ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
60)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ระหว่างที่ไกรยังคงครางออกมาเบาๆอย่างจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกอยู่นั้นเอง ไกรก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าอนาสตาเซียไม่ได้ปรากฏอยู่ที่นี่คนเดียว แต่มากับสตรีที่อยู่เครื่องทรงราชนิกูลผู้สูงศักดิ์ถึง ๒ พระองค์...ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นบุคคลที่ไกรรู้จักดีที่สุด อย่างสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดีนั่นเอง...
" ส...สมเด็จพระพี่นาง--- " ไกรทำท่าจะคุกเข่าลงน้อมทำความเคารพ แต่พระพี่นางส่ายพระพักตร์เล็กน้อยในขณะที่ดวงเนตรอันจริงจังแฝงแวววิตกกังวลของพระองค์ไม่ได้มองมาที่ไกรเลยแม้แต่น้อย
" เอาไว้มากพิธีกันเวลาอื่น...เวลานี้มีการณ์ที่สำคัญกว่าชนิดที่เทียบกันไม่ติดต้องรีบสะสาง... " พระองค์ตรัสเรียบๆ ในขณะที่ดวงเนตรยังคงจับจ้องไปที่ภาพอันไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อยตรงหน้าพระพักตร์ไม่วางตา...
...ภาพ...ที่ไกรเห็นทีแรกยังถึงกับนึกว่าเขากำลังฝันไปด้วยซ้ำ...ภาพขององค์หญิงสิริจันทรที่กำลังเดินโงนเงินราวกับผู้ที่กำลังไร้ซึ่งพระสติ...ที่กำลังไล่บี้มือฉมังธนูสาวในชุดรัดกุมสีดำสนิทราวกับกำลังไล่บี้เด็กน้อยไม่ประสาไม่มีผิด...คนไร้ซึ่งพระสติ...ที่ด้านพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) ของพระองค์จังก้าด้วยร่างครึ่งท่อนบนของ อสูรทวิบาท ที่มีลักษณะราวกับโขนตัวยักษ์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มร่างสูงอย่างไกรถึงครึ่งเท่าตัว...กายกำยำสีม่วงหม่นอมเขียวสวมทับไว้ด้วยเครื่องทรงราชานักรบสีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีสีสันสดนับร้อยเม็ด...ไล่ขึ้นมาถึงใบหน้าที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็คือยักษ์...หน้ายักษ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามการแสดงโขนเท่านั้น...ไม่ว่าจะเป็นเขี้ยวโง้งยาวที่แสยะออกมามานอกริมปาก ดวงตาสีดำสนิทที่ไร้แวว ยักษ์ตนนี้สวมมงกุฏทองคำทรงหางไก่ราวกับกษัตริย์ของเมืองเล็กๆเมืองนึง แต่ที่น่าเกรงขามที่สุดกลับเป็นหอกในมือของยักษ์ตนนี้...หอกทองคำยาวที่ทั้งๆที่ไม่แผ่รังสีฆ่าฟันใดๆออกมาเลยแท้ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าหวั่นเกรงจนแทบไม่อยากจะเผชิญหน้าเลยทีเดียว!...
" โชคดีเสียเหลือเกิน ที่ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ไม่ได้ลืมเนตรตื่นมาอย่างเต็มที่...เลยอัญเชิญมาได้เพียง อสุรา ชั้นกลางเท่านั้น...ดวง ของราชธานีและโชคของพวกเรายังดีอยู่จริงๆ " สตรีผู้อยู่ในเครื่องทรงอันสูงศักดิ์อีกพระองค์หนึ่งตรัสขึ้นเรียบๆ อย่างโล่งพระทัยเล็กน้อย แม้ว่าพระพักตร์ของพระองค์จะยังคงเต็มไปด้วยแววแห่งความวิตกกังวลอยู่เต็มไปพักตร์ก็ตามที
" หืม? พระองค์ทรงทราบอย่างนั้นหรือ ว่า ยักษ์ ที่สิริจันทร---ไม่สิ บุตรีแห่งสุรีย์แสง อัญเชิญมาเป็นยักษ์ตนใด " พระพี่นางที่ประทับยืนเยื้องด้านหน้าเล็กน้อยผินพระพักตร์กลับไปถามเบาๆ ในขณะที่สตรีที่ร่างบางกว่าและน่าจะอ่อนชันษากว่าเล็กน้อยเหลือบเนตรมามองก่อนจะปัสสาสะเฮือก
" ก็นี่ล่ะน้า...พอพวกสนมนางในชักชวนให้ชมละครในก็ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเสียทุกครั้ง...ทั้งๆที่พักตร์และมงกุฏของยักษ์ตนนั้นออกจะเด่นชัดแท้ๆ "
" ทูลถามจริงๆเถอะนะเพคะ...แต่นี่มันใช่เวลาที่เราสองจะมาสนทนากันในเรื่องนี้ไหมเนี่ย?! "
" ...ร่างเงาของยักษ์นั่นคือวิรุญจำบัง...กษัตริย์ยักษ์เมืองจารึก...โอรสของพระยาทูษณ์น่ะ "
" แล้วพระองค์หมายความว่าอย่างไรเรื่องที่ตรัสว่ายังลืมตาตื่นอย่างไม่สมบูรณ์น่ะ? "
" ก็หมายความตามอย่างที่ข้าตรัสไปนั่นแหละ... " พระองค์หลับเนตรลงพร้อมกับปัสสาสะเฮือกอย่างโล่งพระทัยไปเล็กน้อยออกมาทันที
" ...ถ้าหาก บุตรีแห่งสุรีย์แสง ที่ถูกสะกดไว้ในวรกายของสิริจันทรลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ล่ะก็...ป่านนี้ยักษ์ที่ถูกอัญเชิญมาคงจะเป็นอันดับสูงสุด...นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ ราชันย์แห่งเหล่ายักษ์ทั้งปวง...และพวกเรา...รวมไปถึงอโยธยาทั้งเมืองก็คงจะถูกลบหายไปเรียบร้อยแล้ว! "
" ...นี่...นาสตี้...สตรีท่านนี้เป็น เอ่อ...ใครกันเหรอ? " ไกรที่ยังคงยืนงงเป็นไกตาแตกอยู่หันไประซิบถามมือสังหารสาวผู้ที่เขาก็ยังไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเบาๆ ในขณะที่อนาสตาเซียที่เพ่งมองไปยังมือฉมังธนูท่กำลังถูก ร่างเงาของยักษ์ถือหอกนั่น ไล่บี้จนกำลังจะจนมุมอยู่เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะเอียงคอมากระซิบตอบกลับเบาๆว่า
" ข้าก็ไม่ได้ได้ยินพระนางตรัสออกมาเองโดยตรงหรอกนะ...แต่พระพี่นางเรียกพระองค์ว่าสมเด็จพระอัครมเหสีน่ะ "
คำตอบแบบประโยคบอกเล่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายใดๆของอนาสตาเซียทำให้ไกรหันขวับกลบไปมองพร้อมกับอ้าปากค้างทันที
' พระอัครมเหสี...คนที่ทูลพระเจ้าเอกทัศน์ว่าไม่อาจจะทนต่อเสียงปืนใหญ่ได้อ่ะนะ?! ...เฮ้ย! นี่เรามีโอกาสได้เจอคนดังอีกแล้วเหรอฟะเนี่ย? ถึงจะดังในทางแปลกๆก็เหอะ '
" ข้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ข้าคงต้องบอกว่าเจ้านี่มันดวงซวยระดับหาตัวจับได้ยากจริงๆ...ถึงได้ไปที่ไหนก็วินาศสันตะโรที่นั่นเช่นนี้ "
" เออ...ขำตายล่ะ...ลองมาเป็นข้าดูมั่งอยากรู้นักว่าเจ้าจะขำออกรึเปล่า...ว่าแต่...ลมอะไรหอบเธอมาถึงที่นี่ล่ะเนี่ย? "
อนาสตาเซียเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนอ้าปากจะตอบอะไรบางอย่างออกมา แต่คำตอบของเธอก็ถูกขัดขึ้นด้วยดำรัสเรียบๆของสมเด็จพระพี่นางเสียก่อนว่า
" เจ้า...อนาสตาเซีย...เวลาของพวกเรามีไม่มากนัก ไม่มีอะไรรับประกันว่า บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั่นจะลืมตาตื่นและอัญเชิญ อสูร ที่อันดับสูงกว่านี้ได้อีกหรือไม่...เจ้าจำที่ข้าและท่านกรมขุนวิมลพัตรตรัสระหว่างที่เรามาได้หรือไม่ "
" เพคะ "
" ดี...ถ้าอย่างนั้นจัดการเลย...ถ้าโชคดีพอเราอาจจะสามารถช่วยชีวิตไอ้...ไม่สิ...นังคนที่ถูกไล่ล่าอยู่นั่นได้อีก...ไกร...ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด นังนั่นเป็นคนที่ทำให้สิริจันทรเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่... "
" พ...พุทธเจ้าข้า " ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆทันที เพราะตกใจเล็กน้อยที่สมเด็จพระพี่นางสามารถคาดเดาเรื่องราวได้แม่นยำราวกับตาเห็นขนาดนี้...ในขณะที่พระพี่นางครางอือออรับคำเบาๆ พร้อมกับเหลือบมามองที่อนาสตาเซียที่ไม่รู้ไปรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่ก่อนจะพยักพระพักตร์ช้าๆ
" ...ถึงเราจะให้คุณท้าวศรีสัจจาและพวกจ่าโขลนที่เป็นคนของข้าและสมเด็จพระอัครมเหสีกั้นไม่ให้มีผู้ใดเข้าออกสวนองุ่นได้ แต่คงจะได้อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นานเสียงและแรงสั่นสะเทือนที่ก้องไปทั่วนี่ก็คงจะทำให้สมเด็จท่านทั้งสอง รวมไปถึงกองทหารมหาดเล็กที่เขตพระราชฐานชั้นกลางรุดมาที่นี่แน่ๆ... จัดการตามที่นัดแนะกันไว้ได้เลย...อนาสตาเซีย...ถ้าหากงานนี้จบลงได้ด้วยดี เรื่องที่เจ้าต่อรองไว้ข้าจะใช้อำนาจของข้าจัดการให้...รวมถึงตบรางวัให้ถึงขนาดทีเดียว! "
" วางพระทัยได้เลยเพคะ!...ถ้าหากตอบแทนกันงามถึงขนาดนั้นก็เชื่อมือหม่อมฉันได้เลย! "
" ป...ไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะเนี่ย?! " ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างงงเป็นไก่ตาแตกชนิดที่จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเลยแม้แต่น้อย และยิ่งทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปอีกเมื่ออนาสตาเซียหันกลับมาและโยนห่อผ้าไหมที่ห่ออะไรบางอย่างมาด้วยด้านหลังให้เขา ซึ่งชายหนุ่มก็รับมาพร้อมกับหันกลับมาเลิกคิ้วใส่เหมือนกับจะถามทันที
" ??? "
" ไม่รู้ทำไม เห็นหน้าเจ้าแล้วมันกวนโมโหสิ้นดี...ทั้งๆที่ออกจะคิดถึ---ทั้งๆที่ไม่ได้เจอกันตั้งนานแท้ๆ เอ้า! ถึงจะพูดอะไรแต่เจ้าก็คงจะเป็นหนึ่งในต้นเหตุหลักๆที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาใช่ไหมล่ะ "
" ถ...เถียงไม่ออกเลยแฮะ...เฮ้ย! เรื่องนี้ข้าไม่เกี่ยวเลยซักนิดนะ เจ้ารู้รึเปล่าว่าข้าเกือบตายมา...ชนิดที่เส้นยาแดงผ่าแปดแบบพึ่งผ่านจากอาการโคม่า---อาการปางตายมาหยกๆเลยนะ! หัดเป็นห่วงกันบ้างสิเฟ้ย!! " ไกรโวยลั่นทันทีเพราะรู้สึกว่าเขากำลังจะกลายเป็นจำเลยสังคมอย่างไม่ยุติธรรมเสียแล้วโดยที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ๆ ในขณะที่อนาสตาเซียพยักหน้าหงึกๆเออออรับคำอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะตวาดเบาๆใส่ชายหนุ่มทันที
" จ้าๆ...เอ้า! ไกร จัดการเลย!! "
" จ...จัดการ? "
" ข้าจะเป็นต้องช่วยกับสมเด็จพระอัครมเหสีและสมเด็จพระพี่นางในการเตรียมพิธีสะกด บุตรีแห่งสุรีย์แสง อะไรนั่น แต่พิธีจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการเล็กน้อยและจะถูกรบกวนไม่ได้เลย...เพราะอย่างนั้น เจ้าช่วยเข้าไปช่วยยัยนั่นและหลอกล่อ...เอ่อ...เจ้าหญิงสุดที่รักของเจ้าไว้ที่สิ "
" อืม...เข้าใจล่ะ...จะบ้าเรอะ!! "
" หา? "
" โห...เห็นแววตาแล้วปวดจี๊ดเลย นี่ข้าพึ่งจะฟื้นจากอาการปางตายนะเฟ้ย! นี่ใจคอจะส่งไปตายอีกรอบรึไงฟะ!! "
อนาสตาเซียแทบจะไม่ได้สนใจอาการตาโตเท่าไข่ห่านของไกรเลยแม้แต่น้อย...เธอหันกลับมามองเขาด้วยแววตาปลาตายก่อนจะยืนยันคำสั่งเรียบๆอีกครั้ง
" ถ้าหากเจ้าอยากจะช่วยองค์หญิง และช่วยอโยธยาไว้ล่ะก็...งานนี้เจ้าก็คงจะต้องเสี่ยงตายอีกรอบนึงแล้วล่ะ...โชคดีนะ ไกรเอ้ย! "
...............................................
...ย้อนกลับมาที่หมู่บ้านยุคันตวาต...ป้อมปราการลับที่ตั้งอยู่กลางป่าลึก...
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก!
เสียงเคาะประตูไม้หน้ากระท่อมตีศาสตราของยูกิโอะที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะอันแสดงให้เห็นทราบว่าผู้ที่อยู่หน้าประตูต้องการจะเข้ามาพบ ทำให้ยูกิโอะที่กำลังใช้ค้อนขนาดใหญ่ตีขึ้นรูปโลหะบางอย่างที่พึ่งออกจากเตาจนแดงโร่ชะงักเล็กน้อยพร้อมกับใช้ผ้าที่ผูกท่อนแขนอันบริบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อเช็ดเหงื่อที่ซึมชื้นเต็มหน้าผากจากกระแสไอร้อนของโรงตีศาสตราของเธอพร้อมกับหยุดจังหวะค้อนลง พอดีกับที่เสียงเคาะอันเป็นจังหวะจะโคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้เธอกลอกตาโคลงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะตวาดตอบกลับไปดังๆทันที
" ถ้าหากจิตสำนึกของเจ้าบ่งบอกเจ้าแน่แล้วว่าเจ้าจำเป็นต้องมารบกวนเวลาตีศาสตราของข้า และมั่นใจในฝีมือตัวเองพอจะเอาชีวิตรอดออกไปได้ล่ะก็ ...เชิญ...เข้ามาเลย! "
เสี้ยววินาทีที่หญิงสาวพูดจบ ประตูด้านหน้ากระท่อมก็ถูกเปิดออกทันทีราวกับผู้ที่ตั้งใจเข้ามาขัดจังหวะเวลางานของเธอมั่นใจในฝีมือตนเองมากพอที่จะไมสนคำขู่ของเธอเลแม้แต่น้อย...หรือไม่เขาก็มีเหตุที่ดีมากพอจะทำให้เธอไม่จัดการกับเขาแน่ๆ
" ท่านหญิงยูกิโอะ "
" ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าอย่าเอ่ยข้าโดยขึ้นต้นด้วยคำว่า ท่านหญิง และเท่าที่ข้าจำได้...ข้าก็พึ่งจะซ่อมแซมศาสตรให้เจ้าไปในภาริกจที่แล้ว...และเจ้าก็ยังไม่ได้มีภารกิจใหม่จนทำให้ศาสตราพังลงอีก...ก่อนที่ข้าจะแยกเจ้าเป็นชิ้นๆ มีอะไรก็เร่งว่ามา...เมือง "
เมือง...อดีตออกญายมราชที่เวลานี้เป็นมือสังหารผู้อาวุโสที่สุดในหมู่มือสังหารที่สุดแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ที่เวลานี้ที่ทั้งหัวหน้าหมู่บ้านอย่างท่านผู้เฒ่า และมือสังหารอันดับหนึ่งอย่างอนาสตาเซียไม่อยู่ เขาก็เป็นเหมือนรักษาการหัวหน้าอย่างกลายๆถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวเหมือนกับจะแสดงความบริสุทธิ์ใจและบอกว่าเขาไม่ได้นำศาสตรามาด้วย ก่อนจะพูดขึ้นเรียบๆว่า
" ข้ามาดี "
" ราวกับว่าข้าสนอย่างนั้นแหละ! "
" ขอล่ะ ท่านหญิง---หมายถึงยูกิโอะซัง...ข้ามาด้วยการณ์สำคัญจริงๆ " เรืองพูดเบาๆอย่างไม่อยากมีเรื่องด้วย ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาและนั่งลงคว้าไหเหล้าที่วางระเกะระกะอยู่ขึ้นดื่มอั่กๆ ในขณะที่หญิงสาวหันขวับมามองตาขวางทันที
" ไอ้เด็กนี่! "
" ข้ามาเกี่ยวกับไอ้ตราสัญลักษณ์สีดำ...ตราของมือสังหารเถื่อนนั่น "
ยูกิโอะส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่เธอจะวางค้อนขนาดใหญ่ในมือลงอย่างรู้แน่ว่าคงจะไม่ได้กลับมาจัดการกับงานที่ค้างไว้ต่อได้ง่ายๆแน่...หญิงสาวคว้าผ้าขาวนุ่มที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมาเช็ดร่างกายกำยำที่เป็นมันเลื่อมไปด้วยหยาดเหงื่อ ก่อนจะหันไปคว้าไหเหล้าและนั่งลงตรงหน้าเมืองทันที
" เออ! อย่างไรเสียข้าก็มีพันธสัญญาของไอ้คุณท่านผู้เฒ่าที่จะต้องปกป้องหมู่บ้านนี้อยู่แล้ว...เอ้า ถ้าเจ้ามีเบาะแสอะไรเพิ่มเติ่มก็ว่ามา "
เมืองเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างตัดสินใจเด็ดขาด ...เขาดื่มเหล้าดีกรีร้อนแรงเข้าไปอีกอึกใหญ่ก่อนที่จะเริ่มต้นพูดขึ้นช้าๆ
" ท่านจำได้ไหม? ท่านหญิง...ตราสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านไม่ใช่ตราที่ถูกพบเห็นได้อย่างง่ายๆ ต้นกำเนิดของตราเท่าที่ข้าทราบจากการปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากการออกแบบโดยท่านผู้เฒ่าและสหายสนิททั้ง ๒ ของท่านที่เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์แห่ง หน่วยยุคันตวาต รุ่นแรก โดยที่ ๑ ในนั้นคือผู้เป็นปู่ของอนาสตาเซียเอง...และผู้ที่รู้จักกับตราสัญลักษณ์นี้ก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในหมู่บ้านของเราเท่านั้น...หมู่บ้าน...ที่มีแต่มือสังหารเท่านั้นที่จะออกไปสู่โลกภายนอกอีกครั้งได้ "
" ...เออ เรื่องนั้นข้าก็รู้ และข้าก็ยังรู้อีกด้วยว่าเหล่ามือสังหารทั้งหมดตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน ถ้าหากไม่ถูกจับได้จนถูกสังหารทิ้ง ก็ป่วยหรือไม่ก็แก่ชราตาย...จนกระทั่งมาถึงรุ่นของพวกเจ้านี่แหละ "
" ข้ากำลังพูดถึงรุ่นที่เป็นรุ่นก่อนรุ่นของพวกข้า...รุ่นที่เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด...การก่อกบฏของเหล่ามือสังหารของหมู่บ้านยุคันตวาต...เหตุการแตกแยกระหว่างมือสังหาร ๒ กลุ่ม ที่นำมาสู่การตัดสินใจของท่านผู้เฒ่าที่ลดจำนวนมือสังหารในรุ่นของปัจจุบันจากหลักร้อยเหลือเพียงแค่หลักสิบเท่านั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนั่นไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง "
ดวงตาของยูกิโอะเปล่งประกายวูบ ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือกและพยักหน้าเบาๆ
" ข้าจำได้...มูลเหตุนั่นก็เกิดจาก ไอ้เวร ที่ไอ้ท่านผู้เฒ่าช่วยเหลือและชักชวนมาเป็นมือสังหารคนสุดท้ายของรุ่นนั่นแหละ...ไอ้คนที่ปลุกปั่นเหล่ามือสังหารหูเบาจนกระทั่งแยกเป็น ๒ ฝ่ายและฆ่ากันเองจนเกือบจะเหี้ยน...ท้ายที่สุดท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนฝังมันเองกับมือ ซึ่งข้าพูดได้เลยว่าโทษของมันค่อนข้างจะเบาบางและรวดเร็วไปด้วยซ้ำ! "
เมืองนั่งนิ่งไปพักนึง ก่อนที่ในที่สุดเขาจะถอนหายใจเฮือก และพูดราวกับครางออกมาเบาๆว่า
" ...ใช่...ข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ในเวลานั้น เพียงแต่...มันสะกิดใจแปลกๆนะ ท่านหญิง...ต่อให้โอกาสมันมีเพียงแค่หนึ่งในร้อยที่ไอ้ชั่วนั่นยังไม่ตาย และเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังไอ้กลุ่มมือสังหารเถื่อนนี่...แต่มันก็เป็นทางเดียวที่ดูเป็นไปได้มากที่สุดในหมู่หลายๆทางที่ข้านึกคิดได้แล้วล่ะ "
คำพูดที่จริงจังของมือสังหารอาวุโสนามว่าเมืองทำเอายูกิโอะถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับวางไหเหล้าลงทันที...หญิงสาวลูบมือไปมาอย่างครุ่นคิดก่อนจะอดฝืนหัวเราออกมาเบาๆไม่ได้
" หึๆ โอกาสหนึ่งในร้อย ...ท่ามกลางข้อสัญนิษฐานอื่นๆที่มีโอกาสเป็นไปได้เพียงหนึ่งในพันเท่านั้นอย่างนั้นหรือ...พูดตรงๆนะว่าชั่ววูบหนึ่งครั้งที่เห็นตราโลหะนั่นครั้งแรกข้าก็คิดเช่นเจ้าไม่มีผิด...เพียงแต่มันฟังแล้ว เบาปัญญา เกินกว่าจะนำเก็บมาคิดต่อได้อย่างไรล่ะ...มาสะกิดใจอีกครั้งก็เพราะเจ้าพูดนี่แหละ "
" ใช่ไหมล่ะขอรับ... "
" ...อืม...นอกจากข้าแล้ว...เจ้าได้บอก หรือเปรยๆเรื่องนี้ให้กับมือสังหารหรือชาวหมู่บ้านคนอื่นๆรึเปล่า? เมือง... " ยูกิโอะเอ่ยถามขึ้นเบาๆพลางยกไหเหล้าขึ้นซดอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆ ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบพร้อมกับเสริมอีกเล็กน้อยว่า
" ข้ามาพูดกับท่านเป็นคนแรกนี่แหละ "
" อืม...ดีแล้วล่ะ...เพราะคงจะมีเพียงแค่ข้ากับเจ้าเพียงสองคนเท่านั้นที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ว่ามา...ซึ่งทำให้เราสอง บ้า พอจะคิดถึงสมมติฐานบ้าๆนี่ได้...ถ้าเจ้าไปบอกมือสังหารคนอื่นมีหวังไอ้พวกนั้นคงจะคิดว่าเจ้าเพ้อเจ้อจนอาจจะเลิกนับถือเจ้าไปเลยก็ได้ " ช่างตีศาสตราสาวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ทว่าจริงจังจนเมืองถึงกับอดหัวเราะแห้งๆออกมา ก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับคำเบาๆ อย่างปลงตกและทำใจได้ว่าเวลานี้เขาเป็นคนของหมู่บ้านยุคันตวาตเต็มขั้นแล้ว...ไม่ใช่ พระยายมราช ข้าราชการแห่งอโยธยาแต่อย่างใดที่จำเป็นจะต้องมากังวลในเรื่องนี้อีกต่อไป เขาจึงได้แต่หัวเราะตามน้ำเบาๆ ก่อนที่มือสังหารอาวุโสจะเหลือบไปมองที่ งาน ที่ยูกิโอะตีค้างอยู่ก่อนที่เขาจะมาขัดจังหวะที่เวลานี้ยังคงร้อนจนแดงเรื่อๆอยู่ ...พร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างสนอกสนใจในฐานะมือสังหารและพวกบ้าอาวุธเหล่านี้ทันที
" ...กลิ่นอายนี่มัน?...โลหะมีอันดับอย่างนั้นหรือขอรับ? "
ยูกิโอะเหลือบกลับไปมอง ดาบ ที่เธอยังหลอมและตีขึ้นรูปค้างอยู่ก่อนจะหัวเราะออกมา และกอดอกพยักหน้าเบาๆอย่างภาคภูมิใจทันที
" ใช่แล้ว...ดาบนาคราชรุ่นปรับปรุงที่ข้าภูมิใจนำเสนอที่สุด...ที่ดีไม่ดีอาจจะมี เดช สูงล้ำพอๆกับดาบที่ข้าตีให้กับไอ้เด็กหนุ่มไกรนั่นด้วยซ้ำไปเลยล่ะ " หญิงสาวพูดพลางยืดอกที่ทะลักล้นเพราะผ้าพันหน้าอกที่รัดแน่นนั้นขึ้นอย่างภูมิอกภูมิใจพลางยิ้มแฉ่งจนริมฝีปากแทบจะถึงหู แต่คำพูดสวนกลับมาของอีกฝ่ายทำให้รอยยิ้มของเธอหุบลงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบทันที
" อ้อ...หลังจากที่ท่านหักดาบนาคราชของอนาสตาเซียเป็นชิ้นๆ และเกือบจะสังหารเธอด้วยซ้ำฐานที่เด็กนั่นไปรู้ว่าท่าน อะไร ...ดีที่อนาสตาเซียรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์เช่นนี้ "
" เออ! นังเด็กนั่นรอดได้อย่างปาฎิหาริย์ แต่เจ้านี่แหละที่ต่อให้ปาฏิหาริย์มาช่วยก็อาจจะไม่รอด...โธ่เอ้ย! คนของหมู่บ้านทั้งหมดมีเพียงแค่เจ้ากับไอ้ท่านผู้เฒ่าที่รู้เรื่องเท่านั้นแท้ๆ...ไอ้นิสัยฆ้องปากแตกเช่นนี้อย่างไรล่ะที่จะทำให้เจ้าอายุไม่ยืนน่ะ! "
" ฮ่ะๆ ...ข้าคิดถูกจริงๆที่มาปรึกษากับท่านก่อนเช่นนี้ " เขาพูดเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนจะลกขึ้นยืนและคำนับอีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังกลับและเตรียมจะเดินออกไป...แต่มือสังหารผู้อาวุโสก็ชะงักเล็กน้อยราวกับนึกอะไรบางอย่างออกมาได้ เขาเหลือบมาสบตาของหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพูดเรียบๆอีกครั้ง
" ...ข้ามีเรื่องสงสัยอีกอย่างนึง...ท่านยูกิโอะ "
" หืม? "
" ...ถ้าหาก...ถ้าหากโอกาสหนึ่งในร้อยที่ว่าไอ้ชั่วนั่นยังรอดชีวิต...และเป็นตัวการในกลุ่มมือสังหารเถื่อนนั่น...เกิดเป็นจริงขึ้นมา...มันจะเป็นเช่นไรต่อไป? "
ยูกิโอะนิ่งเงียบไปเล็กน้อยกับคำถามอันหลักแหลมของมือสังหารอาวุโสผู้นั้น...ก่อนที่ชั่วครู่หนึ่งเธอจะหลดหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับคว้าไหเหล้าขึ้นกระดกอึกใหญ่ ...หลังจากที่เธอใช้ท่อนแขนเช็ดคราบเหล้าที่เลอะริมฝีปากอวบอิ่มเสร็จสิ้นเธอก็ตอบกลับพลางกลั้วหัวเราะออกมาทันที
" ฮ่าๆๆ ถ้าหากโอกาสระดับปาฏิหาริย์นั้นเกิดขึ้นจริง...เมืองเอ้ย...เชื่อข้าเถอะ...ว่ามัน และกลุ่มมือสังหารใต้อาณัติของมันจะไม่ยอมหยุด...จนกว่าราชอาณาจักรอโยธยาอันเกรียงไกรจะถึงกาลล่มสลายเป็นแน่! ฮ่าๆๆๆ!! "
...................................................
...ย้อนกลับมาที่สวนขวัญดอกรัก...สวนลับในราชอุทยานสวนองุ่น...ที่เวลานี้กว่าครึ่งราพณาสูรไปเรียบร้อยแล้ว จากฤทธิของหอกในมือของ วิรุญจำบัง ที่กำลังไล่ล่ามือฉมังธนูผู้ปองร้ายองค์หญิงสิริจันทรอย่างไม่ลดละและไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ในขณะที่มือฉมังธนูสาวผู้นั้นเริ่มเหน็ดเหนื่อยจนกระทั่งช้าลงอย่างเห็นได้ชัด...ทำให้ผลของการไล่ล่าราวกับแมวจับหนูนี้ ขึ้นอยู่กับแค่เวลาเท่านั้น...
" อื้อหือ...นี่ขนาดเรายืนอยู่ห่างขนาดนี้ยังรู้สึกได้ถึงจิตคุกคามที่แผ่ออกมาจากครึ่งร่างยักษ์ด้านหลังองค์หญิงเลย...ไม่อยากคิดถึงยัยมือสังหารนั่นเลย... " ไกรถึงกับครางออกมาเบาๆ ก่อนจะเหลือบกลับไปมองอนาสตาเซียที่เขายังไม่ทราบเลยว่ายัยนี่มาอยู่ที่นี่ หรือไปรู้จักมักจี่ถึงขั้นสนิทสนมกับสอง อิสตรี ผู้ทรงอำนาจที่สุดแห่งอโยธยานี่ได้อย่างไรอีกเล็กน้อย...ในขณะที่อนาสตาเซียที่หันมาสบตาด้วยก็ถลึงตาใส่ทันทีราวกับให้เขารีบเข้าไปเป็น ตัวล่อเท้า ขณะที่เธอและพวกสมเด็จพระพี่นางเตรียมจะทำพิธีอะไรบางอย่างที่เขาเองก็ยังไม่รู้เรื่องนักได้แล้ว ทำให้ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเฮือกออกมาทันที
' เฮ้อ...นี่ตูหลับไปนานแค่ไหนกันแน่ฟะ...ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าทั้งหมดมันถึงได้ดูผิดที่ผิดทางไปหมดแบบนี้ก็ไม่รู้ ' ไกรคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับโคลงหัวดิกๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตกกระไดพลอยโจนเล่นตามน้ำไปก่อน...ชายหนุ่มขยับร่างกายเล็กน้อยอย่างกล้าๆกลัวๆว่าไอ้บาดแผลฉกรรจ์ที่เกือบจะคร่าชีวิตเขายังไม่หายดี แต่ก็ไม่พบความเจ็บปวดอะไรอย่างที่เขากลัวไว้เลย...อันที่จริง...ต้องพูดว่าร่างกายของเขาในเวลานี้ค่อนข้างจะเบากว่าปรกติธรรมดาด้วยซ้ำ
" ...จบงานนี้มีหวังมีเรื่องให้ต้องอัพเดทอีกบานตะเกียงแหงๆเลย "
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ไกรก็ก้าวเดินเข้าสู่ สนามรบ ย่อมๆนี้ช้าๆ ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกขึ้นได้พร้อมทั้งยกห่อผ้าไหมที่ห่ออะไรบางอย่างขึ้นมาดูช้าๆ ก่อนจะเปิดถุงผ้าที่ปิดผนึกปากถุงไว้ด้วยครั่งสีแดงสดประดับตราที่คล้ายกับตราประจำตระกูลระดับโชกุนหรือไดเมียวของญี่ปุ่นยุคเก่าไว้ ...แต่เมื่อเห็นสิ่งที่ถูกห่ออย่างมิดชิดไว้ภายใน ดวงตาของไกรก็เบิกกว้างและเปล่งประกายวูบราวกับเด็กน้อยที่ได้ของเล่นราคาแพงชิ้นใหม่ทันที
...สิ่งที่ถูกห่อไว้ด้วยห่อผ้าไหมชั้นดีและถูกปิดผนึกอย่างมิดชิดกลับกลายเป็นดาบ...ดาบ...ที่แม้จะมองเพียงผิวเผินภายใต้แสงจันทร์นวลๆนี้ยังสามารถบอกได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่าเป็นดาบที่ต่างจากดาบทั่วไปโดยสิ้นเชิง!...
...ดาบคมเดียวที่แถมมาพร้อมกับฝักดาบหนังสีดำสนิทเล่มนี้เป็นดาบเล่มยาวสีเงินยวงเปล่งประกายตลอดทั้งเล่มที่มีทั้งขนาดและน้ำหนักมากกว่าดาบทั่วไปเล็กน้อย...ใบดาบโค้งและเรียวยาวแหลมคมราวกับมีดโกนอย่างของใหม่ถอดด้ามนี้บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่ามาจากมืออันปราณีตของช่างตีศาสตราชั้นหนึ่ง ทว่ากลับมีส่วนสันดาบที่หนากว่าดาบปรกติทั่วไปเกือบเท่าตัวอย่างกับว่าถูกตีขึ้นรูปขึ้นมาอย่างผิดพลาด แถมยังมีรอยผ่ากลางบางๆที่แทบมองไม่เห็นแต่ลูบดูจะรู้สึกได้ ราวกับว่ามันเคยถูกซ่อมแซมมาแล้วทั้งๆที่เป็นดาบเล่มใหม่ชนิดแกะกล่องแท้ๆ...แต่ถ้าหากไม่นับเรื่องนี้ ดาบสีเงินยวงที่ถูกตีและสลักลวดลายตรงโกร่งประกับดาบอย่างปราณีตและงดงามเล่มนี้ก็สามารถนับได้ว่าเป็นดาบชั้นหนึ่งที่เหมาะและเข้ากับมือของเขามากที่สุดนับแต่ที่เขาเกิดมาเลยทีเดียว!...
" อ...อะไรกันเนี่ย?...ทัั้งๆที่ยัยยูกิโอะนั่นเจอกับเราเพียงแค่ครั้งเดียว แถมเพียงไม่กี่นาทีแท้ๆ แต่กลับสามารถสร้างดาบที่เหมาะกับมือเราที่สุดแบบนี้ออกมาได้...นี่มัน...อัจฉริยะชัดๆ! " ไกรยกดาบสีเงินยวงที่เขาชักออกมาจากฝักหนังขึ้นส่องดูกับแสงจันทร์ช้าๆ พร้อมๆกับที่ดาบเล่มนี้เปล่งประกายวาววับมากขึ้นไปอีกราวกับกำลังดูดเอาแสงจันทร์นั้นมาเสริมพลังให้กับตัวเองขึ้นไปอีกยังไงยังงั้นเลยทีเดียว!
" โหย...นี่น่ะหรือ ดาบสดายุ ที่ยูกิโอะซังเล่าให้ฟังน่ะ...ที่โอ้อวดว่าตีจาก เหล็กสังขวานร โลหะที่เทียบเท่า เหล็กน้ำพี้ ชั้นสูงสุดตลอดทั้งเล่ม เห...ใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีกนะเนี่ย น่าสงสัยนักว่ายัยท่านหญิงยูกิโอะนั่นเอาโลหะหายากยิ่งเช่นนี้มาจากไหนได้มากมายขนาดนี้กันนะ...ขอข้าจับหน่อยได้ไหมเนี่ย? " อนาสตาเซียขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับด่วงตาที่เปล่งประกายวิบวับไม่แพ้กัน ในขณะที่ชายหนุ่มเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะยอมยื่นดาบที่เขาพึ่งรู้จักชื่อว่า ดาบสดายุ ให้อีกฝ่ายดู พร้อมๆกับที่หญิงสาวรับมา แต่เมื่อรับมาอยู่ในมือ เธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกตทันที
" มีอะไรรึเปล่า นาสตี้? "
" เห...เท่าที่ข้าจะได้...เหล็กสังขวานร มีน้ำหนักเบาเพราะหลอมผสมจาก เหล็กไหลจันทรา กับ เงินยวง ไม่ใช่หรือ?...ไอ้เรื่องธาตุที่เย็นเยียบจนรู้สึกได้น่ะใช่ แต่ไอ้น้ำหนักนี่มัน--- "
อนาสตาเซัยบังพูดได้ไม่ทันจบครบกระบวนความดี ไกรก็คว้าด้ามดาบหมับก่อนจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแลบทันที...เพียงพริบตาเดียวเขาก็พุ่งมายืนจังก้าระหว่างมือฉมังธนูสาวที่กำลังพลาดท่าเสียที พร้อมกับใช้ดาบเล่มใหม่ถอดด้ามในมือรับคมหอกที่อยู่ในมือของ วิรุญจำบัง ครึ่งร่างของยักษ์สีมอหมึกที่โถมแทงสุดตัวเข้ามาหมายปลิดชีวิตน้อยๆของอีกฝ่ายไว้ทันที!
" อ...อึ่ก! "
ขนาดไกรที่ว่าฝึกดาบมาทั้งชีวิต แถมยังมีดาบที่สร้างจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งเล่มยังถึงกับต้องกัดฟันกรอดจนกรามแทบแตก ต้องทรุดลงคุกเข่าพร้อมกับใช้มืออีกข้างดันสันดาบของตัวเองเพื่อต้านแรงอันมหาศาลที่ส่งผ่านมากับปลายหอกจากมือของครึ่งร่างที่เหมือนกับเป็น ร่างลวงตา ที่อยู่ด้านพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) ขององค์หญิงที่เวลานี้ดูเหมือนจะกำลังไร้ซึ่งพระสติไว้...นี่ขนาดเขามีดาบที่สร้างจากโลหะระดับสูงตลอดทั้งเล่มช่วยสลายแรงแล้วแท้ๆ
...ถ้าหากเป็นดาบธรรมดาล่ะก็...ป่านนี้ทั้งดาบทั้งร่างของเขาคงมีหวังได้ถูกผ่าเป็นสองซีกไปในการจู่โจมครั้งนี้แล้วแน่ๆ!...
" จ...เจ้า! ...จ...เจ้าพระยาพิทักษ์?! ท...ทำไมกันล่ะ?! " มือฉมังธนูสาวที่ล้มลงก้นจ้ำเบ้าแข้งขาสั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีดกับจิตสังหารและคมหอกที่เกือบจะเสียบทะลุร่างของเธออยู่รอมร่อแล้วถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างไม่อยากจะเชื่อคลองสายตาตัวเอง...ถึงเวลานี้เธอยังคิดว่าตัวเองฝันไปด้วยซ้ำ...เป็นฝันในคืนธาตุไม่ปกติที่พิศดารที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอตั้งแต่เกิดและเติบโตเป็นผู้เป็นคนมาเลยทีเดียว!
" กรอด...จังหวะนี้แหละ! นาสตี้!! "
โดยที่แทบไม่รอให้ไกรสั่ง อนาสตาเซียก็รู้หน้าที่และสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ดีอยู่แล้ว เพราะไม่ทันที่เสียงตวาดของไกรจะจบลง หญิงสาวก็ใช้ความเร็วที่ว่าเร็วที่สุดในหมู่มือสังหารทั้งหมดพุ่งเข้ามา พริบตาเดียวเธอก็มายืนอยู่ด้านหลังมือฉมังธนูที่เป็นมือสังหารเถื่อนผู้นั้นพร้อมกับเชือกในมือแล้ว
วูบ!
เพียงพริบตาเดียวทั้งอนาสตาเซียและมือฉมังธนูนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
" เออ...แบบนี้ก็กลายเป็นว่าเราเป็นเป้าหมายหลักเรียบร้อยแล้ว " ไกรครางออกมาเบาๆพลางใช้แรงทั้งหมดปัดหอกเล่มนั้นออกไปโดยทันที พร้อมกับกวัดแกว่งดาบเพื่อตั้งท่าใหม่เตรียมพร้อมรับการจู่โจมอีกครั้ง ในขณะที่กรมขุนวิมลพัตรที่กำลังก้มลงง่วนเขียนอะไรบางอย่างบนพื้นหญ้าอยู่ถึงกับต้องเงยพระพักตร์ขึ้นพร้อมกับตวาดเตือนด้วยพระสุรเสียงดังลั่นทันที
" เจ้าพระยาพิทักษ์! วิรุญจำบังมีพลังวิเศษในการลบล้างตัวตนของตัวเอง โดยที่ประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ของท่าน รวมถึงประสาทสัมผัสที่ ๖ จะไม่สามารถตรวจจับได้ ทำให้--- "
" ด...ด้วยความเคารพนะพุทธเจ้าข้า สมเด็จพระราชินี แต่ช่วยตรัสแบบรวบรัดสั้นๆง่ายๆ แบบที่คนโง่ๆเข้าใจได้ทันทีเลยทีเถอะ "
" คิกๆ "
สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรหันเนตรขุ่นๆของพระองค์กลับมามองสมเด็จพระพี่นางที่หลุดสรวลออกมาเบาๆอย่างคาดโทษทันที ในขณะที่อดดำริเล็กน้อยไม่ได้ว่าควรจะช่วยไอ้เด็กหนุ่มคนนี้ดีหรือไม่ ก่อนที่พระองค์จะปัสสาสะเฮือกเล็กน้อยอย่างดำริได้ว่าอย่างไรเสียเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นชายที่องค์หญิงสิริจันทรพิศมัยและเป็นคนที่คิดจะช่วยบุตรีของพระองค์อย่างบริสุทธิ์ใจโดยไม่ถามอะไรเลยด้วยซ้ำ ทำให้พระองค์มุ่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตรัสตอบกลับไปทันที
" วิรุญจำบังสามารถหายตัวได้! ระวังด้วย!! "
วิ้ง!
รวดเร็วราวกับตาเห็น...ทันทีที่สมเด็จพระอัครมเหสีประกาศออกไป ร่างทั้งร่างขององค์หญิงสิริจันทรพร้อมกับวิรุญจำบังที่ถือหอกอยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงบาดแก้วหูบางอย่างออกมาวูบ ก่อนที่ร่างของทั้งพระนางและครึ่งร่างของยักษ์สีมอหมึกตนนั้นจะหายวับไปกับตา พร้อมๆกับการหายไปของทั้งกลิ่นและเสียง รวมไปถึงจิตคุกคามที่หายไปราวกับโกหก พร้อมกับที่ไกรเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเครียดๆ ทันที
" ขอบพระทัยขอรับ! "
" นี่...ท่านพินทวดี...ระดับความซวยของเด็กหนุ่มคนนี้มันอยู่ในระดับไหนกันแน่เนี่ย? "
" เฮ้อ...อย่าถามข้าเลย "
...ไกรกัดฟันกรอดพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างกำด้ามดาบสดายุที่ถูกสร้างขึ้นให้ยาวกว่าปรกติเล็กน้อยแน่นโดยที่เขายังมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะรับมืออย่างไร แต่อยู่ๆ นิ้วของเขาก็เผลอไปสะกิดปุ่มลับเล็กๆอะไรบางอย่างเข้า พริบตาเดียวดาบของเขาก็ส่งเสียงแกร๊กวูบ พร้อมกับที่เขาเบิกตากว้างจนแทบถลนออกนอกเบ้าอย่างตกใจทันที!!...
...ดาบอีกหนึ่งเล่ม...ดาบอีกหนึ่งเล่มที่ถูกซ่อนอยู่ด้วยกลไกอันล้ำสมัยภายในสันดาบใหญ่สดายุในมือ...ดาบ...เล่มเรียวบางสีตะกั่วตลอดทั้งเล่มที่ราวกับเป็นน้ำหนักทั้งหมดของดาบสดายุที่เวลานี้เบาจนราวกับถือขนนกอยู่เลยทีเดียว...
" อ...อะไรฟะเนี่ย?! "
" นั่นนะหรือ ท่านหญิงยูกิโอะ...ที่ท่านพยายามจะโอ้อวดกับข้า " อนาสตาเซียที่เวลานี้นั่งควบคุมตัวมือฉมังธนูตัวต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด ที่เวลานี้ถูกจัดการพันธนาการไว้ด้วยเชือกอย่างหนาแน่น หันไปมองดาบเล่มเล็กบางในมืออีกด้านของไกรพร้อมกับหรี่ตาลงและครางออกมาเบาๆทันที
" ...ดาบ...ที่รวมเอาวิทยาการของคู่แฝดโคลบี้-ออลลี่ กับความสูงส่งของวิชาตีศาสตราและเล่นแร่แปรธาตุของท่าน...ดาบลับที่ถูกหลอมตีจาก สัตตโลหะ ตลอดทั้งเล่ม...ดาบสัมพาที! "
..............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ