจะสูงกว่าเหล่าจ่าโขลนเก่งๆมากเท่าไหร่นัก...พูดก็พูดเถอะนะ ดูจากสภาพศพของเหล่านางกำนัลและจ่าโขลนที่อยู่ภายนอกแล้ว...ข้าว่าแค่อุษารอดจากเหตุการณ์ในคืนนั้นมาได้ก็ถือว่านางเก่งกาจและโชคดีระดับปาฏิหาริย์แล้ว...ใช่ไหมขอรับ...ท่านผู้เฒ่า? "  ไกรพูดเบาๆพร้อมกับที่ช่วงท้ายหันไปถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกระดาน ในขณะที่ชายหนุ่ม (ที่หนุ่มมาตลอด) ผู้เป็นหัวหน้ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตเหลือบมองมาที่ไกรอย่างเคืองๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกทันที

 

      " เฮ้อ...นี่เจ้าพูดเช่นนี้เพราะเจ้ากำลังปกป้องอุษา และคิดว่าข้าจะตำหนิหรือลงโทษยัยอุษารึอย่างไร? ...ข้าโตพอจะแยกแยะได้น่า...แต่ที่ข้าโมโห ข้าโมโหตัวเองที่ไม่น่าพลาดเช่นนี้ และโมโหพวกมัน ที่กล้าหยามหน้าข้าได้ถึงเพียงนี้ต่างหาก...ถึงพวกเราจะปิดข่าวในเรื่องนี้ไม่ให้คนอื่นๆที่อยู่ภายนอกเขตราชฐานชั้นในทราบเรื่องได้ก็จริง...แต่สำหรับคนในเขตราชฐานชั้นในนั่นอีกเรื่องนึงเลย...พ่ออยู่หัวทั้งสองและสมเด็จพระพี่นางทรงกริ้วในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และถึงพวกท่านจะไม่ได้โทษข้าโดยตรงก็เถอะ แต่ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของข้าแต่เพียงผู้เดียว...ข้าพลาดไปจริงๆ ที่ปล่อยให้ไอ้พวกกลุ่มบรรลัยกัลป์นั่นสามารถลักลอบเข้ามาและลงมือฆ่าปิดปากสองเจ้าจอมนั่นได้ "  ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆอย่างพยายามเก็บอารมณ์อย่างที่สุด ในขณะที่ไกรที่ลูบคางอย่างครุ่นคิดนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มต้นพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " ไม่อยากจะขัดอะไรนะขอรับท่านผู้เฒ่า...แต่ว่า...ถ้าหากมีโกาสน้อยนิดที่ท่านคิดผิด และคน หรือกลุ่มคนที่ลงมือนี่ไม่ใช่มือสัหารจากบรรลัยกัลป์ล่ะขอรับ? "

 

      " ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ไกร...และเราจะไม่เถียงกันในเรื่องนี้ให้เสียเวลาเลย ...จริงอยู่ว่าข้าก็คงจะคิดสงสัยเช่นเจ้าเหมือนกันถ้าหากเป็นเหตุการณ์อื่น...แต่นี่คือการสังหารสองเจ้าจอมที่ถูกคุมตัวอยู่ภายในเขตราชฐานชั้นในนะ...มือสังหารต้องตีนเบามากพอจะซ่อนตัวเร้นกาย ผ่านกำแพงราชวังถึง ๓ ชั้น...ฝ่าเหล่าทหารล้อมวังและกองจ่าโขลนนับร้อย...และถ้าสันนิษฐานจากรอยบาดแผลที่ปลิดชีวิตเหล่าจ่าโขลนที่ล้อมตำหนักปลายทองอยู่ ก็ต้องบอกว่ามือสังหารผู้นั้นต้องเก่งกาจมาก...อาจจะมากกว่ามือสังหารของพวกเราด้วยซ้ำ...เมื่อรวมกับเหตุผลที่เจ้าจอมทั้งสองเป็นกุญแจสำคัญที่จะสาวไปถึงกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์ของพวกมันได้...ทำให้มีข้อสรุปเดียว คือผู้ที่ลงมือต้องเป็นมือสังหารจากกลุ่มบรรลัยกัลป์แน่! "

 

      ' ...ถ้าอย่างนั้นก็แปลก...ถ้านี่เป็นกลุ่มบรรลัยกัลป์ และพวกมันลงมือเพื่อปิดปากสองเจ้าจอมจริง และผู้ลงมือมีความสามารถมากถึงขนาดนั้น...ทำไมมันถึงลงมือเพียงกับทั้งสองเจ้าจอม แต่กลับปล่อยเจ้าพระยาราชมนตรีฯ และจมื่นศรีสรรักษ์ ที่เวลานี้อาการร่อแร่จากแผลถูกโบยและถูกขังอยู่ที่คุกซึ่งน่าจะจัดการง่ายยิ่งกว่าให้รอดชีวิตอยู่ล่ะ... '

 

      " ไอ้พวกเลวชาติ! "  ในที่สุด อเทตยาที่นั่งเกาะแขนอยู่ข้างๆไกรก็หลุดปากออกมาเบาๆอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ซึ่งไกรก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาและคนอื่นๆประหลาดใจเท่าไหร่...เพราะเขารู้ดีว่าหญิงสาวมีปมที่เคยถูกทรยศหักหลัง ทำให้เธอยึดมั่นถือมั่นในเรื่องนี้ึงขั้นเอาเป็นเอาตาย จึงไม่แปลกที่เธอจะออกอาการกับเรื่องนี้เป็นพิเศษจนกระทั่งพูดออกมาเช่นนั้น...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้าช้าๆ พร้อมกับพูดเรียบๆทันที

 

      " เย็นไว้ อเทตยา...ข้ารับปากได้ว่าข้าจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเด็ดขาด...พวกมันจะต้องชดใช้แน่ "  เขาพูดพร้อมกับขยับเรือเข้าไล่เบี้ยไกรที่เวลานี้กอดอกและก้มหน้าเครียดลงเรื่อยๆ เพราะดูจากสถานการณ์แล้วฝั่งของเขากำลังเริ่มนับถอยหลังเตรียมตัวแพ้แล้ว...

 

      " ท่านผู้เฒ่า... "

 

      " ตูไม่ให้เริ่มใหม่เฟ้ย! และเดิมพันก็ยังอยู่เหมือนเดิมด้วย...นี่ตาเจ้าแล้ว รีบเดินให้ไวเลย "

 

      " เดิมพันอะไรหรือเจ้าคะ? "  อนาสตาเซียยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ท่านผู้เฒ่าโบกมือเป็นเชิงว่าเขาไม่บอกแน่ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องด้วยการถามหญิงสาวทั้สองเบาๆว่า

 

      " ว่าแต่พวกเจ้าทั้งสองเถอะ...เวลานี้พวกเจ้าเป็นจ่าโขลนระดับสูงแล้วนะ...พวกเจ้าไม่มีหน้าที่หรือกิจธุระสำคัญใดๆต้องไปทำหรือ? "

 

        คำถามของท่านผู้เฒ่าทำให้อนาสตาเซียเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับมาเบาๆว่า

 

      " เวรช่วงเช้าของเราทั้งสองหมดลงแล้วล่ะเจ้าค่ะ...ตัวข้ามีกิจธุระอีกครั้งก็ช่วงดึกโน่นที่ต้องไปเดินตรวจพร้อมกับคุณท้าวศรีสัจจา...ส่วนอเทตยา--- "  อนาสตาเซียขยับปากเตรียมจะพูด แต่อยู่ๆ อเทตยาที่นั่งเกาะแขนไกรอยู่เงียบๆก็จะเลิกคิ้วบางๆพร้อมกับชี้ไปที่ช่องที่กางกระดานพร้อมกับร้องออกมาเบาๆทันที

 

      " อ้ะ! ท่านไกร! ตาม้าตรงนี้มันตารุกฆาตนี่ แบบนี้ท่านจะรุกกินเรือทานผู้เฒ่าได้เปล่าๆเลยนะ! "

 

      " เฮ้ย! ยัยอเทตยา!! "  ท่านผู้เฒ่าที่เมื่อครู่ทำหน้าเคร่งขรึมถึงกับหลุดเก๊กแตกพร้อมกับร้องเสียงหลงทันที เพราะมือฉมังธนูสาวพึ่งทำตัวเป็น เซียนนอกกระดาน ที่บอกตาเดินที่จะพลิกกระดานจากเสียเปรียบเป็นได้เปรียบสุดๆให้กับไกร ก่อนที่เขาจะพาโลด้วยการพลิกกระดานจริงๆจนหมากทั้งหมดบนกระดานตกกระจายระเนระนาด พร้อมๆกับทำให้ไกรที่นั่งอยู่อีกฝั่งร้องเสียงหลงไม่แพ้กันทันที

 

      " เฮ้ย! ไอ้คุณท่านผู้เฒ่า!! ไหงเล่นขี้โกงกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ฟะขอรับ! "

 

      " หนวกหู! เพราะตานี้เจ้าไม่ได้คิดเอง แต่อเทตยาเป็นคนบอก ถือว่าเป็นโมฆะเฟ้ย! "

 

      " โมฆะบ้าบออะไรเล่า! ถึงเมื่อกี๊อเทตยาไม่บอกข้าก็คิดเองได้เฟ้ย! แล้วข้าก็กำลังจะเดินม้าไปรุกฆาตตรงนั้นอยู่พอดีด้วย! "

 

      " คิกๆ จริงหรือเจ้าคะ ทานไกร? "

 

      " นี่ อเทตยา...บางครั้งข้าก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าตกลงเจ้าอยู่ข้างใครกันแน่เนี่ย "  

 

      " คิกๆๆ โธ่ ท่านไกรล่ะก็... "  อเทตยายิ้มจนเห็นไรฟันพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างงดงาม...ก่อนที่เธอจะจับมือข้างหนึ่งของเขาไว้พร้อมกับพูดต่อช้าๆด้วยดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่หยาดเยิ้มงดงามที่สุดว่า

 

      " ...ข้าอยู่ข้างท่านเสมอนะ ท่านไกร...ต่อให้ท่านตกอยู่ในสถานะใดก็ตาม...และจะอยู่ข้างท่านตลอดไป...นี่เป็นคำสัตย์สัญญาจากข้าเลย "

 

      " อ...อเทตยา "

 

      " อะ...แฮ่ม! "  ในที่สุด อนาสตาเซียที่นั่งอยู่อีกฝั่งก็หมดความอดทนพร้อมกับแกล้งกระแอมไอออกมาดังๆ จนอเทตยารู้สึกตัวว่าเริ่มทำตัวไม่งามแล้ว เธอจะปล่อยมือของไกรออกและลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มหวาน ก่อนจะเริ่มพูดเหมือนกับพูดต่อประโยคที่อนาสตาเซียพูดค้างไว้เบาๆว่า

 

      " ข้าคงต้องขอตัวก่อนนะเจ้าคะ...เพราะอีกสักครู่ข้าต้องไปช่วยคุณท้าวศรีสัจจาฝีกฝนเหล่าจ่าโขลนสาวๆรุ่นใหม่ ที่จะเข้ามาแทนรุ่นเก่าที่บาดเจ็บและกำลังจะถูกปลดประจำการไป...ตามคำร้องขอของคุณท้าวศรีสัจจาเอง...แปลกดีเหมือนกันนะ ทั้งๆที่รู้จักกับเจ้าก่อนข้า แต่กลับขอให้ข้าช่วยแทนซะอย่างนั้น...สงสัยคุณท้าวเหม็นหน้าเจ้าแน่ๆเลย อนาสตาเซีย "

 

      " น...หนอย! ปากกล้านักนะ ยัยมอญนี่ "

 

      " คิกๆ อย่างนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ...ท่านไกร ท่านผู้เฒ่า " 

 

      " อ้ะ เดี๋ยวก่อน อเทตยา "

 

      " เจ้าคะ?  ท่านไกร "

 

      " เย็นนี้ที่จวนประจำตำแหน่งของข้าที่ริมแม่น้ำมีงานเลี้ยง ประมาณว่างานขึ้นเรือนใหม่น่ะ เจ้าก็มากินข้าวกันกับพวกเราให้พร้อมหน้าพร้อมตากันสิ...เวลานั้นเจ้าน่าจะเสร็จกิจธุระแล้วใช่ไหม? "

 

      " กินข้าวกับท่าน? "  อเทตยาเอียงคอทวนคำเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าพร้อมกับยิ้มหวานทันที   " ...ข้าไปแน่เจ้าค่ะ ต่อให้ยังไม่เสร็จกิจข้าก็ไปแน่...ข้าสัญญาเลย "

 

      " อืม...ถ้าอย่างนั้นไปดีมาดีนะ อเทตยา "

 

        หลังจากที่หญิงสาวชาวมอญเดินไปจนลับตา อนาสตาเซียก็แกล้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดเป็นเชิงเปรยเบาๆว่า

 

      " เฮ้อ...มาด้วยกันแท้ๆ แต่กลับชวนอเทตยาคนเดียว...ช่างเป็คนที่ลำเอียงเสียจริงจริ๊ง! "

 

      " หืม? อะไร เจ้าหึงหรือนี่? "  ไกรที่หันไปช่วยท่านผู้เฒ่าจัดหมากบนกระดานเพื่อตั้งต้นเริ่มตาใหม่เลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยแซวเบาๆ จนทำให้อีกฝ่ายหน้าขึ้นสีวูบ พร้อมกับชกเข้าเต็มๆไหล่หนาของชายหนุ่มทันที

 

      " บ้า! "

 

      " ฮ่ะๆ ...เอาเถอะ...นาสตี้...เจ้าจำเรื่องที่ข้าพูดค้างไว้ ว่าตอนนั้นข้าช่วยอเทตยา ไม่ใช่เพราะนางมีรูปลักษณ์เช่นเดียวกับน้องสาวของข้า แต่ด้วยเหตุผลอื่นอีก "

 

      " หืม? อืม...จำได้สิ "

 

        ไกรยิ้มบางๆพร้อมกับดวงตาที่ซึมลึกลงอย่าครุ่นคิดย้อนไป ก่อนจะเริ่มต้นพูดช้าๆว่า

 

      " ...จริงอยู่อย่างที่ท่านผู้เฒ่าบอก ว่าถ้าหากได้นางเป็นพรรคพวก นางจะเป็นขุมกำลังสนับสนุนสำคัญที่ไม่อาจดูแคลนได้ แต่...เจ้าก็เห็นแล้วใช่ไหม?...ดวงตาของนางในครั้งแรกที่เราได้พบเจอ...ไม่สิ ที่เราจับนางได้น่ะ...ดวงตาที่ดำมืดจนเกินกว่าจะเป็นเด็กสาวทั่วไป...ดำมืด...จนเกินกว่าจะเป็นดวงตาของมนุษย์ด้วยซ้ำ... "

 

      " ... "

 

      " ...อเทตยาในเวลานั้นเป็นเหมือนสัตว์ร้ายที่บาดเจ็บ ตื่นกลัว และไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งสิ้น...ดวงตาและกลิ่นอายที่ออกมาจากเธอมันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอชิงชัง และไม่อาลัยอาวรณ์ต่อทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้...และพร้อมจะทำลาย พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพียงเพื่อจะเติมเต็มช่องว่างในจิตใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆของเธอ...ข้าไม่ได้ช่วยเธอเพราะเธอหน้าเหมือนน้องสาวข้า แต่ช่วยเธอ และรับเธอมาเป็นพรรคพวกเพราะข้าไม่อาจจะปล่อยให้เธอจมลึกไปในก้นบึ้งอันดำมืดภายในจิตใจของเธอได้...ข้ายื่นมือไปให้เธอและฉุดรั้งเธอให้ขึ้นมาจากความมืดมนนั้น...และข้ารู้ดีว่าผู้ที่ยื่นมือไปช่วยเธอ ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว... "  ไกรพูดพร้อมกับกวาดตามองไปที่ท่านผู้เฒ่าและอนาสตาเซียที่นั่งอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพูดต่ออีกครั้งว่า

 

      " ...ผู้ที่ฉุดอเทตยาขึ้นมาจากบ่ออันดำมืดนั้นยังมีเจ้า มีท่านผู้เฒ่า มีคุณท้าว มีสหายคนอื่นๆของพวกเราอีกมากมาย...จนในที่สุด อเทตยาก็ค่อยๆถูกฉุดขึ้นจากความมืดมนที่ว่านั่น...แม้จะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่เธอก็เปิดใจให้กับพวกเรามากขึ้น เธอยิ้มแย้มมากขึ้น ดวงตากลับมามีประกายแห่งชีวิตมากขึ้น...ข้าไมได้คิดจะหลอกใช้เธอ นาสตี้ แต่ข้าพยายามจะคืนรอยยิ้มให้กับเธอต่างหาก...และทั้งหมดทั้งมวลนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากไม่ได้ความเมตตาของท่านผู้เฒ่า และความน่ารักเป็นกันเองของเจ้า นาสตี้...ข้าขอบใจเจ้าในข้อนี้จริงๆ "

 

        คำขอบคุณอย่างจริงใจที่ออกมาจากปากของไกรทำให้ดวงตาสีฟ้าจรัสของมือสังหารสาวหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนที่ในที่สุดเธอก็ยิ้มบางๆพร้อมกับยื่นมือมาตบไหล่และจับแขนต้นแขนกำยำของไกรในลักษณะเดียวกับที่สหายตบเพือให้กำลังใจกันพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ และพูดขึ้นช้าๆว่า

 

      " ภายใต้เปลือกนอกที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล และท่าทางเจ้าชู้ประตูดินที่สุดของเจ้า...จิตใจเจ้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความอ่อนไหวและลึกซึ้งราวกับอิสตรี...ข้าไม่แปลกใจเลย...ที่สตรีทุกคนต่างชมชอบเจ้า...ไกร "

 

      " ...นาสตี้ "

 

      " อะแฮ่ม! "  ในที่สุดท่านผู้เฒ่าที่นั่งจัดหมากบนกระดานไปและนั่งฟังไปอย่างเงียบๆก็อดรนทนไม่ไหวพร้อมกับโก่งคอกระแอมไอเสียงดังลั่นจนกระเดือกแทบหลุดทันที เหมือนกับจะบอกว่า ...เฮ้ย! ตูยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้นะเฟ้ย! จะทำอะไรก็หัดเกรงใจกันบ้างสิฟะ! ... ซึ่งประจวบเหมาะกับที่แขกคนสำคัญอีกสองคนจะเดินเข้ามาทักทายไกรในทันที

 

      " ท่านไกร... "

 

      " เฮ้อ...ช่างประจวบเหมาะจริงๆ เจ้านี่มันหาเรื่องวุ่นได้อย่างตลอดเลยนะ เอาเป็นว่าเดิมพันหมากกระดานนี้ติดไว้ก่อนก็ได้วะ "

 

      " ฮ่าๆๆๆ ...อ้าว...มาแล้วหรือ ท่านพระยาเพชรบุรี ท่านหลวงยกกระบัตรเมืองตาก "  ไกรเอ่ยทักชายหนุ่มทั้งสองที่เดินเข้ามาในทันที แต่คำทักทายของเขากลับทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต้องขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจในทันทีพร้อมกับที่สินจะพูดขึ้นเบาๆว่า

 

      " เฮ้อ...ท่านไกร ได้โปรด...เรียกข้าว่าสิน และเรืองตามเดิมเถอะ... "

 

      " ฮ่ะๆ โทษทีๆ เอ้า! นั่งก่อนสิ...แล้วนี่เป็นของเจ้าทั้งสองคน "  ไกรพูดบาๆพร้อมกับเอี้ยวตัวไปหยิบม้วนสารคำสั่งเล็กๆ ๒ ม้วนส่งให้ทั้งเรืองและสินคนละม้วน ซึ่งทั้งสองก็รับไว้พร้อมกับเลิกคิ้วใส่อย่างงงงวยทันที

 

      " นี่อะไรหรือขอรับ? ท่านไกร "

 

      " ม้วนสารคำสั่งถอดถอนท่านทั้งสองออกจากหน่วยคเณศร์เสียงาของข้าอย่างไรล่ะ และเป็นสารคำสั่งที่ได้รับพระบรมราชโองการอนุมัติจากพ่ออยู่หัวแล้วด้วย "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ?!! "  คำตอบของไกรทำให้ทั้งสองทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนอย่างตกตะลึงทันทีโดยที่ยังไม่ยอมกางม้วนสารคำสั่งออกมาอ่านด้วยซ้ำ ซึ่งไกรก็ถอนหายใจเฮือกอย่างเดาได้อยู่แล้วถึงปฏิกริยาของทั้งสองคน...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าและอนาสตาเซียที่นั่งอยู่ต่างก็พร้อมใจกันเงียบลงราวกับรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วเช่นกัน...

 

      " นี่มันหมายความว่าอย่างไร! ท่านไกร! ท่านเสือกไสไล่ส่งพวกข้าสองคนออกอย่างนั้นหรือ!? "

 

      " เฮ้อ...ช้าไว้ ท่านเรือง และข้าก็ไม่ได้เสือกไสท่าน...ข้าทำเช่นนี้เพื่อท่านทั้งสองต่างหากล่ะ "

 

      " อธิบาย! "

 

        เสียงตวาดอันเฉียบขาดของพระยาเพชรบุรีทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นเคย แต่เขาก็ไม่อยากจะว่าอะไรในเรื่องนั้นและตัดสินใจอธิบายข้อข้องใจของอีกฝ่ายอย่างช้าๆว่า

 

      " ...ท่านเรือง...อย่าลืมสิ ว่าในเวลานี้ท่านไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย แต่่กลับคืนสู่ยศศักดิ์และฐานะของพระยาเพชรบุรี เจ้าเมืองชั้นตรีแล้ว...และผู้ที่อยู่ในระดับเจ้าเมืองอย่างท่านไม่ควรจะต้องมาอยู่ภายใต้ผู้ใดอีก...เว้นแต่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารและพระบารมีแห่งพ่ออยู่หัวเท่านั้น...ท่านอยู่ในหน่วยคเณศร์เสียงา และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าอีกต่อไปแล้ว ท่านเรือง... "  ไกรพูดช้าๆอย่างใจเย็นและเต็มไปด้วยเหตุผลที่ไม่อาจจะโต้แย้งได้ จนกระทั่งเขาได้แต่นิ่งอึ้งต่อเหตุผลไปอย่างจำนนต่อถ้อยคำ...ในขณะที่สินขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดต่อทันทีว่า

 

      " ล...แล้วข้าล่ะ! ท่านไกร! ข้าเป็นเพียงหลวง ไม่ใช่เจ้าเมือง ข้าไม่อยู่ในข่ายที่ท่านจะไล่ข้าออกจากหน่วย...ร...หรือว่า...เพราะข้าอ่อนแอเกินไป จนกระทั่งถูกวิญญาณสัมภเวสีเข้าสิงในคืนนั้นและเกือบจะทำให้แผนทุกอย่างพังทลายลง...ข้า...ท่านเห็นว่าข้าอ่อนแอจนกระทั่งเดินตามหลังท่านต่อไปไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ!! "

 

      " ...ข้าไม่ได้ไล่เจ้า สิน...และไม่ได้ทำเพราะเจ้าอ่อนแอ...แต่ข้าเพียงแต่ปล่อยเจ้าไป...ปล่อยเจ้าไปเพราะรู้ว่าเจ้าเข้มแข็งพอจะบินด้วยปีกของตัวเองได้แล้วต่างหาก... "

 

      " ข้า...กำลังจะเดินออกจากเงาของท่านพ่อ (เจ้าพระยาจักรีครุฑ) ข้าจะเดินเข้าสู่เส้นทางของตนเอง และทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพราะความช่วยเหลือและการสั่งสอนจากท่าน ทั้งทางตรงและทางอ้อม...ข้าเรียนรู้จากท่าน และข้ารู้ดีว่าข้าจะไปถึงจุดสูงสุดได้ถ้าหากยังอยู่กับท่านเช่นนี้ "

 

      " เจ้าคิดจะออกจากเงาของท่านครุฑ...แล้วเงาของข้าล่ะ? " ไกรพูดด้วยน้ำเสียที่แข็งกร้าวขึ้นจนกระทั่งสินถึงกับผงะไปอย่างอับจนต่อถ้อยคำที่เป็นเหมือนลูกธนูที่พุ่งเข้ากลางใจดำของเขาเต็มๆ ก่อนที่ไกรจะผ่อนลมหายใจช้าๆ พร้อมกับพูดต่อเรียบๆว่า

 

      " ...สิน...ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้าพูดอาจจะฟังดูแปลกไปบ้าง แต่เชื่อข้าเถอะว่าสักวันหนึ่งเส้นทางที่เจ้าเดินจะพาเจ้าไปสู่จุดสูงสุด...ที่บางทีมันอาจจะสูงเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้...แต่ก่อนจะถึงวันนั้น เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำ เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะช่วงใช้และปกครองผู้คน ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยกำลัง...และเจ้าจะไม่มีวันได้เรียนรู้สิ่งนั้นหากเจ้ายังอยู่ใต้บัญชาของข้า อยู่ภายใต้เงาของข้า...ม้วนสารในมือของเจ้าทั้งสองไม่ใช่คำสั่งไล่ออก แต่เป็นคำอวยพร ที่จะส่งเจ้าทั้งสองคนให้ขึ้นสูงชั้นกว่าเดิมต่างหาก...เข้าใจแล้วสินะ "

 

        คำพูดของไกรสร้างความกระจ่างให้แก่ทั้งพระยาเพชรบุรีและหลวงยกกระบัตรเมืองตากจนทั้งคู่พูดคัดง้างอะไรออกมาไม่ออก ในขณะที่อนาสตาเซียซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยคเณศร์เสียงาเช่นกันยิ้มบางๆพร้อมกับพูดเป็นเชิงเปรยออกมาเพื่อให้ทั้งสองหนุ่มได้ยินอย่างชัดเจนว่า

 

      " แหม่...ต่อให้เป็นคำสั่งถอดจากการเป็นหน่วยคเณศร์เสียงา แต่ก็ไม่ใช่คำสั่งห้ามพบเจอ หรือสั่งให้ตายจากกันเสียหน่อย...เวลานี้ไกร---หมายถคงท่านไกรก็มีเรือนประจำตำแหน่งเป็นของตนเองแล้ว...ถ้าวันไหนพวกท่านว่างก็มาหาสู่กับท่านไกรได้ตามแต่สะดวกเลยนี่...ถึงแม้จะไม่ได้ทำงานร่วมกันแล้วก็ตามที "

 

      " อ...อืม...นั่นสินะ...ใช่ไหม? สิน "  ท่านเรืองที่เริ่มเออออห่อหมกอย่างเห็นดีด้วยหันไปถามสินที่อยู่ด้านข้างเล็กน้อย แต่สินยังคงนิ่งอยู่ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหันสายตาสีเข้มมาหาไกรพร้อมกับพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า

 

      " ท่านไกร...จริงอยู่ที่ข้าไม่อาจจะโต้แย้งเหตุผลของท่านได้ เพราะท่านพูดถูกที่สุด...แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าท่านกับข้าไม่ใช่เจ้านายผู้บังคับบัญชา และลูกน้องผู้ใต้บังคับบัญชา...และก็ไม่ใช่ศิษย์-อาจารย์...มันทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่า...ถ้าหากภายภาคหน้าข้ามาพบกับท่านอีก...เราพบกันในฐานะของอะไรกันขอรับ? "

 

      " ฮ่ะๆๆๆ ก็ในฐานะของสหายอย่างไรล่ะ สิน "

 

      " ส...สหาย "

 

      " ใช่แล้ว...นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้าหากเราพบกัในวันหน้า มากินข้าวร่วมวงกัน มาเล่นหมากรุกกัน มาซ้อมดาบกัน...เราจะไม่ได้กระทำในฐานะของู้ที่เหนือกว่าและต่ำกว่า...แต่เป็นผู้ที่เท่าเทียมกัน...เป็นสหายกัน...เวลานี้ขึ้นอยู่กับท่านทั้งสองแล้ว...ว่าจะยอมเป็นสหายของข้าหรือไม่...ท่านไกร ท่านสิน... "

 

      " เป็น...สหายกับท่าน... "

 

      " ใช่แล้วล่ะ...ท่านเรือง ท่านสิน...เป็นสหายตลอดกาล... "

 

 

 

 

........................................................

 

 

 

 

 

     ...เวลาเย็นย่ำ ณ เรือนไม้ยกสูงใหม่เอี่ยมอ่องขนาดใหญ่ โอ่อ่า และมีร้วรอบขอบชิด ที่ด้านนึงอยู่ติดกับคลองสายใหญ่ และอีกด้านหนึ่งติดกับกำแพงพระบรมมหาราชวัง อันเป็นเรือนที่ถูกสร้างขึ้นให้เป็นจวนประจำตำแหน่งหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงาและหัวหน้าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้งหมดทั้งมวล...จวนของเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือของไกรนั่นเอง...

 

      " ไม่มีทางชินง่ายๆแน่ๆ "

 

      " หืม? เจ้าว่าอย่างไรนะ ไกร? "

 

      " ก็เรือนนี่สิ ท่านผู้เฒ่า...ขนาดข้ามองอยู่ด้านนอกข้ายังหลงเลย...จะให้ข้าย้ายจากจวนของออกพระเพชรพิไชยมอยู่ที่นี่จริงๆหรือขอรับ? "

 

      " ฮ่าๆ โธ่เอ้ย...เจ้าเป็นบ่าวไพร่ของออกพระเพชรพิไชยรึอย่างไร ถึงจะไปสิงอย่จวนเขาได้ตลอดน่ะ แล้วอีกอย่าง นี่เป็นจวนประจำตำแหน่งของเจ้านะ "

 

      " ก็นั่นแหละที่ทำให้ข้าไม่ชิน...นี่ ท่านผู้เฒ่า...ท่านมาอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนข้าสักอาทิตย์นึงได้ไหม? "

 

      " เหงกแหน่ะ! ข้าก็มีเรือนประจำตำแหน่งของข้า และข้าก็ไม่ใช่เมียเจ้าซะหน่อย...ถ้าเหงานักก็หาเมียสิเฟ้ย! "

 

      " ของแบบนั้นมันจะมีได้ยังไงล่ะเฟ้ย! "

 

      " เฮ้อ...ก็เกือบได้มีแล้วล่ะ แถมยังเป็นถึงระดับเมียพระราชทานอีกต่างหาก "

 

      " หา? ท่านผู้เฒ่า ท่านพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ "

 

        ไกรหันไปถามเบาๆอย่างไม่เข้าใจ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองเล็กน้อยอย่างชั่งใจ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจส่ายหน้าและไม่ยอมบอกความจริงไป ปล่อยให้ไกรทำหน้างงอยู่เช่นนั้น ก่อนที่เขาจะพูดเปลี่ยนเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังต่อว่า

 

      " สายของเราที่ข้าส่งไปทำงานสำคัญที่ภาคใต้ส่งสารผ่านเหยี่ยวสื่อสารของหมู่บ้านเรามาถึงข้า แจ้งข่าวเกี่ยวกับทัพพระเจ้าอลองพญา...เวลานี้อโยธยาเสียเมืองทวายอันเป็นหน้าด่านสำคัญให้แก่ทัพพม่าไปเรียบร้อยแล้ว...ทั้งยังถูกตีแตกด้วยฝีมือของทัพหน้าที่ถูกนำโดยเจ้าชายมังระราชบุตรที่มีกำลังทหารเพียงแค่ ๖ กรมอีกต่างหาก ในขณะที่ทัพขัดตาทัพของพวกเรายังตั้งค่ายเตรียมรับศึกไม่เสร็จดีเลยด้วยซ้ำ...ทัพพม่าในคราวนี้รวดเร็วและแกร่งกล้าราวกับลูกธนูที่หลุดจากแหล่งและไม่อาจจะดูแคลนได้เลย... "

 

      " ใช่แล้วขอรับ... "

 

      " หืม? ดูท่าเจ้าจะไม่ประหลาดใจ หรือตกใจกับข่าวล่านี้เลยนะ...ราวกับว่าเจ้ารู้อยู่แล้วอย่างนั้นแหละ "

 

      " โธ่...ท่านผู้เฒ่า...ท่านกำลังพูดอยู่กับคนที่มาจากโลกอนาคตอยู่นะขอรับ "

 

      " เออว่ะ...ข้าเกือบจะลืมเลือนไปแล้วนะเนี่ย... "  ท่านผู้เฒ่าพูดพลางกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปมองสิงห์และศกุนตลาที่เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยทันที

 

      " สิงห์ ศกุนตลา...เจ้ารู้อยู่แล้วใช่ไหม...ว่าต่อให้ข้าและไกรใช้อำนาจที่มีในการลบประวัติความผิดของพวกเจ้าหลายร้อยกระทงทิ้งจนสิ้นซากไปแล้ว...แต่นั่นก็ไม่รวมความผิดใหม่ที่พวกเจ้าอาจจะก่อขึ้นในอนาคต เพราะฉะนั้น อย่าพยายามทำอะไรตามใจตนเองอย่างที่แล้วๆมานะ...เพราะเวลานี้เจ้าคือคนของหน่วยคเณศร์เสียงาของไกรแล้ว...และรุ่นก่อนหน้าก็สร้างชื่อเสียให้หน่วยนี้อย่างมากก่อนจะจากไป...ข้าหวังว่าชื่อเสียงอันดีงามและเป็นที่โจษจันของหน่วยคเณศร์เสียงาคงจะไม่ต้องมาพังทลายลงเพราะพวกเจ้าหรอกนะ "  คำพูดของทานผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าของพวกเขาทั้งหมดทำให้สิงห์ที่เวลานี้อยู่ในชุดของทหารมหาดเล็กสีดำสนิทพร้อมทั้งเสือสมิงสาวที่อยู่ในร่างมนุษย์ในชุดของเหล่าจ่าโขลนระดับล่างทั้ง ๓ ตนแยกเขี้ยววับทันที

 

      " โธ่...ท่านผู้เฒ่า...ท่านเห็นข้าเป็นคนอย่างไรเนี่ย? "

 

      " ให้ข้าพูดแทนท่านผู้เฒ่าให้เอาไหม? "

 

      " เสือกเฟ้ย! ไอ้ไกร " 

 

      " เฮ้ยๆ ตูเป็นหัวหน้าเอ็งนะเฟ้ย นอกจากนี้ยังอุตส่าห์เสียเวลาและเงินหลายร้อยชั่งเพื่อลบประวัติเอ็งและมือสังหารของพวกเราทั้งหมดที่มีคดีติดอยู่ที่อโยธยานี้จนขาวสะอาด...อย่างน้อยๆก็สำนึกบุญคุณและเรียกข้าว่าท่านไกรผู้เมตตาซะโดยดี "

 

      " อ...ไอ้นี่...ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่านาสตี้ยอมอยู่หน่วยของเจ้าไปได้อย่างไรโดยไม่รัดคอหรือควักหัวใจเจ้าออกมาเสีย กวนนักนะเอ็ง "

 

      " เฮ้อ...นี่เท่ากับว่าหน่วยคเณศร์เสียงาของข้ากำลังจะกลายเป็นแหล่งกบดานของมือสังหารที่ถูกต้องามกฎหมายโดยสมบูรณ์แล้วสินะเนี่ย...ท่านผู้เฒ่า "

 

      " ฮ่ะๆ ขอโทษทีนะ...แต่เราจำเป็นต้องมีอำนาจเพื่อต่อกรกับทั้งกลุ่มบรรลัยกัลป์เวรนั่น และศึกสงครามเต็มรูปแบบที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า...เฮ้อ...ข้าสังหรณ์แปลกๆว่านับแต่นี้ต่อไป ไอ้ราตรีเลือดที่เราผ่านมาแบบกระอักเลือดนั่นอาจจะกลายเป็นเรื่องเด็กเล่นไปเลยก็ได้... "

 

      " ฮ่ะๆ ถ้าอย่างนั้นเราก็สังหรณ์เหมือนกันเป๊ะจนน่าขนลุกเลยล่ะ ท่านผู้เฒ่า... "

 

      " เจ้าไหวนะ ไกร "

 

        คำถามของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรนิ่งไปเล็กน้อย เขาก้มลงมองดาบสดายุที่อยู่ในฝักข้างกายของตน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองท้องฟ้าที่แดงก่ำจวนจะมืดอยู่รอมร่อพร้อมด้วยดวงตาที่แกร่งกร้าวเป็นประกาย และรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจที่สุด ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นอย่างแข่มช้า แต่เต็มไปด้วยความั่นใจที่สมบูรณ์ที่สุดว่า

 

      " กลุ่มมือสังหารปริศนา...บรรลัยกัลป์...และมหาทัพของพระเจ้าอลองพญาผู้เกรียงไกร...อย่างนั้นหรือ...จะมีอะไรที่ท้าทายและน่าสนุกกว่านี้อีก...เชื่อข้าเถอะว่าข้ายิ่งกว่าไหวอีก...และอีกอย่าง...เมื่ออยู่ต่อหน้าหน่วยคเณศร์เสียงาของข้า...ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้แน่นอนขอรับ "

 

      " หึๆ ถ้าอย่างนั้นข้าขอฝากพวกเขาไว้ในมือของเจ้าด้วยนะ ท่านหัวหน้าหน่วยคเณศร์เสียงา...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี... "

 

      " อย่ามัวแต่ยุ่งอยู่กับตำแหน่งใหม่จนลืมมาหาพวกเราล่ะขอรับ...ท่านผู้เฒ่า...ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์! "

 

     ...ตัวของเขาในเวลานี้ไม่เหลือความหวั่นไหว และความไม่แน่ใจใดๆอีกต่อไปแล้ว...เขาจะไม่มามัวสงสัยอีกต่อไปแล้วว่าอะไรส่งเขามาอยู่ในโลกอดีตเช่นนี้...เพราะเขากำลังรั้งอยู่ที่นี่...อยู่เพื่อสร้างประวัติศาสตร์...สร้างอนาคตที่เขารู้จักให้กลับคืนมาอีกครั้ง...

 

     ...เป็นผู้ที่อยู่ภายใต้เงาอันอนัธกาล...ผู้เขียนประวัติศาสตร์อันสว่างไสวด้วยมืออันดำมืดของเขาเอง...

 

      ' เฝ้าดูไว้นะขอรับ...ท่านอรัญญิกาเทวี...ประวัติศาสตร์ที่ผมรู้จัก...ผมจะนำกลับมาเอง... '

 

 

 

 

 

 .................................................

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา