ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

61)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ไกรมองดาบสีเงินเล่มงามน้ำหนักเบาหวิวในมือด้านซ้ายสลับกับดาบสีตะกั่วหนักๆที่เป็นเหมือนกับแท่งเหล็กตันๆไร้ลวดลาย มีเพียงแค่แถบผ้าบางอย่างพันด้ามไว้ในมืออีกข้างนึง แต่เสี้ยววินาทีนี้เขาไม่มีเวลามามัวปลื้มปริ่มชื่นชมดาบทั้ง ๒ เล่มในมือมากนัก เพราะเสียงครางหวีดหวิวของบรรยากาศที่เหมือนกับถูกของมีคมบางอย่างแหวกอากาศทำให้ชายหนุ่มต้องตั้งท่าเพื่อรอรับการจู่โจมอีกครั้ง

 

      " เวร! แล้วทีนี้จะรับมือยังไงล่ะเนี่ย?! "  ชายหนุ่มสลับเอาดาบที่หนักกว่าไว้ในมือข้างซ้ายซึ่งเป็นข้างที่ถนัดก่อนจะตั้งดาบป้องกันเต็มรูปแบบและก้าวถอยหลังไปช้าๆ เพราะนอกจากเสียงหอกแหวกอากาศจนครางหวีดหวิวแล้ว ถึงเวลานี้เขาก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงองค์หญิงสิริจันทร หรืออสูรที่มีนามคุ้นๆหูว่า วิรุญจำบัง ได้เลย...ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือว่าทางสัมผัสจิตคุกคามด้วยซ้ำ!

 

        ช่วงพริบตาที่ไกรครางออกมา เสีงหวีดหวิวนั้นก็หวีดแหลมขึ้นอีกครั้งพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งวูบอย่างกะทันหันจนชายหนุ่มใจหายวาบ รีบตาลีตาเหลือกใช้ดาบในมือทั้งสองปัดสิ่งที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นหอกที่ล่องหนอยู่ออกไปชนิดฉิวเฉียดไปเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ขนาดเขาที่ว่ามีปฏิกริยาโต้ตอบไวกว่าทุกๆคนแล้วก็ยังไม่อาจหลบการโจมตีนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเลย

 

      " ก...กรอด! "

 

        ถึงจะสามารถปัดคมหอกล่องหนที่หมายแทงทะลุหัวใจของเขาได้ แต่คมหอกที่คมราวกับมีดโกนนั้นก็เฉียดสะกิดเสื้อแสงของเขาขาดวิ่นเป็นแนวยาว บาดอกกำยำของเขาจนเลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมาทันที

 

        การรับการจู่โจมเมื่อครู่นี้เพียงครั้งเดียว ก็เพียงพอที่เขาจะบอกอะไรได้หลายๆอย่างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งและความขี้โกงของอีกฝ่าย ความคับขันของสถานการณ์ รวมถึงความจริงที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งที่เขารู้ดีที่สุด

 

        ถ้าหากเมื่อครู่นี้ไม่ได้สุดยอดศาสตราในมือทั้งสองช่วยลดความแรงไว้จนแทบไม่เหลือ...ป่านนี้หอกล่องหนเล่มนั้นคงจะแทงเข้ากลางหน้าอก ตัดขั้วหัวใจและทะลุไปด้านหลังเขาไปแล้ว! 

 

      " ไกร?! "  อนาสตาเซียที่ยืนหลบอยู่ที่มุมเงาไม้ไกลออกไปถึงกับร้องออกมาเบาๆอย่างเป็นห่วงทันที แต่เมื่อเธอขยับทำท่าจะเข้าไปช่วย แหวนทองคำขาวอาถรรพ์ที่สวมอยู่ที่นิ้วโป้งของเธอก็เปล่งแสงวาบและส่งกระแสบางอย่างเพื่อเตือนเธอทันที

 

      " อ...อรัญญิกาเทวี?! "

 

      ' อย่า! นาสตี้...อีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่เธอและแส้หนังธรรมดาๆจะสามารถต่อกรได้ '

 

      " แต่ว่า---! "

 

      ' ไร้ศาสตราที่ถูกสร้างจากโลหะมีอันดับ เธอเข้าไปก็มีแต่จะเกะกะไกรเสียเปล่าๆ ' 

 

      " เขาเป็นคนของท่าน! เป็นเจ้าของแหวนวงนี้...นี่ใจคอท่านจะ--- "

 

      ' เย็นไว้ ยัยหนู...ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้มีหน้าที่ในการแทรกแซงวิถีทางและอนาคตของพวกเจ้า...หน้าที่ของข้าไม่ได้ครอบคลุมถึงการยื่นมือเข้าช่วยเหลือทุกๆคนราวกับนางฟ้าผู้อารีย์ แต่ช่วยทำให้ทุกๆอย่างเป็นไปอย่างที่มันควรเป็นต่างหาก...เพราะฉะนั้นต่อให้ไกรต้องตายจริงๆ...ข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้... '

 

        คำพูดแบบมะนาวแล้งน้ำของเทพีสาวที่ดังขึ้นในหัวของหญิงสาวทำให้เธอถึงกับขมวดคิ้ววูบทันทีเหมือนกับโดนดูถูก แต่เธอก็ต้องหลับตาลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆอย่างจำนนต่อเหตุผลที่อีกฝ่ายพูดพร้อมกับครางออกมาเบาๆทันที

 

      " ฮึ่ม...ถ้าหากแค่มี นาคราช อยู่ในมือล่ะก็ "

 

      ' คิกๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยไปหรอก...แม่ซึนเดระ '

 

      " หา? นี่ ประเดี๋ยว...ไอ้คำแปลกๆที่ท่านใช้เรียกข้ามันแปลว่าอะไรกัน?! "

 

      ' ฮ่ะๆ อย่าสนใจเรื่องหยุมหยิมเลย เอาเป็นว่าเรื่องไม่ต้องเป็นห่วงน่ะ ข้าพูดจริง '

 

      " หืม? "

 

      ' ...เพราะขุมพลังที่ไม่อาจดูแคลนได้อีกขุมหนึ่ง...มาช่วยเจ้าหนุ่มนั่นแล้ว '

 

        ครืนนนน

 

        เสียงของท้องฟ้าที่มืดครึ้มไปด้วยกลุ่มเมฆดำประหลาด ที่อยู่ๆก็ปรากฏขึ้นมาบดบังแสงจันทร์และแสงดาวบนท้องฟ้าทำให้มือสังหารสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะเลิกคิ้วบางๆและร้อง อ๋อ! เบาๆทันที

 

 

 

 

.......................................

 

 

 

 

        เปรี๊ยะ!!  เคร้ง!!

 

        ไกรใช้ดาบเล่มบางทว่าหนักและแน่นอย่างดาบสัมพาทีในมือข้างซ้ายปัดหอกลองหนที่โถมจู่โจมเข้ามาอีกครั้งโดยอาศัยเพียงแค่จิตสังหารที่พุ่งวูบในเสี้ยววินาทีเดียวที่วิรุญจำบังจะลงมือเท่านั้น จึงทำให้ไกรถูกบีบให้ได้แต่เป็นฝ่ายตั้งรับฝ่ายเดียว โดยที่หลายครั้งไกรพยายามจะใช้ดาบที่สร้างจากแร่เหล็กสังขวานรสีเงินวาววับ ...ดาบสดายุในมือขวาหยั่งแทงสวนกลับในทิศทางที่หอกล่องหนนั้นแทงมาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็คว้าน้ำเหลววืดตลอด...ทางนึงอาจจะเป็นเพราะความต่างเกินไปของพลังอำนาจระหว่างเขากับอสูรตนนี้ แต่ลึกๆแล้วเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าดาบของเขาสวนแทงได้อย่างไม่เต็มฝีมือที่แท้จริง เพราะเขาเป็นห่วงพระสวัสดิภาพขององค์หญิงสิริจันทรที่เขาเห็นอยู่คาตาว่าเป็นเหมือนผู้ควบคุม...หรือไม่ก็ถูกควบคุมด้วยอสูรตนนั้น

 

        หากดาบของเขาเกิดพลาดท่าไปต้องพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร แทนที่จะปราบอสูรตนนั้นให้ราบคาบ...นอกจากจะทำให้ประวัติศาสตร์ที่เขารู้จักเปลี่ยนไปจนไม่อาจจะแก้ไขกลับคืนได้แล้ว...หัวของเขาก็คงมีหวังจะต้องราชอาญาจนขาดกระเด็นไปโดยไม่เหลือช่องให้ขอพระราชทานอภัยโทษได้เป็นแน่!

 

       เคร้ง!!

 

      ' ธ...โธ่โว้ย! ต่อให้เรารู้จักพลังของอสูรตนนี้ดีกว่านี้ เราก็ไม่สามารถลงมือได้อย่างเต็มที่อยู่ดี...ไม่สิ...ก่อนอื่น ต้องหาทางแก้ปัญหาเรื่องที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้นี่ซะก่อนล่ะ ไม่งั้นมีหวังได้ก้าวขาลงนรกอีกรอบแน่ๆ '  ไกรคิดวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหลือบกลับไปมองสมเด็จพระอัครมเหสีที่เวลานี้ทรงช่วยกับสมเด็จพระที่นางเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นหญ้า ซึ่งเป็นเหมือนกับความหวังเดียวที่จะกำหราบอสูรที่กำลังคลุ้มคลั่งตนนี้ได้ ...แต่การเบนความสนใจจากการต่อสู้ตรงหน้าเพียงวูบเดียวนี้กลับมีราคาที่ต้องชดใช้ที่แพงไม่ใช่น้อยๆเลย!

 

        ฉัวะ! 

 

      " เวร! "

 

        คมหอกที่ไม่อาจมองเห็นหรือสัมผัสได้ในหัตถ์ของวิรุญจำบังก็แทงเฉียดบริเวณหัวไหล่ด้านขวาของเขาไป ส่งผลให้เลือดสีแดงฉานพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผลเป็นสายทันที...โชคของชายหนุ่มยังดีอยู่บ้างที่เขาสามารถใช้เสี้ยววินาทีที่เขาสัมผัสจิตสังหารได้เบี่ยงองศาเพื่อหลบคมหอกนั้นทัน...ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ติดปลายหอกนั้นไปอาจไม่ใช่แค่เลือดสดๆ แต่เป็นแขนข้างขวาของเขาทั้งแขนเลยก็ได้!

 

        ไกรพยายามกระโดดถอยหลังเพื่อทิ้งระยะห่าง และฉีกเสื้อแสงที่เวลานี้หลุดลุ่ยออกมาขยุ้มกดบาดแผลที่เข้าขั้นฉกรรจนี้ไว้ทันที ดาบสดายุส่งเสียงกริ๊ก! เบาๆอีกครั้งเมื่อเขาสะกิดเข้าที่ปุ่มกลไกลับพร้อมกับที่สันดาบด้านหลังเปิดออกอีกครั้งเพื่อให้ชายหนุ่มยัดดาบสัมพาทีลงไปอย่างรวดเร็วทันที เพราะแขนซ้ายของเขาในเวลานี้คงจะไม่สามารถใช้ดาบได้อยู่แล้ว ทางเลือกเดียวที่เขามีคือการใช้ดาบเพียงเล่มเดียวอีกครั้ง

 

     ...และนั่นก็แปลว่าเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบไปมากกว่าเดิมอีกครั้งเช่นกัน!...

 

        ระหว่างที่ไกรกำลังกระชากเสื้อแสงที่เวลานี้ขาดหลุดลุ่ยไม่เป็นทรงออกมาและขยำเช็ดปาดคราบเลือดที่ไหลเป็นแนวยาวพร้อมกับคิดหาวิธีสู้เพื่อถ่วงเวลาอยู่นั้น...อยู่ๆ บรรยากาศข้างๆตัวเขาก็ลั่นเปรี๊ยะขึ้นเบาๆ  ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไรต่อไป กุมารี น้อยน่ารักน่าชังสองตนก็ปรากฎพรึ่บขึ้นข้างๆเขาอย่างกะทันหันพร้อมกับที่เด็กน้อยผมสั้นผิวสีแทนท่าทางแก่นแก้วจะกระโดดออกไปด้านหน้าพร้อมกับใช้แขนป้อมๆเล็กๆที่สวมกำไลโลหะสลักอักขระอาถรรพ์โบราณยกขึ้นไขว้เป็นรูปกากบาทเพื่อรับมือกับบางอย่างที่ไกรไม่อาจจะสัมผัสได้ทันที

 

        เคร้ง!!

 

      " ล...ลูกแก้ว?! "

 

        เสียงที่กังวานบาดหูกับภาพที่ลูกแก้วกระเด็นกลับมาทำให้ไกรรู้ได้ทันทีว่าเด็กหญิงคนนี้...ไม่สิ...เด็กหญิงตนนี้พึ่งจะปกป้องเขาจากการจู่โจมที่มองไม่เห็นของ วิรุญจำบัง อีกครั้ง ในขณะที่กุมารีนามว่าลูกแก้วที่กระเด็นกลับมาม้วนตัวลงพื้นพร้อมกับทำตาถมึงทึงแยกเขี้ยวขู่ฟ่อใส่อากาศที่ว่างเปล่าตรงหน้าเขาทันที

 

      " พ...พวกเจ้า...ลูกแก้ว ลูกขวัญ? "

 

      " เจ้าค่ะ ท่านไกร...ท่านพ่อทำพิธีเซ่นสรวงขออนุญาตและขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำราชวัง เพื่อส่งพวกข้ามาคุ้มครองท่านแล้ว "  กุมารีอีกตนที่มีรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงผิวขาวราวกับลูกคุณหนูที่มีชื่อว่า ลูกขวัญ เอ่ยขึ้นเรียบๆ พร้อมกับใช้ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้าเขม็ง ในขณะที่ไกรลอบถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอกและหายใจคล่องขึ้นเล็กน้อยทันที

 

     " ...นี่ก็แปลว่าท่านเรืองทราบเรื่องนี้แล้วสินะ...แต่ว่า พูดก็พูดเถอะนะ พวกเจ้าทั้งสองเป็นเหมือนนางฟ้ามาโปรดข้าแท้ๆ "  ไกรยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดในสิ่งที่เขาคิดเบาๆ ในขณะที่ ลูกขวัญ ที่ลอยอยู่เอื่อยๆข้างๆตัวชายหนุ่มหันดวงตากลมโตนั้นมาหาเขาพร้อมกับที่ปากเล็กๆได้รูปนั้นจะพูดเจื้อยแจ้วขึ้นทันที

 

     " ...ถ้าอย่างนั้นพูดก็พูดเถอะนะเจ้าคะ...นี่ท่านมาเจอกับอะไรล่ะเนี่ย?! "

 

       เธอเหลือบขึ้นมามองที่เขาเหมือนกับจะสงสัยในสถานการณ์ที่คับขันของไกรในขณะนี้จริงๆมากกว่าจะถามประชด ในขณะที่ไกรถึงกับแยกเขี้ยววับผ่อนลมหายใจเฮือกพร้อมกับลดอาวุธลงเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับไปเบาๆทันที

 

      " เฮ้อ...ข้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจไอ้สถานการณ์หลุดโลกบ้าๆตรงหน้านี่เหมือนกันล่ะน่า...แต่ทั้งหมดทั้งมวลข้าก็ต้องขอบใจพวกเจ้าสองคนมากๆนะที่มาช่วย... "

 

      " เปลี่ยนจากคำขอบน้ำใจเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่เจ้าคะ? "  ลูกขวัญที่ยังคงลอยเอื่อยๆอยู่ข้างๆเขาหันขวับมามองตาแป๋วพร้อมกับดูดนิ้วตัวเองราวกับหวังอะไรบางอย่างที่ไกรไม่อยากจะคิดอยู่ ทำเอาเขาถึงกับต้องรีบส่ายหน้าจนคอแทบหักทันที ...ในขณะที่ลูกแก้วเหลือบดวงตากลมโตดูที่กำไลโลหะทั้งสองที่เวลานี้เกิดรอยร้าวเล็กๆในการปะทะกันเพียงครั้งเดียวพร้อมกับทำหน้าเคร่งลง ก่อนจะหันกลับมาร้องลั่นทันที

 

      " นี่! เจ้าน่ะ...จะยืนสนทนากันโดยไม่หันมาช่วยข้าจริงๆอย่างนั้นรึ?! ไม่คิดว่ามันออกจะใจดำไปหน่อยรึอย่างไร ลูกขวัญ!! "  

 

      " เอ๋...เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่ากระแสของหอกนั่นเป็นธาตุศักดิ์สิทธิ์...ตัวเจ้าที่แข็งแกร่งเป็นโคถึกน่ะยังพอทำเนา แต่หากข้าถูกหอกเล่มนั้นตรงๆ มีหวังได้สลายไปโดยไม่อาจจะคงสภาพไว้ได้แน่ งานนี้ยกให้เจ้าเลยก็แล้วกัน "  แต่ลูกขวัญกลับจีบปากจีบคอตอบกลับไป แถมยังถือวิสาสะขยับเข้ามานั่งแกว่งขาบนไหล่กว้างๆของไกรเสียอีก ทำเอากุมารีน้อยอีกตนถึงกับขมวดคิ้วทันที 

 

        เคร้ง!!

 

      " ก...กรอด! พูดอย่างกับว่าข้าสามารถรับหอกนี่ได้โดยไม่เป็นอะไรอย่างนั้นแหละ...แล้วข้าก็ไม่ลืมเรื่องที่เจ้ามาหาว่าข้าเป็นโคถึกด้วยนะ ยัยลูกคุณหนูจับจดนี่! "

 

      " ว...ว่าอย่างไรนะ?! "

 

      " นี่ๆ ตกลงพวกเจ้าจะมาช่วยข้าหรือว่าจะมากวนประสาทข้าเล่นเฉยๆกันแน่เนี่ย "  ไกรครางออกมาเบาๆเพื่อห้ามทัพที่ดูเหมือนเป็นการแยกเด็กๆ ๒ คนไม่ให้ตีกันมากกว่า ซึ่งดูจากสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรหรือจำเป็นต้องมาทำเลยด้วยซ้ำ เพราะในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งวูบขึ้นอย่างกะทันหันอีกครั้ง...อาจจะด้วยความลืมตัวหรือเพราะยังคงคิดว่ากุมารีทั้งสองคน...ไม่สิ ทั้งสองตนนี้เป็นเด็กน้อยธรรมดาๆ ทำให้เขาฝืนอาการบาดเจ็บเพื่อยกดาบสดายุในมือเขาขึ้นเตรียมรับหอกล่องหนนั้นทันที

 

        แต่ความเร็วของเขากลับดูเหมือนจะช้ากว่าเด็กน้อยผิวบางราวกับลูกคุณหนูอย่างลูกขวัญไปครึ่งก้าว เพราะเด็กน้อยที่เวลานี้ยังคงนั่งห้อยขาอยู่บนไหล่ของชายหนุ่มดีดนิ้วเป๊าะจนเกิดเสียงดังกังวานขึ้น ก่อนที่อยู่ๆ เศษฝุ่นดินและทรายละเอียดๆที่อยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็พุ่งขึ้นมาลอยค้างอยู่บนอากาศรอบตัวของชายหนุ่มทันที!

 

      " นี่มัน? "

 

        ถึงจะบอกว่าเศษดินเศษทรายละเอียดๆเหล่านี้ถูกพลังบางอย่างที่เหนือกว่าความเข้าใจของไกร ต้านแรงโน้มถ่วงให้ลอยขึ้นมา แต่เศษดินก็ยังเป็นแค่เศษดิน ที่แม้ว่าจะดูเหมือนพุ่งขึ้นล้อมเพื่อเป็นเกราะกำบังของเขา แต่มันก็เป็นเพียงแค่เศษฝุ่นละอองละเอียดที่ไม่สามารถป้องกันแม้แต่ศาสตราธรรมดาๆได้เลยด้วยซ้ำ

 

        แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันว่าอะไร อยู่ๆ เศษฝุ่นละอองตรงหน้าเขาก็ถูกของมีคมรูปร่างแหลมเรียวบางอย่างแหวกจนเห็นเป็นสายอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เศษดินที่แหวกออกนี้สร้างวิถีการโถมแทงของหอกล่องหนในหัตถ์ของวิรุญจำบังให้เขาสามารถมองเห็นและใช้ดาบในมือปัดได้อย่างทันท่วงทีและสบายๆเลยทีเดียว

 

      " เห็นไหม? ลูกแก้ว...ถ้าหากเจ้าลองใช้หัวคิดสักนิด แทนที่จะใช้เพียงกำลังอยู่ถ่ายเดียวราวกับโคถึก เจ้าก็สามารถไขปริศนายากๆนี้ได้อย่างง่ายดายเลยทีเดียว "  เด็กหญิงผิวขาวหันกลับไปจีบปากจีบคอใส่เด็กหญิงอีกคนอย่างยั่วเย้า ทำเอาลูกแก้วถึงกับตาลุกวาว ในขณะที่ไกรเองก็ถึงกับหัวเราะแปร่งๆออกมาเบาๆทันที เพราะอย่าว่าแต่ลูกแก้วเลย...งานนี้แม้แต่เขาเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าจะสามารถแก้ทางความสามารถที่รับมือได้ยากยิ่งอย่างการล่องหนและลบจิตสัมผัสของอสูรนามว่าวิรุญจำบังได้อย่างง่ายดายชนิดเส้นผมบังภูเขาขนาดนี้ด้วยซ้ำ 

 

      " เออ! เจ้าฉลาด...ฉลาดไปให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน "

 

      " คิกๆ แน่นอน "  ลูกขวัญหัวเราะเบาๆพร้อมกับดีดนิ้วเป๊่าะ! อีกครั้ง...คราวนี้เศษดินที่ลอยวนกระจัดกระจายอยู่รอบๆตัวไกรเหล่านั้นก็พุ่งพรวดเข้าไปจับร่างที่ล่องหนอยู่ขององค์หญิงสิริจันทรที่เหมือนกับไร้ซึ่งพระสติ และร่างครึ่งร่างของอสูรนามว่าวิรุญจำบังนั้นไว้จนทั่ว และผนึกค้างแข็งด้วยพลังอำนาจบางอย่างที่เป็นพลังประจำกายของลูกขวัญ จนดูเหมือนกลายเป็นรูปปั้นดินอันน่าเกรงขามและแน่นิ่งไปแล้ว!

 

      " เห็นไหม? ...ขอเพียงแค่ใช้หัวคิด ทุกอย่างก็สามารถกลายเป็นเรื่องง่ายๆได้แล้ว...อ้อ...อย่าห่วงเลยนะเจ้าคะท่านไกร ผนึกดินนั่นไม่เป็นอันตรายถึงแก่พระชนม์ชีพ เพียงแค่ผนึกให้ค้างไว้เท่านั้น "  ประโยคหลังกุมารีน้อยนามว่าลูกขวัญหันกลับมาพูดกับไกรเพื่อให้เขาสบายใจขึ้น ในขณะที่ไกรถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างคลายความกังวลพร้อมกับลดท่าทีป้องกันลง แต่เพียงเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น อนาสตาเซียที่หลบอยู่ที่มุมมืดไกลออกไปพุ่งออกมาและกรีดร้องเสียงดังลั่น!

 

      " ไกร! อันตราย! อย่าลดการป้องกันลง!! "

 

      " ห่ะ? "

 

        ชายหนุ่มครางออกมาได้เพียงเท่านั้น ร่างแข็งค้างที่ดูเหมือนรูปปั้นดินนั้นก็สว่างวาบราวกับดวงอาทิตย์ดวงที่สอง ก่อนที่ร่างนั้นจะระเบิดวูบด้วยพลังกระแสธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรงจนไกรที่ยืนอยู่ใกล้จุดที่เกิดระเบิดที่สุดถึงกับกระเด็นถอยหลังกลับมากองอยู่กับพื้น ในขณะที่กุมารีทั้งสองไม่อาจทนทานต่อพลังที่แฝงมาพร้อมกับแรงระเบิดนี้ได้ จนต้องรีบสลายตัวและหนีหายไปโดยไม่อาจจะคงรูปร่างอยู่ได้ทันที เพราะถ้าหากยังขืนดื้อแพ่งไม่ยอมอีก พลังอำนาจนั้นคงจะทำให้พวกเธอต้องสูญสลายหายไปตลอดกาลแน่ๆ คงเหลือไว้เพียงเสียงบางๆที่กระซิบอยู่ข้างหูที่อื้ออึงของเขาเท่านั้น

 

      " ...ขออภัยนะ ท่านไกร...พวกเราช่วยได้เพียงเท่านี้ "

 

      ' เฮ้อ...เอาเถอะ ก็ไม่ได้ถือโทษโกรธกันหรอกนะ เพราะคิดไว้แล้วว่ามันง่ายแปลกๆ แต่งานนี้คนที่ซวยจะกลายเป็นเราคนเดียวล่ะสิทีนี้ '

 

 

        ไกรคิดในใจพร้อมกับรีบกระโดดลุกขึ้นโดยไม่ยอมฟังเสียงร้องประท้วงของร่างกายที่ลั่นไปทั่วทั้งร่างพร้อมกับครางออกมาเอีกครั้งทันที เพราะรอยแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ด้านซ้ายที่ยังคงมีเลือดเป็นลิ่มๆไหลออกมาอยู่ชักจะสร้างความลำบากให้กับเขามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และกำลังแปรสภาพจากความชาดิกลายเป็นความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว...ในขณะที่ร่างที่เวลานี้ปราศจากซึ่งเศษเสี้ยวของเศษดินที่ผนึกอยู่ขององค์หญิงสิริจันทรและครึ่งร่างของอสูรนามว่าวุรุญจำบังส่องแสงวาบราวกับพยายามที่จะใช้มุกเดิมด้วยการล่องหนอีกครั้ง ...แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะต้องรับมือกับอีกฝ่ายอีกครั้ง เสียงคำรามที่เป็นเหมือนเสียงของพระที่มาโปรดก็คำรามสะท้านสะเทือนไปทั้งสนามอันเป็นลานกว้างนี้อีกครั้ง!

 

        เปรี้ยง!! ครืนนนน

 

        สายอสุนีบาตสีขาวที่อยู่ๆก็ผ่าเปรี้ยงลงตรงหน้า ห่างจากปลายจมูกไกรเพียง ๔-๕ ก้าวทำเอาไกรถึงกับเบิกตากว้างก่อนจะหลับตาแยกเขี้ยววับเพื่อรับกัมปนาทเสียงดังสนั่นที่ตามมาในชั่วเสี้ยววินาที...แรงระเบิดจากกระแสไฟฟ้าที่อาจจะมีความต่างศักย์สูงถึง ๑๐๐ ล้านโวลต์สร้างแรงสั่นสะเทือนและเสียงระเบิดที่ดังสนั่นจนเขาถึงกับกระเด็นถอยหลังกลับไปอีกครั้ง แถมคราวนี้กระเด็นไปด้วยความแรงและระยะทางที่ไกลกว่าเดิมถึงเกือบครึ่งช่วงตัว...ร่างกายชาดิกวูบไปทั่วทั้งร่างราวกับถูกช๊อตด้วยสตั๊นกันในระยะเผาขนทันที

 

      " อ...อะไรฟะเนี่ย?! "  ไกรครางออกมาเบาๆพร้อมกับพยายามลุกขึ้น แต่เขาเผลอใช้แขนขวาซึ่งเป็นข้างที่บาดเจ็บอยู่ยันกาย ส่งผลให้ความเจ็บปวดอันไม่น่าอภิรมย์แม้แต่น้อยวิ่งจู๊ดขึ้นสู่สมองจนเขาต้องร้องออกมาและทรุดลงไปนอนวัดพื้นใหม่อีกรอบพลางสบถลั่น

 

      " แหม่...บางครั้งข้าก็คิดนะ ว่าเจ้ารอดเป็นผู้เป็นคนมาจนถึงป่านนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่ดวงของเจ้าออกจะเป็นที่รักของพญามัจจุราชเสียขนาดนี้...ไกร "

 

      " อ่าาาา...ข้าก็ดีใจจริงๆที่เห็นหน้าท่าน ท่านผู้เฒ่า "

 

        ผู้ที่ก้าวเข้ามาช่วยเขาไว้ในสถานการณ์ที่โคตรฉุกเฉินนี้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดกลับกลายเป็นชายหนุ่ม(ตลอดกาล) ที่มีฉายาว่าท่านผู้เฒ่า...ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าสูงสุดของหมู่บ้านมือสังหารอันเร้นลับผู้อยู่เบื้องหลังหน้าประวัติศาสตร์ และที่สำคัญที่สุด...ชาย ผู้เป็นผู้ครอบครอง ดาบฟ้าฟื้น อันสะท้านฟ้าสะเทือนดินนี้นั่นเอง!

 

        อดีตออกญาหนุ่มผู้เวลานี้ใช้ฉายาว่า ท่านผู้เฒ่า ชี้ดาบที่ดูเหมือนกับเป็นดาบดาดๆธรรมดาๆในมือไปที่จุดที่พึ่งเกิดฟ้าผ่านั้นนิ่ง เขาจะเหลือบมองมาที่ไกรที่ยังคงกึ่งนั่งกึ่งนอนแผ่สามสลึงอยู่ ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยื่นฝักดาบไม้ให้ไกรจับ เพื่อฉุดเขาขึ้นมาช้าๆ

 

      " อ้อ...เหล็กสังขวานร...โลหะเย็นที่มีสรรพคุณป้องกันฟ้าผ่าอย่างชะงัด...ยูกิโอะสร้างของอันตรายออกมาอีกแล้ว มิน่าล่ะสายฟ้าของดาบข้าถึงได้มีผลต่อเจ้าน้อยนัก "

 

      " เฮ้ยๆ ท่านผู้เฒ่า...แปลว่าสายฟ้าเมื่อครู่นี้กะเล่นทั้งข้าทั้งอค์หญิงเลยเหรอ? แล้วแบบนี้องค์หญิง--- "

 

      " หัดห่วงตัวเองซะก่อนเถอะนะ เด็กเอ้ย...ส่วนทางเจ้าหญิงที่เจ้าเทิดทูนบูชาน่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงไปเลย...โน่นปะไร " 

 

        สิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพยักเพยิดให้ไกรดูทำให้ไกรเบิกตากว้างจนแทบถลนอีกครั้ง เพราะหลังจากที่ควันขาวทีุ่้งตลบไปทั่วนั้นจางลง ที่หลุมตื้นๆอันเกิดจากแรงระเบิดนั้นกลับมีรยางค์เนื้อสีแดงปนน้ำตาลแก่ๆที่ดูแล้วคล้ายกับลิ้นสากๆขนาดยักษ์กางเป็นโดมเล็กๆที่มีควันกรุ่นๆลอยขึ้นมา ก่อนที่ลิ้นขนาดใหญ่ยักษ์นั่นจะหดกลับเข้าสู่ปากที่แสยะจนเห็นเขี้ยวสีขาวโง้งของยักษ์อีกตนที่มีผิวสีหงเสน(สีแดงอ่อนๆ) ที่มีมงกุฎทองรูปน้ำเต้ากลมสวมอยู่เหนือเศียรนั้น เผยให้เห็นพระวรกายขององค์หญิงสิริจันทรที่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆเลยโดยสิ้นเชิง...ก่อนที่ยักษ์ตนนั้นจะสลายไปกลายเป็นละอองสีทองระยิบระยับ...ละอองสีทอง ที่กำลังสว่างวาบและหมุนวนอย่างรวดเร็วอีกครั้งที่ด้านหลังของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ แต่คราวนี้ละอองแสงนั้นกลับสร้างแรงกดดันที่มากกว่าเดิมจนทั้งไกรและท่านผู้เฒ่าถึงกับต้องก้าวถอยหลังกลับโดยที่ไม่รู้ตัวทันที

 

      " ท...ท่านผู้เฒ่า "

 

      " ...ซวยริยำจริงๆ ไกรเอ้ย...ท่านหญิง ของเจ้าพึ่งจะเปลี่ยนจากการละเล่นอย่างเด็กน้อย...กลายเป็นการเล่นชนิดหนักข้อขึ้นอย่างเทียบกันไม่ได้แล้ว "

 

        ละอองแสงสีทองที่พุ่งควบแน่นรวมตัวกันอีกครั้งเหล่านั้นเวลานี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นยักษาที่มีผิวกายเป็นสีดำสนิทตลอดทั้งร่าง ใบหน้าถมึงทึงเข้ากันได้ดีอย่างน่ากลัวกับเขี้ยวที่โง้งแสยะงอกพ้นปากและดวงเนตรที่วาวโรจน์ราวกับแสงไต้...แต่ที่เห็นได้อย่างเด่นชัดที่สุดกลับเป็นศาสตราวุธในหัตถ์ของยักษ์ตนนั้น ที่เป็นขวาน...ขวานสีทองอร่ามที่อัดแน่นไปด้วยพลังที่ทำเอาหอกล่องหนของวิรุญจำบังกลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย...

 

    ...ขวานอสุนีบาต!...

 

      " ฮึ่ม...ต่อจาก วิรุษจำบัง ก็เป็น ชิวหา และเวลานี้ก็ยกระดับเป็น รามสูร ที่สามารถพิชิตอสุนีบาตของดาบฟ้าฟื้นของข้าได้อย่างเบ็ดเสร็จทั้งๆที่เป็นการลืมเนตรตื่นครั้งแรกแท้ๆ...เป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง ที่แข็งแกร่งกว่าพระองค์ก่อนชนิดเทียบไม่ติดเลย!! "

 

      " พ...พระองค์ก่อน?! อย่าบอกนะว่าท่านเคยเจอกับคนที่สามารถอัญเชิญอสูรบ้าคลั่งนี่มาแล้ว?!! "  ไกรที่เวลานี้เอามือที่กุมดาบอยู่กดบาดแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ไว้หันขวับมาถามอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาขมวดคิ้วอย่างงุนงงในคำพูดของไกรทันที

 

      " คลุ้มคลั่ง?  ไกร...อย่าบอกนะว่าเจ้าโจมตีอสูรนั่นเพราะเข้าใจว่ามันกำลังคลุ้มคลั่งและไล่ฆ่าผู้อื่นไปทั่วน่ะ? "

 

      " อ...เอ่อ...ข้าจำเป็นต้องพุ่งเข้าไปช่วยไอ้...ไม่สิ ยัยมือฉมังธนูที่พยายามลอบปลงพระชนม์องค์หญิงนั่น ...แล้วผลก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ "  ไกรพยายามอธิบายเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ท่านผู้เฒ่าฟังเพียงเท่านั้นเขาก็ยกมือข้างที่ไม่ได้ถือดาบขึ้นตบหน้าผากทันที

 

      " กะไว้แล้วทีเดียว...ไอ้ตัวดึงดูดปัญหาเอ้ย! "

 

      " หา? อ้าว "

 

        ระหว่างที่ละอองแสงสีทองปริศนานั้นยังคงรวมร่างเป็นสุดยอดอสูรนามว่า รามสูร ได้อย่างไม่สมบูรณ์อยู่นั้น ท่านผู้เฒ่าหันหลังกลับไปเหลือบมองสมเด็จพระอัครมเหสีและสมเด็จพระพี่นางพินทวดีเล็กน้อยเหมือนกับจะถามว่าต้องใช้เวลาในการสร้างผนึกใหม่อีกนานแค่ไหน แต่ดูเหมือนสมเด็จพระพี่นางจะเพียงเหลือบเนตรวาววับอ่านไม่ออกมาที่เขาเหมือนกับคาดโทษอะไรบางอย่างที่เขาไม่ค่อยแน่ใจนัก หน้าที่ตอบคำถามจึงกลายเป็นของสมเด็จพระอัครมเหสีที่ทำมือทำไม้เป็นความหมายว่าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาจึงหันมาหาไกรพร้อมกับพูดขึ้นเรียบๆทันที

 

      " ไกร...เจ้าอาจจะเป็นเอกอุในเชิงดาบ แต่ถ้าหากเจ้าจะเป็นมากกว่านักดาบ เจ้าจำเป็นต้องรู้ว่าหลายต่อหลายครั้ง ดาบก็ไม่ได้ช่วยแก้ทุกๆปัญหา...เจ้าบาดเจ็บอยู่ ถอยกลับไปเสีย "

 

      " แต่ว่า ข้ายังสามารถสู้ได้--- "

 

      " ไป! "  ชายหนุ่มคำรามลอดไรฟันเรียบๆ เหมือนกับบ่งบอกว่านี่เป็นคำสั่งที่เด็ดขาด ไม่ใช่คำขอร้อง นั่นทำให้ไกรเหลือบมองเล็กน้อยอย่างไม่ชอบใจนัก แต่เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ในเวลานี้มันตึงเครียดเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะเสี่ยงให้คนที่บาดเจ็บอย่างเขามาถ่วงได้ ถึงแม้ว่าจะครอบครองดาบเล่มใหม่ที่มีพลังระดับสุดยอดนี้ก็ตาม

 

      " เข้าใจแล้วขอรับ "  ไกรได้แต่รับคำอย่างสงบพร้อมๆกับเก็บดาบสดายุเข้าสู่ฝักหนังสีน้ำตาลเข้ม ก่อนจะค่อยๆถอยหลังออกไปจนกระทั่งในที่สุด เขาก็กลับมายืนอยู่คู่กับอนาสตาเซียที่ยืนเฝ้ามือฉมังธนูสาวแล้ว

 

      " อะไรกัน ไกร? "  อนาสตาเซียที่ยืนกอดอกอยู่เหมือนกับลอบระบายลมหายใจที่กลั้นอยู่ออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะปั้นหน้าถามขึ้นเรียบๆ แต่เธอยังไม่ทันได้คำตอบอะไร หญิงสาวก็ต้องรีบวิ่งไปประคองชายหนุ่มที่โงนเงนเพราะเสียเลือดมากไปไว้ทันที

 

      " อ...นาสตี้? "

 

        หญิงสาวใช้สายตาสีฟ้าจรัสมองมาที่ไกรด้วยสายตาที่อ่อนลงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกและยื่นมือล้วงไปในกระเป๋าลับที่อยู่ด้านหลังและหยิบเอาขวดแก้วยาเล็กๆที่ปิดด้วยจุกไม้และผ้าขาวบางขึ้นมา เธอเปิดจุกขวดยานั้นด้วยฟันก่อนจะโรยผงละเอียดสีขาวที่อยู่ในขวดยาลงบนผ้าและหันกลับมาพูดเบาๆด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า

 

      " เอ้า เอามือออกเสีย ประเดี๋ยวเลือดก็ไหลไม่หยุดตายกันพอดี "

 

        ไกรมองหน้าหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทรุดลงและยอมเปิดบาดแผลที่ถูกคมหอกบาดเป็นแนวยาวให้อีกฝ่าย พร้อมกับที่หญิงสาวใช้ผ้าที่โรยผงยานั้นปิดหมับเข้าที่ปากแผลทันทีอย่างไม่ปราณีปราศัยใดๆทั้งสิ้น ความเจ็บของบาดแผลและความแสบของผงยาที่โรยอยู่บนผ้าทำเอาไกรสะดุงโหยงพร้อมกับร้องอุทธรณ์ขึ้นเบาๆทันที

 

      " บ...เบามือหน่อยสิ! ยัยโหดเอ้ย! "

 

      " เจ็บนิดเจ็บหน่อยแค่นี้ทำครวญครางเป็นกุมารีไปได้ เจ็บแปลว่ายังไม่ตายอย่างไรล่ะ! "

 

      " เฮ้อ...ไม่เห็นเค้าของความอ่อนหวานน่ารักเลยซักนิด---โอ๊ยๆๆๆ "  ชายหนุ่มถึงกับร้องลั่นเพราะอีกฝ่ายขยี้ผ้าลงบนแผลอย่างแรงก่อนจะแยกเขี้ยวตอบกลับมาว่า

 

      " ใช่สินะ! ผู้ใดมันจะอ่อนหวานน่ารักไร้ปากเสียง เป็นตุ๊กตาให้เจ้าหยิบจับเล่นได้ตามใจชอบเช่น ท่านหญิง สุดที่รักของเจ้ากันล่ะ พ่อขุนแผนแสนเสน่ห์! "

 

      " ล...แล้วจะขึ้นเสียง กับลากสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงมาเกี่ยวทำไมล่ะเนี่ย "  ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆ พร้อมกับชันหัวหันกลับไปมองที่ท่านผู้เฒ่ากับยักษ์นามว่ารามสูรที่ถูกอัญเชิญมาอีกครั้ง แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เขาเบิกตากว้างขึ้นจนแทบถลนทันที

 

        เพราะภาพที่เขาเห็นแทนที่จะเป็นภาพการห้ำหั่นกันอย่างถึงพริกถึงขิงระหว่างจอมอสูรผู้ควบคุมสายฟ้าได้อย่างใจนึก กับชายหนุ่มผู้เป็นอมตะและครอบครองดาบฟ้าฟื้น...สิ่งที่ไกรเห็นกลับเป็นภาพของท่านผู้เฒ่าที่เก็บดาบฟ้าฟื้นเข้าสู่ฝัก หลับตาก้มหน้าลงพร้อมกับยกมือขึ้นประนมราวกับกำลังเข้าฌาณสมาธิ โดยไม่สนครึ่งร่างของรามสูรและองค์หญิงที่กำลังถูกอะไรบางอย่างครอบงำอยู่ที่กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างช้าๆเลยแม้แต่น้อย ...ในขณะที่ไกรกำลังจะอ้าปากเพื่อตะโกนเตือน อนาสตาเซียก็ใช้มือเรียวบางทว่าหยาบและแข็งเป็นคมเหล็กอย่างคนที่ฝึกฝนอาวุธมาชั่วชีวิตปิดปากเขาไว้ทันที

 

      " ชู่ว... "

 

        หญิงสาวกระซิบข้างหูเขาเบาๆเพื่อสั่งให้เขาเงียบลงจนเขาถึงกับขนลุกเกรียวทันที ในขณะที่ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของชายหนุ่มเวลานี้กลับเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะแทนที่เขาจะได้เห็นท่านผู้เฒ่าที่เหมือนกับกำลังฆ่าตัวตายนั้นถูกขวานในมือของรามสูรขยี้เละ กลับกลายเป็นทั้งครึ่งร่างของรามสูรและพระวรกายขององค์หญิงกลับหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของท่านผู้เฒ่านิ่งโดยที่ไม่มีท่าทีคุกคามใดๆเลยทั้งสิ้น ...ทั้งท่านผู้เฒ่าและองค์หญิงต่างฝ่ายต่างยืนประจัญหน้ากันนิ่งราวกับรูปปั้นหินสลัก ทั้งๆที่เมื่อครู่นี้เองทั้งองค์หญิงและร่างอสูรนามว่าวิรุญจำบังเกือบจะฆ่าเขาตายอยู่แล้วด้วยซ้ำ! 

 

      ' คะเนไว้แล้วไม่มีผิด...อสูรที่บุตรีแห่งสุรีย์แสงอัญเชิญมาไม่ได้จู่โจมด้วยความบ้าคลั่ง แต่เป็นเพราะพยายามปกป้องตัวองค์หญิงจากการคุกคามทุกรูปแบบเท่านั้น...แต่ไกรมันดันซวยเองที่เอาตัวเข้าปกป้องผู้ที่พยายามจะลอบปลงพระชนม์องค์หญิง เลยทำให้ตัวบุตรีแห่งสุรีย์แสงเหมาเอาว่าไกรเป็นผู้คุกคามอีกคน ประกอบกับที่ไกรเองก็ดันได้ศาสตราวุธใหม่แล้วเห่อสวนการจู่โจมของอีกฝ่ายพอดี...ทั้งๆที่แค่รู้เคล็ดซักนิดก็สามารถจัดการได้โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากอะไรเลยแท้ๆ ...แต่เอาเถอะ ครั้งที่เราพบ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์ก่อนครั้งแรกเราทำเละกว่านี้อีก...เพราะฉะนั้นจะโทษมันก็ไม่ได้ '  

 

        สิ่งที่ท่านผู้เฒ่าทำเพื่อหยุดบุตรีแห่งสุรีย์แสงและอสูรที่อยู่ด้านหลังนั้นเป็นการกระทำที่ง่ายดายอย่างเหลือเชื่อ เพราะเขาเพียงแค่หยุดจิตคุกคามที่ส่งไปถึงอีกฝ่ายเท่านั้น...เมื่อไร้ซึ่งจิตคุกคามนำทาง อสูรที่เป็นเหมือนหมาตามกลิ่นก็ไม่มีเป้าหมายและทำได้เพียงแค่หยุดไปเท่านั้น

 

      " เรียบร้อยแล้ว ท่านออกญา! ถอยออกมา!! "

 

        เพียงไม่ถึงนาทีหลังจากที่เขาหยุดจิตคุกคามตนเองลง ท่านผู้เฒ่าก็ได้ยินพระสุรเสียงตวาดก้องของสตรีผู้สูงศักดิ์คนใดคนหนึ่ง ในขณะที่เขาเองก็ปฏิกริยาไวไม่แพ้กัน เพราะยังไม่สิ้นเสียงกังวานของคำสั่งนั้นดี เขาก็กระโดดถอยหลังวูบออกมาพ้นรัศมีของผนึกที่ถูกเตรียมไว้แล้ว

 

      " จัดการเลย! "

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

     ...ที่หน้าทางเข้าราชอุทยานสวนองุ่น...

 

      " มันหมายความว่าอย่างไรกัน? คุณท้าวศรีสัจจา!! "  จมื่นศรีสรรักษ์...หัวหน้าทหารมหาดเล็กในชุดสีสดตวาดขึ้นอย่างหมดความอดทน เพราะเขายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่อาจจะฝืนฝ่ากองจ่าโขลนนำโดยหัวหน้ากองจ่าโขลนทั้งหมด...คุณท้าวศรีสัจจาที่ยืนขวางทางเข้าราชอุทยานที่ใจกลางเกิดเสียงอันไม่ชอบมาพากลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเมื่อครู่ยังมีสายอสุนีบาตสีขาวขนาดใหญ่ผ่าลงมาที่กลางราชอุทยานนั่นอีก...แต่ถึงขนาดนั้น คุณท้าวชราผู้นี้ก็ยังยืนกรานไม่ให้เขาและพรรคพวกทหารมหาดเล็กทั้งหมดเข้าไปภายในอยู่อีกซะอย่างนั้น!

 

      " ท่านเข้าไปไม่ได้ "

 

      " ถึงคุณท้าวจะแก่ชราสักเพียงใดกระผมก็ไม่เชื่อหรอกนะว่าคุณท้าวจะหูหนวกจนไม่อาจได้ยินสิ่งผิดปรกติที่เกิดขึ้นในสวนองุ่น...พวกกระผมมีหน้าที่ตามคำสัตย์ปฏิญาณให้เข้าไปตรวจสอบเหตุไม่ปรกตินี้...เพราะฉะนั้น โปรด หลีกทางให้พวกกระผมเสียขอรับ! "

 

      " ข้าเองก็ได้รับคำสั่งที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้จากผู้ที่ข้าเคารพที่สุดเช่นกัน...ว่าถ้าหากยังไม่ได้รับการยืนยัน ข้าและเหล่าโขลนของข้าก็ไม่อาจจะให้ผู้ใดฝ่าเข้าไปได้...คำสำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม เพราะฉะนั้นถ้าหากท่านและคนของท่านยังคงดึงดันคิดจะฝืนฝ่าเข้าไป พวกท่านก็ต้องฝ่าเหล่าจ่าโขลนระดับสูงสุดที่ข้าฝึกมาเองกับมือเหล่านี้ไปเสียก่อน ซึ่งข้าก็ขอเตือนไว้ก่อนเลยว่าอย่าเสี่ยงสร้างเรื่องอับอายให้ตัวเองดีกว่าน่า...ท่านจมื่น "

 

      " อีนัง---! "

 

      " เกิดเรื่องอะไรขึ้น? "

 

      " สมเด็จท่าน?!! "

 

        จมื่นศรีสรรักษ์ยังไม่ทันได้เอ่ยถ้อยคำผรุสวาทอันหยาบคายออกมา พระสุรเสียงอันราบเรียบสุขุมและเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ที่ประทับเสลี่ยงมาพร้อมกับสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรผู้รั้งตำแห่งแม่ทัพสูงสุดก็เอ่ยตรัสขึนเรียบๆ ทำให้จมื่นศรีสรรักษ์และเหล่าทหารมหาดเล็กทั้งหมดรีบทรุดลงถวายบังคมพ่ออยู่หัวทั้งสองที่เวลานี้เสด็จมาถึงแล้วทันที แต่ถึงขนาดนั้น คุณท้าวศรีสัจจาและกองจ่าโขลนทั้งหมดกลับก้มลงทวายบังคมเพียงวูบเดียว ก่อนจะกลับลุกขึ้นยืนจังก้าเป็นยักษ์เฝ้าประตู ปกป้องทวารทางเข้าสวนองุ่นนิ่งเป็นรูปปั้นหินเช่นเดิม จนกระทั่งพระเจ้าอุทุมที่ยังคงประทับอยู่บนเสลี่ยงถึงกับต้องขมวดขนงเล็กน้อยอย่างผิดสังเกตทันที

 

      " คุณท้าวศรีสัจจา "

 

      " ขอพระราชทานอภัยโทษอย่างสูงเพคะ...พ่ออยู่หัวอุทุมพร "  คุณท้าวชราที่ยังคงยืนถือกระบองไม้เนื้อแข็งสีดำสนิทนิ่งทูลตอบกลับมาพร้อมกับดวงตาที่หรุบต่ำลงอย่างลำบากใจที่ไม่อาจจะลงถวายบังคมพ่ออยู่หัวทั้งสองอย่างที่ควรได้ ด้วยถือคำสั่งอีกคำสั่งหนึ่งไว้ เป็นจังหวะให้หัวหน้าทหารองครักษ์ที่หมอบอยู่ทูลฟ้องทันที แต่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ยกหัตถ์ที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผลขึ้นห้ามไว้ ก่อนที่พระองค์จะลงจากเสลี่ยงโดยมีพระเจ้าอุทุมพรรีบลงมาประคองพระวรกายไว้ ก่อนที่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์จะตรัสขึ้นเรียบๆ ราวกับอ่านอีกฝ่ายออกราวกับอ่านลายมือตัวเองว่า

 

      " คุณท้าว...นี่เป็นคำสั่งของสมเด็จพระพี่นางสินะ "

 

      " พ...เพคะ "  คุณท้าวศรีสัจจาได้แต่ก้มหน้ารับคำนิ่งโดยไม่อาจจะโต้แย้งใดๆได้  ทำเอาพระเจ้าอุทุมพรยิ่งขมวดขนงหนักเข้าไปอีก ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์สรวลออกมาเบาๆทันที

 

      " เกิดอะไรขึ้น? "

 

      " หม่อมฉันไม่อาจจะกล่าวอันใดได้เพคะ "

 

      " แม้ว่าข้าอาจจะสั่งประหารเจ้าในปัจจุบันนี้เลยก็เถอะ? "  พระสุรเสียงที่ราบเรียบและเต็มไปด้วยความการุณนั้นกลับกลายเป็นความเย็นเยียบอันแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจอันล้นเหลือของพระองค์ ที่เพียงพอจะสั่งประหารใครซักคนที่ไม่ยอมปฏิบัติตามราชโองการของพระองค์ได้อย่างง่ายๆ ทำเอาคุณท้าวชราถึงกับตัวสั่นเทิ้มด้วยความเกรงพระราชอาญาทันที แต่คุณท้าวผู้นี้ก็ยังคงแข็งใจยืนนิ่งโดยไม่ยอมถอยให้ผู้ที่เป็นเจ้าชีวิตของเธอ จนเหล่าทหารมหาดเล็กทุกนายถึงกับลุกขึ้นยืนอย่างห้ามไม่อยู่

 

     ...ขอเพียงพ่ออยู่หัวทั้งสอง...เพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่งตรัสขึ้นเท่านั้น...พวกเขาทุกคนก็พร้อมจะทำตามราชโองการ จัดการกับเหล่าโขลนที่ยืนขวางทางเสด็จเหล่านี้ในทันที!...

 

        แต่ก่อนที่เหตุการณ์อันตึงเครียดนี้จะเขม็งเกลียวจนกระทั่งถึงจุดที่ระเบิดออก เสี้ยววินาทีนั้นเองที่กลางสวนองุ่นก็เกิดแสงสว่างวาบราวกับมีดวงอาทิตย์ดวงที่สองผุดขึ้นมากลางสวน ก่อนที่แสงสว่างวาบนั่นจะหมุนวนและลอยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าอันดำมืดในยามราตรีวูบจนกระทั่งแสงสว่างนั้นหายไปหมดสิ้น พร้อมๆกับการหายไปของแรงกดดันอันมหาศาลที่กลางสวนองุ่น แรงกดดันที่ทำให้ทุกคนในพระบรมมหาราชวัง รวมไปถึงพ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์ถึงกับต้องตื่นจากบรรทมและต้องเสด็จมาถึงที่นี่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับเป็นเรื่องโกหกไม่มีผิด!

 

      " น...นั่นมัน? "

 

        ก่อนที่พ่ออยู่หัวทั้งสองจะได้ทันว่าอะไรต่อไป ...คุณท้าวศรีสัจจา และเหล่ากองจ่าโขลนใต้บังคับบัญชาทั้งหมดจะก้มลงกราบถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์และพระเจ้าอุทุมพรวูบโดยพร้อมเพรียงกันในทันที

 

      " พวกหม่อมฉันและเหล่าโขลนทั้งหมดต้องกราบขอพระราชทานอภัยโทษพ่ออยู่หัวทั้งสองอย่างยิ่งที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาทเช่นนี้เพคะ...หากการกระทำอันจาบจ้วงของพวกหม่อมฉันจำเป็นต้องมีบทลงโทษ หม่อมฉันก็ขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว...ได้โปรดมีราชโองการมาเลยเพคะ "  คุณท้าวศรีสัจจาที่ยังคงหมอบก้มอยู่เอ่ยทูลเบาๆอย่างสำนึกผิดเต็มที่ ในขณะที่ดวงเนตรภายใต้หน้ากากสีขาวของพระเจ้าเอกทัศน์หรี่ลงพร้อมกับสรวลเบาๆในลำพระศอทันที

 

      " แปลว่าต่อให้ต้องตายตกไปก็คงจะไม่ยอมเอ่ยปากบอกให้ข้ารู้จริงๆสินะ ว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น "

 

      " ...หม่อมฉันเอง...ก็เป็นเพียงผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งของสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีเท่านั้น...หาได้รับรู้ถึงการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสวนแต่อย่างใด...แต่เท่าที่หม่อมฉันสามารถบอกได้ก็คือ...เหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นได้จบลงแล้วเพคะ "

 

        พระเจ้าเอกทัศน์ผินพระพักตร์กลับไปสบพระเนตรกับพระเจ้าอุทุมพรที่ทอดพระเนตรมาอยู่ก่อนแล้ว ราวกับปรึกษากันโดยไม่ใช้คำพูดใดๆอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีนึง ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะปัสสาสะเฮือกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายทันที

 

     ...ถึงทั้งสองจะแทบไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสวนองุ่นเลย...แต่ทั้งสองพระองค์ก็เห็นพ้องต้องกันกับคำทูลของคุณท้าวศรีสัจจาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...

 

     ...อย่างน้อยๆ ในเวลานี้...เรื่องที่เกิดขึ้น ก็จบลงแล้ว...

 

 

 

 

 ................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา