ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
62)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...แพขนพระเนตรโค้งงอนของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรค่อยๆขยับขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆเรียกพระสติที่กระจัดกระจายกลับมาพร้อมๆกับการตื่นจากพระบรรทมและพระสุบินอันยุ่งเหยิงอย่างช้าๆ ก่อนที่เนตรกลมโตสีอ่อนจะลืมขึ้นพร้อมๆกับที่พระองค์จะค่อยๆใช้กรเรียวบางยันพระวรกายขึ้นอย่างช้าๆ แต่อังสะเล็กบางของพระองค์ก็ถูกหัตถ์อันอบอุ่นของใครบางคนจับไว้และค่อยๆจับให้พระองค์ทอดวรกายลงอีกครั้งอย่างช้าๆ...เมื่อพระองค์ผินพักตร์ไปพิศด้วยแววเนตรที่พร่าเลือน พระองค์ก็พึ่งทราบวาเจ้าของหัตถ์อันอบอุ่นนี้เป็นของสมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตร...พระราชมารดาของพระองค์นั่นเอง...
" พ...พระราชมารดา? "
กรมขุนวิมลพัตรแย้มสรวลให้อย่างอารีย์พร้อมกับเนตรที่ทอแสงเป็นห่วงเป็นใย ก่อนที่เนตรสีเดียวกับเนตรขององค์หญิงสิริจันทรนั้นจะเบนไปสบกับพระเนตรของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดีที่ประทับอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแท่นพระบรรทมที่องค์หญิงประทับอยู่เล็กน้อย ก่อนที่กรมขุนวิมลพัตรจะค่อยๆตรัสกับพระองค์อย่างช้าๆ
" องค์หญิง... "
" ...ม...หม่อมฉัน...หม่อมฉันมาอยู่ที่ได้อย่างไรเพคะ? ล...แล้ว ท่านไกร!---หมายถึงท่านเจ้าพระยาพิทักษ์...หม่อมฉันจำได้ว่าท่านเจ้าพระยาเอากายเข้าปกป้องหม่อมฉันไว้จากลูกศรที่ตั้งใจจะปลงพระชนม์หม่อมฉัน...ท่าน--- " องค์หญิงสิริจันทรละล่ำละลักออกมาเมื่อพระองค์เรียบเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้พร้อมกับจะลุกพรวดขึ้น แต่หัตถ์อันอบอุ่นของพระราชมารดาของพระองค์จะค่อยๆลูบเกศาดำขลับของพระองค์เบาๆราวกับปลอบขวัญพระองค์เล็กน้อยพร้อมกับตรัสต่อช้าๆ
" เย็นพระทัยไว้ก่อน...ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์จะต้องทรงกังวลอีกต่อไปแล้ว "
" ต...แต่ว่า "
" องค์หญิง...ก่อนอื่น แม่อยากให้เจ้าตอบอะไรกับแม่สักคำสองคำนะ "
ดำรัสของกรมขุนวิมลพัตรทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงถึงกับชะงักพระวรกายไปเล็กน้อย เพราะเท่าที่พระองค์ดำริ(จำ)ได้ ก่อนที่พระสติจะขาดห้วงไป พระองค์ก็กระทำผิดกฎราชมณเฑียรบาลอันเก่าแก่ไปนับสิบๆข้อ...สำพังพระองค์นั้นไม่ได้เกรงกลัวพระราชอาญาเท่าไหร่หรอก เพราะพระองค์ถือว่าพระองค์เป็นผู้กระทำผิดจริงๆ ...แต่ทรงปริวิตกว่าเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ หรื่อไกรจะต้องมารับเคราะห์ต้องราชทัณฑ์หนักเพราะความเอาแต่พระทัยของตัวพระองค์เอง
ดูเหมือนสมเด็จพระพี่นางพินทวดีจะพิศสังเกตเห็นความปริวิตกที่ซึมผ่านออกมาจากพระพักตร์งามจิ้มลิ้มของพระนัดดาสาว ทำให้พระองค์ปัสสาสะเฮือก ก่อนจะยกพัดจีนประจำพระองค์คลี่ขึ้นปิดโอษฐ์อย่างเคยพระองค์พร้อมกับตรัสเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลว่า
" พระองค์หาได้ต้องกังวลใดๆเพคะ จะไม่มีการลงโทษทัณฑ์ราชอาญาแก่ผู้ใดทั้งสิ้น ขอเพียงพระองค์อย่าได้ปิดบังอำพรางสิ่งใด...เพียงตอบพวกเรา---ตอบสมเด็จพระอัครมเหสีและหม่อมฉันด้วยความสัตย์จริงเท่านั้น "
เจ้าหญิงสิริจันทรเลิกขนงเล็กน้อยอย่างงงวย แต่พระองค์ก็ทรงพยักพระพักตร์รับแต่โดยดี ในขณะที่กรมขุนวิมลพัตรที่รอคอยท่าอยู่เมื่อเห็นดังนั้นก็ตรัสถามขึ้นทันที
" ลูกแม่...หลังจากที่ลูกเฝ้าแม่ที่วัดพระศรีฯเสร็จสิ้น และเสด็จชมราชฐานตามคำร้องขอของสมเด็จพระพี่นางฯ ...หลังจากนั้น ลูกจำอะไรได้บ้างล่ะ? "
" จำ...อะไรได้บ้าง? อ...เอ่อ " เจ้าหญิงน้อยทวนดำรัสเบาๆพร้อมกับดำรินึกย้อนไป ก่อนที่พระองค์จะพระพักตร์ร้อนวูบวาบและเข้มสีขึ้นทันทีอย่างกระดากอายพระทัย พร้อมกับดึงผ้าคลุมพระบรรทม(ผ้าห่ม) บางๆขึ้นปิดพักตร์ที่แดงเรื่อของพระองค์ไว้พร้อมกับเอ่ยตรัสอย่างตะกุกตะกักว่า
" ...ม...ไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่พระองค์จำต้องทราบหรอกเพคะ "
พระอากัปกริยาที่เต็มไปด้วยความเขินอายจนม้วนต้วนขององค์หญิงผู้เป็นธิดาพระองค์เดียวทำเอาสมเด็จพระอัครมเหสีถึงกับปั้นพระพักตร์ไม่ถูก แทบจะลืมเลือนจุดประสงค์ดั้งเดิมไปเสียสิ้น...พระองค์ผินพระพักตร์ไปสบเนตรกับสมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีที่ปิดโอาฐ์กลั้นสรวลอยู่อย่างขอความช่วยเหลือพร้อมกับตรัสเบาๆว่า
" ในฐานะแม่คน...ม...หม่อมฉันสมควรจะกังวลในเรื่องนี้ไหมเพคะ? "
" คิกๆ เฮ้อ...ถ้าหากพิศอย่างปลอดอคติ หม่อมฉันเองเมื่อครั้งยังดำรงยศเป็นองค์หญิง..เจ้าฟ้าแห่งวังหน้า หม่อมฉันก็เคยทำท่าทีเป็นอย่างเช่นนี้เหมือนกัน...จะว่าไปนอกจากพระองค์ที่บวชเป็นชีมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ดรุณีน้อยวัยกำดัดคนไหนๆก็ต้องมีช่วงเวลานี้อยู่แล้ว...เพราะฉะนั้นพระองค์ไม่ต้องปริวิตกมากมายเกินไปหรอกเพคะ " สมเด็จพระพี่นางตรัสเบาๆเพื่อให้สมเด็จกรมขุนวิมลพัตรคลายพระกังวลลง ก่อนที่พระองค์จะผินพระพักตร์กลับไปพิศนัดดาสาวของพระองค์ที่ยังคลุมโปงอยู่พร้อมกับตรัสต่อเบาๆว่า
" เฮ้อ...เอาเป็นว่าถ้าพระองค์ลำบากพระทัยที่จะเล่าในช่วงเวลานั้น พระองค์ก็ข้ามไปเลยก็ได้...หม่อมฉันกับสมเด็จกรมขุนมิได้ติดพระทัยอะไรในส่วนนั้นอยู่แล้ว... "
" อ๊ะ! ประเดี๋ยวสิ! " สมเด็จพระอัครมเหสีผู้เป็นมารดาขององค์หญิงสิริจันทรอดขัดขึ้นเบาๆไม่ได้ เพราะพระองค์เองยังติดพระทัยในเรื่องที่ค้างไว้อยู่ แต่สมเด็จพระพี่นางทำสัญญาณเป็นเชิงว่าให้เห็นแก่เรื่องที่ใหญ่กว่าอันเป็นเรื่องหลักก่อน พระองค์จึงได้แต่เงียบไปและปล่อยให้อีกฝ่ายตรัสต่อไป
" ...หม่อมฉันเพียงแค่ต้องการจะทราบเท่านั้น ...ว่าเกิดอะไรขึ้นที่สวนขวัญลับของพระองค์นั่น...องค์หญิงสิริจันทร "
องค์หญิงสิริจันทรโผล่พักตร์ที่ยังคงยังเป็นสีชมพูเรื่อๆออกมาจากผ้าคลุมพระบรรทมเล็กน้อยเหมือนยังไม่ค่อยแน่พระทัยนัก จนกระทั่งสมเด็จพระอัครมเหสีผู้เป็นราชมารดาของพระองค์พยักพระพักตร์สำทับรับรองอีกครั้ง พระองค์จึงค่อยๆลุกประทับนั่งพับเพียบ ก่อนจะเริ่มต้นสรัสเล่าช้าๆ
" หม่อมฉัน...เอ่อ...เมื่อกว่าปีก่อนหม่อมฉันบังเอิญไปพบเข้ากับสวนขวัญร้าง--- "
" ข้ามตรงนี้ไปเลยเพคะ...เอาเป็นว่า พระองค์ข้ามไปถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงจำได้เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระสติเลยเพคะ " ก่อนที่องค์หญิงจะเริ่มระลึกชาติ พระพี่นางพินทวดีก็โบกหัตถ์พร้อมกับตรัสขัดเรียบๆแทบจะทันทีจนองค์หญิงสิริจันทรถึงกับอ้าโอษฐ์น้อยๆ ก่อนที่พระองค์จะเริ่มตรัสขึ้นใหม่อีกครั้ง
" ...หม่อมฉัน....ใช่แล้ว! หม่อมฉันถูกลอบปลงพระชนม์เพคะ! "
" ลอบปลงพระชนม์? "
" พ...เพคะ...ลอบปลงพระชนม์ " องค์หญิงสิริจันทรรับคำเบาๆอย่างแปลกพระทัยเล็กน้อย ที่ทั้งสองพระองค์ดูมีปฏิกริยาน้อยเหลือเกินกับเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ แต่พระองค์ก็ยังคงตรัสเล่าต่อช้าๆ
" จากนั้น...เอ่อ...จากนั้นท่านไกร---ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ก็เสี่ยงเอากายปกป้องข้าไว้จากลูกธนูที่หมายหม่อมฉัน...สำนึกสุดท้ายที่หม่อมฉันจำได้ ก็คือโลหิตเพคะ...โลหิตที่ทะลักทลายออกมาจากปากแผลของท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...ก่อนที่ลูกธนูดอกที่สองที่ซ้ำมาจะทะลุตัวของท่านเจ้าพระยาอีกครั้ง...จ...จากนั้น--- " องค์หญิงตรัสได้เพียงเท่านั้นพระองค์ก็ต้องเอาหัตถ์เรียวบางกุมเศียรไว้ในทันทีอย่างเจ็บปวดราวกับว่าเศียรแทบระเบิด ในขณะที่กรมขุนวิมลพัตรรีบเข้ามาดูพระอาการทันที ก่อนที่พระองค์จะสบเนตรกับพระพี่นางพินทวดีแวบนึงพระ้อมกับพยักพระพักตร์ให้กันเบาๆ
" พักเสียก่อนเถอะ สิริจันทร...อย่าพึ่งฝืนอะไรในเวลานี้เลย "
" พ...เพคะ? "
ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพินทวดีหุบพัดจีนลงพร้อมทั้งใช้หัตถ์อีกด้านลูบพระหนุอย่างครุ่นดำริในพระทัยทันที
' ...แปลว่าสิริจันทรไม่อาจจดจำอะไรในห้วงเวลาที่พระองค์กลายเป็น บุตรีแห่งสุรีย์แสง ได้เลย...ก็เข้าเค้ากับที่ท่านออกญาฯทูลกับเราหลังจากนั้น...บุตรแห่งสุรีย์แสงเป็นเหมือนกับกลุ่มก้อนพลังอันมหาศาลที่ไร้สำนึกใดๆเท่านั้น...กลุ่มก้อนพลังที่เป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่จริง...ที่สามารถเป็นทั้งผนังทองแดงกำแพงแก้วที่คอยปกป้องอโยธยา...หรือไม่ก็เป็นหายนะที่จะทำลายอโยธยาให้ราบพณาสูรเอง ! ...สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ กับพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าจะไม่อาจจะนับชั้นกันได้นี้...ก็เป็นเพียงแค่การประคับประคองไม่ให้มีสิ่งใดมากระทบกระเทือนพระหทัย...จน บุตรีแห่งสุรีย์แสง ลืมเนตรตื่นขึ้นมาอีกเท่านั้น '
" ท่านพินทวดี "
สุรเสียงดำรัสเบาๆ ของสมเด็จพระอัครมเหสี ปลุกพระองค์ให้ตื่นจากห้วงภวังค์ดำริความคิดช้าๆ เมื่อพระองค์ผินพระพักตร์กลับมาอีกครั้งพระองค์ก็พบกับดวงเนตรที่วิงวอนของกรมขุนวิมลพัตรเหมือนกับจะขอร้องว่าให้หยุดแต่เพียงเท่านี้ นั่นทำให้พระองค์ปัสสาสะออกมาเล็กน้อย เพราะถึงอีกฝ่ายไม่ทำเนตรเช่นนี้พระองค์ก็ไม่คิดจะสาวความต่อจนทำให้องค์หญิงลำบากพระทัยเกินไปอยู่แล้ว นอกจากพระองค์จะไม่อยากเสี่ยงทำให้ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ที่พึ่งจะสงบลงออกมาอาละวาดอีกครั้ง...พระองค์เองก็รักองค์หญิงตัวน้อยผู้นี้ไม่ต่างจากธิดาในอุทรจนไม่คิดจะบีบบังคับนางจนไม่คิดจะตรัสอะไรไปมากกว่าเช่นกัน
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าหญิงพินทวดีเอนพระวรกายลุกขึ้นจากที่ประทับอย่างช้าๆ ก่อนทำท่าจะเสด็จออกไปโดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ แต่พระองค์ก็ชะงักเล็กน้อยเมื่อองค์หญิงสิริจันทรยันพรวรกายลุกขึ้นและถามออกมาเบาๆว่า
" ประเดี๋ยวก่อนเพคะ สมเด็จพระปิจตุฉา... "
" หืม? เพคะ "
" อ...เอ่อ...ท่าน---เจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...หลังจากเขาใช้ตัวรับลูกธนูทั้งสองดอกแทนหม่อมฉัน หม่อมฉันจำได้อย่างเลือนรางว่าธนูดอกสุดท้ายถูกเข้าจุดที่สำคัญมากๆ ...ในเวลานี้...เขา...เอ่อ...เป็นอย่างไรบ้างเพคะ? "
เจ้าฟ้าพินทวดีเลิกขนงเล็กน้อยก่อนจะเหลือบเนตรไปสบกับเนตรของสมเด็จพระอัครมเหสีที่แข็งขึ้นเล็กน้อยก่อนจะปัสสาสะเฮือก...ใจนึงพระองค์ก็อยากจะลองแกล้งบอกว่าไอ้เจ้าพระยาตัวดี...ศิษย์รักของออกญาตัวดีอีกตัวไม่รอดจากพิษลูกธนูเพื่อรอดูอากัปกริยา แต่พระองค์ก็ไม่ค่อยอยากจะเสี่ยงทำให้ บุตรีแห่งสุรย์แสง ตื่นและอันเชิญอสูรในวรรณคดีออกมาวิ่งเล่นในพระบรมมหาราชวังอีก พระองค์จึงได้แต่ตรัสตอบกลับไปเรียบๆด้วยพระสุรเสียงไร้ความรู้สึกใดๆว่า
" เจ้าพระยานั่นไม่เป็นอะไรหรอก องค์หญิง...ไม่มีมือสังหาร...ไม่มีการลอบปลงพระชนม์...ไม่มีการนำชมวังอะไรทั้งสิ้น...เมื่อทิวาก่อนพระองค์ประชวรหนัก...ประชวรหนักมากด้วยพิษไข้...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่พระองค์ทรงดำริได้นั้น เป็นเพียงแค่อาการเพ้อจากพิษไข้...พระองค์เพียงแค่สุบินไปเท่านั้น!! "
" ม...หม่อมฉันประชวร?...และทั้งหมดเป็นการสุบินด้วยพิษไข้เท่านั้น?!! "
" เพคะ! ...ทรงประชวรและเพ้อด้วยพิษไข้...ไม่มาก และไม่น้อยไปกว่านี้! "
.....................................
...หลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนทรหดและดูเหมือนจะยาวนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์...เหตุการณ์ในสวนขวัญดอกรักที่ควรจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ทุกๆอย่างที่ไกรรู้ไปโดยสิ้นเชิงกลับถูกฝังลงอย่างราบคาบด้วยความร่วมมือของสตรีผู้อาจจะทรงอำนาจที่สุดของยุคสมัยนี้ทั้งสองพระองค์...สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตร...และสมเด็จพระพี่นางพินทวดี จนทำให้ความลับเรื่อง บุตรีแห่งสุรีย์แสง มีผู้ที่ทราบเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น...
...สำหรับเรื่องราวเชิงลึกของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั้น ถ้าจะให้พูดตรงๆคงจะไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้ได้ดีเท่ากับท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตอีกแล้ว เพราะจากการสนทนาเพียงเล็กน้อยระหว่างช่วงการรับมือกับองค์หญิงนั้น เขาจับใจความสำคัญได้ตอนนึง...ประโยคที่สำคัญที่สุดที่ว่า...ท่านผู้เฒ่าเคยรับมือกับ บุตรีแห่งสุรีย์แสง พระองค์ก่อนมาแล้ว...
' แปลว่าไอ้คำแปลกๆอย่าง บุตรีแห่งสุรีย์แสง นี่ไม่ใช่คำเรียกเฉพาะองค์หญิงพระองค์เดียว...แต่เป็นเหมือนกับฉายา หรือตำแหน่ง...ที่ดีไม่ดีอาจจะมีมานานมากกว่าร้อยปีแล้วด้วยซ้ำ! ' ไกรทำได้แต่วิเคราะห์ทุกรายละเอียดที่เขาสามารถเก็บตกมาได้จากเมื่อคืนนั้นมารวบรวมและปะติดปะต่อ แต่ก็ทำได้อย่างยากลำบากราวกับกำลังต่อจิ๊กซอว์นับพันชิ้นโดยไม่มีแบบยังไงยังงั้น...เพราะนอกจากเรื่องราวเหล่านี้จะไม่เคยปรากฎในหนังสือประวัติศาสตร์ใดๆแล้ว (ก็แน่ล่ะสิ...ถ้าหากลงหนังสือ ไอ้หนังสือที่ว่าได้กลายเป็นหนังสือนิทานหลอกเด็กที่ความน่าเชื่อถือเป็นศูนย์ไปเลยแน่นอน) เรื่องที่ว่านี่ มันก็ดันเหมือนจะเกี่ยวข้องกับเขา ชนิดไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเลยอีกต่างหาก...
' เป็นไปได้เหรอวะ...ถึงเราจะไม่ใช่เซียนเรื่องควอนตัมเกี่ยวกับกาลเวลาก็เถอะ...แต่เท่าที่เราเคยดูในหนังเกี่ยวกับการข้ามเวลาหลายๆเรื่อง สำหรับเราที่มาจากอนาคตก็ไม่ควรจะมาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่กลายเป็นประวัติศาสตร์สำคัญเช่นนี้...แต่นี่ดูเหมือนเราเป็นตัวการทางอ้อม ของการตื่นของบุตรีอะไรนี่เลยนี่หว่า '
ไกรคิดในใจ ก่อนจะครางเบาๆพร้อมกับเอามือข้างซ้ายกุมขมับที่เริ่มปวดตุบๆขึ้นเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะเขาคิดเรื่องที่หนักหัวเกินไป บวกกับอดตาหลับขับตานอนไม่ได้งีบมาแล้วเกือบ ๒๔ ชั่วโมงแล้ว มันทำให้เวลานี้สมองและร่างกายของเขาจึงถึงขีดจำกัด และชาดิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...แต่เสี้ยววินาทีนั้นเอง ความชาดิกและปวดตุบๆที่ขมับก็เปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดชนิดที่ทำเอาน้าตาลูกผู้ชายไหลพรากออกมาทันที เพราะอยู่ๆ มือสังหารสาวโฉมงามนามว่าอนาสตาเซียก็เข้ามาดึงผ้าขาวบางที่ไหล่ขวาที่เวลานี้มีคราบเลือดเล็กน้อยซึมผ่านผ้าและผงยาห้ามเลือดออกมาแล้วอย่างกะทันหันและรุนแรงจนเสียงดัง แคว่ก! ส่งผลให้เลือดสีสดที่เคยถูกผงยาและผ้าขาวอุดว่าพุ่งซึมออกมาจากปากแผลที่เริ่มแห้งนั้นทันที!
" อ...อ๊ากกก ท...ทำบ้าอะไรฟะ ยัยโหดนี่!! " ชายหนุ่มกระพริบตาถี่ๆเพื่อไล่น้ำตาออกไป ก่อนจะหันขวับไปมองผู้สร้างความเจ็บปวดนี้อย่างหมายจะเอาเรื่องทันที แต่อนาสตาเซียแทบจะไม่สนใจไอ้แววตาเอาเรื่องจากคนที่เวลานี้ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าเลยด้วยซ้ำ เพราะเธอหันไปหยิบผ้าที่ชุบของเหลวกลิ่นฉุนบางอย่างในชามโลหะขึ้นมาและค่อยๆเช็ดปากแผลฉกรรจ์นี้เบาๆทันที
" ถามมาได้ว่าทำบ้าอะไร ก็เห็นๆอยู่ว่ากำลังจะจัดการกับบาดแผลอันทุเรศทุรังนี่ให้เจ้าอยู่น่ะ "
" ก...ก็บอกกันดีๆ แล้วทำให้มันเบาๆกว่านี้ไม่ได้รึไง ยัยเถื่อนนี่ โอ๊ยๆๆๆ!! " ไกรต้องร้องลั่นออกมาอีกครั้งทันที เพราะอนาสตาเซียใช้ผ้าสะอาดชุบของเหลวกลิ่นฉุนๆนั่นเช็ดล้วงเข้าไปในปากแผลให้เปิดกว้างขึ้น จนความแสบที่พอๆกับการถูกราดแผลด้วยทิงเจอร์ไอโอดินพุ่งเข้าสู่สมองราวกับถูกไฟช๊อตทันที
" อ้อ...แล้วจะให้ข้าทำเชนไรถึงจะถูกใจคุณท้าวเจ้าพระยาล่ะเจ้าคะ...จะให้จับมัดมือมัดแขนให้มั่น ก่อนจะปะเหลาะโอ๋เจ้าพลางค่อยๆลอกผ้าที่แห้งกรังด้วยเลือดที่จุกเจ็มแผลเจ้าออกอย่างช้าๆอย่างนั้นรึ? ข้าไม่รังเกียจที่จะทำเช่นนั้นหรอกนะ แต่พนันขันต่อกินอัฐกันได้เลยว่าเจ้าต้องดิ้นพราดเจ็บปวดเจียนตายจนแทบสิ้นสมประดี ทั้งยังร้องยิ่งกว่าควายถูกเชือดเป็นแน่...ปัดโธ่เอ้ย! ใจเสาะราวกับดรุณีน้อยไปได้ "
" ย...อย่างน้อยก็ขอยาชา หรือไม่อย่างน้อยๆก็แก๊สหัวเราะก่อนก็ยังดีไม่ใช่รึไง " ไกรพยายามโอดครวญต่อรอง แต่มือสังหารสาวเลิกคิ้วบางๆใส่อยางสงสัยทันที
" หืม? อะไรล่ะนั่น? "
' เวรกรรม...เท่าที่เราจำได้ แก๊สหัวเราะมันก็ถูกค้นพบมาในช่วงเวลานี้นี่หว่า สงสัยยังไม่แพร่หลายมาถึงที่นี้มั้ง '
" ถ้าหากเจ้าหมายถึงตัวช่วยลดความเจ็บปวดล่ะก็ ปกติแล้วเมื่อก่อนหมอมิชชันนารีที่อยู่ที่หมู่บ้านจะให้เคี้้ยวรากแมนเดรกหรือไม่ก็ผงฝิ่นน่ะ(๑) แต่ท่านพ่อสั่งห้ามเด็ดขาดมาซักพักแล้ว เพราะท่านเชื่อว่าของพวกนั้นมันทำให้ร่างกายเสีย พวกเราเลยทำกันสดๆเช่นนี้แหละ " อนาสตาเซียอธิบายเบาๆพร้อมกับนำผ้าที่เปื้อนคราบเลือดในมือล้างน้ำ และใช้ผ้าผืนใหม่ชุบของเหลวกลิ่นฉุนนั้นเช็ดแผลของไกรอีกครั้ง ซึ่งถ้าไม่นับตอนที่เอาผ้าล้วงเข้าไปในแผล มือของหญิงสาวก็เบาราวกับหมอฟันเก่งๆเลยทีเดียว
" เฮ้อ...ท่านผู้เฒ่านี่วิสัยทัศน์กว้างไกลดีจริงแฮะ ว่าแต่ ไอ้น้ำสีแปลกๆที่เธอเอามาเช็ดแผลเนี่ย มันคืออะไรกัน? "
อนาสตาเซียเลิกคิ้วให้กับท่าทีกระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นราวกับเด็กๆของไกรเล็กน้อย ก่อนที่จะขยับยิ้มบางๆพร้อมกับเลื่อนชามโลหะนั้นให้สังเกตเห็นชัดๆ
" ไข่ขาวที่ตีประสมกับเหล้าที่แรงที่สุดอย่างไรล่ะ ตำราแพทย์ฝรั่งเล่มใหม่ที่ได้มาบอกว่ามันล้างแผลและช่วยสมานบาดแผลได้ชะงัดนัก "
ไกรทำหน้าเหยเกเล็กน้อยทันที เพราะถึงจะบอกว่านี่เป็นความรู้หรือวิทยการที่ล้ำสมัยที่สุดในเวลานี้ แต่สำหรับชายหนุ่มผู้มาจากอนาคต ๒๐๐ กว่าปีนับจากนี้ ไอ้วิทยาการนี่มันเข้าเข้าดึกดำบรรพ์และยุ่งยากเกินความจำเป็นเลยทีเดียว
" ไอ้ข้าก็เพียงแค่รู้งูๆปลาๆล่ะน่ะ แต่คราวหน้าใช้น้ำสะอาดต้มประสมกับเกลือแกง...หมายถึงเกลือสมุทรเจือจางแล้วทิ้งให้เย็นมาเช็ดแผลเถอะ แบบนั้นง่ายกว่าเยอะ "
" หืม? ของเช่นนั้นมันจะช่วยล้างแผลได้อย่างไรกันล่ะ...เพ้ออะไรของเจ้าเนี่ย "
" เฮ้อ เอาเป็นว่าข้าจะหาเวลาพูดกับท่านผู้เฒ่าเรื่องนี้เอง ว่าแต่ ยังมีผ้าขาวเหลืออยู่อีกไหม นาสตี้ "
อนาสตาเซียเลิกคิ้วเล็กน้อยกับคำร้องขอแปลกๆของอีกฝ่าย แต่ก็เอี้ยวตัวไปหยิบมายื่นให้แต่โดยดี ในขณะที่ไกรรับมาพับทบไปทบมาก่อนจะยัดเข้าปากเพื่อกัดไว้ทันที
" อ๊ะ อ๊อม-แอ๊ว! (พร้อมแล้ว) "
" ท...ทะอะไรของเจ้าน่ะ ไกร? "
" เอ้า! อ้อออกอ้าอํอมแอ๊วไอ! "
" เอาผ้าออกแล้วพูดภาษามนุษย์เถอะนะ "
" ข้าบอกว่าพร้อมแล้ว...จัดการเอาเหล็กแดงที่นาบไฟไว้เผาปิดปากแผลได้เลย " ไกรคายผ้าที่กัดไว้ออกเพื่อพูดเบาๆ ก่อนจะกัดทบผ้านั้นใหม่พร้อมกับหลับตาปี๋เพื่อเตรียมรับความเจ็บปวดในการรักษาบาดแผล แต่อนาสตาเซียกลับทำท่าผะอืดผะอมใส่ทันที
" จ...เจ้า ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนที่เจ้าจากมามันป่าเถื่อนไร้อารยะขนาดไหนกันแน่?! เจ้าไม่รู้รึว่าพวกเราไม่ใช้การรักษาแผลด้วยการนาบด้วยเหล็กแดงมากว่าร้อยปีแล้วน่ะ! อี๋!! "
" อ...อ้าว? "
อนาสตาเซียสะบัดตัวเล็กน้อยราวกับขนลุก ก่อนที่เธอจะล้วงหยิบกระเป๋าหนังสีน้ำตาลแก่เล็กๆออกมาจากย่ามที่สะพายมาด้วย ในขณะที่ไกรชะโงกหน้าเข้ามาใกล้อย่างสนอกสนใจจนแทบจะหายใจรดกัน จนอนาสตาเซียต้องขยับรักษาระยะห่างเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะแกะกระเป๋านั้นออก เผยให้เห็นเครื่องมือแพทย์โลหะอันปราณีตที่ถูกสร้างขึ้นโดยช่างที่มีฝีมือระดับสูงหลายสิบชิ้น...หญิงสาวเลือกหยิบเข็มสีเงินวาวที่มีลักษณะโค้งคล้ายเบ็ดตกปลาขึ้นมาร้อยกับไหมสีขาวอย่างชำนิชำนาน ในขณะที่ไกรครางออกมาเบาๆทันที
" ข...เข็มเย็บแผล นี่นา? "
" อ้าว? ก็รู้จักนี่...แล้วเมื่อครู่จะพูดวิธีรักษาแบบโบราณและป่าเถื่อนนั่นให้ขนลุกขนพองเพื่ออะไรล่ะเนี่ย? " หญิงสาวหันมาต่อว่าเบาๆ ในขณะที่ไกรยิ้มแค่นๆใส่พร้อมกับเถียงไปในใจดังลั่นทันที
' ...ก...ก็มันช่วยไม่ได้นี่หว่า ทั้งหนัง ทั้งละครย้อนยุคที่เขาได้ดูในปัจจุบัน เวลาที่พระเอก หรือพวกตัวเอกรักษาแผลฉกรรจ์ทีไรก็เอาเหล็กเผาไฟมานาบทุกที แล้วใครมันจะไปตรัสรู้ล่ะว่าช่วงเวลานี้การแพทย์มันวิวัฒนาการถึงขั้นเย็บแผลกันได้แล้ว ปัดโธ่! '
อนาสตาเซียส่ายหน้าช้าๆเหมือนกับบ่นใส่ชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะขยับเข้ามาใกลไหล่ขวาของไกรพร้อมกับลงมือปักเข็มลงบนเนื้อของไกรเพื่อเชิ่อมปิดบาดแผลช้าๆ...ด้วยความมือเบาและนิ่มนวลของหญิงสาว บวกกับความแหลมคมและความเรียวของเข็มเย็บแผล ทำให้เขารู้สึกเจ็บเพียงแปล๊บๆราวกับแค่โดนมดกัดเท่านั้น (ถึงจะกัดถี่ๆจนแม้แต่ไกรเองก็ยังต้อนขบกรามนิ่วหน้าลงเล็กน้อยก็เถอะ) ในขณะที่ดวงตาสีฟ้าจรัสยังคงจ้องเขม็งที่บาดแผล ปากอิ่มๆของเธอก็เอ่ยขึ้นเบาๆว่า
" โชคชะตา...และสิ่งที่คุ้มหัวเจ้านี่ท่าจะแรงเหลือเกินนะ ไกร...ครั้งแรกที่เห็นเจ้าถูกหอกล่องหนนั่นแทง ข้าคิดชนิดแทบจะเต็มสิบส่วนว่าแขนขวาเจ้าคงจะปลิวติดไปกับคมหอกแล้วเป็นแน่แท้...แต่คมหอกนั่นกลับแค่เฉียดเท่านั้น ทั้งความคมของปลายหอกยังคมกริบจนแผลเรียบมาก...เช่นนี้อีกซัก ๕-๖ ราตรี เจ้าก็น่าจะใช้แขนข้างนี้เขียนหนังสือได้แล้วล่ะ "
' ปัญหาคือถึงเราจะฟังออก แต่เขียนหรืออ่านตัวอักษรภาษาไทยของยุคนี้ไม่ได้เลยนี่สิ...แถมภาษาที่สองของเราก็ดันเป็นภาษาอังกฤษแบบกะท่อนกะแท่น ในขณะที่พวกขุนนางในยุคนี้สามารถใช้ภาษาจีนและภาษาโปรตุเกสได้อย่างคล่องแคล่ว ไม่นับพวกมือสังหารของหมู่บ้านที่พูดภาษาของประเทศข้างเคียงได้เกือบทุกภาษาอย่างคล่องแคล่ว...เฮ้อ...ชักอิจฉาพวกนี้ในเรื่องนี้ขึ้นมาตะหงิดๆแฮะ '
" แล้ว...ถ้าใช้ดาบล่ะ? "
" อืม...ก็...คงจะต้องเว้นช่วงไปสักครึ่งเดือนล่ะกระมัง...พอจะทนไหวไหมล่ะ? "
" เฮ้ยๆ นี่เธอเห็นข้าเป็นคนที่หาเรื่องเจ็บตัวไปทั่วรึอย่างไร? "
" หรือไม่จริง? "
" ย...อยากจะเถียงใจจะขาด แต่ก็เถียงไม่ออกเลยแฮะ "
" คิกๆ " หญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะดึงเข็มขึ้นสูงเหมือนกับเป็นสัญญาณว่าเธอจัดการเย็บแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ต้องหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกเหมือนกับหาไม่เจอ...ก่อนที่ไกรจะได้ทันถามอะไร หญิงสาวก็โน้มกายเข้ามาที่แผลที่เย็บเสร็จแล้วนั้นอย่างช้าๆ จนจมูกของไกรรับรู้ได้ถึงกลิ่นกายหอมนวลๆของอีกฝ่ายได้เลย ก่อนที่เธอจะใช้เขี้ยวกัดเส้นไหมให้ขาดออกและโน้มตัวออกพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
" เอ้า...เรียบร้อยแล้วล่ะ จากนี้ไปก็พยายามอย่างให้แผลถูกน้ำล่ะ "
" ขอบคุณมากนะ นาสตี้...เฮ้อ...แต่น่าเสียดายจริงๆ ทำไมไหมมันไม่เหนียวกว่านี้ซักหน่อยนะ " ไกรยิ้มขอบคุณบางๆ แต่ไอ้คำที่ต่อท้ายคำขอบคุณนี่ถึงกับทำเอาหญิงสาวหน้าร้อนวูบวาบทันที ก่อนที่เธอจะใช้นิ้วจิ้มเข้าเต็มขอบแผลที่เย็บเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อแก้เก้อจนไกรร้องลั่นอีกครั้งทันที
" น...นี่แน่ะ มันใช่เวลาที่เจ้าจะมาหยอกข้าไหมเนี่ย! ปัดโธ่เอ้ย! "
" เฮ้อ...นี่ข้ามาขัดจังหวะอะไรที่ข้าไม่ควรจะต้องรับรู้รึเปล่าเนี่ย? "
ก่อนที่ทั้งไกรและอนาสตาเซียจะได้ทันพูดคุยอะไรต่อไป เสียงเรียบๆอันสุขุมของท่านผู้เฒ่าผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านและเป็นพ่อบุญธรรมของอนาสตาเซียก็ดังขึ้นขัดกลางวงสนทนานี้ ทำเอาอนาสตาเซียกระโดดสปริงตัววูบออกห่างจากไกรไปอยู่อีกด้านนึงทันที ในขณะที่ไกรเองก็ถึงกับวางหน้าไม่ถูกทีเดียว...
" อ...เอ่อ...ท่านผู้เฒ่า / ท่านพ่อ "
" เออ ข้าเอง...ทำหน้าราวกับเห็นผีไปได้ " ท่านผู้เฒ่าที่เวลานี้อยู่ในชุดเสื้อแสงใหม่ที่ดูเป็นทางการมากขึ้นเหมือนกับเตรียมจะไปทำธุระสำคัญตอบกลับมาเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างไม่อยากจะสนใจท่าทีหมาหยอกไก่ของไกรนัก ก่อนที่เขาจะนั่งลงพร้อมกับถือวิสาสะคว้ากาแฟควันกรุ่นๆที่วางไว้ขึ้นขึ้นดื่มเพราะรู้ดีว่าไกรที่ยังไม่ได้นอนมาเกือบวันเต็มๆคงไม่คิดจะดื่มมันแน่ ...ในขณะที่ไกรหันมามองเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วอย่างนึกขึ้นได้พร้อมกับเอ่ยถามอีกฝ่ายเบาๆว่า
" เป็นอย่างไรบ้างล่ะขอรับ? "
" ไอ้ที่ถามเนี่ย เจ้าหมายถึงเรื่องไหนกันล่ะ? "
" เอาเป็นเรื่องที่ข้าควรจะรู้ก่อนเลยล่ะกัน "
ท่านผู้เฒ่าเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับจัดลำดับความสำคัญของเรื่องที่เขาจะต้องพูดในใจเล็กน้อย ก่อนที่อึดใจต่อมาจะพูดขึ้นเบาๆว่า
" ข้ารู้ว่าเจ้าคงจะอยากรู้เรื่องของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง มากที่สุด แต่ถ้าหากให้พูดในเวลานี้รับรองว่ายาวแน่ๆ และเจ้าที่ยังไม่ได้นอนเลยจะฟังไม่รู้เรื่องเสียเปล่าๆ เพราะฉะนั้นข้าขอยกไปสนทนสกันในคราวถัดไปดีกว่า เพราะอีกประเดี๋ยวข้าเองก็จะต้องไปเฝ้าพ่ออยู่หัวเพื่อให้คำปรึกษาราชการศึกด้วย ...เอาเป็นว่าเรื่องนี้เป็นคำสั่งโดยตรง ถึงตายก็ต้องปิดปากเงียบให้ถึงที่สุด ต่อให้เป็นราชโองการบีบคอบังคับถามก็ตามที...ข้าและสมเด็จพระพี่นางรวมถึงสมเด็จพระอัครมเหสีต่างก็กราบทูลอย่างตรงกันว่าเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นเพียงก้อนหินดาวหาง ที่ตกมาจากฟากฟ้าในเวลาค่ำคืน มาระเบิดที่กลางสวนองุ่นเท่านั้น "
" ให้บอกว่าเป็นหินอุกกาบาตเนี่ยนะ?! "
" หืม? เป็นคำใช้เรียกที่ประหลาดดีนะ แต่เอาเถอะ ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจตรงกันล่ะนะ "
" แล้วแบบนี้ทั้งสองพระองค์จะทรงเชื่อเหรอขอรับ? ยิ่งสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ที่เคยเป็นนักดาบเก่ายิ่งแล้วใหญ่...จิตสังหารเข้มข้นขนาดนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะปิดกันง่ายๆเลยด้วยนะ "
" อืม...เรื่องทำให้ทั้งสองพระองค์เชื่อ เอาไว้เป็นหน้าที่ข้าเองก็แล้วกัน...เพราะเรื่องของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั้น ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น...ส่วนเรื่องพระวรกายของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใดๆ อีกทั้งสมเด็จพระพี่นางยังส่งข่าวให้ข้าแล้วว่าองค์หญิงทรงจำเรื่องราวในคืนนั้นไม่ได้เลย...เพราะฉะนั้นจะพูดอะไรก็ระวังหน่อยล่ะ ก็อย่างที่บอก เรื่องนี้ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี แม้แต่ตัวพระองค์เองก็ไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องนี้ด้วย "
" ข...เข้าใจแล้วขอรับ "
" ส่วนเรื่องของไอ้...ไม่สิ...นังมือฉมังธนูที่พยายามลอบปลงพระชนม์องค์หญิง แล้วเกือบจะถูกวิรุญจำบังฆ่าตายแต่ได้เจ้าช่วยไว้ทันน่ะ เวลานี้เล็ดรอดหนีออกจากที่คุมขังไปแล้วนะ "
" เข้าใจแล้วขอรับ " ไกรพยักหน้ารับเบาๆอีกครั้ง ก่อนที่สมองอันเริ่มจะมึนชาของเขาจะสะกิดเตือนถึงความผิดปกติในประโยคจนเขาต้องยกกลับมาทวนใหม่ทั้งดุ้นช้าๆ อีกครั้ง
" หา?!! หนีไปแล้ว?!! "
" อือ หนีไปแล้วล่ะ "
" พ...พูดอะไรเฉยชาอย่างงี้ฟะ! หัดทำตัวให้มันตื่นเต้นหน่อยเถอะขอรับ! ยัยมือฉมังธนูนั่นสาทารถลบจิตคุกคามของตัวเองได้แบบไม่เหลือนะ หากเธอเดินปะปนกับคนธรรมดาต่อให้เป็นพวกเราเองก็ยังแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ...แล้วที่สำคัญที่สุดคือเธออาจจะเป็นจิ๊กซอว์---เบาะแสเดียวที่จะนำเราไปหากลุ่มมือสังหารที่พยายามจะลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวที่วัดประดู่ทรงธรรมได้ แล้วท่านปล่อยไปง่ายๆงี้เลยเนี่ยนะ?! " ไกรโวยลั่นออกมาทันทีหลังจากที่ท่านผู้เฒ่ายืนยันคำพูดอย่างเหลืออดในอาการไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะโวยอะไรต่อไป อนาสตาเซียที่ยืนพิงหน้าต่างรับลมอยู่ก็ครางออกมาเบาๆทันที
" นี่...ท่านพ่อ เลิกแกล้งหยอกเขาเสียทีเถอะเจ้าค่ะ มันเสียเวลาซะเปล่าๆ "
" หึๆ เออ...ให้ท้ายเข้าไป ข้ามันหัวเน่าแล้วนี่... " ท่านผ้เฒ่าที่นั่งจิบกาแฟอยู่บ่นเบาๆ ก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อยและพูดเบาๆอีกครั้งว่า
" ไกร...ในฐานะผู้ที่อาวุโสกว่า ข้าขอสั่งสอน...ไม่สิ เรียกว่าแนะนำดีกว่านะ "
" ??? "
" ...ในการตกปลาน่ะ...หากเจ้าต้องการจะตกปลาใหญ่...ในบางครั้ง เจ้าก็ต้องยอมปล่อยปลาเล็กที่บาดเจ็บไปนะ "
" หา? "
ก่อนที่ไกรจะได้ทันถามอะไรต่อไป...นกตัวเล็กๆที่มีให้พบเห็นได้อย่างดาดดื่นก็ร่อนลงมาเกาะที่มือเรียวงามของอนาสตาเซียที่เหมือนกับจะรอท่าอยู่แล้วพร้อมกับร้องเสียงเจื้อยแจ้วทันที ในขณะที่อนาสตาเซียยกนกตัวนั้นเข้ามาใกล้พร้อมกับเพ่งมอง เมื่อดวงตาของเธอสังเกตเห็นรอยแต้มสีเดงสดที่อยู่ตรงขาซ้ายของนกตัวนั้น ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอก็คลี่เป็นรอยยิ้มออกมาทันที
" เศษผ้าและเส้นผมได้ผล...กลุ่มของสิงห์ ศกุณตลาและอุษาส่งข่าวมาบอกพวกเราว่า เขากำลังสาวรอยตามกลิ่นของมือฉมังธนูที่ท่านพ่อปล่อยให้หนีไปอย่างกระชั้นชิดแล้วล่ะเจ้าค่ะ "
.................................................
...ณ ตลาดหน้าคุก ที่เวลานี้เริ่มเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างหนาตาขึ้น...
...มือฉมังธนูสาวผู้หลบหนีออกมาจากที่คุมขังที่ควรจะแน่นหนาที่สุดเมื่อนับจากโทษทัณฑ์ที่เธอควรได้รับจากการกระทำที่แสนอุกอาจเหลือบสายตาที่คมปลาบราวกับเหยี่ยวของเธอมองไปรอบๆเล็กน้อยอย่างอึดอัดและหวาดระแวงพร้อมๆกับที่เธอจะขยับเศษผ้าสีตุ่นๆขึ้นมาพันใบห้าเพื่อปิดบังรูปลักษณ์ไว้จนเหลือเพียงแค่ดวงตาทั้งสอง ก่อนจะก้าวเท้ากลืนไปกับผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา...ด้วยความที่เธอสามารถปิดกั้นจิตคุกคามได้อย่างมิดชิด ทำให้เธอสามารถกลืนหายไปกับผู้คนได้อย่างงายดายและไร้จุดสังเกตใดๆโดยสิ้นเชิง...
ด้วยความโล่งอกที่เธอสามารถหนีรอดจากโทษทัณฑ์อันน่าหวาดสยองมาได้ บวกกับความลำพองในความสามารถอันเป็นพรสวรรค์ของตนเอง ทำให้เธอลดความระแวงลงและเดินด้วยท่าทีที่สบายๆ ...โดยที่เธอไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่า ที่ด้านหลังเธอในระยะที่แทบจะเดินชนกัน...มือสังหารสาวรูปร่างยั่วใจชายนามว่าอุษาลอบยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับขยับผ้าคลุมไหล่ขึ้นและก้าวเดินอย่างไร้เสียงตามหลังอีกฝ่ายไปอย่างช้าๆ
" ...คิกๆ แล้วข้าจะสอนให้เจ้ารู้เอง...ว่าความลำพองในพลังอันเลอเลิศของเจ้า จะสร้างหายนะให้กับเจ้าได้อย่างไร! "
................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ