ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.25K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

58)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

================================================

 

 

 

     ...ซู่ว!...

 

     ...สายลมที่อยู่ๆก็เปลี่ยนทิศและกรรโชกแรงขึ้นทำให้ไกรหันขวับเหลือบไปมองที่ทางต้นลมที่พัดมาพร้อมกับขมวดคิ้ววูบทันที...ถึงเขาจะไม่ได้มีจมูกหมาตาผีแบบผู้ใช้สัตว์สมิงเช่นสิงห์หรือสกุนตลา แต่สายลมที่เปลี่ยนทิศเมื่อครู่นี่มันแฝงมาด้วยกระแสจิตมุ่งร้ายบางๆที่แทบจะจับไม่ได้ แต่มันกลับทำให้เขาขนลุกซู่อย่างไมรู้สาเหตุทันที!...

 

       ' ...อ...อะไรฟะ?...จิตเบาบางนี่จะพูดว่าจิตคุกคามก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ...แต่ว่า...ทำไม...มันตะหงิดใจแปลกๆฟะเนี่ย?! '  ไกรคิดในใจอย่างงงงวยพร้อมทั้งสอดส่ายสายตาที่ม่านตาสยายกว้างอย่างตรวจสอบไปที่เงาไม้อันมืดสนิททันที 

 

       " ท่านไกร? "  องค์หญิงสิริจันทรที่สังเกตเห็นท่าทีของไกรตรัสถามขึ้นเบาๆอย่างฉงนสงสัย ทำให้ไกรรีบหันกลับมาพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆทันที

 

       " เปล่าหรอกขอรับ...ท่านหญิง ว่าแต่...ที่นี่? "

 

       " งดงามใช่ไหมล่ะ...สวนที่ถูกทิ้งร้างแห่งนี้ "

 

       " ถูก...ทิ้งร้าง...อย่างนันหรือขอรับ? "  ชายหนุ่มทวนคำเบาๆพร้อมกับหันไปมองรอบๆ สวนขวัญดอกรัก แห่งนี้ทันที...เพราะถ้าหากมูลเหตุในการสร้างสวนขวัญแห่งนี้เป็นความจริงก็เท่ากับว่าสวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว...แต่เท่าที่เขาเห็นที่นี่กลับดูเหมือนถูกดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ...ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงกับเนี้ยบมากจากที่เห็นจากพื้นหญ้าที่ไม่เรียบเสมอกัน กับพุ่มไม้ดอกที่ดูยุ่งๆปนกันไปหมด แต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าถูกทิ้งร้างแน่ๆ...ซึ่งดูเหมือนองค์หญิงจะทราบถึงข้อสงสัยของชายหนุ่ม เพราะเธอสรวลออกมาเบาๆทันที

 

       " ...สวนแห่งนี้ ข้าเป็นคนดูแลเองทั้งหมด ตั้งแต่ข้าพบมันถูกทิ้งร้างมาปีกว่าๆแล้วล่ะ "

 

       " ด...ดูแลเองทั้งหมด? อย่าบอกนะว่า ด้วยพระองค์เองคนเดียว? "  ไกรเลิกคิ้วทวนคำเบาๆ พร้อมกับเหลือบมองที่มือเล็กๆทั้งสองข้างของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างห้ามไม่อยู่...ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรแย้มพระสรวลอย่างเขินๆทันที

 

       " อาจจะไม่สะอาดเรียบร้อย หรือถูกจัดแต่งได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่ากับที่ผู้ที่ดูแลสวนโดยตรงน่ะ เพราะข้าก็เพียงแค่เลียนแบบมาอีกที แต่อย่าดูถูกกันเชียวนะ ที่นี่ถือเป็นสถานที่ลับของข้าเพียงคนเดียวเลยล่ะ "

 

       ' สถานที่ลับ...คนระดับเจ้าฟ้าจำเป็นต้องมีสถานที่ลับ หรือต้องจัดการทุกอย่างเองแบบนี้จริงๆเหรอเนี่ย?  '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่เขาเลือกที่จะไม่ถามอะไรต่อ...ชายหนุ่มเหลือบกลับไปมองในทิศทางที่เป็นต้นกระแสลมแปลกๆนั่นอีกครั้ง ก่อนที่เสียงเรียกขององค์หญิงที่เรียกชื่อเขาอีกครั้งพร้อมกับคว้าข้อมือและกึ่งลากกึ่งจูงชายหนุ่มไปที่เก๋งกลางสวนจะทำให้เขาเลิกใส่ใจความรู้สึกหวาดระแวงแปลกๆนั้นไปโดยปริยาย และหันกลับมาสนใจหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าทันที

 

       " ท...ท่านหญิง...ตัวข้าเองก็ว่าจะพยายามไม่จุกจิกและทำตัวเป็นปรกติแล้วนะ แต่ถ้าทำเช่นนี้เรื่อยๆ ข้าก็เกรงว่าซักวันข้าคงต้องถูกฟันคอริบเรือน...ไม่ช้าก็เร็วนี่แน่ๆ "  ไกรที่เวลานี้มองไปที่หัตถ์เล็กๆนุ่มๆที่กุมข้อมือเขาแทบไม่มิดไม่วางตา ก่อนที่ในที่สุดจะตัดสินใจครางออกมาเบาๆ ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรผินพระพักตร์กลับมามองพร้อมกับเลิกขนงสูงอย่างฉงนสงสัยทันที

 

       " หืม? ด้วยเหตุใดเล่า? ท่านไกร "

 

       ' โห...ที่ถามเนี่ย ทรงดำริคิดก่อนรึเปล่าขอรับกระผม?! '  ไกรคิดในใจพร้อมกับถอนหายใจเฮือก และเอ่ยตอบคำถามอีกฝ่ายไปเบาๆว่า

 

       " ท่านหญิง...ถึงข้าจะพูดกับท่านหญิงโดยใช้สรรพนามและคำพูดเช่นเดียวกับการพูดกับสตรีในฐานะสูงกว่าแทนที่จะเป็นราชาศัพท์ที่ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้า...แต้ข้าก็ยังระลึกได้เสมอว่าท่านคือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง...ผู้เป็นราชธิดาของพ่ออยู่หัวที่ข้ากราบไหว้...ถึงข้าจะไม่ได้รู้เรื่องกฎมณเฑียรบาลกระจ่างดี...แต่ข้าแน่ใจว่าโทษของไอ้คนที่บังอาจแตะต้องพระวรกายของพระองค์เช่นนี้...คง...จะไม่ได้สูงสุดแค่ปรับไหมหรือโบยแน่ๆ...ใช่หรือไม่ขอรับ ท่านหญิง "

 

         องค์หญิงสิริจันทรเอียงศอเล็กน้อยอย่างน่ารักให้กับคำพูดที่แสนจริงจังของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ ก่อนที่พระองค์จะยกหัตถ์ด้านที่กำลังกุมข้อมือของชายหนุ่มขึ้นมามองพร้อมกับสรวลออกมาเบาๆทันที

 

       " ...บุรุษผู้ใดบังอาจแตะต้องพระวรกายของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง โดยเฉพาะอิสตรีฝ่ายใน...ไม่ว่าจะมีเหตุอันควรหรือไม่ก็ตาม...มันผู้นั้นจักต้องถูกนำไปฟันคอพร้อมกับโคตรวงศ์ทั้งหมด...บ้านเรือนแลข้าทาสบริวารทั้งมวลให้กวาดต้อนนำมาสักเลกลงเป็นทาสทั้งสิ้น!... "

 

       " โทษฟันคอริบเรือนอีกหนึ่งกระทงสินะขอรับ... "  

 

       " คิกๆ ถ้าจะพูดง่ายๆก็เช่นที่ท่านว่านั่นแหละเจ้าค่ะ "

 

       " นี่ใจคอท่านยังจะสรวลได้อีกอย่างนั้นเหรอเนี่ย? "

 

       " คิกๆๆ...โธ่เอ้ย...ก็ทั้งๆที่ท่านไกรเป็นชายคนแรกที่เป็นผู้แตะเนื้อต้องตัวข้า นอกจากพระราชบิดาของข้า...ที่ตลาดหน้าวัดประดู่ทรงธรรมนั่นแท้ๆ...ท่านไม่น่าจะจำเป็นต้องมากังวลอะไรกับเรื่องที่เล็กน้อยพรรค์นี้เลยนะ "

 

       ' ร...เรื่องเล็กน้อย?! ...คงมีแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเท่านั้นแหละมั้งที่เห็นเรื่องเสี่ยงหัวขาดนี่เป็นเรื่องเล็กน้อยน่ะ!! ' 

 

         ไกรเหลือบมองดวงพักตร์ที่เปื้อนไปด้วยรอยแย้มพระสรวลอย่างสนุกสนานขององค์หญิง ก่อนที่เขาจะพ่นลมหายใจออกทางจมูกอย่างถอนฉิวเพราะโกรธอีกฝ่ายไม่ลงทันที  ในขณะที่ชายหนุ่มจะได้แต่ใช้มือข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมอยู่ของเขาเกาหัวตัวเองแกรกๆ และถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง

 

       " เฮ้อ...ที่ขนาดข้าพุทธเจ้าทูลบอกตรงๆขนาดนี้แล้วแท้ๆ... "

 

       " นี่...ถือว่าเป็นคำขอของข้าล่ะนะ...ท่านไกร...แต่ข้าเคยบอกแล้วว่าอิสตรีในฐานะของข้ามีสองหน้าเสมอ...เมื่ออยู่ต่อหน้าท่าน...ข้าขอเป็นเพียงแค่ สิริจันทร อิสตรีธรรมดาๆเท่านั้น...เพราะฉะนั้น อย่าได้ใช้สรรพนามที่เหินห่างเชนนั้นเลยนะเจ้าคะ "

 

         ไกรถึงกับต้องครางออกมาเบาๆให้กับ ลูกอ้อน และแววพระเนตรใสแป๋วที่เขาไม่เคยทำใจปฏิเสธได้ลงเลยแม้แต่น้อย...ถึงไอ้ ลูกอ้อน ที่ว่านี่จะทำให้เขาซวยกุลุดกุดหม้อแทบเอาตัวไม่รอดมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตามที

 

       " เฮ้อ...พูดก็พูดเถอะนะ...ถ้าหากข้าถูกอาญาฟันคอริบเรือนจริงๆ งานนี้ข้าจะเป็นผีมาหลอกท่านทุกคืนเลย คอยดูสิ "

 

       " คิกๆๆ ถึงเวลานั้นข้าจะสวดมนต์รอนะเจ้าคะ ท่านไกร "

 

 

 

 

 

........................................................ 

         

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่า...ที่เวลานี้อยู่ ณ กำแพงเมืองด้านที่ถูกเรียกกันมาอย่างช้านานว่า ประตูผี...

 

       " เฮ้อ...ไม่เปลี่ยนไปเลย...ตั้งแต่สมัยที่เรายังใช้ชื่อ ศรีปราชญ์ ด้วยซ้ำกระมังเนี่ย "  ท่านผู้เฒ่าที่เวลานี้เปลี่ยนชุดมาเป็นชุดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่มียศประมาณนึงเอ่ยครางออกมาเบาๆพร้อมกับอดขำขึ้นเล็กน้อยกับบรรยากาศชวนหลอนรอบๆตัวในเวลานี้ไม่ได้

 

       " ทั้งๆที่ช่วงกลางวันออกจะคึกคักแท้ๆ แต่พอตะวันตกดินไปเพียงแค่ไม่นานเท่านั้น ที่นี่กลับเงียบราวกับเป่าสากเลย "  หัวหน้าหมู่บ้านมือสังหารหนุ่มโคลงหัวพร้อมกับครางเบาๆอีกครั้ง ในขณะที่เขาค่อยๆควบม้าลอดผ่านประตูกำแพงเมืองเก่าๆทึมๆที่ถูกเรียกว่า ประตูผี นี้ไปช้าๆ...เขาก้มหน้าเคารพให้กับเหล่าทหารยามที่ยืนเวรหน้าประตูอยู่เล็กน้อยพร้อมทั้งดึงบังเหียนม้าให้ตึงขึ้นเพื่อบังคับไม่ให้ม้าตื่นจ้นสะบัดเพราะอากาศที่ข้นหนักขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อพ้นกำแพงเมืองออกมาทันที

 

       " ยอ...ยอ...เออๆ ข้าเองก็ไม่ได้ชอบมาที่นี่เช่นกันล่ะน่า แต่มันจำเป็นนี่หว่า "  ชายหนุ่มตบเบาๆเข้าที่แผงคอดกหนาของพาหนะของเขาพร้อมกับพูดเบาๆราวกับรับรู้ถึงความรู้สึกของม้าตัวนี้ได้ พร้อมกับสะบัดบังเหียนเพื่อเร่งความเร็วของม้าให้ควบพุ่งเพื่อฝ่าความมืดและบรรยากาศที่หนักอึ้งชวนตะครั่นตะครอนี่และข้ามสะพานไม้ผุๆเก่าๆที่ตัดข้ามคูน้ำไปจนกระทั่งถึงชายป่าโปร่งๆที่บรรยากาศกดหนักชวนให้จับไข้มากกว่าเดิมเสียอีก...ชายหนุ่มยกไต้ขึ้นมองผ่านความมีดพร้อมกับใช้ดวงตาที่เบิกกว้างเขม้นมองไปในความมืด...จนกระทั่งในที่สุด เขาก็ได้พบกับเป้าหมายของเขา...

 

     ...กระท่อมเล็กๆ ที่มีแสงไฟส่องลอดผ่านหน้าต่างของกระท่อมออกมาอย่างเกียจคร้าน...ที่ดูแล้วปลูกขึ้นอย่างผิดที่ผิดทางที่สุด...คือปลูกอยู่ติดกับป้าช้าที่ใหญ่ที่สุด...ที่ถูกฝังไว้ด้วยศพเป็นร้อยๆศพแห่งนี้...

 

     ...ท่านผู้เฒ่ามองไปที่กระท่อมเก่าๆโทรมๆ นั่น ก่อนที่จะหันขวับกลับไปมองที่ชายป่าช้าที่อยู่ๆก็เกิดเสียง แซ่ก! พร้อมกับเสียงหวีดแหลมยาวของตัวบ่างที่มีลักษณะคล้ายกับเสียงคนกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน และเสียงกระพือปีกของนกกลางคืนขนาดใหญ่ทันทีพร้อมกับสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังมีสติและตบะบารมีมากพอจะชักบังเหียนม้าจนตึงเพื่อไม่ให้ตื่นเตลิดไป...เขาชักม้าให้หมุนเพื่อให้หยุดตื่นกลัวกับบรรยสกาศชวนขนหัวลุกนี่ครู่หนึ่งจนม้าสงบดีแล้ว จึงได้แต่ผ่อนลมหายใจที่เกร็งอยู่ออกมาทันที...

 

       " อ...อะไรวะ...นี่ขนาดเราแก่งั่กขนาดนี้แล้วยังสะดุ้งเลย...แต่...ไอ้เราเองก็ไม่ถูกโรคกับเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้วด้วยสิ "  ชายหนุ่มครางออกมาเบาๆทันที พร้อมกับหันไปมองที่กระท่อมเล็กๆนั่นพร้อมกับพูดโดยเจตนาพูดกับตัวเองเบาๆอีกครั้ง

 

       " ...ไอ้คนที่อยู่ในสถานที่เกินบรรยายเช่นนี้ได้...ก็คงจะมีแต่คนบ้าเท่านั้นแหละ "

 

         เมื่อป่วยการที่จะบ่นอะไรต่อไป ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง นึกอยากจะด่าตัวเองที่เวลานั้นพยายามทำตัวเป็นแบบอย่างของผู้นำที่ดีด้วยการออกหน้าจะมาหาหลักฐานเองในยามวิกาลเช่นนี้ ก่อนจะขยับควบม้าเข้าใกล้กระท่อมหลังนั้น ...และในที่สุดเมื่อมาถึง เขาก็กระโดดลงจากหลังม้าและผูกไว้กับตอไม้เล็กๆใกล้ๆชานกระท่อมหลังนี้ทันที

 

       " สัปเหร่อ!...อยู่หรือไม่?! "

 

         ... 

 

       " ...เงียบสนิท...เฮ่ยๆ ไม่ใช่ว่าหลับไปตั้งแต่หัววันหรอกนะ...เฮ้ย! สัปเหร่อ!! ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ส่งเสียงออกมาให้ได้รู้หน่อยเถอะ!! "  ท่านผู้เฒ่าตะโกนด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้ฝักดาบเคาะแรงๆไปที่ชานกระท่อมเพื่อเรียกอีกฝ่าย...ถึงจะรูดีว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างที่สุดแต่เขาก็จำใจทำเพราะงานนี้คงปล่อยไว้นานไม่ได้แน่ๆ...ก่อนที่ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงของของแข็งบางอย่างกระทบพื้นจนกระท่อมสะเทือนเป็นการตอบรับทันที

 

         โครม!

 

       " เออๆ ยังอยู่โว้ยๆ ยังไม่ตายโหงตายห่าที่ไหน! นั่นใครกันวะ? ปากเสียสิ้นดีเลย! "

 

         เสียงของชายที่น่าจะกำลังเข้าสู่วัยชราตะโกนกลับมาอย่างเดือดดาลทำให้ท่านผู้เฒ่าโคลงหัวดิกๆทันที...เออ...คงต้องแช่งชักหักกระดูกเช่นนี้สินะ ถึงจะตอบรับได้แบบเร็วๆน่ะ

 

       " ข้ามาจากกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์...มาถามเจ้าเกี่ยวกับศพของชาย ๔ คนที่กรมพระตำรวจพึ่งมาให้เจ้าฝังไว้น่ะ "

 

       " เออๆๆๆ ก็กะอยู่แล้วว่าคงต้องมา แต่เสือกมาซะค่ำเชียวนะ ผลัดผ้าก่อนโว้ย ประเดี๋ยวอุจาดตาตายโหง! "  ชายชราผู้ประกอบสัมมาอาชีพเป็นสัปเหร่อผู้เฝ้าป่าช้าขนาดใหญ่โตแห่งนี้เพียงลำพังตะโกนตอบกลับมาพร้อมกับเสียงโครมครามของไหเหล้าและข้าวของบางอย่างตกหล่น ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ารอคอยเงียบๆอย่างใจเย็นโดยหันกลับไปมองที่ทิวทัศน์ที่อยู่รอบๆอย่างพินิจอีกครั้งทันที

 

      ...ป่าช้าก็ยังคงเป็นป่าช้าอยู่วันยันค่ำสินะ...

 

      ...ต่อให้เขาบอกกับตัวเองว่าเขามีทั้งตบะและบารมีแรงกล้ามากพอ และพยายามจะไม่คิดอะไรแท้ๆ ...แต่ถึงเวลานี้เขาก็ยังรู้สึกได้เลยถึงความรู้สึกในเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็กตัวน้อยๆอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง...

 

      ...ความรู้สึกไม่ปลอดภัย...

 

      ...จะเป็นเพราะการสั่งสอนแบบข่มขู่ของผู้เฒ่าผู้แก่ในสมัยที่เขายังคงเป็นเด็กแดงๆ ที่ชอบข่มขู่เด็กดื้ออย่างเขาด้วยเรื่องของผีสางต่างๆนานา หรือสัญชาตญาณในการกลัวความมืดที่อยู่ภายในทุกๆคนโดยไม่จำเป็นต้องสั่งสอนใดๆก็แล้วแต่ แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่เกิดขึ้นมันทำให้แม้แต่คนอย่างเขายังต้องอดเย็นหลังวาบๆอยู่เนืองๆกับเงาพยับกิ่งไม้ที่ดูเหมือนจะไหวยวบยาบเพื่อหลอกหลอนสายตาเขา ประสมกับเสียงของสุนัขไนที่หอนแหลมยาวรับกันเป็นทอดๆไม่ได้...

 

       " เฮ้อ...อายุก็ปูนนี้แล้ว ยังกลัวอะไรไม่เป็นเรื่องอยู่อีกน้อ "  เขาครางออกมาเบาๆเพื่อปลุกปลอบใจตัวเองก่อนที่เสียงกรอบแกรบของพื้นไม้กระท่อมที่ลั่นขึ้นใกล้ๆจะทำให้เขาหันกลับมายังชานกระท่อมของสัปเหร่อนี้อีกครั้ง แต่สภาพของสัปเหร่อชราที่เวลานี้ถือคบไต้นั่งยองๆอยู่แทบจะชนหน้าของเขาทำให้เขาถึงกับสะดุ้งเฮือกทันที

 

       " ...อ...เอ่อ...ให้ข้าเดานะ...ไข้ทรพิษใช่หรือไม่? "

 

       " โฮ่! นับตั้งแต่ที่ข้ามาเป็นสัปเหร่อนับสิบๆปี ก็มีเอ็งคนแรกนี่แหละนะ ที่ไม่ตกใจจนเตลิดไปเลยนะ "

 

        " ข้าเข้าใจ...นี่เป็นวิธีไล่แขกของเจ้าสินะ "

 

         " ก๊าก! ฮ่าๆๆๆ มันก็ได้ผลมาตลอดจนกระทั่งเจ้านี่แหละ!! "

 

      ...ใบหน้าของสัปเหร่อที่เวลานี้แทบจะอยู่ชิดติดกับใบหน้าของท่านผู้เฒ่าสามารถพูดอย่างไม่เกรงใจได้เลยว่าเป็นใบหน้าของภูติผีปิศาจมากกว่าจะเป็นใบหน้าของมนุษย์ทั่วไปด้วยซ้ำ เพราะนอกจากศรีษะที่ล้านโล่งและบิดเบี้ยวผิดรูปที่เต็มไปด้วยตุ่มเล็กๆร่าวกับท้าวแสนปมแล้ว ที่บริเวณดวงตาทั้งสองข้างก็ถูกเนื้อที่ปุ่มป่ำตรงหางตาตกลงมาจนแทบจะมองไม่เห็นดวงตาที่แดงก่ำจากพิษสุรา...ไล่ลงมาถึงจมูกที่เวลานี้โหว่เป็นรูสองรูโดยไม่เหลือดั้งจมูกอีกแล้วที่เข้ากันอย่างน่าขนลุกกับริมฝีปากที่แหว่งเว้าจนเห็นฟันระเกระกะสีด่างๆ ที่แก้มตอบๆจนเห็นกรามนูนเป็นสันชัดเจนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นจนแม้แต่ท่านผู้เฒ่าเองยังถึงกับต้องหรี่ตาลงอย่างอนาถลูกนัยน์ตาเลยทีเดียว!...

 

      ...ใบหน้าเช่นนี้มีอยู่ ๒ จำพวกเท่านั้นที่สามารถเป็นได้...ถ้าหากไม่ใช่คนที่ถูกไข้ทรพิษเล่นงานอย่างหนักแต่กลับมีปาฏิหาริย์ชนิดสุดยอดช่วยให้รอดตายมาได้...หรือไม่...ก็คงเป็นศพของคนที่ตายเพราะไข้ทรพิษเท่านั้นแหละ!...

 

       " เฮ้อ...ใครว่าล่ะ...ต้องบอกว่าข้าตกใจจนมือเย็นตีนเย็นก้าวขาไม่ออกเลยมากกว่า...เล่นห่าเหวนรกจกเปรตอะไรของเจ้าวะ สัปเหร่อ!!... "  ท่านผู้เฒ่าเอ่ยด่าขึ้นเรียบๆพร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างสะบัดไปไพล่หลังไว้เพื่อรักษามาดไม่ให้อีกฝ่ายเห็นว่าเขากำลังมือสั่นอยู่ พร้อมทั้งกระแอมไอเบาๆและเอ่ยพูดอย่างเป็นการเป็นงานต่ออีกครั้ง

 

       " ใจจริงข้าก็อยากจะนั่งจับเข่าอยู่สนทนากับเจ้าเกี่ยวกับอารมณ์ขันแปลกๆนี่ให้มันรู้เช่นเห็นชาติกันไปอยู่หรอกนะ แต่ติดตรงที่นี่คงไม่ใช่เวลาเหมาะเท่าไหร่...ก็อย่างที่ข้าเกริ่นไปตอนต้นนั่นแหละ...ข้ามาดูหลักฐานที่เหลืออยู่ศพ ๔ ศพที่มาให้เจ้าฝังนั่น "

 

         ดูเหมือนสัปเหร่อผู้มีใบหน้าเสียโฉมนี้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจในปฏิกริยาตอบสนองที่ค่อนข้างจะเย็นชาของชายหนุ่มในชุดทหารมหาดเล็กตรงหน้า จนส่งเสียงจิ๊กจั๊กออกมาอย่างขัดใจ ก่อนจะแบมือที่ตะปุ่มตะป่ำเต็มไปด้วยแผลเป็นออกมาข้างหน้าทันที

 

       " หลักฐานว่าเป็นคนของทางการจริงๆล่ะ? "

 

       " เฮ้ยๆ...ก็เห็นๆอยู่ว่าข้าใส่เครื่องแบบของทหารมหาดเล็กมา ไม่น่าจะมาระแวงกันเช่นนี้นี่ "

 

       " ไว้ใจได้เรอะ!...เจ้าน่ะญาติโยมข้ารึก็ไม่ใช่ แล้วยุคนี้สมัยนี้คนที่เดือดร้อนจนต้องหากินกับศพไม่ได้มีแค่สัปเหร่ออย่างข้าน่ะโว้ย!  แล้วไอ้พวกห่าพวกเหวพวกนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติกับร่างไร้วิญญาณอย่างให้เกียรติเช่นที่ข้าทำด้วย!! "

 

       " เออๆ ข้าขี้เกียจเถียงกับเจ้าแล้ว...ดูให้เต็มตาเสียเอ้า... "  ท่านผู้เฒ่ายื่นตราของทหารล้อมวังที่เขาได้มาจากออกพระเพชรพิไชยให้อีกฝ่ายดู ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆเมื่อได้เห็นตราโลหะนั้นทันที

 

       " ฮ่าๆๆ เออ! เจริญแท้ๆ แต่งองค์เป็นทหารมหาดเล็กแต่เสือกใช้ตราทหารล้อมวัง...แต่เอาเถอะ...เข้ามาสิ "  สัปเหร่อผู้นี้โบกมืออย่างแทบไม่สนอกสนใจไอ้ตราที่ท่านผู้เฒ่ายื่นให้ดูเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกนำชายหนุ่มเข้าไปในกระท่อมทันทีโดยที่ท่านผู้เฒ่าได้แตเลิกคิ้วอย่างงงๆทันที

 

       " อ้าวเฮ้ย! แล้วกัน ถ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้วยังจะ--- "

 

       " โฮ้ย ไอ้ตรานั่นน่ะไม่ต้องดูร๊อก!...แค่ท่าทางของเอ็งข้าก็รู้แล้วว่าเป็นทหาร...ไอ้ที่ขอดูเมื่อครู่ก็แค่เอาเชิงเท่านั้นแหละ ...ตามข้ามาเลย ไอ้หนุ่ม ยิ่งช้าก็ยิ่งเสียเวลากินเหล้าข้า "  สัปเหร่อหน้าผีพูดขำๆอีกครั้งพร้อมกับเดินต่อโดยไม่สนท่าทีขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของชายหนุ่มที่เดินตามเข้ามาติดๆเลยด้วยซ้ำ

 

 

       " นี่นะหรือ...ข้าวของทั้งหมดที่ค้นได้จากศพของไอ้ ๔ ร่างนั้น "  

 

       " เออ! "

 

       " มีแค่เท่านี้ใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าเจ้าแอบอมอะไรไว้หรอกนะ? "  ท่านผู้เฒ่าเลิกคิ้วพร้อมกับหันมาถามอย่างไม่ใคร่จะเชื่อใจนัก ในขณะที่่สัปเหร่อแยกเขี้ยวที่โผล่พ้นปากที่เว้าแหว่งนั้นวับพร้อมกับถลึงตาอย่างเอาเรื่องใส่ทันที

 

       " เอ็งเห็นข้าเป็นคนอย่างไรวะ? คิดว่าข้าจะขโมยของจากศพเรอะ...คนจะตายวันตายพรุ่ง ทั้งไม่มีญาติโกโหติกาอย่างข้าไม่จำเป็นต้องใช้เบี้ยใช้อัฐอะไรมากมายอยู่แล้ว! "

 

       " เออๆ ข้าก็แค่ว่าไปอย่างนั้นแหละ "  ท่านผู้เฒ่าตัดบทอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดพร้อมทั้งใช้มือเขี่ยๆดูไอ้สิ่งละอันพันละน้อยที่กองรวมกันอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ ก่อนที่ขาจะขมวดคิ้วพร้อมกับหยิบตราสัญลักษณ์โลหะที่ถูกสลักเป็นรูปเดียวกับตราประจำหมู่บ้านยุคันตวาตเพียงแต่เป็นสีดำสนิทขึ้นมาส่องกับแสงไฟชัดๆก่อนที่เขาจะเบิกตากว้างทันที

 

       ' เป็นอันแน่นอนแล้ว...ไอ้พวกที่ถูกฝังอยู่นี่เป็นกลุ่มเดียวกับมือสังหารชาวญี่ปุ่นที่วัดประดู่ทรงธรรมแน่...แต่ว่า...ปัญหาก็คือ มีพวกมันแฝงตัวฝังรากลึกอยู่ในกรุงอโยธยามาตั้งแต่เมื่อใด...รึมีอยู่กี่สิบกี่ร้อยคนนี่สิ '

 

       " ไอ้...ตรานี่...เจ้าได้มาจากศพของผู้ใด? "

 

       " หืม? อ้อ...ไอ้ตราโลหะนั่น ข้าค้นเจอจากกระเป๋าลับในชุุดของไอ้คนที่สภาพศพเละเทะน้อยที่สุด...ไอ้คนที่ถูกธนูปักฝังอยู่ในหัวนั่นแหละ "  สัปเหร่อครางตอบกลับเบาๆพร้อมกับรินเหล้าป่าในไหใส่ปากอั่กๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้ววูบทันที

 

       ' ...ถ้าอิงตามที่ไกรเล่าให้ฟังก็แสดงว่าตรานี่ค้นได้จากไอ้ตัวหัวหน้า...ไม่สิ...ไอ้ตัวรองหัวหน้าที่ถูกหัวหน้าตัวพ่อเก็บอีกทีสินะ...แต่ว่า...แบบนี้มัน '  ถึงท่านผู้เฒ่าจะรู้ดีว่าการจัดการฆ่าปิดปากเช่นนี้ก็ถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับกลุ่มมือสังหารที่มีความผิดติดตัวและกำลังจะเปิดปากคายความลับเช่นนี้...แต่ถึงอย่างนั้น...หมู่บ้านยุคันตวาตของเขาและมือสังหารในสังกัดของเขาก็ไม่เคยต้องมาตกอย่ในสถานการณ์ที่ต้องมาฆ่าปิดปากสหายเช่นนี้เลย...นั่นทำให้ชายหนุ่มอดรู้สึกสะท้านในใจไม่ได้

 

       " เออ...ว่าก็ว่าเถอะนะ ไอ้ ๓ ใน ๔ ศพที่มาเนี่ย มันตายเพราะถูกฝูงหมาป่ารุมแทะรึอย่างไรกัน? ข้าว่าข้าก็เป็นสัปเหร่อมาตั้งหลายสิบขวบปี ยังไม่เคยเห็นศพผู้ใดชวนสังเวชเท่าไอ้พวกนั้นเลย...สงสารก็แต่ไอ้พวกกรมพระตำรวจที่ต้องเก็บศพแบกมาส่งข้านี่แหละ คงจะกินข้าวกินปลาไม่ลงไปหลายวันเลยทีเดียวล่ะ ฮ่าๆๆ "

 

         ท่านผู้เฒ่าเหลือบกลับมามองก่อนจะเสหัวเราะเบาๆอย่างไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไรต่อไป ดาบฟ้าฟื้น...ดาบอาถรรพ์ชั้นสูงอันเป็นสมบัติและดั่งสหายศึกของเขาก็กรีดร้องด้วยเสียงบาดหูดังลั่นจนทั้งท่านผู้เฒ่าและทั้งสัปเหร่อหน้าผีนั่นสะดุ้งโหยงตัวโยนทันที!

 

       " อ...อะไรของเอ็งวะนั่น! เหตุใดดาบของเอ็งถึงได้กรีดร้องออกมาราวกับถูกผีสิงเช่นนั้นได้ล่ะ!! "  สัปเหร่อผู้นั้นร้องดังลั่นอย่างใจหายใจคว่ำ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าแทบจะไม่ได้สนใจที่จะไขข้อสงสัยของสัปเหร่อผู้นี้เลยด้วยซ้ำ เพราะชายหนุ่มยก ดาบฟ้าฟื้น ขึ้นมามองด้วยสายตาที่เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้าทันที

 

       " พ...พระบรมมหาราชวังอย่างนั้นรึ!! "

 

 

 

 

 

..............................................

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...ณ สวนขวัญดอกรัก...

 

       " ท่านไกร... "

 

         สุรเสียงหวานใสที่แฝงแววของความวิตกกังวลเล็กๆขององค์หญิงสิริจันทรปลุกชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นจากภวังค์อีกครั้ง พร้อมกับที่เขารีบหันกลับมาหาองค์หญิงและเลิกคิ้วเป็นเชิงถามทันที

 

       " ข...ขอรับท่านหญิง? "

 

         องค์หญิงสบดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาด้วยเนตรสีอ่อนนิ่งโดยไม่ตรัสอะไร...นาน...จนกระทั่งไกรถึงกับหน้าร้อนวูบวาบราวกับถูกไฟลนและเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนอย่างไม่เข้าใจตัวเอง  ในขณะที่เมื่อเห็นเช่นนั้น หญิงสาวก็พระพักตร์เจือนลงทันที

 

       " กะ...กะไว้แล้วเชียว ท่านคงจะลำบากใจสินะเจ้าคะ...ที่ต้องมารับฟังคำขอที่เอาแต่ใจของข้าเช่นนี้ "

 

       " ประเดี๋ยวก่อน ท่านหญิง...ท่านเข้าใจ---เข้าพระทัยผิดแล้วขอรับ...ข้าเพียงแต่รู้สึกตะหงิดใจอะไรบางอย่างเท่านั้นน่ะ...ข้าไม่ได้ลำบากใจอะไรที่ต้องมาอยู่ที่นี่กับท่านเลย...ออกจะรู้สึกดีใจ ออกจะมีความสุขด้วยซ้ำไป---อ...เอ่อ...เดี๋ยว! "  ประโยคหลังไกรร้องออกมาเบาๆ เพราะเขาดันเผลอไปใช้มารยาทและคำพูดที่เขาใช้อย่างเป็นปรกติในยุคปัจจุบันเข้าให้ แต่เวลานี้จะแก้ตัวอะไรไปก็คงจะช้าไปเสียแล้ว...พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนด้วยสีแดงระเรื่อที่ปรากฏขึ้นบนดวงพักตร์หวานๆขององค์หญิงจนพระองค์ต้องก้มพักตร์งุดลงอย่างเขินอายจนไม่กล้าสู้หน้าชายหนุ่มแทนทันที

 

       " ธ...โธ่...ท่านไกรล่ะก็...อย่าแกล้งหยอกข้าเล่นอย่างนี้สิ...พูดเช่นนี้ข้าก็แย่กันพอดีน่ะสิเจ้าคะ "

 

       ' ม...ไม่ใช่แค่พระองค์หรอกขอรับที่แย่...ไอ้กระผมเองก็แย่ไม่แพ้กันหรอกที่เผลอขุดหลุมฝังตัวเองไปอย่างโง่ๆแบบนี้! '  ไกรได้แต่ฝืนยิ้มแหยๆพร้อมกับคิดในใจเล็กน้อย ในขณะองค์หญิงเองก็เอียงอายกับคำพูดที่เหมือนเป็นการ เกี้ยวพา กันอย่างซึ่งๆหน้าเช่นนี้ จนกระทั่งพระองค์ต้องแก้เขินด้วยการดำเนินไปประทับลูบปรางค์ที่ร้อนผ่าวของตนเองอยู่บนเก๋งจีนผสมลายไทยกลางสวน ก่อนที่ในที่สุด พระองค์จะเงยพักตร์ขึ้นไปมองดวงจันทร์สีนวลตาที่ลอยเด่นเป็นสง่าอยู่บนท้องฟ้าในช่วงค่ำๆนี้ และตรัสขึ้นเบาๆอีกครั้ง

 

       " ...ท่านไกร...ท่าน...เอ่อ...มีความสุข...จริงๆอย่างนั้นหรือเจ้าคะ? "

 

       ' อ...อื้อหือ...ปรนัยบังคับตอบ...แถมไม่ว่าจะตอบข้อไหนก็ไม่แคล้วซวยสินะ...ถ้าตอบว่าใช่งานนี้ก็เท่ากับว่าองค์หญิงจะเข้าพระทัยว่าเรา ปักธง องค์หญิงเต็มตัว...ซึ่งถ้าหากคุณท้าวศรีสัจจารู้เข้าเรามีหวังได้ถูกถลกหนังทั้งเป็นแหง...แต่ถ้าหากเราปฏิเสธไปเลยว่าไม่ใช่...งานนี้องค์หญิงคงไม่ปล่อยเราไว้แน่ๆ '  ไกรคิดสะระตะในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้แต่ตัดสินใจเอาตัวรอดด้วยการเสหัวเราะออกมาเบาๆและทำท่าจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แต่แววพระเนตรใสแป๋วของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงกลับบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าคงจะไม่ยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจนกว่าจะได้รับคำตอบจากปากของเขาแน่ๆ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจเฮือก และฝืนยิ้มออกมาบางๆทันที

 

       " ท่านหญิง...ท่านทราบหรือไม่...ว่าคนเราน่ะ มี มาตรวัดความสุข อย่างง่ายๆ ติดตัวอยู่ทุกคนนะ...ท่านทราบหรือไม่ว่ามาตรวัดที่ว่ามันคืออะไร? "

 

       " ??? "  องค์หญิงเลิกขนงอย่างสงสัยและสนอกสนใจในคำเกริ่นนำประหลาดๆของชายหนุ่ม ในขณะที่ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดต่อทันที

 

       " มาตวัดความสุขที่ข้าว่านั่น มันอยู่ที่การถามตัวเองอย่างง่ายๆว่า ...ตอนนี้เราอยากจะหยุดเวลาลงไว้ ...หรืออยากจะปล่อยเวลาให้มันผ่านไป ...อย่างไรล่ะขอรับ "

 

       " แล้ว? "

 

       " ตอนนี้ข้าสามารถพูดได้อย่างเต็มปากของข้าเลยว่า...ข้าอยากจะหยุดเวลาตรงนี้ไว้...ตราบนานเท่านานได้ยิ่งดีเลยล่ะขอรับ "

 

         คำพูดของชายหนุ่มตรงหน้าบัดนี้ทำให้องค์หญิงพักตร์แดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะแย้มพระสรวลบางๆและพึมพำทวนคำพูดของเจ้าพระยาหนุ่มตรงหน้าด้วยสุรเสียงบางเบาอีกครั้ง

 

       " ...อยากหยุดเวลาไว้...อย่างนั้นหรือ? คิกๆ "

 

         สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงขยับพระองค์เข้ามาใกล้ไกรที่นั่งอยู่อีกด้าน ก่อนที่พระองค์จะค่อยๆล้มกายลงบรรทมโดยใช้ตักอันแข็งแรงของชายหนุ่มต่างเขนย(หมอน) โดยที่ไกรเองก็ไม่ได้คิดจะห้ามปรามหรือถอยหนีแต่อย่างใด...เขาเพียงแค่เลิกคิ้วเล็กน้อยเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆพร้อมกับใช้มือโบกพัดปัดเหลือบแมลงที่อาจจะมาทำให้ผิวบางๆและดูเหมือนจะอ่อนนุ่มขององค์หญิงระคายเคืองได้ ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรหลับเนตรพริ้มลงอย่างเคล้มฝันทันที

 

       " คิกๆ คำพูดหวานหูของท่านช่างเหมือนกับคำพูดให้ความหวังอันลมๆแล้งๆของเหล่าชายเจ้าชู้ประตูดินที่พวกนางกำนัลเคยพูดกันบ่อยๆเลยนะ...ท่านไกร...หวานหู ทว่าไม่ผูกมัด และไม่ชัดเจนให้สมเป็นชายชาติอาชาไนยเอาเสียเลย "  ดำรัสดักคอที่ตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงรู้ทันขององค์หญิงโฉมงามทำให้ไกรได้แต่หัวเราะแก้เก้อเบาๆโดยไม่อาจจะเถียงอะไรได้ แต่นั่นกลับทำให้องค์หญิงสรวลออกมาเบาๆโดยไม่โกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม พระองค์กลับยิ่งเพิ่มพูนความนับถือและความเสน่หาในตัวของเจ้าพระยาหนุ่มผู้นี้ขึ้นไปอีกเป็นเท่าทวี

 

       " ...แต่สำหรับเราทั้งคู่...ที่มีความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดที่แม้แต่คำเรียก็ยังไม่อาจมีได้...สำหรับข้า แค่นี้ก็ทำให้ข้าพอใรอย่างยิ่งยวดแล้วล่ะเจ้าค่ะ...ท่านไกร "

 

      ...แน่นอน...ถึงจะบอกไม่ได้ และคงไม่อาจจะบอกได้ว่าทั้งพระองค์และเจ้าพระยาหนุ่มผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน...แต่พระองค์ก็รู้ดี...รู้อยู่เต็มพระทัยว่าความรู้สึกที่พระองค์กำลังรับรู้อยู่เวลานี้มันคืออะไร...

 

      ...มันคือความสุขแน่นอน...

 

       " จริงอย่างที่ท่านว่าไว้นะ...ท่านไกร...ข้าเองก็อยากจะหยุดเวลาไว้ ณ ตรงนี้จริงๆ... "

 

 

      ...แต่น่าเสียดาย...ที่องค์หญิงกำลังจะได้รับรู้ถึงความจริงอันเป็นสัจธรรมของโลกอีกข้อนึง...

 

      ...ช่วงเวลาแห่งความสุขน่ะ...มันจะสั้นจนน่าใจหายเลยทีเดียว...

 

         ฟุ่บ!

 

      ...เสียงอันเบาแสนเบาของอะไรบางอย่างที่แหวกตัดผ่านอากาศ ที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงบของบรรยากาศเย็นๆในยามค่ำคืนทำให้ไกรหันขวับกลับไปมองที่ต้นเสียงด้วยสายตาที่คมกริบและเบิกกว้างขึ้นทันที ก่อนที่แสงสะท้อนของโลหะเล็กๆที่สะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ยามค่ำคืนราวกับหิ่งห้อยที่พุ่งลงมาที่เขาและองค์หญิงด้วยความเร็วสูงทำให้ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วของนักดาบหนุ่มยิ่งเบิกกว้างขึ้นอีกจนแทบถลนทันที!

 

      ...ระดับความเร็วของสิ่งที่ไกรเดาว่าอาจจะเป็นลูกธนูที่ไม่อาจจะระบุถึงแหล่งที่มา...หรือแม้กระทั่งจิตสังหารที่ควรจะมีของมือสังหารเจ้าของลูกธนูนี้บีบให้ไกรรู้ว่าเขามีเวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจ และการตัดสินใจแรกของเขาคือการคว้าดาบที่ควรจะวางอยู่ข้างๆกายทันที แตทว่า สิ่งที่เขาได้กลับเป็นเพียง...ความว่างเปล่า!...

 

       ' ว...เวรแล้ว...ดาบของเราถูกฝากไว้กับเหล่าจ่าโขลนที่หน้ากำแพงของเขตฝ่ายใน...ตามกฎมณเฑียรบาลที่ห้ามนำอาวุธใดๆเข้ามาในฝ่ายในแห่งนี้ !! '

 

         ระหว่างที่เขาคิดได้อย่างตกตะลึง ดวงตาที่เบิกกว้างของเขาก็พบกับความจริงอีกข้อของลูกธนูดอกนั้น...เป็นความจริงที่ทำให้หัวใจเขาต้องตกไปที่ตาตุ่มทันที

 

       ' ธนูดอกนี้ไม่ได้เล็งมาที่เขา...แต่เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร !'

 

         ไกรเบิกตากว้างพร้อมกับกัดฟันกรอดอีกครั้งเพราะเวลาแห่งการตัดสินใจของเขาไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว!

 

       " ขอโทษนะครับ องค์หญิง! "

 

         เจ้าพระยาหนุ่มตวาดลั่น และโดยไม่รอให้องค์หญิงที่เลิกขนงอย่างตกพระทัยทันว่าอะไร เขาก็พุ่งวูบก้มลง ใช้ร่างกึ่งกล้ามเนื้อกึ่งกระดูกของเขาสวมกอดองค์หญิงสิริจันทรที่พึ่งจะหนุนตักเขาอยู่เมื่อครู่นี้ทันที

 

       " ท...ท่านไกร?! ค...คิดจะทำอะไรของท่านน่ะ!! "

 

         สมเด็จเจ้าฟ้าสาวดวงเนตรเบิกกว้างขึ้นพร้อมกับพักตร์ร้อนฉ่า ร้องออกมาอย่างตกพระทัยระคนกับเขินอายทันที แต่เพียงเสี้ยววินาทีต่อมาเท่านั้น ดวงพักตร์ที่แดงเข้มด้วยความเขินอายของพระองค์ก็กลับกลายเป็นขาวซีดด้วยความตกตะลึงงันทันที!

 

         โลหิต?! 

 

         โลหิตสีแดงฉานของชายหนุ่มที่เวลานี้แน่นิ่งไปแล้ว ด้วยลูกธนูสีดำสนิทยาวท่วมหัวที่ปักเข้าที่บ่าบริเวณด้านหลังกระดูกไหปลาร้า ที่เวลานี้เปียกเปื้อนเต็มหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าสาวถึงกับต้องกรีดร้องออกมาดังลั่นทันที!

 

       " ท่านไกร!! "

 

      

 

 

 

 ....................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา