ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
88)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงที่สติสตังค์ยังคงจัดเรียงกันไม่เต็มร้อยเพราะพึ่งฟื้นคืนสติ แต่ไกรก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาโอ้เอ้ เพราะดูจากลักษณะแล้วเหมือนกับทุกคน และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์จะรอคอยเขาอยู่เพียงคนเดียว...ไกรใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการวักน้ำในอ่างเงินใกล้ๆขึ้นล้างหน้าล้างตาเพื่อให้ร่างกายตื่นเต็มร้อย และเปลี่ยนเป็นชุดทหารมหาดเล็กสีดำเต็มยศอันเป็นชุดประจำหน่วยคเณศร์เสียงา ก่อนที่เขาจะหันไปมองที่ดาบประจำกายของเขาที่วางอยู่พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที เพราะดาบสดายุสีเงินแะดาบสัมพาทีสีโลหะบัดนี้ถูกพันห่อด้วยสายสิญจน์สีขาวหลายต่อหลายทบจนแทบมองไม่เห็นตัวดาบ ก่อนที่เขาจะหันไปมองคนอื่นๆ ซึ่งแต่ละคนก็พร้อมใจกันหลบตาเป็นทิวแถวทันที
" เฮ้อ...พูดตรงๆนะ...ถ้าหากจะทำกันขนาดนี้ล่ะก็ คราวหลังก็ปล่อยทิ้งไว้ไม่ต้องเก็บมาก็ได้นะ เดี๋ยวข้ากลับไปเก็บเองก็ได้ " ชายหนุ่ทบ่นเบาๆพร้อมกับลงมือแกะสายสินที่พันแน่นออก ก่อนจะประกอบดาบสัมพาทีกลับเข้าไปในดาบสดายุและสวมลงฝักหนังทันที...ในขณะที่สินและเรืองที่เหมือนจะร้อนตัวรีบพูดออกตัวออกมาทันที
" ถ้าหากท่านใช้ดาบปรกติธรรมดาพวกเราก็คงเก็บให้อย่างเรียบร้อย ดีไม่ดีพวกข้าคงปิดทองบูชาด้วยซ้ำค่าที่ช่วยให้พวกเรารอดตายกันมาได้ แต่นี่ดาบของท่านมันจ้องเล่นงานทุกคนที่จับมัน ทั้งยังดูดพลังกายไปราวกับเทน้ำลงบ่อทราย ถ้าหากข้าไม่เอาสายสิญจน์ลงอาคมพันไว้คงไม่มีใครกล้าจับเป็นแน่...พวกข้ายังสงสัยอยู่เลยว่าท่านกวัดแกว่งดาบที่น่ากลัวนี้ไปมาได้อย่างไร "
" ก็แค่ไม่ใช่พร่ำเพรื่ออย่างไรล่ะ...แล้วอีกอย่าง ถ้าหากดาบสดายุไม่มีพลังเช่นนี้จนดูดพลังสินไปหมดในชั่วเสี้ยววินาทีจนเปิดช่องว่างให้ข้าล่ะก็ ป่านนี้พวกเราคงจะดับกันหมดที่พระที่นั่งนั่นแล้ว " ไกรบ่นออกมาเบาๆอย่างไม่ทันคิด ก่อนที่เขาจะนึกขึ้นได้ทันทีว่าเขาพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป เพราะสินที่ยืนอยู่ใกล้ๆถึงกับหน้าซีดสลดลงในทันที
" สิน...คือ ข้าขอโทษที่ปากพล่อยไป ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น "
" ข้าเข้าใจขอรับ...ข้าผิดเองที่ไม่รอบคอบและจิตใจไม่เข้มแข็งพอ จนกระทั่งปล่อยให้วิญญาณสัมพเวสีเหล่านั้นสามารถแทรกแซงเข้ามาควบคุมร่างของข้าได้... "
ท่าทีจิตตกของหลวงยยกระบัตรเมืองตากทำให้ไกรหันไปมองเรืองเพื่อขอความช่วยเหลือทันที แต่เรืองเองก็ไม่ใช่คนที่ถนัดด้านปลอบใจคนนัก เขาจึงได้แต่ยักไหล่เบาๆเป็นเชิงว่าช่วยอะไรไม่ได นั่นทำให้ไกรได้แต่เกาหัวแกรกๆพร้อมกับถอนหายใจเฮือกออกมาทันที
" เฮ้อ...สิน...เลิกทำหน้าเช่นนั้นแล้วฟังข้าให้ดีนะ "
" ข...ขอรับ? "
ไกรเก็บดาบสดายุเข้าเอวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าสินช้าๆ ก่อนจะใช้ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของนักรบหนุ่มผู้มีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่เวลานี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและสับสน ก่อนที่ในที่สุด ไกรจะยิ้มบางๆพร้อมกับพูดออกมาอย่างนุ่มนวลทันที
" หึๆ ทำหน้าจิตตกเช่นนี้ แล้วภายภาคหน้าเจ้าจะปกครองเมืองตากที่เจ้าเป็นว่าที่เจ้าเมืองได้อย่างไรกัน?...เจ้าจะต้องอยู่เหนือผู้คน...และผู้ที่อยู่เหนือผู้คนจะแพ้ไม่ได้ จะโศกเศร้าหรือรู้สึกผิดต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ "
" ...ข้าไม่คิดจะยืนอยู่บนหัวใคร ท่านไกร...ข้าเป็นนักดาบ ข้ามุ่งหวังจะเป็นเลิศในสายเชิงดาบ หาได้มุ่งหวังจะเป็นนายเหนือผู้ใดไม่ "
" แต่บางคน ไม่ได้ถูกลิขิตมาให้เป็นคนเดินดินธรรมดาๆนะ...ต่อให้ต้องการแค่ไหนก็ตาม "
" ... "
" ...ข้าไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญหรอกนะ...แต่เชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผลของมันเสมอ...สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะราวกับว่าเจ้าเป็นผู้ทรยศ เป็นผู้ที่ทำให้แผนการพัง...แต่สำหรับข้าแล้วเจ้าเป็นผู้ทำให้แผนการของเราดำเนินไปอย่างเสร็จสมบูรณ์ต่างหาก...พวกเราไม่มีผู้ใดสิ้นชีพเลย และพระบรมทั้ง ๓ ที่เราถวายการอารักขาก็ปลอดภัยทั้งสิ้น...สำหรับข้าแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันสมบูรณ์แบบกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว...สิน...เพราะฉะนั้นเชิดหน้าไว้เถอะ อย่าโทษตัวเองเลย...เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งสิ้น "
" ท...ท่านไกร "
" เอาล่ะ ถ้าหากหายข้องใจแล้วพวกเราก็ไปกันเถอะ...ถึงเวลาที่พวกเราจะได้รับความดีความชอบ สมกับสิ่งที่พวกเราได้กระทำไปแล้ว... " ไกรพูดเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นและเดินตามเสด็จเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ และคนอื่นๆที่ล่วงหน้าไปก่อน ในขณะที่เรืองที่อยู่ไกลออกไปก้าวเข้ามาและตบไหล่กว้างๆของสินที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ราวกับเพื่อปลุกสติของชายหนุ่มทันที
" ร...เรือง? "
" อย่าลืมเลือนความรู้สึกนี้ไปล่ะ...สิน "
" ... "
" นี่แหละ ลักษณะของผู้นำที่จะอยู่ในใจคน ไม่ได้อยู่บนหัวคน...นิสัยที่ไม่ใช้แต่พระเดช แต่ใช้พระคุณควบคู่กันไปด้วย...ก็อย่างที่ท่านไกรบอก...บางทีในภายภาคหน้าเจ้าก็อาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์เดียวกับท่านไกร...เมื่อถึงวันนั้น ท่าทีของเขาในวันนี้แหละคือสิ่งที่เจ้าควรจดจำและลอกเลียนมากที่สุด! "
.............................................
...ณ ศาลาไม้ยกสูงเล็กๆ ตรงลานกว้างด้านหน้าเขตราชอุทยานสวนองุ่น...ที่เวลานี้ใช้เป็นที่ประทับเฉพาะกิจของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ พ่ออยู่หัวอุทุมพร และพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆเพื่อใช้เป็นที่ตัดสินคดีความโองการลงอาญาเหล่ากบฏที่ถูกคุมตัวเรียงรายอยู่เบื้องหน้า โดยมีหัวหน้ากลุ่มกบฏ ๔ คนที่เวลานี้อยู่ภายใต้เครื่องจองจำหนักทั้ง ๕ ได้แก่ขื่อคาพันธนาการที่รอบคอ ข้อมือและข้อเท้าทั้งหมดชนิดแทบจะกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ทั้งยังถูกคุมอยู่ด้านหลังด้วยออกญาอัครมหาเสนาบดีทั้งสองอย่างออกญาจักรีและออกญามหาเสนา พร้อมกับออกพระเพชรพิไชยที่เวลานี้ทั้ง ๓ เปลือยดาบออกจากฝักเพื่อเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา...
" อ้อ...มาแล้วหรือ? ไกร " อนาสตาเซียที่ยืนอยู่เบิ้องหน้าศาลาที่ประทับของเหล่าพระบรมฯเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับหันมาทักชายหนุ่มเบาๆ ในขณะที่ไกรเกาหัวแกรกๆพร้อมกับเดินมายืนข้างๆและพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงทักทายทันที
" พอดีปรับความเข้าใจกันในหมู่ลูกผู้ชายนิดหน่อยน่ะ...ว่าแต่... " ไกรหันไปมองรอบๆเล็กน้อยพร้อมกับขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกต ก่อนที่เขาจะเอ่ยถามหญิงสาวที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆทันที
" นี่ นาสตี้...แล้วอเทตยาล่ะ? "
คำถามของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวปรายหางตามามองเล็กน้อย แต่เธอก็ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับตอบคำถามของอีกฝ่ายแต่โดยดีว่า
" อเทตยาขอปลีกตัวไปก่อนจะมาถึง...โดยให้เหตุผลว่าไม่ค่อยสบาย...แต่ข้าเชื่อว่านางคงไม่ได้ไปไหนหรอก...น่าจะแฝงตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากนี่แหละ ส่วนเหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะเธอไม่อยากจะต้องมาทนเห็นหน้ากลุ่มบรรลัยกัลป์ทั้ง ๔ คนที่เกือบจะสังหารเธอเมื่อคราวนั้นละกระมั้ง...เพราะถ้าหากขืนยังอยู่ ข้าว่านางคงจะชิงตัดสินโทษตายให้พวกมันก่อนที่พระเจ้าเอกทัศน์จะได้ทรงมีราชโองการตัดสินแน่ "
" เฮ้อ...เออ...ว่าแต่เมื่อคืนเธอสองคนทำงานร่วมกันได้ดีรึเปล่าล่ะ? "
" หืม? ก็เฉียดจะตีกันตายในตอนแรกเหมือนกัน แต่พอหลังจากนั้นยัยนั่นก็คอบประสานงานและส่งลูกธนูมาคุ้มกันข้าและคุณท้าวศรีสัจจาได้เป็นอย่างดี...เผลอๆอาจจะดีพอๆกับการยิงคุ้มกันของศกุนตลาด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เราไม่เคยร่วมมือกันมาก่อนแท้ๆ...ข้าสามาถบอกได้อย่างเต็มปากเลยว่านางคือ ของจริง แน่ๆ " มือสังหารสาวพูดเบาๆ ก่อนที่เธอจะหันกลับมามองหน้าไกรด้วยแววตาแปลกๆอีกครั้งจนชายหนุ่มต้องเลิกคิ้วถามอย่างสงสัยทันที
" อะไร? "
" เฮ้อ...เปล่า...เพียงแต่การที่เจ้าเอาแต่ถามเรื่องอเทตยามันทำให้ข้าอดหงุดหงิดใจไม่ได้...แต่เอาเถอะ...ข้าเข้าใจ...ท่านอรัญญิกาบอกข้าล่วงหน้าแล้วว่านางมีใบหน้าเดียวกับน้องสาวของเจ้า...มันทำให้เจ้าเป็นห่วงและตอแยนางมากถึงขนาดนั้น " อนาสตาเซียพูดเบาๆพร้อมกับกอดกและเบือนหน้าไปทางอื่น ในขณะที่ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทันที
" เฮ้อ...อย่างน้อยข้าก็สบายใจนะที่สามารถคุยกับเจ้าได้ทุกเรื่อง แต่ว่านะ นาสตี้...เจ้าเข้าใจผิดอยู่อย่าง...ที่ข้าเอาแต่ถามถึงอเทตยาไม่ใช่เพราะนางมีใบหน้าและท่าทางเหมือนน้องสาวของข้าหรอก...แต่มีเหตุผลอื่นอีก... "
" เหตุผลอื่น? "
แกรก!
ก่อนที่ไกรจะได้ทันตอบอะไร เสียงโซ่ตรวนที่ขยับดังขึ้นจากหัวโจกกลุ่มกบฏตรงหน้าก็ทำให้ไกรชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เสี้ยววินาทีต่อมา โทสะและจิตสังหารอันเข้มข้นที่แผ่พุ่งเข้าใส่ไกรมันทำให้ทุกคนถึงกับชะงักกึกไปในทันที
" ติดว่ามันจะจบแค่นี้หรือ?!...ไกร...คิดว่าเจ้าและหมู่บ้านของเจ้าชนะแล้วหรือ?!...เจ้ากำลังต่อกรกับผี! เจ้าไม่มีวันเอาชนะผีได้หรอก! ...เราแฝงตัวฝังรากลึกอยู่ในทุกสถานที่ ทุกชนชั้น...เจ้าไม่มีวันเอาชนะ และไม่มีวันหนีพ้น! " เจ้าจอมสาวผู้น้องอย่างเจ้าจอมมารดาแมนที่เวลานี้ถูกใส่ขื่อคาและถูกเจ้าพระยามหาเสนารั้งตรวนไว้เพื่อไม่ให้สตรีู้ต้องโทษทัณฑ์ผู้นี้เข้าถึงตัวได้ในทันที
" อือหือ...คำขู่อาฆาตจัดเต็มจริงๆ...ข้าควรจะกังวลไหนเนี่ย? " ไกรอดบ่นออกมาเบาๆไม่ได้ในขณะที่อนาสตาเซียที่ยืนข้างๆก็หัวเราะเบาๆ เพราะเธอรู้ดีว่านอกจากขู่ด้วยคำพูดแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่เหลือความสามารถอย่างอื่นที่จะทำร้ายชายหนุ่มได้อีกเลย...พอดีกับที่ท่านผู้เฒ่าที่อยู่ด้านบนศาลาเล็กๆนั้นเรียกไกรให้ขึ้นไปด้านบนพอดี นั่นทำให้ไกรไม่มีโอกาสพูดต่อ...เขาได้แต่โคลงหัวช้าๆพร้อมกับเดินขึ้นไปด้านบนศาลาอันเป็นที่ประทับชั่วคราวของพ่ออยู่หัวทั้งสองทันที
" ท่านผู้เฒ่า? ท่านเรียกข้า? "
" เออ! " ท่านผู้เฒ่ารับคำห้วนๆพร้อมกับกุมขมับเล็กน้อยอย่างปวดหัว ก่อนจะพยักเพยิดไปที่พ่ออยู่หัวอุทุมพรและสมเด็จพระพี่นางที่กำลังโต้เถียงกันอย่างเคร่งเครียดต่อหน้าพระพักตร์ของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ที่ประทับนิ่งอยู่ พร้อมกับที่ท่านผู้เฒ่าพูดเบาๆทันที
" เจ้าช่วยข้าหน่อยเถอะ...ข้าห้ามทัพไม่ไหวแล้ว "
" ก...เกิดอะไรขึ้นเนี่ยขอรับ? "
" พระดำริไม่ลงรอยกันอย่างไรล่ะ...สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีทรงดำริเห็นว่าสมควรจะให้ประหารทั้งโคตร...โดยรวมถึงเจ้าหญิงสตันสรินทร์ เจ้าชายประเวศ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเพ็ง และเจ้าหญิงรุจจาเทวี เจ้าชายสุทัศน์ ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาแมน เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามต่อไปในภายภาคหน้า...ในขณะที่พ่ออยู่หัวพระเจ้าอุทุมพรทรงเห็นว่าเจ้าชายและเจ้าหญิงทั้ง ๔ พระองค์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏนี้ อีกทั้งทั้ง ๔ พระองค์ก็ทรงเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของพ่ออยู่หัวท่านเอง...ถ้าหากโปรดให้ประหารเสียก็คงจะดูไม่ดี เลยโต้เถียงกันไม่จบซะทีเช่นนี้แหละ "
" แล้วท่านคิดว่าอย่างไรล่ะขอรับ? "
คำถามของไกรทำให้ท่านผู้เฒ่านิ่งไปเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือกและตอบกลับมาเบาๆทันที
" ...สายข่าวของพวกเราเท่าที่รวบรวมมา มีหลักฐานมากพอจะให้เชื่อได้ว่าเจ้าชายเจ้าหญิงทั้ง ๔ พระองค์มิได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มมือสังหารเถื่อนบรรลัยกัลป์ ทำให้น่าเชื่อว่าทั้ง ๔ พระองค์คงจะไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกบฏครั้งนี้...แต่...คราวครั้งนี้ข้าเห็นด้วยกับสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีนะ "
" อ้าว? "
" คำโบราณยังว่า โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ต่อให้ไม่เกี่ยวข้อง แต่ถ้าละไว้ก็เหมือนดั่งเช่นเลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้...ช้านานเข้าก็คงจะหันมาแว้งกัดเสียเปล่าๆ... "
" ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย? " ไกรถึงกับอุทานออกมาเบาๆทันที...เพราะต่อให้เขาจำประวัติศาสตร์ในชวงเวลานี้ได้ไม่แม่นยำเม่าไหร่ แต่เขาก็พอจะจำได้แน่นอนว่านามของเจ้าชายประเวศและเจ้าชายสุทัศน์เป็นพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์องค์แรกๆ ที่ถูกกวาดต้อนกลับไปหลังจากที่กรุงแตก... จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกพระองค์จะต้องมาถูกประหาร ณ เวลานี้
...และถ้าหากเหตุการณ์เช่นนั้น ซึ่งเวลานี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของไกรไปแล้วเกิดขึ้นมาจริงๆ...นี่จะกลายเป็นเหตุการณ์ที่เข้าสู่ทฤษฏี Butterfly effect ที่ใหญ่จนไกรไม่สามารถแก้ได้อีกต่อไป!
" เฮ้อ...เหตุเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น...ไกร...ย้อนกลับไปคราว กบฏพระศรีศิลป์ เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ทั้งๆที่พระศรีสุริโยไทและพระมหาจักรพรรดิทรงเมตตาชุบเลี้ยงไว้แท้ๆ แต่พระศรีศิลป์ก็ยังคิดก่อกบฏได้... "
" มันต่างกรรมต่างวาระกันนะขอรับ...เท่าที่ข้าจำได้ พระศรีศิลป์ทรงเป็นโอรสของพระไชยราชาซึ่งเป็นพ่ออยู่หัวรัชกาลก่อนและท้าวศรีสุดาจันทร์...แต่เจ้าชายเจ้าหญิงทั้ง ๔ ทรงเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เองเลยนะขอรับ! "
แต่ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะได้ทันว่าอะไรต่อไป สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ที่ทรงประทับนิ่งราวกับรูปปั้นก็ตัดสินพระทัยลุกขึ้นยืนพรวดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนกระทั่งพระเจ้าอุทุมพรและพระพี่นางพินทวดีชะงักกึกและเงียบไป ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรที่เห็นผู้เป็นพระราชบิดาก็ขยับจะเข้ามาประคอง แต่พระเจ้าเอกทัศน์ทรงยกหัต์ห้ามไว้เสียก่อน ก่อนที่พระองค์จะเสด็จอย่างช้าๆมาจนกระทั่งถึงชานระเบียงศาลาแห่งนี้ พร้อมๆกับที่เหล่าจ่าโขลนและนายทหารที่คุมเหล่ากบฏทุกนายก็พร้อมใจกันลงไปคุกเข่าถวายบังคมทันที
พระเจ้าเอกทัศน์ทรงประทับยื่นนิ่งดั่งภูผา ดวงเนตรที่ฉายภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธ์เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ไปด้วยประกายแห่งสิทธิอำนาจที่สามารถตัดสินเป็นตายทุกชีวิตที่อยู่ในสายพระเนตรได้ในคำตรัสเดียว ทำให้แม้แต่ผู้ที่เตรียมใจเอาไว้อย่างดีแล้วอย่างเจ้าจอมแมน และพี่ชายอีก ๒ คนอย่างเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์และจมื่นศรีสรรักษ์ถึงกับต้องก้มหน้าลงเพื่อหลบสายพระเนตรนั้นทันที
นาน...ชั่วขณะหนึ่ง...ในที่สุดพระองค์จะปัสสาสะเฮือก ก่อนจะค่อยๆตรัสออกมาอย่างช้าๆว่า
" ปิ่น(นามของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์)...ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน มีคนพูดว่าเจ้าจะก่อกบฏ ข้าคงจะไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด...คงจะออกรับและเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเต้าด้วยซ้ำ เพราะข้าไว้ใจเจ้า ข้าเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าข้ามขึ้นมาเป็นเจ้าพระยา และไว้ใจให้เจ้าเป็นผู้ดูแลเหล่ามหาดเล็กทั้งปวง...ไม่นึกเลย...ว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ "
" เฮอะ! ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า...ทรงอย่าตรัสให้ข้าพุทธเจ้าขำเสียหน่อยเลยดีกว่า! เพราะพระองค์ก็ทรงรู้อยู่แก่พระทัยว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเลยแม้แต่น้อย! "
" สามหาวเกินไปแล้ว! " สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีตรัสตวาดออกมาทันทีพร้อมกับจะก้าวเข้ามา แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงยกหัตถ์ห้ามไว้ พร้อมกับตรัสเบาๆทันที
" เจ้าเอาอะไรมาพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง...ปิ่น "
จมื่นศรีสรรักษ์ผู้เป็นน้องชายพยายามหันไปและส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้เจ้าพระยาราชมนตรีฯพูดอะไรต่อเพื่อไม่ให้เป็นการยั่วพระโทสะของพระเจ้าแผ่นดินผู้สามารถตัดสินเป็นตายพวกเขาได้ไปมากกว่านี้ เผื่อจะยังมีโอกาสผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ แต่เจ้าพระยาราชมนตรีผู้เป็นพี่ชายเหมือนจะเชือดเข้าตาไปเสียแล้ว เพราะเขาพยายามกระชากขื่อขาที่จองจำพันธนาการของตัวเองพร้อมกับตะโกนออกมาโดยทันทีว่า
" ไว้พระราชหฤทัยอย่างนั้นหรือ?! การที่พระองค์ไปเอาไอ้เด็กทารกไม่ประสาอย่างไอ้เด็กไกรนั่นมาเป็นเจ้าพระยาเทียบกับข้าพุทธเจ้า...ทั้งยังมาลิดรอนอำนาจข้าฯ จากที่เคยบัญชาเหล่ามหาดเล็กทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือน เหลือเพียงฝ่ายพลเรือนที่รับราชการในวังถ่ายเดียว โดยยกอำนาจในการควบคุมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ทั้ง ๔ เวรให้กับไอ้เด็กไกรมันทั้งๆที่มันไม่เคยมีความดีความชอบใดๆเลยแท้ๆ...เช่นนี้แล้วพระองค์ยังจะทรงกล้าตรัสว่าพระองค์ไว้วางพระราชหฤทัยข้าพุทธเจ้าอีกอย่างนั้นหรือ! "
" ...เฮ้อ...ถ้าจะว่ากันตามตรงข้าก็คงจะต้องบอกว่าแผนการที่จะให้เด็กไกรนี่เป็นตัวล่อและกดดันให้มือสังหารลงมืออีกครั้งหลังจากคราวที่วัดประดู่ทรงธรรมนั่นประสบความสำเร็จอย่างงดงามเลยทีเดียวนะ " พระเจ้าอุทุมพรที่ได้ยินเจ้าพระยาผู้ต้องโทษฐานกบฏทูลตอบกลับมาอย่างเต็มไปด้วยความอัดอั้นและอารมณ์เช่นนั้นก็อดตรัสออกมาเบาๆไม่ได้ ซึ่งก็ได้จังหวะจนกระทั่งแม้แต่เจ้าฟ้าพินทวดีผู้เป็นพระเชษฐคคินีที่มักจะทรงเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลายังถึงกับต้องเบือนพักตร์ไปทางอื่นพร้อมกับกลั้นสรวลทันที...ในขณะที่ไกรที่เป็นตัวหลักสำคัญในแผนการนี้ถึงกับหัวเราะไม่ออกทีเดียว
" เสียแรง... " คำทูลตอบกลับมาของเจ้าพระยาราชมนตรีฯทำให้พระเจ้าเอกทัศน์ทรงหลับเนตรลงอย่างเจ็บปวดพระทัย...พระองค์ส่ายพระพักตร์ที่ก้มต่ำไปมาช้าๆ ก่อนจะตรัสออกมาอย่างบางเบาอีกครั้ง
" เสียแรงจริงๆที่ข้าอุตส่าห์ไว้ใจ อวยยศอวยศักดิ์ให้จำมีหน้ามีตา เจ้าคิดจะปลงพระชนม์ข้ายังไม่พอ นี่คิดจะปลงพระชนม์พระราชอนุชาข้าอย่างท่านอุทุมพร เชษฐภคินีที่ข้าเคารพอย่างพระพี่นางพินทวดี พระอัครมเหสีกรมขุนวิมลพัตร...กล้า แม้แต่จะจับราชธิดาที่ข้ารักที่สุดอย่างเจ้าฟ้าสิริจันทรเป็นองค์ประกัน! ...อย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีแห่งชายชาตินักรบเลย แม้แต่ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน เป็นมนุษย์ปุถุชน ในเวลานี้เจ้ายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ! " จากกระแสพระราชดำรัสที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง เสียพระทัย แปรเปลี่ยนเป็นกระแสพระราชดำรัสอันเต็มไปด้วยโทสะจนแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้กระทำผิดใดๆอย่างเจ้าพระยาผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีทั้งสองอย่างเจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยามหาเสนายังถึงกับต้องถอยหลังกลับไปเล็กน้อยอย่างตกใจทันที เพราะทั้งสองไม่เคยเห็นพ่ออยู่หัวทรงอยู่ในความโกรธกริ้วเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องถามถึงเหล่าทหารฝ่ายกบฏที่ถูกควบคุมตัวอยู่ ที่เวลานี้ต่างก็ก้มหน้าลงแทบติดพื้นอย่างเกรงกลัวพระราชอาญาจนบางคนถึงกับสิ้นสติไปในทันที
" ราชธิดาที่รักที่สุดเช่นนั้นหรือ! นันล่ะ สาเหตุที่พวกหม่อมฉันถูกบีบให้ต้องก่อกบฏ...พระองค์ทรงให้ความสำคัญต่อองค์ชายประเวศ องค์ชายสุทัศน์บ้างรึเปล่าล่ะ!...พวกเขา...องค์ชายทั้งสองพระองค์ทรงเป็นราชโอรสของพระองค์! พวกเขาทั้งสองพระองค์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ ไม่ใช่องค์หญิงสิริจันทร! " ในที่สุดเจ้าจอมมารดาแมนที่นั่งฟังอยู่ก็ตะโกนออกมาลั่นอย่างเลือดเข้าตาและไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมอีกคน ในขณะที่พ่ออยู่หัวเบือนพระพักตร์มามองทรงตรัสถามเรียบๆพร้อมกับปัสสาสะลึกอย่างเก็บอารมณ์ว่า
" เจ้า...คิดจะพูดอะไร? "
" สิ่งที่หม่อมฉันต้องการจะทูล หม่อมฉันได้ทูลบอกไปหมดแล้ว! พระองค์ไม่เห็นราชโอรสทั้งสองของพระองค์อยู่ในสายพระเนตรเลย...พระองค์ไม่คิดว่าเจ้าชายทั้งสองเป็นผู้มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์อโยธยาด้วยซ้ำ! "
" องค์ประเวศและองค์สุทัศน์มีสิทธิ์ใราชบังลังก์เสมอ และทรงดำรงสิทธิ์มาโดยตลอดจนกระทั่งเมื่อราตรีที่ผ่านมา! ...เจ้า...และการกระทำของพวกเจ้านั่นแหละที่ทำให้ทั้งสององค์หมดสิ้นซึ่งสิทธิ์แห่งศเวตฉัตรอโยธยาไป! " พระเจ้าเอกทัศน์ตรัสตวาดออกมาด้วยพระสุรเสียงดังลั่น ก่อนที่พระองค์จะทรุดลงไปอย่างกระทันหันจนเจ้าหญิงสิริจันทรต้องพุ่งเข้าไปประคองพระวรกายอันสั่นเทาเอาไว้โดยทันที
" ม...หมอหลวง! "
" องค์หญิง...ให้ข้าดูพระอาการเองดีกว่า " พระเจ้าอุทุมพรปราดเข้าไปโดยหมายจะดูพระอาการทันทีด้วยความเป็นห่วงไม่แพ้กัน แต่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์กลับยกหัตถ์อันสั่นเทาขึ้นเป็นเชิงห้ามและเหมือนกับจะบอกว่าพระองค์ไม่เป็นอะไร ก่อนที่พระองค์จะยืดพระวรกายขึ้นอย่างช้าๆ...ถึงแม้ว่าจะยังคงต้องให้พระธิดาอย่างองค์หญิงสิริจันทรช่วยประคองพระวรกายอยู่อย่างเหนื่อยอ่อนก็ตามที
" ข้า...ไม่เป็นอะไร "
" พ่ออยู่หัว พระองค์ทรงฝืนพระวรกายและพระหทัยเกินไปแล้ว...พระองค์ต้องพักผ่อนแล้ว " พระเจ้าอุทุมพรที่เข้ามาใกล้ทรงตรัสขึ้นอย่างพยายามโน้มน้าวพระทัย แต่พระเจ้าเอกทัศน์กลับไม่สนพระทัย...พระองค์ดำเนินอย่างช้าๆพร้อมกับขยับหน้ากากของพระองค์ให้เข้าที่เล็กน้อยพร้อมกับตรัสขึ้นโดยพยายามบังคับพระสุรเสียงให้นิ่งที่สุด...เพราะนี่เป็นเวลาที่พระองค์จะเอ่ยราชโองการตัดสินโทษทัณฑ์แล้ว
" เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จมื่นศรีสรรักษ์...โทษทัณฑ์ของเข้าในข้อหาสังหารผู้คนภายในเขตราชวัง กล่าววาจาดูหมิ่นจาบจ้วง ทั้งยังอาฆาตมาดร้ายต่อทั้งข้าและพระบรมฯพระองค์อื่นๆ...โทษทัณฑ์ของเจ้ามีเพียงสถานเดียว...ราชมัล! "
พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ตรัสอย่างแน่วแน่ในพระราชหฤทัย แต่ก่อนที่จะเอ่ยคำใดออกมา ดวงเนตรของพระองค์กลับเหลือบไปสบกับดวงตากลมโตของเจ้าจอมเพ็ง...เจ้าจอมผู้พี่ที่ตลอดเวลาเอาแต่นั่งนิ่งโดยไม่พูดสิ่งใดออกมา...ดวงตา...อันสงบนิ่งและเต็มไปด้วยแววสำนึกผิดและยอมรับ ซึ่งสมเด็จพระพี่นางบอกกับพระองค์ว่าน่าจะเป็นเพราะผลจากคาถาอะไรบางอย่างของไกรที่นอกจากจะสลายคุณไสยอาถรรพ์ที่เธอครอบครองอย่แล้ว ยังเปิดดวงตาที่มืดบอดให้สว่างขึ้น...ดวงตากลมโตที่สำนึกผิดและเตรียมพร้อมจะน้อมรับทุกคำตัดสินนั้นกลับดึงเอาความทรงจำเมื่อครั้งที่พระองค์ได้พบกับหญิงสาวผู้งดงามนามว่าเพ็งผู้นี้เป็นครั้งแรก...อดีตอันงดงาม คำสัญญาแต่เก่ากอน รวมถึงสิ่งต่างๆที่เคยถูกบดบังด้วยโทสะ บัดนี้กลับฟุ้งกระจายขึ้นในพระราชหฤทัย จนทำให้พระองค์ถึงกับชะงักไปครู่ใหญ่ทันที
" พ่ออยู่หัว? "
" ...ถอดยศและราชบรรดาศักดิ์ทั้งหมดของทั้งสอง ริบเรือนและทรัพย์สมบัติทั้งหมด กวาดต้อนลูกเมียและไพร่ทาสทั้งหมดลงเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง ...ส่วนตัวปิ่นและจิมให้เฆี่ยนโบยเสียทั้งคู่คนละ ๕๐ พาตระเวนบก-ตระเวนน้ำ เและให้จองจำเสียในคุก อย่าให้เห็นเดือนเห็นตะวันอีก! "
" อะไรนะ? " คำราชโองการตัดสินที่ออกมาจากโอษฐ์ของพ่ออยู่หัวทำให้สมเด็จพระพี่นางถึงกับตรัสอุทานออกมาเบาๆทันที...เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นโทษทัณฑ์ที่ฟังแล้วรุนแรงจนน่าขนลุก แต่เมื่อเทียบกับความผิดที่พวกมันได้กระทำลงไปแล้ว...โทษทัณฑ์ที่ว่ามานั้นมันเบาบางเสียจนกระทั่งพระองค์แทบจะดำริคิดว่าพระองค์ฟังผิดไปเลยด้วยซ้ำ
" ...ส่วนเจ้าทั้งสอง...เพ็ง และแมน...โทษทัณฑ์ของเจ้าคือเฆี่ยนโบยเสียคนละ ๑๐ ครั้ง และต่อแต่นี้สืบไป เจ้าทั้งสองจะต้องถูกคุมขัง กักให้อยู่แต่ภายใน พระตำหนักปลายทอง ของเจ้าทั้งสองห้ามมิให้ออกไปจากอาณาเขตนอกพระตำหนักอีกเลยไปตลอดชีวิต...เช่นเดียวกับที่เจ้าหญิงสตันสรินทร์ เจ้าหญิงรุจจาเทวี เจ้าชายประเวศ และเจ้าชายสุทัศน์ ที่จะถูกถอดจากการทรงกรมทั้งหมด กักมิให้ออกไปจากเขตพระราชฐานชั้นในแห่งนี้ไปตลอดชีวิต! "
" พ่ออยู่หัว?! " คราวนี้สมเด็จพระพี่นางถึงกับดำรัสร้องออกมาเสียงหลงทันที...เพราะโทษทัณฑ์ที่พ่ออยู่หัวทรงตัดสินให้แก่เจ้าจอมแห่งฝ่ายกบฏทั้งสองนางนั้นเบาบางเสียยิ่งกว่านางในนางหนึ่งไปคบชู้สู่ชายพายเรือเสียอีก ...แต่ก่อนที่พระองค์จะได้ทันตรัสคัดค้านราชโองการไป พ่ออยู่หัวก็ชิงตรัสขึ้นเสียงดังกึกก้องเสียก่อนว่า
" ทั้งหมดทั้งมวลนี่เป็นราชโองการจากข้า...ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวทุกชีวิตในราชอาณาจักรแห่งนี้ ด้วยศักดิ์และสิทธิ์ของข้า ห้ามมิให้ผู้ใดคัดค้านและโต้เถียงราชโองการนี้เด็ดขาด! "
ดำรัสอันเป็นเหมือนประกาศิตของพระเจ้าเอกทัศน์ทรงซึ่งสิทธิอำนาจจนแม้แต่สมเด็จพระพี่นางยังได้แต่อ้าโอษฐ์พะงาบๆอย่างตรัสอะไรไม่ออกไปชัวขณะ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหลังถึงกับขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิดต่อสถานการณ์ตรงหน้า และต่อเหตุการณ์ที่จะดำเนินสืบต่อไปในทันที จนกระทั่งไกรที่หมอบอยู่ด้านข้างที่เขาสังเกตเห็นว่าลอบถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกในอะไรบางอย่างจะพูดขึ้นเบาๆทันที
" ท่านผู้เฒ่า "
" อย่าพึ่งกระโตกกระตากไป ไกร...ข้าเองก็เดาพระทัยพ่ออยู่หัวไม่ได้หรอกนะ แต่อย่างน้อยในเวลานี้การไว้ชีวิตพวกมันทั้ง ๔ ก็เป็นผลดีกับเรา เพราะเรายังจะสามารถสืบความจากพวกมันในเรื่องของกลุ่มมือสังหารบรรลัยกัลป์นั้นได้อีก...เพราะฉะนั้น... "
" เข้าใจแล้วขอรับ " ไกรรับคำเบาๆอย่างรู้ทันโดยไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายพูดต่อให้จบประโยค ในขณะที่เขาเองก็โล่งใจไปเปลาะนึง และนึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ดลพระทัยให้พ่ออยู่หัวทรงตัดสินโทษทัณฑ์ออกมาในลักษณะเช่นนี้ เพราะอย่างน้อยๆก็ทำให้เขารอดจากปริทรรศน์หรือ paradox ของเวลาได้อย่างหวุดหวิดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเลยทีเดียว
...ในขณะเดียวกัน เมื่อได้รับราชโองการที่ออกมาจากโอษฐ์ของพ่ออยู่หัว ราชมัลจำเป็นอย่างเจ้าพระยามหาเสนาและเจ้าพระยาจักรีก็กระชากโซ่ตรวนที่ผูกขื่อคาของปิ่นและจิมไปเพื่อรับโทษทัณฑ์...ในขณะที่เหล่าจ่าโขลนอีก ๔-๕ นางก็ปราดเข้ามาเพื่อนำเจ้าจอมทั้งสองไปรับโทษทัณฑ์...ซึ่งเจ้าจอมเพ็งก็ลุกขึ้นอย่างสง่างามและยินยอมให้จ่าโขลนเหล่านั้นเชิญไปโดยทันที แต่เจ้าจอมแมนผู้น้องกลับขืน การเชิญ ของเหล่าจ่าโขลนไว้พร้อมกับหันมามองที่พ่ออยู่หัวและตวาดถามออกมาเสียงดังลั่นทันที
" พ่ออยู่หัว! มีเพียงคำถามเดียวที่หม่อมฉันยังคงค้างคาใจ! "
" ... "
" พระองค์...ยังทรง รัก หม่อมฉัน และพี่เพ็งอยู่หรือเปล่าเพคะ?! "
คำถามที่แทงเข้าไปในพระราชหฤทัยของหญิงสาวทำให้พระเจ้าเอกทัศน์ทรงนิ่งไปราวกับรูปปั้น ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะปัสสาสะเฮือกและหันหลังกลับโดยไม่ยอมตรัสตอบอะไร...เพราะองค์ผินพระพักตร์กลับมามองพระเจ้าอุทุมพรผู้เป็นพระอนุชาพร้อมกับตรัสเบาๆทันที
" ข้าเหนื่อยแล้ว ท่านอุทุมพร...พวกที่เหลือข้าฝากให้ท่านเป็นผู้ลงพระราชอาญาตัดสินก็แล้วกันนะ...อย่างไรเสียท่านก็กลับสู่ยศและศักดิ์เป็นดั่งพ่ออยู่หัวแห่งราชอาณาจักรนี้อีกพระองค์นึงอยู่แล้วนี่ "
คำตรัสของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ทำให้พระเจ้าอุทุมพรและสมเด็จพระพี่นางพินทวดีหันไปสบเนตรกันอย่างตรัสอะไรไม่ออกทันที แต่พระองค์ไม่เปิดโอกาสให้ทั้งสองตรัสอะไรออกมาทั้งสิ้น เพราะพระองค์ผินพักตร์มาหาองค์หญิงสิริจันทรพร้อมกับพยักพักตร์ให้ราชธิดาของพระองค์มาประคองเพื่อเสด็จกลับทันที...แต่เมื่อพระองค์ดำเนินผ่านท่านผู้เฒ่าและไกรที่หมอบอยู่ พระองค์ก็ชะงักเล็กน้อยพร้อมกับสรวลออกมาเบาๆทันที
" ทั้งหมดทั้งมวลคงนี่ต้องยกความดีความชอบให้กับเจ้าเพียงคนเดียวแล้วล่ะ ไกร "
" ข้าพุทธเจ้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น ที่แผนการทุกอย่างดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น และทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เป็นเพราะหมาก---ข้าพุทธเจ้าหมายถึงทุกคนที่อยู่ในแผนของข้าพุทธเจ้าล้วนแล้วแต่มีความสามารถมากจนกระทั่งทำให้แผนการที่แทบจะเรียกได้ว่าเข้าขั้นเพ้อฝันที่ข้าพุทธเจ้าคิดขึ้นมาสำเร็จไปได้ด้วยดี...ความดีความชอบทั้งหมดควรจะตกเป็นของทุกคนพระพุทธเจ้าข้า "
" หึๆ เข้าใจกล่าววาจาถ่อมตน...เฮ้อ...เสียดายนัก... "
" เสียดาย...อย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า? "
" เฮ้อ...เปล่าหรอก...เอาเป็นว่าเจ้าคิดซะว่าเป็นเสียงคนแก่บ่นอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้น...ว่าแต่ เจ้าเองก็ว่างแล้วนี่...ใช่หรือไม่? "
" พ...พุทธเจ้าข้า? "
" อย่างนั้นก็ดี...ตามเสด็จไปส่งข้าพร้อมกับสิริจันทรเสียหน่อยสิ... "
" รับดัวยเกล้าพุทธเจ้าข้า " ถึงจะยังงงๆชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่ แต่ไกรก็ไม่ได้เห็นว่าจะเป็นเรื่องเสียหายอะไร เขาจึงรับคำเบาๆพร้อมกับลุกขึ้นและตามเสด็จพ่ออยู่หัวลงไปพร้อมกับอค์หญิงสิริจันทรช้าๆ...ซึ่งพอหลังจากที่กระบวนเสด็จไกลออกไป...ในที่สุด สมเด็จพระพี่นางพินทวดีที่เวลานี้ประทับนั่งลงบนตั่งข้างๆท่านผู้เฒ่าที่ยังหมอบอยู่ก็ยกพัดจีนที่อยู่ในหัตถ์ขึ้นกางปิดโอษฐ์พร้อมกับสรวลออกมาเบาๆทันที
" คิกๆๆ "
" สมเด็จพระพี่นาง? " ท่านผู้เฒ่าที่หมอบอยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเล็กน้อยให้กับเสียงสรวลอันน่าสงสัยของสมเด็จเจ้าฟ้าผู้เต็มไปด้วยเลศนัยด้านข้างจนกระทั่งอดเอ่ยทูลถามออกมาเบาๆไม่ได้ ในขณะที่สมเด็จพระพี่นางพินทวดีสรวลต่อเบาๆอีกเล็กน้อย ก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆโดยเจตนาให้ได้ยินกันเพียงแค่ ๒ คนทันที
" คิกๆ โธ่เอ้ย...นี่ท่านไม่รับรู้เลยจริงๆหรือนี่ ท่านออกญาฯ? "
" รับรู้? "
" โถ...เสียแรงที่เคยเป็นบุรุษผู้หลอกให้อิสตรีชอกช้ำมานับไม่ถ้วน เจ้าไม่รู้ถึงความนัยของคำว่า น่าเสียดาย ที่พ่ออยู่หัวตรัสออกมาเลยสินะ "
" ??? "
" โถๆ...ทำหน้างงราวกับไก่ชนที่ถูกจิกจนตาแตก...เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่า คำว่าน่าเสียดายที่พ่ออยู่หัวทรงตรัสมาโดยเจตนาบอกกับไกรนั้น มันย่อมาจาก...น่าเสียดายนัก ที่ไกรไม่ใช่ขุนพิเรนทรเทพ...และองค์หญิงสิริจันทรมีศักดิ์เทียบเท่าพระสวัสดิราช อย่างไรล่ะ "
" ขุนพิเรนทร์? พระสวัสดิราช? " ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนที่ชั่วพริบตาเดียวเขาจะต้องเบิกตากว้างอย่างเข้าใจทุกอย่างที่สมเด็จพระพี่นางพินทวดีจะสื่อให้เขารับรู้ทันที
...สำหรับความดีความชอบของความจงรักภักดีของไกร ที่เป็นหัวหน้าผู้ต่อต้านกลุ่มกบฏที่หมายจะล้มล้างราชบัลลังก์ของพ่ออยู่หัวอย่างสุดความสามารถ...เมื่อรวมกับความรู้ความสามารถอันไม่อาจจะประเมินได้ของชายหนุ่ม ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อยที่พระเจ้าเอกทัศน์ต้องการจะผูกชายหนุ่มไว้ข้างกาย...และสำหรับนักรบผู้มีความสามารถเช่นนี้...บางครั้ง...แค่ยศศักดิ์ และทรัพย์สมบัติอันประทานให้ แค่เพียง ๒ อย่างอาจจะไม่พอจะผูกไว้...
...จริงอย่างที่สมเด็จพระพี่นางยกตัวอย่าง...ถ้าหากไกรมีสายเลือดของราชนิกูลซักนิด ไม่ว่าจะเป็นราชนิกูลแห่งราชวงศ์ใดก็ตาม ...หรืออีกทางหนึ่ง ถ้าหากองค์หญิงสิริจันทรทรงเป็นราชธิดาที่ประสูติแต่พระสนมองค์ใดองค์หนึ่ง หาใช่ราชธิดาที่ประสูติแต่สมเด็จพระอัครมเหสีล่ะก็...
...ป่านนี้พ่ออยู่หัวคงพระราชทานองค์หญิงสิริจันทรให้เป็นภรรยาพระราชทานไปแล้ว!...
...เพราะอย่างนี้อย่างไรเล่า...พ่ออยู่หัวจึงได้แต่ตรัสบ่นไปมา...ว่าน่าเสียดายจริงๆ...
...................................................
" "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ