ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.21K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

80)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ไกลออกมาจากเขตพระราชฐานชั้นใน...จวนไม้ขนาดใหญ่ของพระเพชรพิไชย...จางวางหัวหน้ากรมทหารล้อมวัง...

 

        เฟี้ยววว....ปุ้ง!!

 

        พลุตะไลที่พุ่งขึ้นระเบิดจนย้อมท้องฟ้าสีดำสนิทจนกลายเป็นสีแดงฉานอยู่ชั่วครู่หนึ่งทำให้เหล่าชายหญิงในชุดรัดกุมปิดบังหน้าตาสีดำสนิทหลายคนหันกลับไปมองเล็กน้อย พร้อมกับที่สตรีที่อยู่ด้านหลังสุดจะขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆว่า

 

      " ทิศทางของพลุตะไลนั่นมัน...เขตราชฐานชั้นใน?...ท่านปิ่น ท่านจิม? "

 

      " พวกเราไปกันต่อเถอะ... "

 

      " ต...แต่ว่า? "

 

      " แผนการของท่านปิ่นรอบคอบรัดกุมไม่มีวันผิดพลาด...และอีกอย่าง... "

 

      " หืม? "

 

      " ...ต่อให้เกิดเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นมา...ก็ยังมี ท่านผู้นั้น คอยดูอยู่...และเราต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าในราชอาณาจักรอโยธยาแห่งนี้...ไม่มีผู้ใดเก่งกาจเกินกว่าท่านอีกแล้ว! "

 

        คำพูดอันเป็นเหมือนคำรับรองที่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบของชายที่น่าจะเป็นหัวหน้าทำให้สตรีผู้นั้นพยักหน้าเล็กน้อยอย่างคลายความกังวล ก่อนที่ชายที่เดินนำอยู่ด้านหน้าจะหันกลับมามองพรรคพวกชายหญิงเกิอบสิบคนที่ยืนอยู่เหมือนจะรอรับคำสั่งพร้อมกับพูดเป็นเชิงสั่งการเบาๆว่า

 

      " เอาล่ะ...เลิกวอกแว่กกันเสียที เพราะภารกิจของพวกเราเองก็สำคัญต่อแผนการมากไม่แพ้กัน "

 

        ที่ๆพวกเขาหยุดลง...คือหน้าบ้านไม้ขนาดใหญ่อันเป็นจวนประจำตำแหน่งของพระเพชรพิไชย จางวางทหารล้อมวัง...ท่ามกลางซากร่างอันไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะของเหล่าทหารผู้ยืนเป็นเวรยามอยู่ด้านหน้าจวน ที่เวลานี้นอนกรนแน่นิ่งระเกะระกะทับกันอยู่นับสิบนาย!

 

      " ...ออกพระเพชรพิไชยเป็นนายทหารผู้มีความสำคัญและเป็นที่นับหน้าถือตาและเกรงอกเกรงใจอยู่มากในหมู่ข้าราชการทั้งฝ่ายพลเรือนและฝ่ายกลาโหม ท่านผู้นั้น ต้องการจะเก็บเขาไว้เพื่อเป็นประโยชน์เพราะไม่อยากจะสร้างเส้นสายใหม่อีกหลังจากที่ การเปลี่ยนผ่านราชวงศ์และการปราบดาภิเษก เสร็จสิ้น...เพราะฉะนั้น พยายามอย่าทำร้ายคนในจวนของท่านเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นบรรดาเมียๆ ของท่าน หรือแม้แต่นางทาสรับใช้คนใดก็ตามที... "

 

      " เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ "

 

      " เป้าหมายของพวกเรามีเพียงผู้เดียวเท่านั้น...เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี! "

 

     ...หลังจากที่รับทราบคำสั่งกันเสร็จสิ้น พวกเขาก็แยกตัวกันเพื่อทำภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายและถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีทันที...โดยไม่ทันได้เกิดเสียงกระโตกกระตากใดๆแม้แต่น้อย ในที่สุดพวกเขาก็ขึ้นมาจนถึงบนเรือนหลักโดยที่ไม่มีผู้ใดบนเรือนได้สำเหนียกรับรู้ถึงการบุกรุกครั้งใหญ่นี้เลยแม้แต่น้อย

 

      ' เรือนของออกพระเพชรพิไชยเป็นไม่กี่ที่ที่กลุ่มบรรลัยกัลป์ของพวกเราไม่มีหูตาอยู่ด้านใน เพราะไม่อาจจะใช้เบี้ยอัฐซื้อพวกคนรับใช้ที่ภักดีเหล่านี้ได้...เอาเถอะ...คงจะต้องเล่นไม้แข็งกันสักหน่อยเสียล่ะกระมัง '  หลังจากขึ้นมาบนเรือนไม้ขนาดใหญ่นี้กันครบทุกคน บุรุษผู้ที่ท่าทางจะเป็นหัวหน้าขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นหญิงรับใช้น้อยสองนางที่เวลานี้นั่งหลับนกสัปหงกอยู่ที่มุมหนึ่งของเรือนศาลารับรองโปร่งกลางบ้าน นั่นทำให้เขาเลิกคิ้วพร้อมกับที่ปากที่ถูกปิดบังด้วยผ้าสีมืดจะขยับกระตุกยิ้มเล็กน้อยทันที ...เขาหันกลับมาทำมือทำไม้ส่งสัญญาณใบ้ให้กับผู้ติดตามเข้าไปควบคุมตัวหญิงรับใช้สองคนไว้อย่างรวดเร็วทันที!

 

      " อ อ่ะ!...ก---กรี๊---! "

 

        หมับ!

 

      " ชู่ว...อย่าส่งเสียง ไม่อย่างนั้น...ตาย! "

 

        คำขู่ของผู้ที่ปราดเข้ามาคร่ากุมอิสรภาพของพวกเธอไว้อย่างกะทันหันแฝงไว้ด้วยจิตสังหารอันไม่อาจจะล้อเล่นได้ของชายหญิงชุดดำเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่นางรับใช้น้อยๆสองนางจะกล้าเสี่ยง หรืออาจหาญพอจะขัดขืน...หญิงรับใช้ทั้งสองจึงได้แต่ตัวสั่นงันงกน้ำตาคลอเบ้าอย่างตกใจกลัว...เหล่าชายฉกรรจ์ผู้ริดรอนอิสรภาพและปิดปากเธอไว้ด้วยมือที่แข็งหนาปานคีมเหล็กถลึงตาเขม้นมองอีกเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่านางรับใช้ทั้งสองไม่แหกปากกรี๊ดอย่างตกใจอีกแน่ พวกเขาจึงค่อยๆปล่อยมือออกอย่างพยายามสุภาพที่สุดตามคำสั่งของหัวหน้าที่ให้ไว้ก่อนหน้า...ถึงแม้ว่าการสุภาพครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้ความหวาดกลัวของพวกเธอที่มีต่อผู้บุกรุกนับสิบคนนี้ลดลงไปเลยก็ตามที

 

      " ข---ข้า ๆ---ย...อย่าทำอะไรพวกข้า---เลยนะ...ด...ได้โปรด "

 

      " อย่าห่วงไปเลย...หากพวกเจ้าทำตามที่ข้าบอก...ข้ารับรองว่าพวกเจ้าจะปลอดภัย "  ชายผู้เป็นหัวหน้าพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกเพื่อปลอบใจหญิงรับใช้สองนางนั้น เขาหันไปมองรอบๆเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดเข้ามาขัดจังหวะแน่ จึงค่อยๆหันกลับมามองพร้อมกับพูดเป็นเชิงถามเบาๆว่า

 

      " ...อย่ากลัวไปเลย พวกเจ้าทั้งสอง...ข้าและพรรคพวกเพียงแค่อยากจะรู้ว่าห้องที่ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯพำนักอาศัยอยู่คือห้องใดเท่านั้น? "

 

      " จ...เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ  ท...ท่านไกรอย่างนั้นหรือเจ้าคะ? พ...พวกท่านคิด---คิดจะ--- "

 

      " พวกข้าคิดจะทำอะไรมันไม่ใช่กงการ หรือเรื่องที่พวกเจ้าจะต้องมากังวล...ถ้ายังเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเจ้าและเพื่อนๆของเจ้าคนอื่นๆ ก็แค่ตอบคำถามข้ามาเท่านั้น... "

 

        คำพูดที่ถูกพูดด้วยน้ำเสียงที่เริ่มกลับเข้าสู่กระแสข่มขู่อีกครั้งของชายผู้เป็นหัวหน้าผู้บุกรุกทำให้นางรับใช้ทั้งสองตัวสั่นราวกับลูกนกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...พวกเธอเป็นเพียงแค่นางรับใช้ที่ไร้ซึ่งพลังอันใด จึงไม่อาจจะต่อต้านคำขู่เหล่านี้ได้เลยแม้แต่น้อย ทางเดียวที่พวกเธอทำได้คือการพูดความจริงไป เพื่อความปลอดภัยของพวกเธอเองเท่านั้น

 

      " ห...ห้องใหญ่ทางมุมด้านซ้าย น โน่นน่ะเจ้าค่ะ ท่าน "

 

      " ดี... "  ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าขยับยิ้มเล็กน้อยก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับผู้ที่คุมตัวพวกเธออยู่พร้อมๆกับที่ชายหญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอสองคนนั้นจะคว้าแถบผ้าหนาขึ้นมาและผูกมัดมือของหญิงรับใช้ทั้งสองไพล่หลัง และใช้ผ้าอีกผืนปิดปากของพวกเธอไว้ท่ามกลางความตกใจกลัวของหญิงรับใช้สาวทั้งสอง พร้อมๆกับที่ผู้เป็นหัวหน้าจะพูดเรียบๆต่อว่า

 

      " พวกเจ้าต้องไปกับเราด้วย...เผื่อว่าถ้าเจ้าเกิดโกหก ถ้าหากห้องนั้นไม่ใช่ห้องของเจ้าพระยาพิทักษ์ขึ้นมา ข้าจะได้ถามไถ่ใหม่อีกครั้ง...และจงเชื่อเถอะว่าครั้งหน้าพวกข้าจะไม่ถามอย่างสุภาพอย่างคราครั้งนี้แน่! "

 

      " อ...อู้ๆ!--- "

 

        ไม่พูดพร่ำทำเพลงหรือรอฟังคำทักท้วงใดๆจากนางรับใช้ทั้งสองทั้งสิ้น พวกเขากึ่งดึงกึ่งกระชากลากถูหญิงสาวโชคร้ายทั้งสองจนกระทั่งมาถึงที่หน้าประตูทางเข้าห้องซึ่งดูจากทรงแล้วจะเป็นห้องขนาดใหญ่ที่พวกเธอชี้ว่าเป็นห้องของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯทันที

 

        พรึ่บ!

 

        โดยไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งใดๆ...ราวกับถูกฝึกมาแล้วเป็นอย่างดี พวกผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังของชายผู้เป็นหัวหน้าก็พุ่งโดยไร้เสียงไปยืนคุมอยู่ด้านข้างประตูทันที ในขณะที่ที่เหลือชักอาวุธตั้งแต่มีดสั้น ดาบยาวอันคมกริบ ไปจนถึงหน้าไม้อันทรงพลังออกมาเพื่อเตรียมพร้อมรับการโต้ตอบกลับของชายผู้ที่กำลังจะได้รับฉายาว่าเป็นชายผู้เป็นเอตทัคคะในเชิงดาบแห่งราชอาณาจักรคนใหม่...ถึงจะมีฐานะเป็นศัตรู แต่พวกเขาทุกคนรู้ดีว่าเจ้าพระยาพิทักษ์ฯผู้นี้คือชายหนุ่มผู้ไม่อาจจะประมาทได้เลยแม้แต่น้อย...

 

      " ผับผ่าสิ...ที่บอกว่าเป็นงานง่ายๆนี่มันโกหกทั้งเพเลยชัดๆ "  หนึ่งในชายผู้ที่ถือดาบเช็ดเหงื่อกาฬที่แตกพลั่กออกมาเต็มฝ่ามือพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเลี่ยงไม่ได้ทันที เพราะกระแสของพลังและความกดดันที่แผ่ออกมาจากเบื้องหลังประตูนี้ชักทำให้ใจที่ฮึกเหิมของเขาฝ่อลง และชักอยากถอยมากขึ้นทุกทีเสียแล้ว ในขณะที่ชายผู้เป็นหัวหน้าหันกลับมาพร้อมกับตวาดใส่เบาๆทันที

 

      " หุบปาก! "

 

        ก่อนที่เขาจะหันไปคว้าเด็กรับใช้สองคนที่ถูกนำตัวมาด้วยมายืนอยู่ด้านหน้าสุดเพื่อเป็นโล่มนุษย์ พร้อมทั้งพยักหน้าให้สองคนที่ยืนคุมอยู่ด้านข้างประตูนั้นค่อยๆผลักประตูเข้าไปโดยทันที

 

        แอ๊ด! 

 

      " ฟรี้...ฟรี้...ฟรี้... "  เสียงกรนเบาๆที่ดังออกมาจากชายหนุ่มผู้นอนหลับอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่อยู่กลางห้องดูเหมือนเป็นภาพของชายหนุ่มผู้กำลังนอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะใดๆอยู่คนหนึ่ง แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังกดดันอันไร้รูปลักษณ์บางอย่างที่ทุกคนไม่อาจทราบได้...มันเป็นหนึ่งในความสามารถขั้นพื้นฐานของนักดาบระดับสูงที่แม้แต่ครูดาบชราที่มีชื่อหลายๆท่านยังมาถึงจุดๆนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!

 

     ...จิตคุกคาม...ที่ปกป้องนักดาบอัจฉริยะไว้ขณะหลับไหล!...

 

      " ท...ท่าน--- "

 

      " อย่าเอ่ยนามกู! "  ชายผู้เป็นหัวหน้าหันกลับมาตวาดใส่คนที่หลุดครางออกมาเบาๆ พร้อมกับกัดฟันพูดเป็นเชิงปลุกปลอบใจตัวเองและพรรคพวกเรียบๆว่า

 

      " ถึงจะมีจิตคุกคามคอยปกป้องแต่อย่างไรผู้หลับใหลก็คือผู้หลับใหล...เวลานี้เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทารกน้อยไม่ประสาที่ไม่อาจจะดูแลตนเองได้...เราต้องเร่งมือ เพราะไม่มีเวลาใดที่จะเหมาะสมเท่าเวลานี้อีกแล้ว! "  เขาพูดพร้อมกับชักกริชสีเงินอันแหลมตมชนิดตัดบัวไม่เหลือใยออกมาพร้อมกับย่างสามขุม ก้าวเข้าใกล้เจ้าพระยาหนุ่มผู้ยังคงกรนเบาๆและหายใจเข้าออกอย่างลึกและแช่มช้าซึ่งบ่งบอกว่าเป็นการหลับลึกโดยไม่แกล้งหลับแน่ๆ ...ดวงตาของชายผู้อยู่ในระดับมือสังหารแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ส่องประกายวาววับราวกับเรืองแสงได้ในที่มืดพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งพรวดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที!

 

      " สู่สุขคติเถอะ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ! "

 

        วูบ!!

 

 

 

 

.................................................

 

 

 

 

     ...ณ พระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...

 

      " เจ้า...เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์? "  

 

      " หึๆ พระเจ้าค่า...ข้าพระพุทธเจ้าเอง... "

 

        ชายผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชอาณาจักร จุดเดียวกับตำแหน่งของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ อย่างพ่ออยู่หัวอุทุมพรที่นั่งอยู่บนพระที่นั่งอันถูกสร้างให้อยู่ต่ำกว่าพระที่นั่งของพ่ออยู่หัวเกอทัศน์เล็กน้อยและกำลังสำราญอยู่กับเหล่านางรำชั้นสูงและนาฏดนตรีอันไพเราะ แต่ก็มาถูกขัดจังหวะโดยชายผู้อยู่ในบรรดาศักดิ์ของจางวางหัวหน้ามหาดเล็กฝ่ายพลเรือน และกลุ่มชายหญิงในชุดดำปิดบังหน้าตาหลายสิบคน ทำให้พระองค์ถึงกับต้องขมวดขนงค์อย่างสงสัยและไม่ชอบพระทัยทันที พร้อมกับที่พระองค์จะตรัสเรียบๆว่า

 

      " เจ้าทำอะไรของเจ้า...ไม่สิ...เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ในเขตราชฐานชั้นในสุดที่หวงห้ามเช่นนี้? "

 

      " ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากสหายของข้าพุทธเจ้าน่ะพุทธเจ้าข้า "  เจ้าพระยาราชมนตรีฯ หรือท่านปิ่นกราบทูลออกมาเบาๆพร้อมกับโยนพระธำมรงค์พระราชทานในมือขึ้นๆลงๆไปมา ก่อนจะเก็บลงกระเป๋าอีกครั้ง...นั่นทำให้พ่ออยู่หัวอุทุมพรขมวดมุ่นพระขนงค์อีกครั้งจนพระขนงค์แทบจะผูกกันเป็นเงื่อนตายอยู่แล้ว เพราะพระองค์เริ่มจะตามเรื่องไม่ทันเสียแล้ว

 

      " แหวน...พระธำมรงค์นั่น...ของไกร---หมายถึงของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯนี่? "

 

      " ก็ข้าพุทธเจ้าทูลไปแล้ว...ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆจากสหาย "

 

      " ธำมรงค์วงนั้นมิได้ถูกมอบพระราชอำนาจให้เพื่อจุดประสงค์เช่นนี้...และที่แน่นอนที่สุด...ไม่ใช่ของพระราชทานที่ควรจะอยู่ในมือของเจ้าด้วย! "  สมเด็จพระพี่นางพินทวดีตรัสออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบและแฝงแววทรงอำนาจที่สุดพร้อมๆกับที่พระองค์จะกางพัดขึ้นปิดโอษฐ์เพื่อฉายพระเนตรอันคมกริบของพระองค์ให้เด่นชัดขึ้นโดยประสงค์จะขู่ให้อีกฝ่่ายเกรงกลัว แต่ก็แทบไม่ได้ผลอย่างที่เคยเป็นทุกครั้ง เพราะเจ้าพระยาราชมนตรีฯทำเพียงหัวเราะออกมาเบาๆเท่านั้น

 

      " อย่าทรงขู่เข็ญเสียให้ยากเลย...อ้อ...สำหรับการบุกรุกยามวิกาลเช่นนี้ ข้าพุทธเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ควรจะทราบถึงจุดประสงค์ของข้าพุทธเจ้า "

 

      " จุดประสงค์? "  พ่ออยู่หัวอุทุมพรทวนคำของอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะผินพระพักตร์ไปสบเนตรกับพระพี่นาง และสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งที่สูงกว่าพระองค์เหมือนกับเป็นเชิงขอความคิดเห็น แต่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ส่ายเศียรเล็กน้อยพร้อมกับยักอังสะเบาๆ ดวงเนตรที่ลอดออกมาจากหน้ากากสีขาวฉายแววสงสัยใคร่รู้ไม่แพ้พระองค์

 

        แต่เจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์ไม่ปล่อยให้พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง รวมไปถึงเหล่าพระสนมนางในที่นั่งอยู่เต็มพระที่นั่งแห่งนี้ได้สงสัยนาน เพราะคราวนี้สิ่งที่ติดมือออกมาแทนพระธำมรงค์กลับกลายเป็นดาบเล่มเขื่องเงาวับ ในขณะที่คนที่ติดตามมาคนอื่นๆต่างก็ชักอาวุธประจำกายอันน่าหวาดเกรงออกมาโดยพร้อมเพรียงกันในทันที

 

      " จุดประสงค์ของข้าพระพุทธเจ้า...พ่ออยู่หัวเอกทัศน์...คือการอัญเชิญพระองค์ลงมาจากราชบัลลังก์...จากราไชยไอศูรย์ที่มิได้เป็นของพระองค์...แต่เป็นของ ท่านผู้เฒ่า แห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์...ผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งข้าโดยชอบธรรม!...อ้อ...และต้องขอบอกว่าข้าชื่นชอบส่วนที่จะบอกต่อไปนี้ที่สุด... "

 

      " จ...เจ้า! "

 

      " ...คำสั่งที่ข้าได้รับมอบหมายจากท่านผู้เฒ่าของข้าโดยตรงก็คือ...ระหว่างการเปลี่ยนผ่านราชบัลลังก์ ท่านไม่ค่อยสนเท่าไหร่ว่าการอัญเชิญพวกพระองค์ลงจากฐานันดรศักดิ์ พวกพระองค์จะยังคงมีพระชนม์ชีพอยู่...หรือสิ้นพระชนมไปแล้ว! "

 

      " ก...กบฏ?! "

 

      " ก...กรี๊ด! "  

 

        ผู้ที่ขยับคนแรกไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหล่านางรำและนักดนตรีสาวๆที่ถูกขัดจังหวะการแสดงของพวกเธอ และเวลานี้ก็กรีดร้องออกมาเสียงดังลั่นจนทุกคนถึงกับสะดุ้งเฮือก...ก่อนที่เหตุการณ์จะเข้าสู่ความโกลาหล...เข้าสู่มิคสัญญีกลียุคถึงขีดสุด...สมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็สะบัดพัดประจำหัตถ์พร้อมกับตวาดด้วยพระสุรเสียงอันดังก้องว่า

 

      " อารักขาพ่ออยู่หัว!! "

 

     ...แต่มันก็เปล่าประโยชน์...

 

     ...นั่นคือคำจำกัดความเดียวที่สามารถสรรหามาจำกัดความสถานการณ์ในเวลานี้ได้ เพราะถึงแม้ว่าพระสุรเสียงที่แฝงจิตคุกคามของพระองค์จะสามารถปลุกให้คนอื่นๆหลุดจากมนตร์สะกดที่เหมือนกับสาปพวกเขาให้กลายเป็นหิน...แต่ผู้ที่กระโดดเข้าขวางระหว่างฝ่ายกบฏที่รวมเหล่าชายหญิงวัยฉกรรจ์ที่ถูกฝึกฝนในเชิงการสังหารมาเป็นอย่างดีพร้อมกับศาสตราวุธครบมือและความอันตรายที่ไม่อาจจะประเมินได้ กับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา...กลับมีเพียงพระองค์ที่แม้เคยฝึกเชิงยุทธ์มาบ้างแต่ก็เป็นในเมื่อครั้งเยาว์วัยจนร้างฝีมือไปนานแล้วพร้อมกับพัดจีนอันเป็นศาสตราจำเป็นประจำพระองค์...พ่ออยู่หัวอุทุมพรผู้แทบไม่เคยจับศาสตราเลยพร้อมกับพระแสงดาบฝักทองอาญาสิทธฺ์ที่เหมือนจะเป็นของประดับบารมีมากกว่าศาสตราที่ใช้ต่อสู้จริง...และจ่าโขลนระดับรองคุณท้าวอีก ๔-๕ คน ที่ชราภาพมากเกินกว่าจะใช้ไม้พลองยาวในมือในการต่อสู้ชนิดถึงเลือดถึงเนื้อถึงชีวิตได้อีกต่อไป...ไม่ต้องไปนับรวมพวกสนมนางในอีกนับสิบๆนางที่อยู่ภายในพระที่นั่งแห่งนี้ ไม่สิ...เลิกคิดเหมารวมไปได้เลย  เพราะทันทีที่เห็นศาสตราอันคมกริบ พวกนางน้อยๆเหล่านั้นก็พากันกรี๊ดลั่นและวิ่งไปกอดกันกลมและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว...หรือไม่ก็เป็นลมล้มพับไปในทันทีโดยไม่ช่วยอะไรเลย...

 

     " เจริญแท้ๆ...ก็อย่างว่าล่ะนะ จะหวังอะไรกับยัยพวกที่แม้แต่อาบน้ำเองยังไม่เป็นเช่นนี้ "  สมเด็จเจ้า พระพี่นางพินทวดีได้แต่ขมวดขนงค์พร้อมกับตรัสครางออกมาเบาๆอย่างหงุดหงิด และหวั่นพระทัยในทันที   

 

     ...เพราะไม่ว่าจะมองในแง่ไหน จากมุมใด...สถานการณ์ของพระองค์ก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกๆด้านเสียแล้ว...

 

      " พ...พระพี่นาง "

 

      " อย่าวอกแวกพ่ออยู่หัวอุทุมพร...และไม่ต้องมาร่วมยืนตรงนี้ด้วย...เพราะพระองค์เองก็คงจะเป็นเป้าหมายของพวกมันเหมือนกัน...พระองค์ถอยไปอยู่ข้างพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เถอะ "

 

      " แต่ว่าพระองค์ก็เป็นเป้าหมายของพวกมันเช่นกัน "

 

      " ชีวิตของหม่อมฉันหาได้สำคัญใดๆไม่...พระองค์ถอยไปเถอะ...ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉันเอง "  สมเด็จพระพี่นางตรัสอย่างตัดสินพระทัยเด็ดขาดพร้อมกับทิ้งพัดในหัตถ์ลงและเปลี่ยนไปรับไม้พลองยาวสีดำสนิทที่น่าจะเรียกว่าเป็น อาวุธ ได้อย่างสนิทปากกว่า จากคุณท้าวชราที่ยืนประคองสังขารอยู่ข้างๆแทน ...ภายในเศียรของพระองค์เต็มไปด้วยดำริความนึกคิดที่วิ่งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะหาหนทางพลิกสถานการณ์วิกฤติตรงหน้า...แต่ในวินาทีนี้...ทุกอย่างมันดูมืดแปดด้านไปทั้งหมดทั้งสิ้น!

 

      " ไม่...พวกท่านทั้งสองนั่นแหละ...หลบไป "  

 

      " พ...พ่ออยู่หัว?! "

 

        พระสุรเสียงอันแหบพร่าผิดปรกติวิสัยของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ที่ตลอดเวลาได้แต่ทรงประทับนิ่งอึ้งอยู่เบื้องหลังทำให้พระบรมวงศานุวงศ์ผู้เป็นเชษฐภคิณีและอนุชาร่วมอุทรถึงกับร้องออกมาพร้อมกันโดยทันที แต่พระเจ้าเอกทัศน์ไม่ฟังคำทักท้วงใดๆทั้งสิ้น เพราะพระองค์ค่อยๆก้าวบาทลงมาจากพระที่นั่งของพระองค์อย่างช้าๆ ก่อนจะก้มลงกาสะ (ไอ) ด้วยเสียงแหบพร่าอย่างรุนแรงราวกับการตรัสแต่ละครั้งช่างยากลำบากเหลือเกิน แต่แล้วพระองค์ก็ทรงยืดพระวรกายตรงขึ้นอีกครั้งอย่างพระทัยแข็งที่สุด

 

      " หลบไป... "

 

      " พ่ออยู่หัว! ได้โปรด...อย่า "  สมเด็จพระพี่นางพินทวดีตรัสร้องห้ามสุรเสียงหลงพร้อมกับพยายามจะเข้ามาดูพระอาการของพ่ออยู่หัว แต่พระเจ้าเอกทัศน์ยกหัตถ์ที่พันผ้าอย่างแน่นหนาห้ามไว้พร้อมกับตรัสเรียบๆอีกครั้ง

 

      " เราบอก...ให้หลบไป... " 

 

        พระองค์ผินพระเนตรไปพิศมองเจ้าพระยาผู้เป็นหัวหน้ากบฏ และก้าวเข้าไปยืนเชิดพระพักตร์อย่างสง่างามและหยิ่งทรนงในราชศักดิ์ของพระองค์ พร้อมกับตนรัสอย่างเรียบเฉยที่สุดว่า

 

      " เรา...เคยคิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าสักวันเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น...แต่ที่ข้านึกไม่ถึงจริงๆก็คือผู้ที่ก่อการทุรยศจะเป็นเจ้าที่มียศมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยาพานทอง ผู้ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ที่อยู่บนราชบัลลังก์เช่นนี้...เจ้าพระยาราชมนตรี "

 

        ดำรัสกล่าวของพ่ออยู่หัวแม้ว่าจะแหบพร่าแต่ก็เต็มไปด้วยความมั่นประทัย ปราศจากซึ่งความหวาดเกรงใดๆเลย แม้ว่าจะเป็นเวลาที่พระกาฬจะมาถึงที่แล้วตามความคิดของเจ้าพระยาราชมนตรีฯก็ตามที นั่นทำให้ออกญาแห่งฝ่ายกบฏผู้นี้ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะแผดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นทันที

 

      " ฮ่าๆๆๆ ...แหม่ๆ เมื่อก่อนพระองค์มักจะเรียกขานวานใช้ข้าด้วยนาม ปื่น อย่างถือสนิทแท้ๆ ...พอมีขุนนางคนสนิทคนใหม่อย่างไอ้เด็กไกร...ไอ้เจ้าพระยาหน้าทารกปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนั่นก็เรียกซะห่างเหินทีเดียวนะ...แต่เอาเถอะ...อยากจะเรียกข้าด้วยบรรดาศักดิ์นั้นก็เรียกให้สาแก่ใจเถอะ เพราะอีกไม่นานข้าก็คงจะเลื่อนชั้น ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งนี้อีกต่อไปแล้ว! "

 

      " ทั้งที่เจ้ากำลังระวางโทษกบฏต่อราชบัลลังก์แท้ๆ...ไม่คิดว่ามันเป็นการหวังที่สูง และลมๆแล้งๆไปหน่อยหรือ? "

 

      " ก๊าก! ฮ่าๆๆๆ ...ทรงมีน้ำพระทัยกว้างใหญ่จนกระทั่งเป็นกังวลแทนข้าเลยรึนี่?! ...โปรดอย่าห่วงไปเลย...ในเวลานี้พระองค์ควรจะเป็นห่วงพระสวัสดิภาพของพระองค์เองเถอะ!!...แต่ก็นะ...เป็นห่วงไปก็เท่านั้น...เพราะอีกประเดี๋ยวเศียรของท่านก็จะต้องถูกตัดออก และนำพระโลหิตมาเซ่นสังเวยแก่เศวตฉัตรแห่งบูรพกษัตริย์พระองค์ใหม่ของพวกข้าแล้ว "

 

      " บังอาจ! สามหาว!! "  พ่ออยู่หัวอุทุมพรผู้ที่ปรกติแล้วทรงมีพระทัยเยือกเย็นอยู่เป็นนิจยังถึงกับถลึงพระเนตรพร้อมกับแผดพระสุรเสียงออกมาดังลั่นอย่างห้ามพระทัยให้ตั้งตรงอยู่ในขันติไม่ได้อีกต่อไป หัตถ์ด้านขวาของพระองค์กำที่ด้ามพระแสงดาบฝักทองอาญาสิทธิ์แน่นจนข้อหัตถ์ซีดขาว เตรียมจะชักพระแสงดาบในหัตถ์ออกมาและพุ่งเข้าใส่อยู่รอมร่อแล้ว...แต่สิ่งเดียวที่หยุดพระองค์ไว้คือพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ผู้เป็นเชษฐา ที่ยกขึ้นเป็นเชิงห้ามปรามไว้อย่างเด็ดขาดโดยที่พระองค์ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ...

 

      " อย่า...ท่านอุทุมพร "

 

      " ต...แต่ว่า?! "

 

        ดำรัสของพระเจ้าอุทุมพรที่พยายามจะทักท้วงการตัดสินพระทัยของพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นเชษฐาของพระองค์ชะงักไปจนไม่อาจจะตรัสออกมาได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระเจ้าเอกทัศน์ไม่ได้สนพระทัยที่จะฟังเลยแม้แต่น้อย...และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ พระองค์ถูกหยุดไว้ด้วยสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดี ผู้เป็นเชษฐภคินีของพระองค์นั่นเอง

 

      " สมเด็จพระพี่นาง? "

 

      " รอก่อน...พ่ออยู่หัว "  ดวงเนตรกลมโตที่เต็มไปด้วยแววหยั่งรู้ของพระพี่นาง ที่จ้องเขม็งไปที่เบื้องพระปฤษฎางค์ (หลัง) ในภูษาและเครื่องทรงเต็มยศของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ผู้เป็นอนุชาของพระองค์ ทำให้พระเจ้าอุทุมพรผู้เป็นพระอนุชาอีกพระองค์ถึงกับต้องเลิกขนงค์พร้อมกับเบิกพระเนตรกว้างแทบถลนอย่างงงงวยทันที

 

      " ท่านพินทวดี! นี่ไม่ใช่เวลามาคิดไตร่ตรองใดๆอีกแล้วนะ! ...พ่ออยู่หัวตกอยู่ในอันตรายเกินกว่าที่พวกเราจะสามารถประเมินได้อีกต่อไปแล้ว!! "

 

      " มีบางอย่าง...ที่แปลกไป... "

 

        ระหว่างที่พระพี่นางพินทวดีนิ่งไปอยู่นั้นเอง เจ้าพระยาราชมนตรีปิ่นก็ชี้ปลายดาบมาที่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์อย่างประสงค์ร้ายพร้อมกับย่างสามขุมเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ พร้อมกับแยกเขี้ยวพูดทูลขึ้นเรียบๆทันที

 

      " ถึงจะเป็นเป้าหมาย...แต่ข้าพุทธเจ้าก็ต้องยอมรับว่าข้าพุทธเจ้าออกจะแปลกใจในความกล้าหาญอันไม่สมฐานะของพระองค์ในราตรีนี้อยู่ไม่ใช่น้อยๆ...ท่านช่างเป็นผู้ที่น่านับถือเสียจริงๆนะ ...ท่านขุนหลวงขี้เรื้อน! "

 

      " เจ้า...สัญญา...ไม่สิ สาบานได้หรือไม่?...ว่าเจ้าจะต้องไว้ชีวิตผู้ไม่เกี่ยวข้องคนอื่นๆ "

 

      " แหม่ๆ ยังมีเวลาเป็นห่วงคนอื่นอีกนะ...ก็ได้...ถือว่าเป็นการตอบแทน...เป็นคำขอบคุณที่ทำให้งานของข้าง่ายดายถึงเพียงนี้...ข้าจะจัดการให้รวดเร็วและเฉียบขาดที่สุด และข้าให้สัตย์สัญญาว่าราชธิดาสุดที่รักของท่านจะไม่มีอันตรายใดๆแม้แต่รอยขีดข่วน...เพราะพลังอำนาจของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ที่หลับใหลอยู่ภายในพระวรกายขององค์หญิงเป็นสิ่งจำเป็นต่อราชวงศ์ใหม่...ขอบคุณจริงๆนะพระพุทธเจ้าข้า!! "  เจ้าพระยาแห่งฝ่ายกบฏตวาดลั่นพร้อมกับยกดาบเล่มเขื่องในมือเงื้อขึ้นสุดหล้า จิตสังหารอันแกร่งกล้าจนน่าขนลุกปะทุพรวดจนแม้แต่พระเจ้าอุทมพรและพระพี่นางพินทวดีที่อยู่เบื้องหลังยังถึงกับต้องถอยพระวรกายไปหลายก้าวเพื่อรับและลดทอนจิตสังหารที่แผ่กระจายไปทั่วนี้ทันที!

 

        แต่แล้วก่อนที่ดาบเล่มเขื่องในมือของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์นั้นจะตวัดลงมาเพื่อปลิดปลงพระชนม์ชีพของพ่ออยู่หัวผู้ประทับอยู่อย่างไร้การป้องกันใดๆตรงหน้า พ่ออยู่หัวเอกทัศน์กลับเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับตรัสออกมาเบาๆทันที...แต่คราวนี้เป็นการตรัสออกมาด้วยพระสุรเสียงที่นุ่มใส ไร้ซึ่งแววแหบพร่าจากพระอาการประชวรใดๆเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย...

 

     ...ไม่สิ!...หากจะพูดให้ถูก...นี่ไม่ใช่พระสุรเสียงของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ด้วยซ้ำไป!!...

 

      " ทางนี้ต่างหากที่ต้องขอบใจ...เพราะเท่านี้ข้าก็ไม่ถูกประหารในข้อหาหมิ่นเบื้องสูงแล้ว! "

 

        วูบ!!

 

        ชั่วพริบตาเดียวกันนั้นเอง ดาบสีเงินวาวอันงดงาม ดาบที่เจ้าของผู้เป็นหัวหน้ามหาดล็กฝ่ายทหารทั้งปวงถวายให้แก่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ก่อนจะถูกนำตัวไปรับโทษทัณฑ์ที่ถูกลงอาญาตัดสิน และถูกวางไว้เบื้องใต้เครื่องราชกกุฏภัณฑ์...ดาบที่มีนามอย่างสวยหรูว่าดาบสดายุที่ถูกถอดออกจากฝักแล้วก็ถูกใครบางคนที่แฝงตัวอยู่ เขวี้ยงอย่างแรงจนหมุนคว้างอย่างรวดเร็ว แต่กลับพุ่งเข้าสู่มือซ้ายของผู้ที่ทุกคนคิดว่าเป็นพระเจ้าเอกทัศน์อย่างแม่นยำราวกับจับวาง...พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้หน้ากาก และเครื่องทรงกษัตริย์แห่งพระเจ้าเอกทัศน์จะยกดาบขึ้นต้านทานดาบในมือของเจ้าพระยาราชมนตรีที่หมายประหัตประหารเขาได้อย่างทันท่วงที ในท่วงท่าและจังหวะเวลาที่ประจวบเหมาะที่สุด!!

 

        เคร้ง!!

 

        เสียงของดาบที่ถูกหลอมตีขึ้นจากโลหะชั้นสูงที่กระทบกัน เกิดเสียงดังบาดหูดังสนั่นและประกายไฟวูบจนแสบตา แต่กลับไม่อาจจะทำให้ดวงตาที่เบิกโพลงจนแทบถลนออกมานอกเบ้าของเจ้าพระยาแห่งฝ่ายกบฏหิดลงได้เลยแม้แต่น้อย...ดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกใจและคาดไม่ถึงที่สุดในชีวิต

 

      " ป...เป็นไปไม่ได้! พระเจ้าเอกทัศน์ไม่สามารถประคองดาบให้อยู่กับหัตถ์ได้อีกต่อไปแล้ว! ม...มึง! ...มึงเป็นใครกัน?!! "

 

      " อ้าวๆ ...เฮ้ยๆ นี่ลืม สหาย ที่ท่านพึ่งพูดถึงไปหยกๆไปซะแล้วรึนี่? "  พร้อมกับคำพูดที่พูดออกมาอย่างมีชัย มืออีกข้างที่ถูกพันด้วยแถบผ้าขาวอย่างแน่นหนาและเลียนแบบการแต่งองค์ของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทุกกระเบียดนิ้วจะค่อยๆยกขึ้นมาจับหน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ที่ปิดบังรูปลักษณ์ไว้และถอดออกอย่างช้าๆ...เผยให้เห็นใบหน้าและตัวตนที่แท้จริง ที่ซ่อนอยู่เบิ้องหลังหน้ากากนั้น...

 

    ...ใบหน้า...ที่สะกดกลียุคทุกอย่างให้หยุดนิ่ง...และสาปฝั่งของมือสังหารแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ให้กลายเป็นหินแทนราวกับกลับตาลปัตร!...

 

      " ป...เป็นไปไม่ได้! เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี?!! "

 

      " ไกร?! "

 

 

 

................................................

 

 

 

 

     ...เรือนของออกพระเพชรพิไชย...ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง...

 

        เคร้ง!! 

 

        กริชสีเงินวาววับที่คมกริบราวกับมีดโกนในมือของมือสังหารแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ ที่เสียบแทงลงมาอย่างเต็มแรงหมายเข้าที่กลางหน้าอกอันเป็นตำแหน่งหัวใจของเจ้าพระยาหนุ่มนามว่าไกรที่นอนกรนอยู่อย่างไม่รู้เรื่องกลับไม่สามารถแทงและกินลึกเข้าไปในเนื้ออันไร้ซึ่งเกราะใดๆได้...ตรงกันข้าม ทันทีที่กริชนั้นถูกแทงเข้าใส่ กริชเล่มนั้นก็โค้งงออย่างน่ากลัวจนกระทั่งหักสะบั้นลงเป็นสองท่อนในพริบตา ราวกับแทงเข้าไปในทั่งเหล็กอย่างไรอย่างนั้นไม่มีผิด!

 

      " ป...เป็นไปไม่ได้!! "  เสี้ยววินาทีที่กริชอันเป็นศาสตราวุธประจำกายหักสะบั้นลง ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของกริชก็ถึงกับเบิกตากว้างจนแทบถลนพร้อมกับก้าวถอยหลังไปในทันที

 

      " ข...ข่าวของกลุ่มบรรลัยกัลป์ไม่มีวันผิดพลาด! ท่านไกรมีเพียงความสามารถในเชิงดาบ...ไม่มีความสามารถด้านคงกระพันชาตรีไม่ใช่หรือ?!! "

 

      " อ...อือ...ห...ฮ้าววว "

 

        ระหว่างที่ชายหนุ่มที่นอนหลับอุตุอยู่คนนั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงียและอ้าปากหาวยาวเหยียดอย่างไม่เต็มใจนักราวกับพึ่งถูกสะกิดเบาๆเพื่อปลุกให้ตื่น นางรับใช้โชคร้ายสองนางที่ถูกคร่ากุมมาและอยู่ในห้องนี้ด้วยก็ถึงกับโคลงหัวและกลอกตาไปด้านบนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที ก่อนที่พวกเธอจะกระชากผ้าที่มัดลิดรอนอิสรภาพพวกเธอไว้ให้ขาดออกจากกันอย่างง่ายดายราวกับฉีกกระดาษ และใช้มือที่ได้อิสรภาพคืนมาแล้วดึงแถบผ้าที่ปิดอุดปากอยู่ออกพร้อมกับพูดเบาๆทันที

 

      " เฮ้อ...เจ้าเห็นอย่างที่ข้าเห็นใข่ไหม ราตรี ...เชื่อเลยไหมเนี่ย...ทั้งๆที่ศัตรูเข้ามาในห้อง จนกระทั่งยืนค้ำหัวและปล่อยจิตคุกคามออกมาตั้งขนาดนี้แล้วแท้ๆ ใจคอยังอุตส่าห์จะหลับได้ลงอีก...ทั้งๆที่พวกเราขึ้นชื่อเรื่องความเฉียบคมของสัมผัสด้านต่างๆแท้ๆ คราวนี้ชื่อเสียงของ เสือกินคนแห่งอาณาจักรเขมร ของยัยนี่คงได้ร้องไห้เป็นเผาเต่าเป็นแน่ "

 

      " คิกๆๆ นั่นน่ะสิ " 

 

      " น...หนวกหูน่า ชีวา ราตรี! "  ไกรที่งัวเงียๆโงหัวขึ้นมาพร้อมกับเถียงดังลั่นทันที แต่เสียงที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มร่างกำยำที่นอนอยู่กลับเป็นเสียงที่เล็กและแหลมบางราวกับเป็นเสียงของหญิงสาวนางหนึ่งพร้อมกับที่เสียงนั้นจะเถียงต่อทันที

 

      " ...ทำเป็นพูดดีไป ลองให้พวกเจ้าต้องมาจำแลงร่างเป็นบุรุษที่ต่างกันทั้งเพศ โครงสร้างของทั้งกระดูกและสภาพผิวหนังทั้งร่าง และต้องอยู่ที่นี่ตลอดทั้งคืน ติดต่อกันมาตั้ง ๑ อาทิตย์บ้างสิ...เจ้าจินตนาการไม่ออกหรอกว่ามันสิ้นเปลืองพลังมากมายสักแค่ไหน...ลำพังแค่ข้าผลอยหลับไปโดยที่การจำแลงร่างยังไม่คลายไปเช่นนี้ก็นับได้ว่าเก่งที่สุดแล้ว! "

 

      " จ้าๆ แม่คนเก่ง... "

 

      " พ...พวกเจ้านี่มัน! "

 

      " อ่ะๆ จิตสังหารโผล่แล้วนะ ถ้าอยากจะโกรธอยากจะเคืองก็ไปโกรธไปเคืองท่านไกรที่เป็นคนต้นคิดแผนการนี้ และนายท่านสิงห์ที่เห็นดีเห็นงามด้วยเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยโน่นไป๊! "

 

      " เจ้า! ไม่ใช่ท่านไกร?! ...พ...พวกเจ้า...เป็นใคร---เป็นตัวอะไรกันแน่?!! "  เหล่ามือสังหารชายหญิงในชุดดำทั้งหมดที่อยู่ในห้องแห่งนี้ตะโกนลั่นอย่างขวัญหนีดีฝ่อ พร้อมๆกับที่อาวุธที่อยู่ในมือพร้อมใจกันยิง และฟาดฟันใส่ร่างน้อยๆของหญิงรับใช้ประหลาดทั้ง ๒ นางที่อยู่กลางวงนี้ทันที

 

        เคร้ง!!

 

        แต่ผลลัพธ์ของศาสตราในมือของเหล่ามือสังหารพวกนั้นกลับมีผลลัพธ์ไม่ต่างอะไรจากกริชสีเงินที่หักสะบั้นไปก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย เ่พราะศาสตราเหล่านี้ต่างก็หักสะบั้นลงราวกับฟาดเข้ากับทั่งเหล็ก ในขณะที่ลูกศรและอาวุธซัดอันแหลมคมต่างๆก็มีอันหักงอไป ไม่อาจจะชำแรกเข้าสู่ผิวหนังที่บางใสและดูนุ่มนิ่มราวกับเป็นผิวทารกของหญิงสาวทั้งสองเลยได้แม้แต่น้อย!

 

     ...นี่คือสิ่งที่แสดงถึงพลังแห่งความคงกระพันชาตรี ที่สูงจนไม่อาจจะประเมินได้!...

 

      " อาวุธสร้างจากเหล็กธรรมดา...และไม่ได้ลงอาคม "

 

      " อืม...ดูถูกกันเห็นๆเลย...หืม? อ้าว? คืนรูปลักษณ์เดิมแล้วหรือ มายา "  หญิงสาวที่น่าจะเป็นชีวาหันกลับไปเลิกคิ้วทักทายหญิงสาวที่คืนรูปลักษณ์จากชายหนุ่มร่างกายกำยำ กลับกลายเป็นหญิงสาวทรงโตผู้ขี้เล่นและงามงดอย่างไร้ที่ติแล้ว...และในที่สุด สิ่งที่ค่อยๆปรากฎขึ้นบนหน้าผากของหญิงสาวรูปงามทั้ง ๓ นางก็ทำให้มือสังหารผู้เป็นหัวหน้าและเจ้าของกริชที่หักไปเป็นชิ้นแรกถึงกับอุทานออกมาอย่างห้ามปากตัวเองไม่อยู่ทันที

 

      " ดวงตาสีเหลืองอ่อน กับ...อักระอุณาโลมสีเลือดนั่น?! ...ช...ชีพมนุษา?! พ พวกเจ้าเป็น สมิง?! "

 

      " เฮ้อ...ในที่สุดก็หายโง่กันเสียทีนะ...เอาล่ะ ส่วนที่เจ้าบอกว่าให้ข้าไปโกรธเคืองท่านไกรกับนายท่านสิงห์นั้น...ข้า ไม่สิ พวกเราจะโกรธเคืองพวกท่านไปทำไมกันเล่า... "

 

      " หืม? "

 

      " เพราะนานๆที...พวกเรากำลังจะได้ กิน กันอย่างเต็มคราบกันทั้งที...หลังจากนี้พวกเราต้องขอบคุณท่านไกรเลยด้วยซ้ำ! "

 

      " ก...กิน?! พ...พวกเรา ถอย!! "

 

        แคว่ก!! 

 

      " อ๊ากกกกก! "

 

        ทันทีที่คำสั่งถอยออกจากปาก ท่อนแขนอันกำยำของชายผู้เป็นหัวหน้ามือสังหารกลุ่มนี้ก็ขาดกระเด็นและปลิวติดปากเล็กๆของหญิงสาวนามว่ามายา...ผู้เมื่อครู่นี้ยังจำแลงร่างปลอมเป็นเข้าพระยาพิทักษ์ฯอยู่หยกๆเลยแท้ๆ...แต่ถ้าจะให้ถามความรู้นึกคิดของพวกมือสังหารที่เห็นแขนของหัวหน้าที่ถูกกระชากขาดไปอยู่ทนโท่...ในเวลานี้พวกเขาสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า...

 

     ...ถ้าเป็นไปได้ พวกเขายอมที่จะเจอกับท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯในสภาพพร้อมอาวุธครบมือ รวมไปถึงหน่วยคเณศร์เสียงาทั้งหมด...ดีกว่าต้องมาเผชิญหน้ากับเสือสมิงสุดสวยทั้ง ๓ ตนนี้เป็นแน่!...

 

        แคว่ก! 

 

      " กรี๊ดดดด!/อ๊ากกกก! "

 

      " อย่าพยายามขัดขืนไปเลย...อาหารของพวกข้า!! "

 

 

 

 

..................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา