ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.47K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
79)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ณ จวนใหญ่แห่งเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกำแพงพระราชวังชั้นนอกสุดมากนัก...
...เจ้าพระยาราชมนตรีที่พึ่งเสร็จกิจจากจวนของพระยาอนุชิตชาญไชย จางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวา เวลานี้ควบม้าวิ่งเหยาะๆเข้ามาถึงจวนของตนเอง...ที่ในเวลานี้เต็มไปด้วยกองทัพชายฉกรรจ์นับร้อยในชุดเกราะศึกเต็มยศทุกคน ที่ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบนิ่งราวกับหุ่นรูปปั้น...รอคอย...การกลับมาของเขา...
" ท่านออกญาราชมนตรีฯ "
" ท่านจมื่นศรีสรรักษ์ ...น้องข้า "
" ราบรื่นดีหรือไม่ขอรับ? ...ที่จวนของออกญาอนุชิตนั่น "
" ก็...ออกจะชวนขยอกของเก่าอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ เอาเถอะ...ข้าได้มันมาอยู่ในมือแล้ว...ธำมรงค์พระราชทาน...กุญแจ...ที่จะนำพวกเราไปสู่ชัยชนะ " ออกญาราชมนตรีพูดพร้อมกับโยนธำมรงค์ทองคำประดับทับทิมเม็ดโตไปให้หัวหน้ามหาดเล็กเวรเดชผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือด ก่อนจะถอดเสื้อด้านนอกที่เวลานี้เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดสีคล้ำของหลายๆคนออก พร้อมๆกับที่หญิงรับใช้หลายๆคนวิ่งเข้ามานำชุดเกราะมาสวมให้ ไล่ตั้งแต่เสื้อชั้นในที่ถูกถักจากโซ่โลหะซึ่งเป็นเกราะอ่อน เกราะหนังประดับลวดลาย ไปจนถึงหมวกศึกอันเป็นเครื่องแสดงยศศักดิ์เจ้าพระยาของเขา ก่อนจะหันไปมองรอบๆพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
" หืม? ท่านจมื่นศรีสรรักษ์ ท่านจิม...ข้าว่าข้ากะประมาณผิดพลาดไปเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่จำนวนของทหารมหาดเล็กทั้ง ๔ เวรนี่...ใช่หรือไม่? "
คำถามของผู้เป็นพี่ชายทำให้จมื่นแห่งเวรเดชผู้น้องที่กำลังยกพระธำมรงค์ส่องกับแสงไต้อยู่ถึงกับชะงักกีกก่อนจะหน้าเจือนลงเล็กน้อยราวกับกำลังถูกดุอยู่ทันที
" เป็นอย่างที่ท่านว่าขอรับ ท่านปิ่น "
" หืม? "
" จมื่นสรรพเพธภักดีแห่งเวรศักดิ์ และจมื่นไวยวรนารถแห่งเวรฤทธิ์...พวกมันเหมือนจะมีใจเอนเอียงไปทางเจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้เป็นนายใหม่ จึงไม่คิดจะมาร่วมช่วยพวกเรา...พวกเราจึงมีกำลังพลทหารมหาดเล็กเพียงแค่เวรเดชของข้า และเวรสิทธิ์ของจมื่นเมอใจราชเท่านั้น "
" กำลังพลหายไปครึ่งนึง... " เจ้าพระยาราชมนตรีครางออกมาเบาๆ ก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อยและยักไหล่บางๆอย่างแทบไม่รู้สึกผิดหวัง หรือรู้สึกเป็นกังวลใดๆเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับที่เขาพูดเบาๆว่า
" ช่างมันเถอะ...พวกมันก็เป็นเพียงแค่กำลังพลบังหน้า ที่เราจะใช้เข้าไปในเขตราชฐานในนามของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เป็นแค่พวกลูกท่านหลานเธอที่ตระกูลเอามาฝากไว้โดยหวังให้เติบใหญ่ในราชการ พวกนี้มันเหลาะแหละ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออยู่แล้ว...อย่างไรเสียกำลังหลักจริงๆของเราก็คือพลพรรคแห่งบรรลัยกัลป์ที่พวกเราส่งมาแฝงตัวในกลุ่มทหารมหาดเล็กพวกนี้อยู่แล้ว...ที่น่าห่วงก็คือ...ไอ้จมื่นเพธภักดีและจมื่นไวยวรนารถนั่น...ที่อาจจะปากสว่างปูดเรื่องที่พวกเจ้าพูดเป็นนัยๆไว้กับผู้อื่น... " เขาลูบมือที่เวลานี้ใส่ถุงมือโซ่เหล็กโลหะเรียบร้อยแล้วไปมาเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะพูดเรียบๆพร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าขนลุกออกมาวูบหนึ่งทันทีว่า...
" ข้าคงต้องจัดการกับพวกมัน...มีแต่คนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้!... "
" ฮ่ะๆ เย็นใจไว้ก่อนพี่...พี่ฆ่ายกจวนไอ้ออกญาอนุชิตฯไปแล้วคืนนี้ ขืนไปจัดการอีก ๒ จวนคงมีหวังได้เอกเกริกกันไปทั้งพระนครแน่...ไอ้ ๒ จมื่นนั่นถึงแม้ว่ามันจะเปลี่ยนฝั่งไปอยู่กับเจ้าพระยาพิทักษ์ฯแล้ว แต่ว่า...พวกมันยังเห็นแก่หน้าข้าและผู้เป็นนายเก่าของพวกมันอย่างท่าน... "
" ??? "
" พวกมันจะไม่นำกำลังพลเคลื่อนไหว เมื่อผนวกกับที่ข้าเองก็ไม่ได้บอกพวกมันว่าเราจะลงมือกันในวันเวลาไหน...ทำให้สิ่งเดียวที่ขวางเรากับความสำเร็จก็คือ...กลุ่มจ่าโขลนที่มีคุณท้าวแก่ๆเป็นคนคุม...กลุ่มสตรีที่มีไม้พลองเป้นอาวุธเท่านั้น... "
" แปลว่าถึงไม่ช่วย...แต่ก็ไม่ได้ขวางอะไรสินะ "
" ขอรับ "
" ไอ้พวกขี้ขลาด...โง่เง่า... "
" ใช่ พี่พูดถูก...ไว้รอให้พวกมันมาหมอบคลานตรงหน้าเราทั้งคู่...ถึงเวลานั้นพวกมันจะได้รู้สำนึกด้วยตัวมันเอง ว่าพวกมันโง่เง่าเพียงใด...ข้ารับรองได้เลย พี่...แต่เวลานี้เราจะมามัวคิดเรื่องนั้นไม่ได้...ม่านเปิดออกมาแล้ว...และเราจะสายไม่ได้...เราไม่มีเวลาให้เสียอีกต่อไป "
คำพูดอันเป็นเสมือนคำรับรองของจมื่นหัวหน้าเวรเดชผู้เป็นน้องชายทำให้จิตสังหารของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ค่อยๆจางลง ก่อนที่เขาจะโคลงหัวอีกครั้งราวกับเป็นนิสัยประจำตัวของเขาพร้อมกับพูดเบาๆว่า
" จริงของเจ้า...เอาเถอะ...ถึงเวลานี้พวกเราคงจะมีทางเลือกไม่มากนัก...ประกาศออกไป...ถึงเวลาเคลื่อนพลแล้ว! "
........................................
...หน้าประตูกำแพงพระราชวัง...
...กองทหารล้อมวังที่ยืนอยู่รอบกำแพงพระราชวังและออกันอยู่หน้าประตูทวารถึงกับออกอาการงงเป็นไก่ตาแตกทันทีเมื่อเห็นกองทหารมหาดเล็กของทั้ง ๒ เวรที่นำมาโดยเจ้าพระยาที่อยู่เหนือกองมหาดเล็กฝ่ายพลเรือนทั้งมวลพร้อมอาวุธครบมือกำลังเคลื่อนแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ...ชนิดที่ถ้าหากเป็นปรกติ พวกเขาคงจะต้องเรียกกำลังทหารล้อมวังออกมาเพื่อเตรียมรับกันแบบเต็มอัตราศึกเรียบร้อยแล้ว...เพียงแต่...
" ท่านกำลังจะเหยียบย่างเข้าสู่เขตพระราชฐาน โปรดให้กองทหารของท่านหยุดก่อน...ท่านออกญาราชมนตรี! "
" หลีกทาง! ข้านำกำลังทหารมาแล้ว...ตามคำสั่งของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี! "
' เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ท่านไกรนะหรือ? ' นามบรรดาศักดิ์และราชทินนามของไกรทำให้หัวหน้าทหารล้อมวังผู้ควบคุมเหล่าทหารล้อมวังหน้าประตูกำแพงพระราชวังแห่งนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับหันไปมองสหายที่เกาหัวแกรกๆอย่างงงไม่แพ้กันทันที
" ท่านไกร...หรือใครในหน่วยคเณศร์เสียงาของท่านเคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อนรึเปล่า? "
" ข้าไม่เคยไดยินนะ อีกอย่าง ในเวลานี้ท่านไกรก็กำลังถูกโทษทัณฑ์ถอดลงเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง...ท่านไม่น่าจะเคลื่อนไหวอะไรในเวลานี้...แต่ว่า...ท่านก็เคยพบกับท่านไกรแล้วนี่... "
" อืม... " นายทหารล้อมวังเฒ่าได้แต่พยักหน้าอย่างเข้าใจ " ...ไม่มีผู้ใดเดาใจท่านไกรได้...นี่อาจจะเป็นแผนการของท่านก็ได้... "
...นายทหารล้อมวังเฒ่าผู้นั้นครางออกมาเบาๆอย่างพยายามเดาใจของอีกฝ่าย...แต่ความคลางแคลงสงสัยที่อยู่ในใจของเขาก็สลายหายไปทันทีเมื่อเห็นธำมรงค์พระราชทานอันเป็นสมบัติของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ที่อีกฝ่ายยื่นมาให้ทุกคนได้เห็นกันอย่างชัดๆ...เพราะนอกจากพระราชอำนาจโดยชอบธรรมของพระธำมรงค์ที่พ่ออยู่หัวมีราชโองการออกไปทั่วกัน ให้ผู้ที่ถือพระธำมรงค์วงนี้มีสิทธิ์เข้านอกออกในเขตราชฐานได้อย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว การที่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯยอมมอบพระธำมรงค์สำคัญให้กับอีกฝ่ายเช่นนี้ก็แปลว่านี่เป็นเรื่องสำคัญชนิดถึงเป็นตายแน่ๆ!
" ใกล้จะถึงเวลาสำคัญตามที่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์และข้าได้นัดหมายกันไว้แล้ว โปรดเปิดประตูและหลีกทางให้ด้วย ก่อนที่จะเสียการสำคัญไป! "
คำพูดของอีกฝ่ายที่ตะโกนกดดันมายิ่งทำให้ทหารล้อมวังผู้เป็นหัวหน้า ณ ที่แห่งนี้คิดหนัก เพราะเขาแก่พรรษามากพอจนสัญชาตญาณเฉียบคมขึ้น และไอ้สัญชาตญาณที่ว่านี่ก็ตะโกนบอกเขาว่าเรื่องนี้มันไม่ชอบมาพากล...แต่พระธำมรงค์ที่เห็นกันอยู่โต้งๆก็เตือนเขาว่า ถ้าหากเขาขืนทะเล่อทะล่าหยุดกองทหารเหล่านี้ไว้โดยพลการ แล้วดันไปทำเสียการใหญ่ตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างจริงๆ...งานนี้มีกี่ชีวิตก็คงจะใช้ไม่พอแน่ๆ
" ท่านขุน...อ...เอาอย่างไรดีขอรับ? "
" ข้ากำลังคิดอยู่! ...ย...อย่าพึ่งเร่งสิวะ "
ผู้เป็นหัวหน้าทหารล้อมวัง ณ ประตูพระราชวังด้านนี้เกาหัวแกรกๆอย่างครุ่นคิดและลำบากใจ...จะไปถามออกพระเพชรพิไชย ผู้เป็นจางวางหัวหน้าทหารล้อมวัง หรืออีกนัยหนึ่งคือหัวหน้าของพวกเขาทั้งหมด เขาในเวลานี้ก็ไม่รู้อีกว่าออกพระเพชรพิไชยไปทำกิจธุระที่ไหน...เขาเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง จนกระทั่งในที่สุดเขาก็พ่นลมหายใจทางจมูกเฮือกอย่างตัดสินใจได้ในี่สุด
" ท่านขุนขอรับ? "
" เปิดประตูกำแพงราชวัง...ปล่อยท่านออกญาราชมนตรีฯ และกองทหารผ่านไป " คำสั่งของออกขุนผู้เป็นหัวหน้าของประตูด้านนี้ทำให้นายทหารล้อมวังที่ยืนคุมประตูอยู่บนเชิงเทินหันมามองพร้อมกับร้องออกมาเบาๆทันที
" จ...จะดีหรือขอรับ ท่านออกขุน...กองทหารนี่มีจำนวนไม่ใช่น้อยเลยนะ ทั้งยังมาพร้อมศาสตราวุธครบมืออีก--- " พวกเขาพยายามให้เหตุผล แต่ท่าออกขุนก็หันกลับมาพร้อมกับแยกเขี้ยววับใส่ทันที
" อุวะ! เจ้าก็เห็นพระธำมรงค์แล้วนี่...ท่านไกรไม่ให้พระธำมรงค์สำคัญนี่กับใครโดยไม่ได้วางแผนใดๆไว้ก่อนหรอก... แล้วถ้าหากข้าไม่ปล่อยให้ผ่านไป แล้วการขัดขวางของข้าเสือกไปทำให้การใหญ่ล่มไม่เป็นท่าจริงๆ...เจ้าจะร่วมถูกกุดหัวด้วยกันกับข้าไหมเล่า! ถามอะไรโง่ๆ ...ตัวข้าไม่ได้มีสาลิกาลิ้นทองเช่นเดียวกับท่านไกร ที่เปลี่ยนโทษตายกลายเป็นโทษเป็นได้นะเว้ย! "
ประตูใหญ่สีแดงที่กั้นขวางระหว่างกองทหารของออกญาราชมนตรี ที่กำลังค่อยๆถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ทำให้ออกญาราชมนตรีหันไปลอบยิ้มกับจมื่นศรีสรรักษ์ผู้เป็นน้องชายเล็กน้อยทันที...
...เพราะเส้นทางที่ถูกเปิดออก มันเป็นเคื่องยืนยันได้อย่างชัดเจน...ว่าความกลัวในโทษทัณฑ์มากกว่าความจงรักภักดีเสียอีก!...
...และหลังจากผ่านกำแพงชั้นแรกมาได้เสร็จสิ้น พวกเขาก็ไม่มีปัญหาใดๆอีกเลยในกำแพงราชฐานชั้นที่ ๒ ซึ่งเป็นเขตราชฐานชั้นกลาง เพราะที่นี่เป็นเขตรับผิดชอบของจมื่นศรีสรรักษ์ และทหารมหาดเล็กเวรเดชของเขาอยู่แล้ว...โดยที่ตลอดเส้นทางแม้ว่าจะมีเหล่าขุนนางและทหารที่อยู่เวรดึกหลายๆท่านเข้ามาถามไถ่ถึงความผิดปรกติของกระบวนทัพนี้ แต่อำนาจของพระธำมรงค์ที่อยู่ในมือของเจ้าพระยาราชมนตรีก็ปิดปากคนเหล่านี้ได้อย่างชะงัดนัก...จนกระทั่งในที่สุด พวกเขาก็พาทหารผู้ร่วมอุดมการณ์ทะลุเข้าถึงเขตพระราชฐานชั้นใน อันเป็นเสมือนหัวใจขอราชอาณาจักรแห่งนี้ในที่สุด!
" ท่านจมื่นเสมอใจราช... "
หลังจากที่กองทหารทั้งหมดเข้ามาอยู่ในเขตราชฐานชั้นในในที่สุด ออกญาราชมนตรีบริรักษ์ก็ยกมือทำเป็นสัญญาณให้กองทหารปฏิวัติใต้อาณัติของเขาหยุดลงพร้อมกับเรียกตัวจมื่นผู้เป็นเจ้าเวรสิทธิ์...หัวหน้ามหาดเล็กผู้ร่วมมือกับพวกเขามาพร้อมกับสั่งการต่อทันที
" ท่านรอท่าอยู่ที่นี่...พร้อมกับกองทหารมหาดเล็กของท่าน เฝ้าทวารทางเข้าออกนี้ไว้...ปกป้องไว้ อย่าให้มีผู้ใดผ่านมาได้! "
" เข้าใจแล้วขอรับ... "
" ดี... " เจ้าพระยาราชมนตรีลอบยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตบไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ " ...ตำแหน่งเจ้าพระยาของท่านอยู่แค่เอื้อมแล้ว...หลังสิ้นสุดราตรีนี้ ตำแหน่งเจ้าพระยาที่ข้าสัญญาไว้จะเป็นของท่านแน่แท้! "
เขาพูดพร้อมกับเดินจากไป ปล่อยให้จมื่นเสมอใจราชที่ถึงแม้จะเป็นผู้ที่ร่วมมือกัน แต่ก็เกี่ยวพันกันด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ ตะโกนสั่งทหารมหาดเล็กในบังคับบัญชาของเขาให้ขึ้นไปประจำเชิงเทิน ก่อนจะหันมาพยักหน้าให้กับจมื่นศรีสรรักษ์ผู้เป็นน้องชายและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมอุดมการณ์ที่แท้จริงแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์พร้อมกับพูดเบาๆว่า
" น้องพี่...เจ้าทราบแผนดีอยู่แล้วนะ... "
" พูดอะไรอย่างนั้น...ข้ารอมาทั้งชีวิตเพื่อราตรีนี้...มันจะไม่มีวันผิดพลาดเด็ดขาด พี่เชื่อมือข้าได้เลย "
" อย่างนั้นก็ดี... " เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับสูดหายใจลึกจนหน้าอกขยายขึ้อย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่เขาจะเหลือกลืมตาขึ้นพร้อมกับดวงตาที่ส่องประกายเรืองสีเขียวปีกแมลงทับวูบพร้อมกับพูดกร้าวๆทันที
" บทโหมโรงจบไปแล้ว...จากนี้ไปคือของจริง...เล่นมันให้สุดๆไปเลย...พี่น้องข้า! "
................................................
...ณ หน้าพระตำหนักแห่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...
...แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงหัวค่ำ แต่สำหรับสตรีแล้ว เวลาเช่นนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเวลาที่ต้องอยู่เรือนและเตรียมตัวเข้านอนแล้ว...แม้ว่าสตรีผู้นั้นจะมีศักดิ์สูงถึงสมเด็จเจ้าฟ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น ทำให้ในเวลานี้พระตำหนักอันใหญ่โตค่อนข้างจะมืดสลัว มีเพียงแสงไฟจากคบเพลิงและประทีปตรงทางเดินและตรงประตูทางเข้าที่สาดส่องให้แสงสว่างอยู่อย่างเกียจคร้านรำไรๆเท่านั้น ในขณะที่ตัวพระตำหนักในเวลานี้เงียบสนิท...มีเพียงแค่นางสนองพระโอษฐ์และนางรับใช้ ๔-๕ นางที่ก้มๆเงยๆทำอะไรบางอย่างอยู่เท่านั้น...นั่นเท่ากับว่าผู้ที่ขวางกลางระหว่างกองทหารของจมื่นศรีสรรักษ์ และ บุตรีแห่งสุรีย์แสง คือจ่าโขลนเพียง ๓ นางที่ยืนอยู่ยามเฝ้าหน้าประตูทางเข้าไว้เท่านั้น...
" ท่านจมื่นศรีสรรักษ์ "
" ช้าไว้...พวกเจ้า " จมื่นผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มบรรลัยกัลป์หันกลับไปปรามทหารมหาดเล็กผู้กระเหี้ยนกระหือรือของเขาเรียบๆ พร้อมกับพูดต่อเบาๆว่า
" ...เจ้าหญิงสิริจันทรมีพลังสูงมากเกินกว่าที่เจ้าหรือผู้ไดจะสามารถประเมินได้...ข้าได้รับคำสั่งให้จับเป็นโดยละมุนละม่อมที่สุดถ้าทำได้ เพราะพลังของพระนางอาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกข้าได้...เพราะฉะนั้น จัดการกับพวกจ่าโขลนซะ เงียบๆด้วย "
" รับทราบขอรับ "
นายทหารที่อยู่ด้านหน้าน้อมรับคำสั่งเบาๆพร้อมกับที่ชายฉกรรจ์ในชุดรัดกุมที่อยู่ด้านหลัง ๔ คนจะขยับและหยิบธนูยาวอย่างดีขึ้นมาและน้าวสายขึ้นอย่างช้าๆ
พรึ่บ!
ลูกศรที่ถูกน้าวขึงสายจนตึงและถูกปล่อยออก พุ่งเข้าสู่เป้าหมายซึ่งในที่นี้ก็คือที่ตัวของเหล่าจ่าโขลนที่ยืนเฝ้ายามอยู่อย่างแม่นยำ ดับชีพจ่าโขลนโชคร้ายเหล่านั้นได้อย่างชะงัดและฉับพลันจนไม่เกิดเสียงกระโตกกระตากใดเลยสักนิด นั่นทำให้จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มออกมาอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่...
...ทุกอย่าง...มันช่างง่ายดาย และเป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้จริงๆ...
ฟ้าวววว...ฉีก!
แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่เขากำลังปลื้มปริ่มอยู่กับชัยชนะเล็กๆของเขาอยู่นั้นเอง ลูกธนูปริศนาสีดำสนิท ๔ ดอกก็พุ่งด้วยความเร็วสูงสุดจนไม่สามารถมองได้ทัน พุ่งเข้ากลางหน้าผากของมือฉมังธนูทั้งสี่ใต้อาณัติของเขาอย่างแม่นยำและรุนแรงยิ่งกว่า ส่งผลให้เหล่ามือฉมังธนูของเขาทะลึ่งพรวด ตาเหลือกโพลง...สิ้นใจก่อนที่หลังจะลงถึงพื้นด้วยซ้ำ!
" อ๊ะ! อะไรวะ!! "
ในขณะเดียวกัน ย้อนมาที่กลุ่มของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ ที่ตามติดมาด้วยกลุ่มมือสังหารฝีมือดีแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ ที่เวลานี้มาหยุดอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งใหญ่อันเป็นที่ประทับของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ในขณะนี้...พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ (พระที่นั่งท้ายสระ)
" เยี่ยมจริง...อยู่กับครบเลย " เจ้าพระยาราชมนตรีที่เวลานี้ดวงตาเฉียบแหลมดังนกฮูกที่มองเห็นได้ในที่มืดถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างสมคะเนทันทีเมื่อดวงตาของเขาเห็นว่าพระที่นั่งแห่งนี้ถูกประทับเต็มทั้งเป้าหมายหลักของเขาอย่างสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์...สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร...สมเด็จพระอัครมเหสีกรมขุนวิมลพัตร...สมเด็จพระพี่นางพินทวดี...รวมไปถึงเหล่านางสนมท่านอื่นๆที่เวลานี้กำลังสำเริงสำราญอยู่กับนาฏนางรำระดับสูงอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว หรือรู้ว่ามัจจุราชอย่างเขากำลังจะมาเยือนด้วยซ้ำ!
" ท่านเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์เจ้าคะ "
" เออ! ข้าเอง " เจ้าพระยาราชมนตรีรับคำเรียบๆกับเหล่าจ่าโขลนที่ยืนเฝ้าทางเข้าอยู่ ก่อนที่เขาจะชะงักกึกเมื่อเหล่าจ่าโขลนนั่นใช้ไม้พลองสีดำขวางเขาไว้เมื่อเขาพยายามจะเดินเข้าไปในพระที่นั่งทันที
" ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ แต่เวลานี้เป็นเวลาที่ไม่สมควรที่จะเข้าเฝ้า ไม่ว่าจะกรณีใด กิจธุระใดก็ตาม...หรือไม่ว่าจะเป็นถึงระดับท่านก็ตาม...ท่านเจ้าพระยา "
" หืม? อ้อ...เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอก "
" เจ้าคะ? "
พรึ่บ! ฉัวะ!!
พริบตาเดียวที่เจ้าพระยารามมนตรีพูดจบ ดาบในมือของเขาก็วาดพรึ่บอย่างแม่นยำผ่านลำคอเรียวยาวของเหล่าจ่าโขลนที่ขวางอยู่ ตัดเส้นเลือดใหญ่และเกี่ยวปลิดวิญญาณของเหล่าจ่าโขลนผู้โชคร้ายนั้นไป พร้อมกับที่เลือดสีแดงคล้ำพุ่งกระฉูดเปราะเปื้อน ย้อมใบหน้าและชุดเกราะของเขาจนกลายเป็นสีแดงฉานในทันที
" ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก...เพราะนี่เป็นกิจธุระสุดท้าย ที่ข้ามีต่อพ่ออยู่หัวแล้ว "
พรึ่บ!
เมื่อสิ้นคำพูดของเขา ชายหญิงแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ในชุดรัดกุมสีดำสนิทที่ปิดบังหน้าตาหลายสิบคนที่แฝงตัวมากับกลุ่มของพวกเขาและเวลานี้ก็แยกตัวออกมาเพื่อทำภารกิจสำคัญโผล่ออกมาจากมุมมืดราวกับเงาผี พร้อมกับอาวุธครบมือและคุกเข่าให้กับเขาราวกับกำลังรอฟังคำสั่งจากเขาอยู่ ซึ่งเขาก็ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยเรียบๆเป็นเชิงสั่งการทันที
" เอาล่ะ พี่น้องข้า...ไปจัดการให้เสร็จเสียทีเถอะ "
" รับคำสั่งขอรับ/เจ้าค่ะ...ท่านปิ่น!! "
...ย้อนกลับมาที่กลุ่มของจมื่นศรีสรรักษ์...หน้าพระตำหนักของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...
หลังจากเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมได้เกิดขึ้น ก่อนที่ร่างอันไร้วิญญาณของมือฉมังธนูของเขาจะร่วงถึงพื้น ก่อนที่จมื่นศรีสรรักษ์จะอุทานออกมาได้แม้แต่เพียงครึ่งคำเท่านั้น พลุตะไลสีแดงสด ชนิดเดียวกับพลุตะไลที่สิงห์เคยใช้เพื่อส่งสัญญาณของความช่วยเหลือและแหกค่ายของมังจากะเล ก็พุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าและระเบิดออกจนแดงฉานไปทั้งท้องฟ้า พร้อมกับที่เสียงของหญิงชราที่พวกเขาจำได้ว่าน่าจะเป็นเสียงของคุณท้าวศรีสัจจาผู้เป็นหัวหน้าจ่าโขลนจะตวาดลั่นว่า
" เอาเลย ทุกคน!! "
พรึ่บ!
สิ้นเสียงตวาดของคุณท้าวศรีสัจจา รั้วรอบพระตำหนักใหญ่ที่ปรกติแล้วเป็นเพียงพุ่มไม้เตี้ยๆที่ถูกปลูกเพียงเพื่อแสดงอาณาเขตเท่านั้น เวลานี้กลับมีรั้วไม้อันแหลมคมและแข็งแรงจนไม่อาจจะฝ่าเข้าไปได้พุ่งขึ้นมาล้อมรอบพระตำหนักไว้พร้อมกับที่เหล่าจ่าโขลนเกือบร้อยคนที่น่าจะเป็นจำนวนของจ่าโขลนที่ขึ้นสังกัดทั้งหมดในอาวุธซึ่งก็คือพลองไม้เนื้อแข็งสีดำสนิทจะพุ่งเข้ารักษารั้วไม้อันแหลมคมไว้ราวกับถูกฝึกมาเพื่อรับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดี...ในขณะที่คุณท้าวคนสำคัญทั้งสองคน เวลานี้เดินอย่างช้าๆลงมาจนถึงตรงหน้าประตูทางเข้าซึ่งเป็นทางเดียวที่ไม่อาจจะใช้รั้วไม้แหลมกั้นได้ เพื่อมาเผชิญหน้ากับกองทหารของจมื่นศรีสรรักษ์ในทันที...
...คุณท้าวผู้เฒ่าอันเป็นจางวางผู้เป็นหัวหน้ากองจ่าโขลนทั้งมวล อย่างคุณท้าวศรีสัจจา...และคุณท้าวผู้อยู่ในตำแหน่งเพราะได้รับการแต่งตั้งอย่างพิเศษ อย่างอนาสตาเซียนั่นเอง...
" ตายไป ๔ ...แย่ที่สุด...เริ่มแรกคนของข้าก็ตายไปเสียแล้ว " คุณท้าวชราเหลือบดวงตาที่ไม่มีรอยฝ้าฟางแม้แต่เพียงนิดเดียวไปมองร่างอันไร้วิญญาณของเหล่าจ่าโขลนเฝ้าประตู จ่าโขลนที่เป็นดั่งลูกสาวของเธอที่ถูกลูกธนูจากฝั่งของจมื่นศรีสรรักษ์ปลิดชีวิตพร้อมกับกัดฟันกรอดอย่างเจ็บแค้นจนแทบจะควบคุมสติไม่ได้เลยทีเดียว...ในขณะที่อนาสตาเซียเหลือบมองตามไปเล็กน้อยด้วยแววตาที่แทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร พร้อมกับที่ปากของเธอก็เอ่ยกับคุณท้าวที่อยู่ด้านข้างเรียบๆว่า
" แต่พวกเธอตายเพื่อให้พวกเรารู้ตัว...ถือว่าเป็นการตายที่รับได้ "
" เจ้านี่มัน! "
" เราต้องเห็นแก่การใหญ่เป็นสำคัญ คุณท้าวฯ...พลุตะไลของข้าที่ส่งสัญญาณออกไปจะเรียกกำลังพลของเหล่าทหารล้อมวังภายใต้การนำของท่านออกพระเพชรพิไชยที่รอท่าอยู่แล้วมาในไม่ช้า หน้าที่ของเราคือการถวายการคุ้มกันเจ้าหญิงและพระตำหนักแห่งนี้ให้ได้จนกระทั่งถึงเวลาที่กำลังเสริมมาถึงเท่านั้น... "
คำพูดตัดบทเรียบๆของสตรีชาวต่างชาติตรงหน้าทำให้คุณท้าวชราอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่อาจจะเถียงอะไรได้ ก่อนที่ท่านจะทำได้แค่ถอนหายใจเฮือกอย่างยอมจำใจละเรื่องนี้ไว้ก่อนโดยเห็นแก่การใหญ่ตรงหน้าอย่างที่หญิงสาวที่อายุรุ่นราวคราวหลานบอกเป็นสำคัญ เธอเหลือบมองร่างอันไร้วิญญาณของเหล่าจ่าโขลนใต้สังกัดของเธออีกครั้งก่อนจะหลับตาอันฉายแววโศกเศร้าและเป็นเดือดเป็นแค้นลงและถอนหายใจเฮือก ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเป็นดวงตาที่ฉายแววของความสงบนิ่ง...กลายเป็นคุณท้าวผู้แน่วแน่ในหน้าที่ของตนจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้ความรู้สึกใดๆอีกต่อไปแล้ว
" ยัยหนู...ถึงข้าจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดหลายๆเรื่องของเจ้า...แต่ข้าก็ต้องยอมรับเลย...ว่าพวกเราคงเดือดร้อนขั้นวิกฤติแน่ ถ้าหากเจ้า...และท่านออกญาฯผู้เป็นบิดาบุญธรรมของเจ้าไม่ได้ดึงดันสั่งการอย่างชัดเจนให้พวกจ่าโขลนของข้าสร้างแนวรั้วหนามล้อมรอบพระตำหนักและฝึกให้สาวๆของข้ารับมือกับเรื่องระยำเช่นนี้...พวกเราเป็นหนี้เจ้าแล้ว " คุณท้าวชราเอ่ยขอบคุณจากใจจริง แต่แล้วคำตอบของอนาสตาเซียที่ตอบกลับมาก็ถึงกับทำให้คุณท้าวศรีสัจจาคิ้วกระตุกทันที
" ถ้าจะขอบคุณแบบตื้นตันจนบ่อน้ำตาแตกก็เอาไว้ทีหลังเถอะเจ้าค่ะ...เวลานี้ท่านถอยไปก่อนเถอะ...ส่วนของประตูหน้านี่ข้ารับมือเอง "
" นี่...นังหนู...ถึงข้าจะแก่พอจะเป็นยายของเจ้าได้...แต่เชื่อข้าเถอะว่าข้ามีแรงมากพอจะฟาดก้นของเด็กไม่รู้จักสัมมาคารวะอย่างเจ้าให้ลายได้แน่ๆ เพราะฉะนั้น กับอีแค่เรื่องพรรค์นี้ ข้ารับมือได้แน่ "
มือสังหารสาวแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตนามว่าอนาสตาเซียชะงักเล็กน้อยก่อนจะเหลือบสายตากลับมามองคุณท้าวชราที่มีกล้ามเป็นมัดๆที่เวลานี้ควงไม้พลองสีดำสนิทที่มีขนาดใหญ่กว่าอาวุธประจำมือของเหล่าจ่าโขลนทั่วไปราวกับนักกายกรรม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างรู้ดีว่าห้ามไม่อยู่แน่ เธอจึงได้แต่พูดเบาๆว่า
" ก็ตามใจท่าน ด้วยลำดับศักดิ์ข้าคงห้ามท่านไม่ได้อยู่แล้วนี่...แต่ถ้าพลาดพลั้งถูกอาวุธของพวกมัน หรือถูกลูกหลงจากข้า ก็ขออโหสิกรรมล่วงหน้าเลยล่ะกันนะเจ้าคะ "
" ย...ยัยเด็กนี่! "
" พ...พวกมึง! มัวรีรออะไรอยู่ล่ะ ใช้ธนูยิงนังสองคนนั่นให้พ้นๆซะสิ!! " หลังจากได้สติกลับมาอีกครั้ง จมื่นศรีสรรักษ์ก็หันกลับไปตะโกนกับเหล่าลูกน้องที่ยืนนิ่งตัวแข็งอยู่ที่ด้านหลังทันที ซึ่งก็ได้ผลเพราะคำตวาดของเขาเหมือนจะปลุกเด็กๆในสังกัดของเขาให้ตื่นขึ้นพร้อมกับที่ชายหนุ่ม ๒ คนที่อยู่ด้านหน้าสุดจะรีบตาลีตาเหลือกหยิบลูกธนูมาน้าวสายขึ้น แต่ก็ยังไม่ทันได้น้าวสายจนตึงดีด้วยซ้ำ ลูกธนูยาวสีดำสนิทก็พุ่งอย่างแม่นยำ หักคันธนู หักกระดูกซี่โครง และตัดขั้วหัวใจของมือฉมังธนูโชคร้าย ๒ นายนั้นในทันที!
" ข...ข้างบนหลังคาพระตำหนัก?! "
" แหม...ต้องยอมรับว่าสหายของเจ้านี่ดูแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ...ทั้งๆที่ทำกับข้าวกับปลาได้อร่อยอย่างไร้ที่ติขนาดนั้น แต่กลับเป็นมือฉมังธนูที่แม่นยำยิ่งกว่าใครที่ข้าเคยพบมาตั้งแต่กำเนิดจนถึงปัจจุบันนี้เลย... " คุณท้าวศรีสัจจาเอ่ยชมเบาๆจากใจอีกครั้งอย่างทึ่งๆ แต่คำชมนั้นทำให้หญิงสาวที่อยู่ข้างๆถอนหายใจเฮือกอีกครั้งทันที
" อเทตยาไม่ใช่สหายข้า...และข้าไม่แน่ใจด้วยว่านางจะเป็นสหายของผู้ใด...และอีกอย่างนึง... "
" หืม? "
" ข้าไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าระหว่างที่เรากำลังต่อสู้ป้องกันทางเข้าอยู่ นังนั่นจะส่งลูกธนูมาเก็บเราหรือไม่...ข้าพยายามค้านชนิดหัวชนฝาแล้ว แต่ไกร---หมายถึงท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯเหมือนจะไว้วางใจให้นางร่วมงานนี้เต็มที่...เพราะฉะนั้น...ระหว่างที่ท่านกำลังต้านด้านหน้า ก็ระวังด้านหลังเอาไว้สักนิดด้วยก็แล้วกันนะเจ้าคะ "
" น...นี่เจ้าพูดจริงจังหรือว่าล้อเล่นเนี่ย?! "
" โฮ้ย! คุณท้าว เชื่อข้าเถอะเจ้าค่ะ...งานนี้สนุกแบบเลือดนองท้องช้างกันแน่ๆ! "
.................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ