ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.86K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

59)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

      ...ที่ยอดไม้สูงอันเป็นที่กบดานของจอมขมังธนูผู้เป็นมือสังหารนิรนาม...

       ' พลาด! '  มือฉมังธนูผู้นั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นชัดอยู่คาตาว่าลูกธนูที่หลุดจากแหล่งของเขา แต่พลาดเป้าไปปักเด่นเป็นสง่าอยู่กลางหลังของชายหนุ่ม ก่อนที่สัญชาตญาณที่เี่ยวกรำมาในฐานะมือสังหารจะทำให้เขารีบคว้าลูกธนูอันยาวท่วมหัวอีกดอกที่วางอยู่ข้างขึ้นน้าวสายที่พาดถึง ๓ สายขึ้นด้วยกำลังผิดมนุษย์ทันที

 

       ' ข้ามิได้มีความแค้นอันใดต่อพระองค์ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ แต่งานก็ต้องเป็นงาน !! '  มือฉมังธนูกัดฟันกรอดพร้อมกับดวงตาที่ฉายแวววาววับราวกับแสงไต้ในความมืด จ้องเขม็งที่องค์หญิงสิริจันทรผู้เวลานี้คุกเข่าใช้หัตถ์กุมมืออันชุ่มโชกไปด้วยเลือดของชายหนุ่มผู้ยอมเอาตัวเข้าบังลูกธนูไว้ ...คราวนี้เป็นการน้าวสายธนูขึ้นพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งพรวดขึ้นราวกับปรอทแตกอันแสดงให้เห็นว่าเขาปิดกั้นจิตสังหารในการเล็งธนูได้เพียงแค่ครั้งเดียว ทำให้คราวนี้เป็นจิตสังหารครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นพร้อมจิตสังหารตกค้าง จนความเข้มข้นของมันทำให้เหล่าสกุณาทีคืนรังและเตรียมเข้าสู่นิทราโดยรอบไม้ใหญ่ถึงกับแตกฮือกระจายออกไปทันที

 

       ' อโหสิกรรมให้ด้วยเถอะ! องค์หญิงสิริจันทร!! '  

 

         วูบ !!

 

         แต่มืออันแข็งแกร่งของเขาที่กุมและเตรียมจะปล่อยลูกธนูออกจากคันธนูที่สูงท่วมหัวนี้ถึงกับต้องชาดิก แข็งค้างราวกับถูกสาปทันที ด้วยจิตสังหารอันเย็นเยียบ...แข็งกร้าว และเข้มข้นกว่าจนไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้เลย ที่แผ่ซ่านออกมาจากเก๋งจีนสลักลายไทยกลางสวนขวัญดอกรักที่อยู่ไกลออกไปนั้น...จิตสังหาร...ที่แม้แต่มือสังหารเต็มขั้นอย่างเขายังถึงกับยังไม่อาจจะขยับเขยื้อนตัวได้เลยแม้แต่น้อย!

 

       ' จ...จิตสังหารอะไรกัน?! '  

  

     ...จิตสังหาร...ระดับที่ทำให้แม้แต่เหล่านกที่กำลังบินหนีแตกรังอย่างขวัญหนีดีฝ่อจากจิตสังหารของมือฉมังธนูยังถึงกับต้องรีบจิกหัวลงและถลาลงไปนอนกลิ้งเกลือกกระจัดกระจายบนพื้นทันที!!...

 

     ...สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ รู้ดีว่าหนทางเดียวที่จะรอดพ้นจากจิตสังหารอันน่าขนพองสยองเกล้านี้ได้...คือการลงสู่พื้น...และแกล้งทำเป็นตายไปแล้วเท่านั้น!...

 

     ...องค์หญิงสิริจันทรยกหัตถ์อันสั่นเทาของพระองค์ที่เวลานี้ชุ่มไปด้วยโลหิตของชายหนุ่มผู้เอากายบังวิถีธนูที่คิดจะสังหารเธอไว้ขึ้นมาพิศกับแสงจันทร์อันนวลตาด้วยพระพักตร์ที่ซีดเผือดจนแทบจะไร้สีโลหิตโดยที่พระองค์แทบไม่ได้สนพระทัยจิตสังหารประหลาดอันน่าขนลุกที่แผ่ออกมาจากพระวรกายของพระองค์เลยแม้แต่น้อย...จิตสังหาร...ที่เหมือนกับว่าไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งพระทัยของพระองค์ แต่มีความคิดเป็นของตัวมันเองนี้กำลังแผ่พุ่งออกไปทั่วสารทิศราวกับกำลังปกป้องอารักขาพระองค์ที่กำลังโอบเรียกนามของเจ้าพระยาหนุ่มพลางดำรัสเอ่ยนามเพื่อเรียกสติของอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้น...

 

       " ท...ท่านไกร...ด...ได้โปรด ตอบข้าสักนิดเถอะหากว่า...หากว่าท่านยัง--- "

 

      ...พระองค์หยุดโอษฐ์ลงเมื่อดำริได้ว่าชายผู้อยู่ในอ้อมกอดของพระองค์อาจจะกำลังสิ้นลมหายใจไปด้วยพิษบาดแผลในเวลาไม่กี่อึดใจนี้ นั่นทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าสาวสะดุ้งวาบราวกับพระหทัยของพระองค์กำลังจะหยุดเต้นลงทันที...พร้อมๆกับที่ระดับของจิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมาจากกายของเธอกระตุกวูบจนทำให้พื้นรอบๆเก๋งจีนนั้นสั่นสะเทือนเบาๆราวกับกำลังเกิดแผ่นดินไหวทันที!...

 

       " มือ...สัง...หาร!! "

 

       " ท---ท่านหญิง---สิริ-จันทร "

 

       " ท่านไกร?! "

 

         องค์หญิงผินพักตร์กลับมาหาชายหนุ่มที่เธอเข้าใจว่ากำลังจะสิ้นชีวิตลงอย่างไม่เชื่อพระกรรณตนเอง พระพักตร์อันแสดงถึงความยินดีจนโลหิตสูบฉีดแดงเรื่อของพระองค์ยิ่งแดงเรื่อขึ้นไปอีกเมื่อทรงเห็นว่าไกรกำลังชันเข่าขึ้นอย่างช้าๆแต่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าพระยาหนุ่มผู้นี้ได้กลับคืนสู่สติแล้ว...แต่ทว่า การฟื้นคืนสติขึ้นของไกรกลับทำให้จิตสังหารอันน่าขนลุกที่แผ่พุ่งออกมาจากร่างบางๆของเธอมลายหายไปสิ้นในทันทีราวกับเรื่องโกหก...จิตสังหาร...ที่เป็นอย่างเดียวที่หยุดมือสังหารฉมังธนูนั้นไว้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว!...

 

         มือฉมังธนูผู้ถูกความหวาดกลัวแห่งจิตสังหารเกาะกุมหัวใจจนร่างกายถูกสาปให้แข็งเป็นหินบัดนี้มีความรู้สึกราวกับว่าตนเองพึ่งถูกปลดปล่อยจากสายโซ่พันธนาการเหล็กที่มองไม่เห็น ทำให้สติสัมปชัญญะกลับมาสามารถควบคุมร่างอันสั่นเทาของตนเองได้อีกครั้ง...อาจจะเป็นเพราะสำนึกในหน้าที่ของตนหรือด้วยความหวาดกลัวจนไม่อาจจะควบคุมได้ ทำให้เขาง้างสายธนูขึ้นสุดหล้าพร้อมกับปล่อยมือพรวดและตวาดก้องทันที!

 

       " ฮ่าห์!!! "

 

       ' ส...เสียงนั่นมัน...ผู้หญิง?! '  ไกรที่เวลานี้ยังคงมีลูกธนูยาวปักไหล่ด้านหนึ่งจนหัวเงี่ยงธนูโลหะสีดำทะลุออกมาอีกด้านด้วยความคมและความแรงของธนูหันขวับไปมองที่ต้นเสียงที่อยู่ไกลออกไปบนยอดไม้ลิบๆ...อาจจะด้วยเพราะความเงียบของบรรยากาศและฤทธิ์อะดรีนาลีนที่กำลังหลั่งไปทั่วร่าง มันทำให้เขาได้ยินเสียงๆนั้นได้อย่างชัดเจน และเขาแน่ใจแทบจะร้อยเต็มร้อยเลยว่า นี่เป็นเสียงของสตรีแน่ๆ

 

       " อ...อั่ค "  ร่างกายของเขาให้เวลาเขาคิดได้เพียงแค่ชั่วแว้บเดียวก่อนที่บาดแผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ของเขาจะเปลี่ยนจากอาการชาดิกกลายเป็นความเจ็บปวดชนิดที่เขาถึงกับต้องน้ำตาเล็ด...แต่ไอ้ความเจ็บปวดที่ว่านั้นกลับแฝงมาด้วยความร้อนบริเวณปากแผลที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งในที่สุดมันกลายเป็นความร้อนแรงราวกับถูกเหล็กเผาไฟจี้เข้าใส่บาดแผลแบบสดๆ (ถึงเขาจะไม่เคยโดนมาก่อนก็เถอะ) เมื่อเขาใช้มืออันสั่นเทาแตะที่บาดแผล เลือดที่ติดมือเขามากลับเป็นสีคล้ำสนิทราวกับเลือดเสียจนเขาต้องเบิกตากว้างแทบถลนทันที

 

       ' พ...พิษ! '  ไกรครางออกมาได้เพียงเท่านั้นจิตสังหารที่มาพร้อมกับลูกธนูก็ทำให้เขาละความสนในสังขารของตนเองไปเขม้นมองที่ลูกธนูที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับลมกรดอีกครั้ง ถึงด้วงตาของเขาจะพร่าลงเพราะพิษและการเสียเลือด แต่ด้วยจิตสังหารที่นำทางมาพร้อมกับลูกธนู มันทำให้คราวนี้เขาเห็นวิถีของลูกธนูอย่างชัดเจนทีเดียว...วิถีของธนูที่พุ่งหมายพระชนม์ชีพของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรอีกครั้ง!

 

      " ท...ท่านไกร! ได้โปรด บาดแผลของท่านฉกรรจ์มาก อย่าพึ่งขยับตอนนี้!!--- "

 

        ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้สนใจสุรเสียงกรีดร้องอย่างเป็นห่่วงขององค์หญิงเลย ...ก่อนที่ความฉกรรจ์ของบาดแผล พิษ และการเสียเลือดจะทำให้เขาสิ้นสติไปอีกครั้ง และคราวนี้อาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ไกรเหลือเวลาเพียงไม่ถึง ๒ วินาทีในการตัดสินใจ และนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

 

       " อ...องค์หญิง...หนี...ไป! "

 

       " ท่านไกร?! "

 

         เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีรีดเร้นกำลังเฮือกสุดท้ายที่มีเพื่อลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนเพื่อใช้ร่างกายของตนเองบังวิถีของลูกธนูอาบยาพิษนั้นไว้อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เขาไม่อาจเลือกตำแหน่งที่จะรับลูกธนูได้อีกต่อไป!

 

         เฟี้ยว------ฉึก!

 

       " ท...ท่านไกร?!!!! "

 

         ลูกธนูสีดำสนิทที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วราวกับลมกรด ทะลุเข้ากลางหลัง ชำแรกผ่านกล้ามเนื้ออันหนาแน่น...ผ่านอวัยวะที่สำคัญที่สุดภายใน ก่อนที่ความเร็วและความคมของลูกธนูจะทำให้เงี่ยงหัวธนูสีดำทะลุออกมาจากกลางอกของเขา...เลือดสีคล้ำทะลักออกมาจากปากของชายหนุ่มเป็นลิ่มๆทันที!

 

         ไกรค่อยๆทรุดลงมาคุกเข่าบนพื้นอย่างช้าๆราวกับหนังที่ถูกฉายแบบสโลว์โมชั่น ร่างกายที่ชาดิกอยู่แล้วของเขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆที่มาจากลูกธนูดอกที่สองนี้เลย...เพราะมันด้านชาไปหมดสิ้นเสียแล้ว...ประสาทสั่งการทังหมดค่อยๆหมดความรูสึกไปอย่างช้าๆ ไล่จากปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ไต่ขึ้นๆอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อดวงตาอันพร่าเลือนของเขาเลื่อนขึ้นมาพบกับพระพักตร์นวลของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร ที่เวลานี้ดวงเนตรสีอ่อนที่เต็มไปด้วยอัสสุชลกำลังเบิกกว้างอย่างตกตะลึงสุดขีด แต่ทว่าไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆจากลูกธนูทั้งสองดอกที่หมายพระชนม์ชีพของพระองค์เลย...ริมฝีปากที่เปรอะเต็มไปด้วยโลหิตของไกรก็ฝืนขยับยกขึ้นเป็นรูปรอยยิ้มบางๆทันที...อย่างน้อยๆความตั้งใจสุดท้ายของเขาก็ประสบลสำเร็จแล้ว

 

      " องค์หญิง...ดี--จริง---ที่ท่าน ปลอดภัย... "

 

     ...ในชั่วเสียววินาทีนั้นเอง ในหัวของเขากลับเหมือนแผ่นฟิล์มที่ถูกฉายเป็นเรื่องราวทั้งหมดที่เคยผ่านมาในอดีต หมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว...ภาพใบหน้าของคนที่เขารู้จักนับตั้งแต่ย้อนอดีตกลับมาอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสิงห์...อนาสตาเซีย...ศกุนตลา...ท่านผู้เฒ่า เหล่ามือสังหารในหมู่บ้าน...และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวงที่เขามีวาสนาได้รู้จัก วิ่งพุ่งผ่านสามัญสำนึกอันเลือนรางของเขาไปอย่างรวดเร็ว...ก่อนที่จะเป็นภาพของครูมืดผู้เป็นบิดา...เพียงออน้องสาว หมิง เค กล้า และเหล่าเพื่อนๆที่มหา'ลัยจะผ่านมาแทน...ต่อให้เขาพึ่งจะเคยรู้สึกเช่นนี้เป็นครั้งแรก...แต่เขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่า...นี่เป็นห้วงเวลาแห่งความตายเป็นแน่แท้...

 

       " ท...ท่านไกร?! ท่านไกร! ย...อย่าจากข้าไปง่ายๆเช่นนี้นะเจ้าคะ...ท่านไกร!! "

 

      ...แต่ทั้งๆที่เขากำลังจะตายจากไปอย่างกะทันหันก่อนวัยอันควร แต่เวลานี้เขากลับไม่รู้สึกถึงความเสียใจเลยแม้แต่น้อย...ไกรค่อยๆยกมืออันแทบจะไร้ความรู้สึกของเขาขึ้นเช็ดอัสสุชลที่ไหลนองอาบปรางค์ขององค์หญิงสิริจันทรช้าๆ พร้อมกับฝืนยิ้มออกมาบางๆอีกครั้ง

 

      " ขออภัยนะขอรับ...ท่านหญิง---ข้าคงรับใช้--ท่าน---ได้เพียงเท่านี้ "

 

        มือของไกรตกลงกลับสู่พื้นอีกครั้งพร้อมกับลมหายใจที่แผ่วช้าลง ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กำลังจะขาดห้วงลง...และเขารู้ดีว่าการหลับไปในครั้งนี้ อาจจะกลายเป็นการนอนหลับ ที่ไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกต่อไปแล้ว...

 

     ...ในห้วงสุดท้ายของสติสัมปชัญญะ...ไกรสาบานว่าเขาได้เห็นหัตถ์อันซีดขาวของพระยามัจจุราช ที่ยื่นออกมาเพื่อรอรับดวงปราณของเขาแล้ว...

 

      " พ...พลาด...อีกแล้ว?! ไอ้เจ้าพระยาพิทักษ์ฯระยำนี่! "  หญิงสาวผู้เป็นมือฉมังธนูร้องออกมาอย่างขัดใจอีกครั้งก่อนที่เธอจะคว้าลูกธนูยาวดอกที่ ๓ ขึ้นมาและพาดน้าวขึ้นสายเพื่อเตรียมจะยิงออกมาอีกครั้ง ...ก่อนที่จะแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยทันที เพราะลูกธนูดอกนี้ คงจะเป็นดอกสุดท้ายที่เธอจะต้องยิงเพือจบงานแล้ว!

 

        แต่แล้วอาการชาดิกราวกับถูกสาปให้แข็งค้างเป็นหิน ถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เหล็กที่มองไม่เห็นก็กลับมาเล่นงานหญิงสาวมือฉมังธนูอีกครั้ง จนกระทั่งเธอดวงตาเบิกกว้างขึ้นจนแทบถลน เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่อย่างเหลือเฟือบัดนี้กลับเหมือนถูกดูดหายไปจนหมดสิ้น...เพราะคราวนี้ไม่ใช่จิตสังหารอันน่าขนลุกที่หยุดเธอไว้ แต่กลับเป็นพลัง...พลัง...ที่สูงลิบชนิดที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต!

 

      ...พลัง...ที่มาพร้อมกับฉัพพรรณรังสีศักดิ์สิทธิ์ เป็นละอองแสงสีทองเล็กๆราวกับหิ่งห้อยนับไม่ถ้วน...ลอยหมุนวนเอื่อยๆ เพื่อคอยปกป้องอารักขาสมเด็จเจ้าฟ้าสาวผู้โอบกอดร่างที่กำลังหายใจอย่างรวยรินของไกรไว้ราวกับผนังทองแดงกำแพงเหล็กอันไม่สามารถฝ่าได้!...

 

       " พ...พลังบ้าอะไรกันนี่?! "

 

         ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรบัดนี้กำลังประทับนั่งนิ่งราวกับไร้ซึ่งพระสติ...โดยที่แทบไม่ได้สนพระทัยกับละอองแสงสีทองที่ลอยวนอยู่รอบๆเลยแม้แต่น้อย...ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งแจ่มใสจนกระทั่งเห็นดาวและเดือนชัดเจน บัดนี้กลับถูกพยัพเมฆหมอกอันมืดสนิทลอยขึ้นบดบังจนฟ้ามืดลงอย่างน่ากลัว...ผืนหญ้าโดยรอบราชอุทยานหลวงสั่นสะเทือนครืนอย่างรุนแรงราวกับกำลังจะเกิดเหตุอาเพศแผ่นดินไหวขึ้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!

 

       " ...พันธสัญญาตามศักดฺิ์ และสิทธิ์ของพระองค์ส่งมาถึงพวกเราแล้ว...บุตรีแห่งสุรีย์แสง...ข้า...แลเหล่าโคตรวงศ์แห่งราชวงศ์ อสุรธาดา ตอบรับคำเรียกขานของพระองค์แล้ว...ได้โปรดบัญชามาได้เลย! "  อยู่ๆ เสียงของท้องฟ้าอันมืดครึ้มและแผ่นดินอันสะท้านสะเทือนก็คำรามเป็นประโยคคำพูดที่แผงไว้ด้วยพลังอันล้ำลึกสุดหยั่งของบุรุษก็ดังสะท้อนก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าสาวที่เวลานี้หลับเนตรลงอย่างช้าๆ ก่อนที่ชั่วครู่ต่อมาพระองค์จะลืมเนตรขึ้นพร้อมกับละอองแสงสีทองโดยรอบที่สั่นสะเทือนราวกับกระตุกวูบทันที!

 

         ดวงเนตร...ที่เคยเป็นสีอ่อน ใสซื่อบริสุทธื์ ไร้ซึ่งเดียงสาและเหลี่ยมเชิงใดๆขององค์หญิงสิริจันทร บัดนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็นสีทองสว่างเช่นเดียวกับสีของละอองแสงเล็กๆที่ลอยวนอยู่โดยรอบ...ดวงเนตรสีทองที่เย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดใดๆโดยสิ้นเชิง!

 

       " ...ด้วยศักดิ์และสิทธิแห่งข้า...บุตรีแห่งสุรีย์แสง...ขออัญเชิญพระองค์มาเพื่อเยียวยาชาย...ผู้ปกป้องข้าด้วยชีวิตผู้นี้ด้วยเถิด...ท้าวทศคีรีวงศ์! "

 

         ฉับพลันทันใดนั้นเอง...หลังจากสิ้นคำบัญชาอันเลื่อนลอยราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ของเจ้าหญิงสิริจันทร...ละอองแสงสีทองเล็กๆที่หมุนวนเอื่อยๆอยู่โดยรอบพระองค์ก็หมุนวนวูบราวกับลมพายุหมุนขนาดย่อมๆ ควบแน่นมาที่ด้านหลังของเธอก่อนจะส่องแสงสว่างวาบราวกับแสงอาทิตย์ ก่อนที่พริบตาเดียว แสงสว่างนั้นจะดับวูบลง เหลือไว้แต่เพียงร่าง...ร่าง ที่มีเพียงครึ่งบนครึ่งเดียวของบุรุษอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นด้านหลังของพระองค์!

 

      ...ร่างของชายผู้มีกายสีเขียวสดราวกับปีกแมลงทับในชุดทรงกษัตริย์เต็มยศ พรั่งพร้อมทั้งอินทรธนู ทับทรวงที่เป็นทองประดับอัญญมณีละลานตา...ไล่ขึ้นมาถึงใบหน้าที่ริมฝีปากแสยะออกเป็นเขี้ยวสีขาววับโง้งยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัด...ที่ดวงตาด้านขวาประดับไว้ด้วยแว่นทรงกลมที่มีลักษณะคล้ายกับแว่นสายตาเก่าที่มีเพียงครึ่งเดียว...ในขณะที่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคงจะหนีไม่พ้นมงกุฎทองคำขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบให้เป็นทรงมงกุฎน้ำเต้ากลมประดับด้วยอัญมณีไม่ทราบชนิดอันงดงามนับไม่ถ้วน...ใบหน้าและมงกุฎ...ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!...

 

       " น...นั่นมัน...ป...เป็นไปไม่ได้!! ...พ...พิเภก!! "

 

         ร่าง...ที่มีเพียงครึ่งท่อนบนของท้าวทศคีรีวงศ์หรือที่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่่วไปว่าพิเภกค่อยๆยื่นมือทั้งสองข้างโอบเอื้อมข้ามพระวงกายของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร มาที่ร่างอันขาวซีดและแทบจะไร้ซึ่งลมหายใจอยู่แล้วของไกรช้าๆ ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเปล่งแสงสว่างสีนวลตา ห้อมล้อมร่างของชายหนุ่มไว้...ฉับพลันทันใดนั้นเอง ลูกธนูยาวสีดำสนิทที่อาบไว้ด้วยพิษอันร้ายแรงชนิดถึงตายก็ค่อยๆขยับราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงถอนออกในทิศทางเดียวกับทางที่ทะลุเข้ามาอย่างช้าๆ โดยที่ไม่ติดกับเงี่ยงคมของหัวะนูโลหะสีดำนั่นเลยแม้แต่น้อย...จนกระทั่งในที่สุด ธนูทั้งสองดอกก็ถูกถอนออกมาและลอยคว้างอยู่กลางอากาศ...ก่อนที่ลูกธนูสังหารทั้งสองจะลุกไหม้ขึ้นกลายเป็นลูกไฟสีฟ้าสดอย่างรวดเร็ว จนพริบตาเดียวก็สลายหายไปกับธาตุอากาศราวกับธนูทะ้งสองดอกไม่เคยมีอยู่จริงเลย!

 

      ...ในขณะที่แสงสว่างที่ล้อมรอบกายอันซีดเย็นของไกรก็ค่อยๆหมุนคว้างพุ่งเข้าสู่บาดแผลของไกรที่เวลานี้ยังคงมีเลือดสีคล้ำไหลออกมาราวกับทำนบแตกวูบ เข้าเยียวยารักษาพิษร้ายที่แทรกซึมไปทั่วร่างกาย ก่อนจะสมานบาดแผลฉกรรจ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสมบูรณ์แบบจนกระทั่งเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาทีเดียวบาดแผลฉกรรจ์นั้นก็สลายหายไปจนไม่เหลือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นเท่ามดกัดด้วยซ้ำ!...

 

      ...องค์หญิงสิริจันทรใช้ดวงเนตรสีทองสว่างของพระองค์พิศมองมาที่ใบหน้าอันซีดขาวของไกร ที่เวลานี้ค่อยๆกลับคืนสีเลือดฝาดขึ้นอย่างช้าๆ พร้อมกับที่จังหวะการเต้นของหัวใจและลมหายใจที่เมื่อครู่นั้แผ่วเบาจนแทบจะสัมผัสไม่ได้...กลับค่อยๆเปลี่ยนเป็นลมหายใจที่ยาวและสม่ำเสมอราวกับคนที่กำลังหลับลึกแทน อย่างไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ชายผู้นี้กำลังจะเปลี่ยนภพกลายเป็นร่างอันไร้วิญญาณอยู่รอมร่อแล้วแท้ๆ...หลังจากที่ได้เห็นดวงหน้าที่กำลังกลับสู่ปกติของไกร...ดวงเนตรสีทองที่ยังคงคลอหน่วงไปด้วยอัสสุชลนั้นก็ทอแสงแห่งความโล่งพระทัยวูบ พร้อมๆกับที่ริมฝีปากที่เม้มบางจนเกือบจะเป็นเส้นตรงก็ค่อยๆเผยอเป็นรอยแย้มพระสรวลอย่างยินดีทันที...

 

       " ...ท่านไกร...ดีจริง...ที่ท่านปลอดภัย "

 

         ก่อนที่ดวงเนตรสีทองนั้นจะค่อยๆเงยขึ้นมาสบกับดวงตาสีอ่อนของหญิงสาวมือฉมังธนูที่อยู่ไกลลิบๆบนยอดไม้ ในขณะที่มือฉมังธนูสาวผู้นั้นถึงกับสะดุ้งเฮือก หงายหลังลงก้นกระแทกคาคบไม้ทันที

 

     ...ทั้งๆที่ยอดไม้ที่เธอนั่งกบดานอยู่ห่างจากเก๋งจีนนั้นในระยะลิบๆจนแทบจะมองไม่เห็นกันเลยแท้ๆ ...แต่ดวงเนตรสีทองอันน่าหวาดกลัวนั้นกลับจ้องเม็งมาที่ดวงตาของเธอ...ราวกับว่าส่องทะลุเข้าไปทั้งในจิตใจและซอกซอนเข้าในห้วงความคิดของจนไม่อาจปิดบังอำพรางอะไรได้เลยแม้แต่น้อย...แววเนตรที่เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นจนกระทั่งเข้าสู่ความเย็นชาอันน่าขนลุก พร้อมๆกับจิตคุกคามที่แผ่พุ่งวูบราว เสียดแทงไปทั่วทั้งร่างของเธอราวกับถูกเสียดแทงด้วยหอกน้ำแข็งจนเต็มร่างในทันที!...

 

      ...ก่อนที่เธอจะได้ทันว่าอะไร...ดวงเนตรสีทองของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงผู้นั้นก็ส่องประกายอำมหิตวูบ พร้อมๆกับที่ร่างที่มีเพียงครึ่งท่อนบนของยักษานามว่า ท้าวทศคีรีวงศ์ หรือที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในนามว่า พิเภก ก็สูญสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองเล็กๆทันที...ก่อนที่ร่างและสัมผัสทั้งหมดทั้งมวลอันแสดงถึงการมีตัวตนอยู่เจ้าหญิงสิริจันทรและเจ้ายาหนุ่มก็หายวับไปจากคลองสายตาและการหยังสำนึกของมือฉมังธนูสาวไปอย่างกะทันหันโดยสิ้นเชิง!...เหลือไว้เพียงเสียงกระซิบบางเบาอันน่าขนพองสยองเกล้าของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง...ที่แว่วมากับสายลมหวนกระทบกันโสตประสาทของมือฉมังธนูสาว...เสียงบางเบา...ที่ตรัสอย่างเรียบเฉยที่สุดว่า...

 

       " ...มาเป็นดาบแก่ข้า...วิรุญจำบัง! "

 

 

 

 

 

....................................................

 

 

 

        

      ...ณ พระอุโบสถมหามงคลบพิตร...วัดพระศรีสรรเพชญ์...วัดหลวงประจำพระราชวัง...ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากราชอุทยานสวนองุ่นนัก...

 

         ครืนนนน !

 

         เสียงของบรรยากาศที่สั่นสะเทือนวูบอย่างไม่ชอบมาพากล ขัดจังหวะการสนทนาอย่างออกรสออกชาติของสมเด็จพระอัครมเหสี...กรมขุนวิมลพัตร และสมเด็จพระพี่นางพินทวดีไว้ พร้อมๆกับที่พระอัครมเหสี ผู้เป็นมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรผินพระพักตร์ขวับอย่างกะทันหันพร้อมกับครางออกมาเบาๆทันที

 

       " ส...เสียงสั่นสะเทือน...นี่มัน?!! "

 

         ในขณะที่สมเด็จพระพี่นางพินทวดีขมวดขนงวูบอย่างงุนงงสงสัย พลางเหลือบเนตรอันคมกริบราวกับเหยี่ยวของพระองค์ไปที่เชิงเทียนรายรอบที่ส่องให้ความสว่างแก่พระอุโบสถหลวง ที่เวลานี้สั่นไหวด้วยแรงสะเทือนจนกระทั่งแสงไฟจากเทียนสีขาวนับสิบนับร้อยเล่มไหววูบ ก่อนจะเหลือบมองไปที่หน้าต่างพระอุโบสถที่บรรยากาศภายนอกแปรเปลี่ยนจากปลอดโปร่งแจ่มใส กลับกลายเป็นข้นเข้มและหนักอึ้งขึ้นอย่างน่าประหลาด ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆยืดพระวรกายยืนขึ้นพร้อมกับกุมพัดจีนประจำหัตถ์ของพระองค์...ตรัสออกมาเบาๆทันที

 

       " หืม? ฟ้ามืดลง...นี่มัน...เกิดอาเพศวิปริตอะไรกันล่ะเนี่ย? "  พระองค์ตรัสเบาๆพร้อมกับเตรียมจะดำเนินไปที่หน้าประตูพระอุโบสถ แต่กรของพระองค์ก็ถูกสมเด็จพระอัครมเหสียุดขืนไว้ทันที จนกระทั่งพระองค์ถึงกับต้องเลิกขนงและผินพระพักตร์กลับมามองอย่างงุนงงทันที

 

       " สมเด็จพระอัครมเหสี...กรมขุนวิมลพัตร? "

 

       " เสียงนี่...หม่อมฉันรู้จักเสียงและการสั่นสะเทือนนี้...ไม่ผิดแน่!...เสียงและการสั่นสะเทือนเช่นเดียวกับในค่ำคืนวันที่หม่อมฉันมีพระประสูติกาลองค์หญิงสิริจันทร...เสียงแห่งการลืมเนตรตื่นขึ้น...ของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง  แน่นอน! "

 

       " ว...ว่าอย่างไรนะ?! "

 

       " เห? นี่แปลว่าท่านทั้งสองทรงทราบ...ถึงต้นเหตุของเสียงและสัมผัสพลังอันน่าขนลุกนี่สินะ? "  

 

        อยู่ๆ เสียงของหญิงสาวเสียงหนึ่งก็ดังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นโดยมีต้นเสียงมาจากขื่อคาไม้ของพระอุโบสถ เหนือขึ้นไปด้านบน...เพียงชั่วพริบตาเดียวหลังจากที่เสียงหวานใสนั้นดังขึ้น สมเด็จพระพี่นางก็พุ่งพรวดมาประทับยืนจังกาเพื่ออารักขาสมเด็จพระอัครมเหสีที่ยังคงประทับนั่งอยู่ พร้อมทันที่หัตถ์อีกด้านหนึ่งกระชากวูบ ชักพระแสงมีดสั้นที่เหน็บซ่อนอยู่ขึ้นมาพร้อมกับตั้งท่าป้องกันตามสัญชาตญาณและปลดปล่อยจิตคุกคามแผ่ออกมาทันที!

 

       " นั่นผู้ใด! "

 

       " ช้าไว้...อ้อ...ต้องใช้ราชาศัพท์นี่เนอะ...โปรดช้าไว้ก่อนเพคะ...สมเด็จเจ้าฟ้า...ข้า---หม่อมฉันมาดี "

 

       " วีรชนบนขื่อคา...แค่พูดว่ามาดีแล้วคิดว่าพวกข้าจะโง่หลงเชื่อจริงๆอย่างนั้นรึ?  ข้าถามว่า...นั่นผู้ใด?!! "  สมเด็จพระพี่นางตวาดออกมาพร้อมกับแผ่จิตคุกคามเพิ่มขึ้นไปอีก ในขณะที่ วีรชนบนขื่อคา สาวได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนที่ร่างบางๆในชุดรัดกุมที่ปิดบังใบหน้าไว้จนเหลือแต่ช่องดวงตาสีฟ้าจรัสอย่างชาวตะวันตกจะค่อยๆเลื้อยผ่านเสาพระอุโบสถลงมา และกระโดดลงมายืนต่อหน้าพระพักตร์สมเด็จพระพี่นางพร้อมกับก้มหัวคำนับอีกฝ่ายอย่างงดงามจนพระขนงที่ขมวดแน่นอยู่ของพระพี่นางพินทวดีจะถึงกับเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างงงงวยทันที

 

       " ขออภัยด้วยนะเพคะที่หม่อมฉันออกจะเสียมารยาทไปบ้าง...หม่อมฉันมีนามว่าอนาสตาเซียเพคะ "

 

       " อนาสตาเซีย? "  

 

       " คิกๆ การตั้งท่าป้องกันนี้...ท่าป้องกันพื้นฐานของมือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตของหม่อมฉันชัดๆ "

 

       " หมู่บ้านยุคันตวาต? มือสังหาร?? "  กรมขุนวิมลพัตร สมเด็จพระอัครมเหสีตรัสทวนคำพูดของหญิงสาวนามวาอนาสตาเซียเบาๆ ในขณะที่สมเด็จพระพี่นางปัสสาสะเฮือกอย่างคลายกังวลลงเล็กน้อยทันที

 

      ...สมเด็จพระพี่นางใช้สายพระเนตรอันคมกริบของพระองค์กวาดใส่มือสังหารสาวแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตนามว่าอนาสตาเซียผู้นี้อย่างสำรวจและประเมิน ก่อนที่จะกางพัดประจำหัตถ์ขึ้นปิดโอษฐ์ไว้ด้วยความเคยชินทันที...เพราะนอกจากลักษณะการแต่งกายราวกับเป็นผู้ประสงค์ร้ายอย่างไม่น่าไว้ใจ บวกกับแส้หนังสีน้ำตาลแก่ๆที่คล้องอยู่ข้างสะโพกกับห่อผ้าไหมที่ใส่ของยาวประมาณดาบขนาดมาตรฐานเล่มหนึ่งที่ขัดหลังไว้...หญิงสาวผู้นี้ก็มีท่าทีเป็นมิตรและพูดความจริงทุกประการ...บวกกับตราสัญลักษณ์โลหะที่สลักเป็นตราของเหล่ามือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่อนาสตาเซียหยิบมายื่นให้ดู ยิ่งทำให้พระองค์มั่นพระทัยแทบจะเต็มสิบส่วน ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นมือสังหารที่อยู่ใต้อาณัติของท่านออกญาฯของเธอแน่ๆ...

 

       " เฮ้อ...หนึ่งในมือสังหารของท่านออกญาฯ...หมายถึงท่านผู้เฒ่านั่นสินะ? "

 

       " เพคะ...พระองค์อาจจะไม่ทรงทราบ แต่หม่อมฉันเองก็เคยพบกับพระองค์แล้ว ในวันที่พระองค์ลอบออกมาพบกับท่านผู้เฒ่าและไกรที่ใกล้ๆชายดงที่วัดประดู่ทรงธรรมนั้น "

 

       " น...นี่พระองค์...เคยลอบออกไปพบกับเหล่าชายพายเรืออย่างนั้นหรือเพคะ?! "  กรมขุนวิมลพัตรตรัสร้องถามออกมาด้วยพระสุรเสียงสูงปรี๊ด ในขณะสมเด็จพระพี่นางปัสสาสะเฮือกยาวเหยียดทันที...หมดกัน...ชื่อเสียงที่พระองค์อุตส่าห์สะสมมา...

 

       " เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ...เจ้าที่เป็นหนึ่งในมือสังหารของท่านออกญาฯ---หมายถึงท่านผู้เฒ่านั่นมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว...ถึงข้าจะยังไม่รู้ว่าเจ้าหลงมาอยู่ ณ เขตหวงห้ามนี้ได้อย่างไรก็เถอะ...แต่เวลานี้เรื่องนั้นไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไปแล้ว...เจ้ามากับพวกเราสิ ถอดไอ้ผ้าคลุมหน้าโง่ๆนั่นออกเสียด้วย...แล้วข้าจะอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังระหว่างทางเอง...เวลานี้เราต้องการผู้ที่มีฝีมือที่สูงล้ำเกินกว่านักรบทั่วไปเช่นเจ้าพอดี "

 

       " พ...เพคะ? "  อนาสตาเซียยังคงทวนคำอย่างงงๆ ให้กับคำพูดที่แสนจะกำกวมของสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้ากับสถานการณ์ที่เหมือนกับตกกระไดพลอยโจนของเธอ แต่เธอก็พยักหน้าเบาๆ และปฏิบัติตามคำสั่งของอีกฝ่ายด้วยการถอดผผผ้าคลุมหน้าอับๆของเธอออกโดยดี แต่เมื่อเห็นหน้าที่เป็นชาวตะวันตกเต็มขั้นของหญิงสาว...สมเด็จพระพี่นางและสมเด็จพระอัครมเหสีก็ถึงกับต้องเอียงศออย่างสนประทัยทันที

 

       " ...สำหรับชาวฝรั่งแขนลายเต็มที่อย่างเจ้า...ข้าอดทึ่งในลิ้นที่พูดภาษาไทยได้ราวกับคนพื้นเพอโยธยามาเองของเจ้าไม่ได้เลยนะ อนาสตาเซีย "

 

       " อ้อ...ถึงจะเห็นข้าเป็นฝรั่งแขนลาย แต่ข้าก็กำเนิดและเติบโตมาภายใต้การดูแลของท่านพ่อที่เป็นคนพื้นเพที่นี่น่ะเพคะ...ทำให้ข้าพูดภาษาไทยและภาษาข้างเคียงได้อย่างเดียวกับคนอโยธยาปกติเราๆนี่แหละเพคะ "

 

       " หืม? ท่านพ่อของเจ้า? "  พระพี่นางพินทวดีที่ทำท่าจะดำเนินออกไปอยู่ร่อมร่อขมวดขนงอีกครั้งอย่างสะกิดพระทัย...ทั้งๆที่พระองค์ทราบดีว่าไม่ใช่เวลา แต่คำพูดของอีกฝ่ายก็สะกิดพระทัยของพระองค์จนพระองค์อดถามขึ้นเรียบๆมไม่ได้

 

       " นี่แน่ะ อนาสตาเซีย...ข้ารู้นะว่ามันออกจะเสียมารยาทและละลาบละล้วงไปสักนิด...แต่ข้าขอถามเจ้าเสียหน่อยเถอะ...ที่บอกว่าท่านพ่อของเจ้าเนี่ย...ท่านพ่อของเจ้าเป็นผู้ที่ข้าน่าจะรู้จักหรือไม่? "

 

         อนาสตาเซียที่ทำท่าจะเดินตามเสด็จสมเด็จพระอัครมเหสีและสมเด็จพระพี่นางไปเลิกคิ้วน้อยๆอย่างงงๆให้กับคำถามแปลกๆของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อีกฝ่าย แต่หญิงสาวก็พาซื่อพอจะเดาเอาว่าอีกฝ่ายเพียงแค่ฉงนสงสัยโดยไม่ได้มีอะไรเคลือบแคลง จึงทูลตอบไปตามตรงว่า

 

       " น่าจะรู้จักนะเพคะ...เพราะท่านพ่อของข้าก็คือท่านผู้เฒ่า หรือท่านออกญาจักรีศรีองครักษ์นอกราชการที่พระองค์ท่านรู้จักนั่นแหละ "

 

         เปรี๊ยะ! 

 

         พัดประจำหัตถ์ของสมเด็จพระพี่นางที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากไม้เนื้อแข็งที่ทนทานชนิดที่พอจะเป็นอาวุธในยามคับขัได้อย่างสบายๆ ถูกพระหัตถ์เรียวยาวทว่าแข็งแกร่งปานคีมเหล็กของพระพี่นางบีบวูบจนถึงกับลั่นเปรี๊ยะเกิดเสียงบาดหูดังขึ้นอย่างแรง พร้อมกับจิตสังหารอันเย็นเยียบที่พุ่งพรวดอย่างกะทันหันจนกระทั่งแม้แต่มือสังหารอย่างอนาสตาเซียกับกรมขุนวิมลพัตรผู้เป็นอัครมเหสีถึงกับสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจและตกพระทัยทันที

 

       " ส...สมเด็จพระพี่นางพินทวดี?! "

 

         เสียงเรียกพระนามอย่างกล้าๆกลัวๆของกรมขุนวิมลพัตรดูเหมือนจะเรียกพระสติของสมเด็จพระพี่นางให้กลับคืนมาอีกครั้ง พร้อมๆกับที่พระองค์เรียกคืนจิตสังหารกลับและหลับเนตรปัสสาสะเฮือกทันที

 

       " จริงสินะ...เวลานี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคงเป็นการหยุด บุตรีแห่งสุรีย์แสงให้ได้เสียก่อนที่พลังของพระนางจะลบพระบรมมหาราชวังแห่งนี้ให้หายไป...แต่ทว่า...ไม่ต้องห่วงหรอก ขาเป็นคนจำแม่น ไม่มีทางลืมอยู่แล้ว "

 

       " จ...จำแม่น?...เอ่อ นี่ข้า---หม่อมฉันพูดอะไรผิดไปรึเปล่าเนี่ยเพคะ? "

 

       " เปล่าเลย...อนาสตาเซีย...เจ้าไม่ได้พูดอะไรผิดเลย...ไม่ผิดเลยสักนิด... "

 

       " เพ...คะ? "

 

       " ...คนที่ผิดจริงๆน่ะ...คือไอ้คนแอบไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ โดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรกับข้าเลยซักคำ...จนกระทั่งมีลูกมีเต้าโตเป็นสาวขนาดนี้ต่างหาก...ไอ้คนเจ้าชู้ไก่แจ้ไข่ทิ้งไว้ไม่เลือกที่เช่นนี้ ข้าต้องคิดบัญชีแบบทบต้นทบดอกกันยาวแน่ๆ!...เอาล่ะ...รีบไปจัดการกับปัญหาเร่งด่วนกันก่อนเถอะ...เพระข้ารอจะจัดการกับเรื่องรองแทบไม่ไหวเลยทีเดียวล่ะ!! "

 

       " อ...อืม...นี่เราคงจะพูดอะไรพลาดไปแน่ๆ "  อนาสตาเซียที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองพึ่งจะพลาดไปสร้างเรื่องอะไรบางอย่างถึงกับครางออกมาเบาๆทันที...ถึงเธอจะยังไม่รู้ว่าเธอพลาดอะไรไปก็เถอะ

 

 

 

 

 

.........................................................

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่สวนขวัญดอกรัก...สวนลับที่ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในราชอุทยานหลวงสวนองุ่นอีกครั้ง...

 

         ครืน!! 

 

       " อ...อือ... "  เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี หรือไกรครางออกมาเบาๆให้กับความรูสึกหลายๆอย่างที่เขากำลังสัมผัสอยู่ ไม่ว่าจะเป็นยอดหญ้าเย็นๆที่กำลังเสียดแทงใบหน้าของเขา หรือเสียงและการสั่นสะเทือนต่ำๆราวกับเขากำลังนอนอยู่บนเครื่องนวดนี้ นั่นทำให้เขาเกิดความคิดแปลกๆขึ้นในหัวทันที

 

       ' อืม...ทั้งๆที่ตายไปแล้วแท้ๆ แต่วิญญาณของเราก็ยังสามารถรับรู้ถึงสัมผัสต่างๆได้สินะ...เอ...แต่เราไม่เคยกลายเป็นวิญญาณมาก่อนซะด้วยสิ เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงดี...เออ อีกเรื่อง ตกลงที่นี่มันเป็นสวรรค์หรือนรกฟะเนี่ย...ไม่แน่ใจเลยแฮะ...ไอ้เรามันถึงความชั่วจะไม่ค่อยมี แต่ความดีก็ดันไม่ค่อยปรากฏซะด้วยสิ '

 

         ครืน!!

 

         เสียงต่ำๆราวกับฟ้ารองที่มาพร้อมกับพื้นที่สั่นสะเทือนทำให้ชายหนุ่มที่ยังคงหลับตาอยู่ถึงกับครางออกมาเบาๆอีกครั้ง ก่อนที่จะเอาหน้าซุกกับท่อนแขนตัวเองเพื่อเตรียมจะหลับอีกครั้ง แต่เศษก้อนดินร่วนๆที่มีขนาดพอๆกับครึ่งกำปั้นที่พุ่งเข้ามาแตกกระจายเต็มๆกลางกบาลของไกรทำหใ้ชายหนุ่มลุกปรวดพราดขึ้นมาพร้อมกับตาสว่างวูบ สติสัมปชัญญะที่เคยกระจัดกระจายไปทั่วกลับมารวมกันอีกครั้งอย่างกะทัยหันทันที!

 

       " ฮ...เฮ้ย! เฮ้ยๆๆๆๆ!! ไม่ใช่แล้วๆ " ...ไอ้ความเจ็บปวดนี่ต่อให้เราไม่เคยตายมาก่อนก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ๆ ...ก่อนที่ชายหนุ่มจะทรุดลงไปอีกครั้งพร้อมกับครางออกมาเบาๆทันที

 

      ...แปลกเกินไปแล้ว!...นอกจากความเจ็บที่หัวจนแทบระเบิดที่พึ่งจะเกิดขึ้นแบบสดๆร้อนๆนี่แล้ว เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ควรจะมีที่กลางอกและตรงหัวไหล่ที่เขาจำได้ว่าพึ่งถูกลูกธนูอาบยาพิษปักทะลุไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองเลยแม้แต่น้อย...เมื่อลองใช้มือลูบเข้าที่แผงอกของตัวเองกลับไม่ปรากฏแม้แต่รอยแผล หรือแม้กระทั่งรอยแผลเป็นที่ควรจะมีเลยด้วยซ้ำ!

 

       ' ฮ...เฮ้ยๆๆ! จะบอกว่าเรื่องทั้งหมดนี่เราฝันไปงั้นเหรอ...ม...ไม่มั้ง...ฝันบ้าอะไรจะเหมือนจริงแม้แต่ความเจ็บปวดและประสบการณ์ก่อนตายขนาดนั้น...ม...ไม่มีทางหรอก! ' 

 

         ไกรนั่งเอามือกุ้มหัวที่โนปูดป้อยพร้อมกับคิดในใจอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ดวงตาที่กำลังเริ่มหายจากการพราเลือนก็เหลือบมองไปในทิศทางที่เป็นที่มาของไอ้ก้อนดินต้นเหตถหัวโนและต้นกำเนิดเสียงและแรงสั่นสะเทือนอันน่าหนวกหูนั้น แต่สิ่งที่ปารกฏผ่านคลองสายตาเข้ามากลับทำให้ไกรถึงกับเบิกตากว้างจนแทบถลน แทบจะอ้าปากค้างทันที

 

       " ย...ยักษ์?!! ยักษ์จริงๆ?! เฮ้ย! นี่ตกลงตูยังอยู่ในความฝันจริงๆใช่ไหมเนี่ย?!! "

 

       " เฮ้อ...ในที่สุดก็เจอเสียที...ว่าอย่างไร...ทุกครั้งที่เราเจอกันเจ้าจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตลอดทุกทีสินะ ไกร... "

 

       " อ...อนาสตาเซีย?! "

 

 

 

 

 ......................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา