ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
57)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" เจ้าหญิงเพคะ...แล้วลมอะไรหอบพระองค์ให้มาถึงพระมหาวิหารนี่ได้อย่างนั้นหรือเพคะ...เพราะปรกติแล้วพระองค์เองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเข้ามาในเขตพุทธาวาสเช่นนี้นักแท้ๆ " สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี ที่เวลานี้เสด็จลงมาจากสิวิกาของพระองคแล้วตรัสขึ้นเบาๆอย่างหยอกล้อ ในขณะที่องค์หญิงผู้ถูกหยอกล้อสรวลออกมาเบาๆทันที
" โธ่...พระปิจตุฉาเพคะ... " องค์หญิงยอบพระวรกายลงคำนับผู้เป็นป้าของเธอย่างนอบน้อมในวัยวุฒิที่อาวุโสกว่า ก่อนที่พระองค์จะเหลือบมองมาที่ไกรที่คุกเข่าอยู่ข้างๆสิวิกาของสมเด็จพระพี่นางเล็กน้อยพร้อมกับตรัสต่อเบาๆ " กล่าวเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล หม่อมฉันก็เสียหมดสิ... "
" หืม? " เจ้าฟ้าพินทวดีที่เนตรไวพอจะจับสังเกตอากัปกริยาของอีกฝ่ายได้ก็ครางออกมาเบาๆพร้อมกับแย้มพระสรวลอย่างรู้ทันทันที " ...พระองค์ไม่ชอบพระทัยที่หม่อมฉันเอ่ยต่อหน้าเหล่านางสนองพระโอษฐ์...หรือว่าพระองค์ไม่ชอบพระทัยที่หม่อมฉันเอ่ยต่อหน้าใครกันแน่เพคะ? "
พระดำรัสอย่างรู้ทันของสมเด็จพระพี่นางผู้เป็นพระปิจตุฉาทำเอาองหญิงถึงกับพระพักตร์ร้อนวูบจนต้องหลบสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดูและหยอกเย้าของสตรีผู้อาวุโสกว่าทันทีอย่างกระดากอาย
" ธ...โธ่ พระปิจตุฉาล่ะก็ "
ในขณะที่ไกรเองเวลานี้ก็ก้มหน้างุดไปเช่นกัน...ต่างกันตรงที่อารมณ์ที่บังคับให้เขาทำเช่นนี้ไม่ใช่ความกระดากใจหรือความเขินอาย
...แต่เป็นความกลัวล้วนๆต่างหาก...
' ย...อย่า...อย่าเงยหน้า...หรือแสดงพิรุธใดๆให้เห็นว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เด็ดขาด...ม...ไม่งั้น...ไม่งั้นต่อให้มี ๙ ชีวิตก็คงถูกนางยักษ์ใจร้ายทุี่อยู่ด้านหลังทุบน่วมไม่เหลือหรอแน่ๆ! ' ไกรคิดในใจอย่างจริงจังให้กับจิตสังหารอันเข้มข้นของคุณท้าวศรีสัจจาที่นั่งใช้มืออันเหี่ยวย่นทว่าแข็งแรงราวกับคีมเหล็กบีบนั่นไม้พลองที่เวลานี้ชักเริ่มเหมือนกระบองยักษ์เข้าไปทุกทีจนเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดบาดหูที่สุด
" เรื่องไม่งามนี่...คงจะไม่เกี่ยวกับท่านเจ้าพระยาสินะเจ้าคะ! "
" กระ...กระผมก็เชื่อเช่นนั้นขอรับ...คุณท้าว "
" เฮ้อ...เข้าใจแล้วเพคะ...หม่อมฉันว่าคงพูดเล่นกันพอแล้ว...จริงๆแล้วพระองค์มาไหว้พระเช่นข้ากระมัง? "
" ก...ก็ไม่เชิงนักหรอกเพคะ...หม่อมฉัน...เอ่อ...มาเยี่ยมพระราชมารดาน่ะเพคะ "
" หืม?...กรมขุนวิมลพัตร (กรมขุนวิมลภักดี) น่ะหรือเพคะ? "
" เพคะ...พระมารดาเสด็จมาถือศีลปฏิบัติธรรม อย่างเช่นเคยทำเป็นกิจวัตรนั่นแหละ "
" ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะนัก...หม่อมฉันมีการณ์บางอย่างจะต้องปรึกษาสมเด็จพระอัครมเหสีอยู่พอดี " สมเด็จพระพี่นางตรัสออกมาเบาๆ ก่อนจะเตรียมเสด็จเข้าไปในพระมหาวิหารมงคลบพิตร...แต่แล้วก็ชะงักพระองค์เล็กน้อย ก่อนจะหันพระพักตร์กลับมามองผู้เป็นนัดดาสาวสลับกับท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯที่นั่งคุกเข่าอยู่ ...ในชั่วเสี้ยววินาทีหนึ่ง ไกรสาบานได้ว่าเขาได้รอยยิ้มในดวงเนตรของพระพี่นาง พร้อมๆกับที่พระองค์จะตรัสขึ้นเบาๆว่า
" องค์หญิงเพคะ...หลังจากนี้แล้ว...องค์หญิงมีกิจธุระอันใดอีกรึเปล่าหรือเพคะ? "
" เพคะ? ...เอ่อ...ก็...จะว่าไปก็ไม่เหลือกิจใดที่สำคัญๆแล้วล่ะ...มีอะไรรึเปล่าเพคะ พระปิจตุฉา? "
" ถ้าอย่างนั้นก็เหมาะนัก...องค์หญิงสิริจันทร...หม่อมฉันขอฝากภาระหน้าที่อะไรเสียหน่อยจะได้หรือไม่เพคะ? "
" เพคะ? "
.................................................
...เพียงไม่กี่นาทีต่อมา...
' ต...ตูวาแล้ว! '
...หลังจากที่การเจรจาสั้นๆ ของสองเจ้าฟ้าสิ้นสุดลง...ภาระหน้าที่ของไกด์นำเที่ยวของสมเด็จพระพี่นาง ที่อาสาพาไกร...หรือเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีเยี่ยมชมถนนลู่ทางและสิ่งก่อสร้างสำคัญต่างๆ ก็ถูกโอนย้ายมาเป็นของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรทันที โดยที่เหลือความสามารถที่ไกรจะทัดทานอะไรได้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นพระพักตร์ขององค์หญิงผู้งดงามแดงเรื่อขึ้นอย่างยินดี นั่นยิ่งทำให้ความคิดที่จะทัดทานใดๆยิ่งลดน้อยถอยลงไปอีก...จนกระทั่งในเวลานี้...ชายหนุ่มถึงจะพึ่งรู้สึกตัวว่าเขาได้พาตัวเองเข้ามาสู่สถานการณ์ที่เขาพยายามเลี่ยงมาตลอดอีกครั้ง...
" ...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ " หลังจากเดินตามเสด็จมาอย่างเงียบๆอยู่นานจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดและต้องอาศัยแสงอันโชติช่วงจากคบเพลิงรายทางและแสงอันนวลตาจากดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้า...ในที่สุด องค์หญิงที่ประทับอยู่บนสิวิกากาญจน์ก็ตรัสขึ้นกับชายหนุ่มที่เดินอยู่เคียงข้างพระองค์เบาๆ ในขณะที่ไกรก็สะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิดพร้อมทั้งเลิกคิ้วบางๆทันที
" พุทธเจ้าข้า? "
" ...ท่านไกร "
สรรพนามเรียกที่เปลี่ยนไปขององค์หญิงหลังม่านสิวิกาทำให้ไกรชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเหลือบมองเหล่านางสนองพระโอษฐ์ที่อยู่ใกล้พอจะได้ยินเช่นกันด้วยความเกรงว่าพวกนั้นจะมองอย่างไม่งาม แต่หลังจากที่เห็นเหล่านางสนองพระโอษฐ์นั้นยังคงก้มหน้าก้มตาตามเสด็จราวกับหุ่นยนต์โดยไม่พูดอะไร ไกรก็เปลี่ยนไปใช้สรรพนามที่ใกล้ชิดขึ้นแทนตามที่องค์หญิงปรารถนาอีกครั้งทันที
" ขอรับ...ท่านหญิง "
" ท่าน...เอ่อ...รู้สึกอึดอัดรึเปล่า?...ที่ถูกบัญชาของสมเด็จพระปิจตุฉาบังคับให้ตามเสด็จข้ามาด้วยเช่นนี้ " รับสั่งที่เกิดจากน้ำเสียงแสดงถึงความไม่สบายพระทัยขององค์หญิงทำให้ไกรเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพึ่งรู้สึกตัวว่าตนกำลังทำเรื่องเสียมารยาทไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เขาจึงหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าช้าๆทันที
" เปล่าเลยขอรับ...ท่านหญิง...อันที่จริง...ข้าต้องขอบอกว่าข้าค่อนข้างจะสบายใจกว่าตามเสด็จสมเด็จพระพี่นางด้วยซ้ำ...ในข้อที่ว่าเวลานี้ข้าไม่จำเป็นต้องมาคอยระวังว่าจะโดน นางยักษ์ใจร้าย ฟาดด้วยกระบองทีเผลอน่ะขอรับ "
" นางยักษ์? "
" ข้าหมายถึงคุณท้าวศรีสัจจา ที่เวลานี้มีภาระต้องไปตรวจเหล่าจ่าโขลนที่ลาดตระเวนล้อมกำแพงราชวังฝ่ายในน่ะขอรับ...รายนั้นน่าจะเขม่นขี้หน้าข้ามาตั้งแต่เหตุการณ์ที่ตลาดวัดประดู่ฯแล้วด้วยล่ะกระมั้ง...เพียงแต่หาโอกาสคิดบัญชีถนัดๆไม่ได้เท่านั้น...ดีจริงๆที่มีเหตุให้คุณท้าวไม่สามารถติดตามข้าได้เช่นนี้ "
" คิก!...สำนวนและคำเปรียบเปรยอันแปลกประหลาดของท่านท่านให้ข้ายิ้มได้เสมอจริงๆนะ...ท่านไกร "
" เฮ้อ...ถ้าหากการเสี่ยงชีวิตของข้าสร้างความบันเทิงและความสุขให้กับท่านได้...ไกรคนนี้ก็ยินดีอย่างยิ่งขอรับ "
" คิกๆ...โธ่...อย่าน้อยเนื้อต่ำใจไปเลย ท่านไกร...คุณท้าวแกก็เป็นห่วงตามประสาคนแก่เท่านั้น ท่านไม่ได้คิดจะลงไม้ลงมือจริงๆเช่นที่ท่านพูดไว้หรอก "
" เฮ้อ...ถึงตอนนี้ข้าก็คงจะได้แต่หวังว่ามันจะเป็นเช่นที่ท่านออกโอษฐ์...ท่านหญิง "
" ...อืม...ฟังดูแล้วหดหู่เสียจริงนะ...ถ้าอย่างนั้น ข้ามีสถานที่เหมาะๆที่อยากจะอวดอยู่... "
" สถานที่เหมาะๆ หรือขอรับ? "
" คิกๆ ใช่แล้วล่ะ...สถานที่เหมาะๆ...รับรองว่าต้องชื่นชอบเป็นแน่... " สตรีผู้สูงศักดิ์เอ่ยเบาๆ ก่อนที่พระองค์จะทำในสิ่งที่ไกรและทุกคนไม่อาจคาดคิดถึงได้
...สมเด็จเจ้าฟ้าหญิง สิริจันทรเทวีทรงกระโดดลงจากสิวิกากาญจน์ประจำพระองค์ลงมาบนพื้นเคียงข้างไกรทันที...ในขณะที่ไกรและนางสนองพระโอษฐ์ทุกคนกำลังตกอยู่ในความตะลึง องค์หญิงก็ใช้หัตถ์อันอ่อนนุ่มและเรียวบางปานจะหักได้ของพระองค์จับข้อมือหนาและแข็งแรงของไกรไว้ และวิ่งออกไปทันทีโดยไม่สนเสียงห้ามปรามใดๆของเหล่านางสนองพระโอษฐ์ประจำพระองค์ทั้งสิ้น...
" องค์หญิง? ท่านสิริจันทร?!! "
" คิก ฮ่ะๆ มาเถอะ...ท่านไกร...สถานที่ลับนี่ข้าไม่อยากให้ใครนอกจากท่านรู้ พวกเราคงต้องวิ่งไปกันเองแล้ว "
" องค์หญิง! แค่ข้าใช้คำพูดโดยไม่ใช้ราชาศัพท์ก็เสี่ยงหัวขาดพออยู่แล้ว...ขืนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระเนตรพระกรรณของพ่ออยู่หัว งานนี้มีหวังหัวของข้าได้ไปเสียบเด่นเป็นสง่าอยู่เหนือประตูผีแน่ๆ " ไกรรีบครางออกมาเสียงดังลั่นทันที ในขณะที่องค์หญิงสรวลร่าอย่างแทบไม่สนใจความทุกข์ร้อนของไกรเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พระองค์ตรัสสวนขึ้นเบาๆทันที
" โธ่ อย่าได้เกรงกลัวไปเลย ท่านไกร...นางสนองพระโอษฐ์ของข้าซื่อสัตย์ต่อข้ามากพอจะไม่พูดอะไรออกมาแน่...ขอแค่พวกเราไม่ถูกเหล่าโขลนจับได้ก็พอ...เมื่อถึงสถานที่ที่ท่านว่า รับรองว่าท่านต้องลืมเลือนเรื่องเล็กๆน้อยๆพรรค์นี้แน่ "
" ร...เรื่อง...เรื่องเล็กๆน้อยๆ เนี่ยนะ?!! " ไกรที่วิ่งตามองค์หญิงมาแทบจะอ้าปากค้างทันที เพราะไอ้ เรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ท่านหญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าว่า นี่มันความเป็นความตายของเขาเชียวนะเฟ้ย!!
...ผู้หญิง!...
...ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน...ภาษาไหน...หรือยุคสมัยไหน ก็ยังหนีไม่พ้นความจริงพื้นฐานของผู้หญิงทุกคน นั่นคือยิ่งสนิทชิดเชื้อกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอแยด้วยยากขึ้นเท่านั้น...
...โดยเฉพาะหญิงสาวที่สูงกว่าทั้งศักดิ์และสิทธิโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ ยิ่งตอแยด้วยยากขึ้นเป็นเท่าทวี!...
" สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร! ฟังข้าซักประเดี๋ยวก่อน! " ไกรพยายามจะเอ่ยเตือนพระสติองค์หญิงโฉมงามที่วิ่งนำเขาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง...แต่เมื่อเขาได้เห็นกำไลลูกปัดหินธิเบตอันเป็นของกำนัลที่เขามอบไว้ให้ที่เวลานี้ประดับเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงข้อพระกรข้างที่ฉุดข้อมือไกรไว้ และรอยแย้มสรวลอันใสซื่อบริสุทธ์ของสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าชัดๆ...ไอ้คำพูดห้ามปรามที่ว่ามันก็ถูกกลืนหายกลับเข้าไปในลำคอเสียหมดสิ้น...
" ...เจ้าคะ? ท่านไกร "
" เฮ้อ...ช่างเถอะ...บาทของพระองค์... "
" หืม? "
" ...มันไม่เหมาะสมยิ่งนักที่พระองค์---หมายถึงบาทของท่าน...ท่านไม่ควรจะไปไหนมาไหนด้วยบาทเปล่าๆเช่นนี้...ไม่ใช่ไม่เหมาะไม่ควร แต่บาทของท่านจะสกปรกเสียเปล่าๆ "
" เอ๋...แต่ว่า ปรกติแล้วข้าก็ไปไหนมาไหนด้วยเสลี่ยง รึไม่ก็สิวิกาอยู่แล้ว เลยไม่ได้นำฉลองพระบาท(รองเท้า) มาด้วย...แต่ช่างเถอะ...ที่ๆเราจะไปก็ไม่ได้ไกลมากนักอยู่แล้วล่ะ " องค์หญิงตรัสขึ้นอย่างง่ายๆราวกับไม่ค่อยใส่พระทัยเท่าไหร่นัก แต่ไกรสายหน้าช้าๆทันที
" แค่นี้ข้าก็เสี่ยงโดนฝังทั้งเป็นเต็มที่อยู่แล้ว...ถ้าหากท่านเกิดไปไหนมาไหนด้วยบาทเปล่าๆจนเกิดได้รับบาดเจ็บขึ้นมา...นอกจากจะวุ่นวายกันไปทั้งราชสำนักแล้ว... " ไกรเหลือบมามองดวงพักตร์ที่คาดหวังและตั้งพระทัยฟังขององค์หญิงสิริจันทรเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกทันที
" ...ข้าก็คงต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่ๆ "
ระหว่างที่ดวงพักตร์ขององค์หญิงกำลังเปลี่ยนเป็นสีฝาดระเรื่อขึ้นอย่างน่ารัก...ไกรก็ก้มลงและถอดรองเท้าของตนเอง สวมให้กับบาทอันเรียวยาวและอ่อนนุ่มขององค์หญิงทันที และจัดแจงผูกรองเท้าด้วยเชือกเล็กๆให้แน่นเข้ากับบาทขององค์หญิง ...เมื่อเสร็จสิ้นเขาก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับยิ้มให้กับอีกฝ่ายทันที
" ...ถึงจะดูแปลกๆไปซักหน่อย แต่ก็คงจะพอปะทะปะทังไปได้ล่ะนะขอรับ...อย่าน้อยก็ดีกว่าไปๆมาๆด้วยเท้า---บาทเปล่าๆเช่นนี้แน่ "
" ท...ท่านไกร "
" เฮ้อ...ไหนๆงานนี้ข้าก็คงจะไม่รอดแน่ๆอยู่แล้ว...เวลานี้เพียงแค่หวังว่าสถานที่พิเศษของท่านจะพิเศษเช่นท่านว่าจริงๆเท่านั้นนะขอรับ...องค์หญิง "
" คิกๆ เชื่อคำข้าเถอะ...ท่านไกร...ท่านต้องชอบมันแน่นอน "
' เฮ้อ...หวังว่าคงจะไม่เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้น...ล่ะนะ ' ไกรได้แต่ตั้งความหวังอย่างลมๆแล้งๆ ...ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่เคยได้ดั่งใจซักครั้งก็ตามที...ในขณะที่เขาถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตกให้กับความใจอ่อนไม่เข้าเรื่องของตนเองอีกครั้งทันที
...หลังจากที่หนึ่งเจ้าพระยาหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ และหนึ่งสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงผู้เป็นถึงยุวธิดาของพระเจ้าอยู่หัวผู้เป็นเจ้าแห่งทุกชีวิตในราชอาณาจักรอโยธยาวิ่งลัดเลาะผ่านเหลี่ยมมุมของอาคารและพระที่นั่งอันใหญ่โตไป ๒-๓ องค์...ในที่สุดพวกเขาก็เข้าสู่ปากทางเข้าของสวนอันใหญ่โตชนืดที่สวนใหญ่ๆในสมัยปัจจุบันยังอาย...ที่ไกรดูจากแผนผังของราชสำนักฝ่ายในแล้ว เดาว่าน่าจะเป็นส่วนที่กินพื้นที่มากที่สุดและอยู่กึ่งกลางของเขตราชฐานฝ่ายในพอดี...ซึ่งจากการตกแต่งและสถานที่ตั้งแล้ว...ทำให้ชายหนุ่มเดาได้ไม่ยากเย็นเลยว่า สวนแห่งนี้คงจะต้องเป็นสวนหลวงประจำพระบรมมหาราชวังแน่ๆ...
" ที่นี่มัน?...สวนองุ่น...อย่างนั้นหรือขอรับ? "
" หืม? " เจ้าหญิงสิริจันทรเอียงศอน้อยๆอย่างทึ่งๆในความรอบรู้ที่ออกจะเกินตัวของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่พระองค์จะพยักพระพักตร์เบาๆเพื่อยืนยันคำถามของไกรพร้อมกับตรัสตอบกลับเบาๆว่า " ใช่แล้วล่ะ...สวนองุ่น...สวนหลวงประจำพระบรมมหาราชวัง...สัตย์จริงแล้วข้าอยากจะพาท่านมาที่นี่ตอนหัววัน...หรือไม่ก็ซักเวลาเย็นๆด้วยซ้ำ เพราะเวลานั้นส่วนองุ่นแห่งนี้จะสวยที่สุดราวกับอุทยานสวรรค์ทีเดียว... "
" ใช่ขอรับ...แล้วไอ้ไกรคนนี้ก็ไม่แคล้วโดนฝังอยู่ในราชอุทยานสวรรค์แห่งนี้ทั้งเป็นแน่แท้...โธ่ ท่านหญิง...รู้สึกว่าท่านจะชื่นชอบหาเรื่องยุ่งยากใส่ข้าเหลือเกินนะขอรับ "
" คิกๆ " เจ้าหญิงสิริจันทรสรวลออกมาเบาๆอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรร่วมกับไกรเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่พระองค์จะเสด็จนำชายหนุ่มผ่านแมกไม้นานาพันธ์ุที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างสวยงาม แม้ว่าจะเห็นอย่างสลัวๆจากแสงไต้รายทางและแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่เหนือท้องฟ้ายามค่ำคืนเช่นนี้ก็ตาม
' ...อืม...เข้ามาในที่เปลี่ยวๆ สองต่อสองแบบนี้...ถ้าหากมีใครมาเห็นเข้า งานนี้ต่อให้ท่านผู้เฒ่าเอาหัวเข้ามาขวาง เราก็คงไม่แคล้วหัวขาดแน่ๆ ' ไกรคิดในใจอย่างปลอดอคติ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและเปลี่ยนจากเดินตามกลายเป็นมาเดินข้างๆเพื่อคอยคุ้มครององค์หญิงของเขาทันทีด้วยความเคยชินอันเป็นนิสัย พร้อมกับสอดส่ายสายตาไปในเงามืดรายทางอย่างระวังระไว ตรงกันข้ามกับองค์หญิงสิริจันทรที่ดำเนินไปอย่างไม่สนพระทัยอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย...ถ้าไกรหูไม่ฝาดไป องค์หญิงรูปงามที่เขาเดินเคียงข้างไปด้วยถึงกับฮัมเพลงไทยเดิมบางเพลงออกมาเบาๆด้วยซ้ำ จนไกรถึงกับต้องเกาหัวแกรกๆทันที
" บางครั้งข้าก็อดคิดไม่ได้...ว่าท่านหญิงรับรู้ถึงสถานการณ์สุ่มเสี่ยงของท่านหญิงหรือไม่? ...ไอ้ลำพังข้าที่สะสมโทษประหารเป็นงานอดิเรกน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ทำเช่นนี้ท่านหญิงเองก็อาจจะต้องอาญาตามกฎมณเฑียรบาลไปด้วยนะขอรับ " ชายหนุ่มตัดสินใจพูดเบาๆอย่างเป็นห่วงเป็นใย...แต่สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสรวลออกมาเบาๆอย่างไม่ทุกไม่ร้อนทันที
" ...เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ท่านไกร...แหม พวกเราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่ผิดเพียงครั้งเดียวก็ต้องโทษแล้วนะ แม้แต่ในราชสำนักก็มีเรื่องที่พออะลุ่มอะล่วยกันได้เช่นกัน...ขนาดตัวข้าเองก็หนีออกไปเที่ยวเล่นนอกกำแพงวังตั้งหลายต่อหลายครั้ง ข้าก็ยังไม่เคยถูกราชทัณฑ์เลยแม้แต่ครั้งเดียวเนี่ย "
' อืม...ที่ว่าไม่เคยโดนราชทัณฑ์เนี่ย...ไม่น่าจะใช่ความอะลุ่มอะล่วยของราชสำนักหรือกฎมณเฑียรบาลหรอก...แต่สงสัยว่าจะเป็นเพราะองค์หญิงคงจะเป็น ลูกรัก ของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ต่างหากล่ะม้ง...แต่เอาเถอะ ' ไกรคิดตอบกลับในใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างไม่คิดจะต่อความยาวสาวความยืดอะไร...ทำให้เขาเลือกที่จะเดินตามการนำของสมเด็จเจ้าฟ้าสาวไปอย่างเงียบๆ...ผ่านพระที่นั่งกลางราชอุทยาน...และคลองชลประทานที่ถูกขุดขึ้นเพื่อหล่อเลี้ยงราชอุทยานอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ไปอย่างเงียบๆ เข้าสู่เส้นทางที่เริ่มทึบและคดเคี้ยวขึ้น จนกระทั่งแม้แต่ไกรเองที่ว่าตัวเองจำทางได้แม่นๆยังรู้สึกเริ่มหลงทิศเข้าให้แล้ว...ในขณะที่องค์หญิงของเขากลับดำเนินนำไปอย่างมั่นพระทัย จนกระทั่งในที่สุด เมื่อเขารู้สึกว่าเขากำลังหลงทางเต็มที่แล้ว ไกรก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นเบาๆทันที
" ท่านหญิง... "
" เรามาถึงแล้วล่ะ...ท่านไกร "
" ขอรับ? " ไกรเลิกคิ้วรับคำไปเบาๆ พร้อมกับก้าวเดินฝ่าแมกไม้ที่หนาทึบเข้าไป...แต่เมื่อสายตาของเขาได้เห็นทิวทัศน์หลังม่านแมกไม้ทึบที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที
...ท่ามกลางแมกไม้ของสวนองุ่น...ราชอุทยานหลวงแห่งพระบรมมหารราชวัง กลับยังคงมีสวนเล็กๆอันงดงามซุกซ่อนอยู่...ท่ามกลางแสงจันทร์ที่ทอแสงนวลตาทำให้เขาได้เห็นพื้นหญ้าที่ดูนุ่มนวลเรียบง่าย พร้อมกับพุ่มไม้ดอกต่างๆ ที่คละกันไป ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบมอญที่บานสะพรั่ง รสสุคนธ์(ดอกปด) สีขาวสะอาดที่ส่งกลิ่นหอมนวลๆแข่งกับมะลิวัลย์ที่พันอยู่ โดยมีพุ่มดอกรักหลากพันธุ์ถูกปลูกแซมไว้มากที่สุด ในขณะที่ตรงกลางสวนเล็กๆนี้เป็นเก๋งไม้จีนที่มีกลิ่นอายของลายไทยแฝงอยู่อย่างงดงาม ปลูกอยู่ข้างๆธารน้ำตกจำลองเล็กๆที่มีสายน้ำใสไหลรินอยู่ตลอดเวลา...
...ที่นี่...คือสวนสวรรค์ที่แท้จริง!...
" ทานหญิง... "
" ...ขอต้อนรับท่านไกร...สู่ สวนขวัญดอกรัก...สวน...ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง...ทรงสร้างขึ้นเพื่ออาลัยรักแด่ พระสิริกัลยาณี พระอัครราชเทวีในสมเด็จท่าน...สวนขวัญที่เป็นเหมือนกับพยานรักของทั้งสองพระองค์ ...เป็นอย่างไร...งดงามเช่นที่ข้าได้ให้คำมั่นไว้รึเปล่าล่ะเจ้าคะ "
" ท่านหญิงสิริจันทร... "
...ไกลออกไป...
...เหนือยอดไม้ที่เหมือนจะสูงที่สุดในอาณาบริเวณนั้น สูง...จนสมารถเห็นอาณาบริเวณของ สวนขวัญดอกรัก ได้อย่างชัดเจนที่สุด...มือสังหารร่างบางในชุดพรางสีดำสนิทจนโผล่มาให้เห็นแค่เพียงดวงตาวาววับสีน้ำตาลเข้ม...ที่เวลานี้ม่านตานั้นสยายกว้างเต็มที่ราวกับวิฬาร์ (แมว) ในยามราตรีอันมืดสนิท ...คันธนูกลรูปร่างแปลกๆที่ยาวท่วมหัวและขึงไว้ด้วยสายหนังทำเป็นสายธนูถึง ๓ เส้น ที่เวลานี้ถูกพาดไว้ด้วยลูกธนูหัวเงี่ยงโลหะสีดำสนิท และหางเสือที่ถูกทำขึ้นจากขนเหยี่ยว ค่อยๆถูกง้างขึ้นอย่างช้าๆ!...
.....................................................
...ชั่วครู่ต่อมา...ภายในพระมหาวิหารมงคลบพิตร...ต่อหน้าพระมหาปฏิมากรพระศรีสรรเพชญดาญาณ...
...สมเด็จพระพี่นางพินทวดีค่อยๆย่อพระวรกายลง และประนมกรกราบพระมหาปฏิมากรตรงหน้าจนครบ ๓ ครั้งอย่างช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นนั่งพับเพียบทอดพระเนตรมองสตรีผู้สูงศักดิ์กว่าในชุดทรงกษัตริยาพร้อมเครื่องประดับทองเต็มยศ ที่เวลานี้กำลังประทับในท่าขัดสมาธิพร้อมกับหลับพระเนตรโดยที่ไม่แน่ใจว่าพระองค์อยู่ในอากัปกริยาเข้าญาณสมาธิเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใด และไม่แน่พระทัยด้วยซ้ำว่าจะอยู่ในญาณสมาธิไปจนถึงเมื่อใด...สมเด็จพระพี่นางรอคอยอย่างอดทนประมาณ ๕ นาที ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะค่อยๆกระแอมไอเบาๆขึ้น...
" อะแฮ่ม "
" ... "
" สมเด็จพระอัครมเหสีเพคะ? "
" ... "
" คงไม่ใช่ว่าบรรทมหลับไปแล้วหรอกนะเพคะ "
" เฮ้อ...พระองค์ทราบหรือไม่เพคะ...ว่าทำเช่นนี้มันเป็นบาปเป็นกรรมน่ะ " หลังจากที่รู้แน่ว่าคงจะใช้อุเบกขาวางเฉยต่ออีกฝ่ายไม่ได้...ในที่สุด สตรีผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นก็ค่อยๆลืมเนตรพราวขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับตรัสขึ้นเรียบๆ ในขณะที่พระพี่นางพินทวดียกพัดจีนในหัตถ์ขึ้นบังโอษฐ์พร้อมกับสรวลออกมาเบาๆทันที
" คิกๆ "
" รู้สึกพระองค์จะอารมณ์ดีเสียจริงนะเพคะ สมเด็จพระพี่นาง... "
" ฮ่ะๆ สมกับเป็นน้องเรา...อ้อ...ให้อภัยหม่อมฉันด้วยที่เสียมารยาทและเผลอลามปามไป...ท่านกรมขุนวิมลพัตร อัครมเหสี "
" ดูเหมือนช่วงหลังๆนี่พระองค์จะสรวลได้ง่ายๆจนน่าแปลกใจเลยนะเพคะ...ทั้งๆที่แต่ก่อนรอยแย้มพระสรวลของพระองค์หาได้ยากพอๆกับหาน้ำจืดในมหาสมุทรแท้ๆ...อย่าว่าแต่เสียงสรวลของพระองค์ที่เมื่อก่อนหม่อมฉันแทบไม่เคยได้ยินเลย ...สมกับที่นางกำนัลฝ่ายในทั้งมวลพากันเกรงกลัวกันจนลนลานยิ่งกว่าพระสวามีของหม่อมฉันเสียอีก "
" เฮ้อ...ประเดี๋ยวคงต้องไปสืบหาว่าปากของยัยคนไหนที่มันช่างกล้านินทาหม่อมฉันเช่นนี้...แต่เอาเถอะ...คราวนี้หม่อมฉันคงปล่อยไปก่อน เพราะเห็นแก่ว่าข้าไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนี้มานานแล้ว "
สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรที่ดูเหมือนกับมีรัศมีของผู้ทรงศีลอันสงบและเยือกเย็นหันพระเนตรมาสบกับเนตรวาววับอ่านไม่ออกของสตรีผู้เป็นเชษฐภคนีของพระสวามีของตนอย่างช้าๆ ก่อนจะปัสสาสะเฮือกทันทีอย่างดำริได้ว่าอย่างไรเสียพระองค์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ทำสมาธิเจริญสติภาวนาอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้เป็นทุนเดิมแน่ๆ จึงได้แต่ยอมเล่นด้วยกับสมเด็จพระพี่นางด้วยการตรัสถามขึ้นเบาๆว่า
" ถ้าให้หม่อมฉันเดา...คงจะเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่เวลานี้พ่ออยู่หัวได้มีราชโองการอวยยศแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...หัวหน้าทหารมหาดเล็กราชองครักษ์ทั้งปวง...กับเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร ธิดาองค์เดียวของหม่อมฉันสินะเพคะ? "
" คิกๆ ไม่อาจรอดพ้นสายพระเนตรอันแหลมคมของท่านไปได้จริงๆนะ "
" เฮ้อ...นี่พระองค์คงไม่คิดจะเล่นบท แม่สื่อ เช่นเดียวกับที่สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร เล่นบท พ่อสื่อ ให้หม่อมฉันกับพระสวามีหรอกนะเพคะ? " คำถามดักทางเรียบๆของกรมขุนวิมลพัตร ที่เอ่ยถามขึ้น ทำให้สมเด็จพระพี่นางยกพัดจีนขึ้นปิดรอยแย้มพระสรวลอย่างมีเลศนัยของพระองค์ทันที
" พระองค์ทรงยึดติดเรื่องฐานันดรศักดิ์อันสูงส่งของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทร...กับสามัญชนอย่างเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ อย่างนั้นหรือเพคะ? "
" ...พระองค์ก็ทรงทราบว่าหม่อมฉันหาได้สนใจเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้นไม่...เพียงแต่หม่อมฉันไม่รู้จักหัวนอนปลายตีนของเด็หนุ่มผู้นั้นเลย...ทั้งการเลื่อนยศก็ยังดูแล้วกะทันหันอย่างประหลาด...มันทำให้หม่อมฉันอดที่จะระแวงสงสัยตามประสาแม่คนไม่ได้ "
" เอาเป็นว่าหม่อมฉันคงจะพอออกหน้าเพื่อให้พระองค์สบายพระทัยได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นมิได้คิดร้ายต่อพวกเราแน่...ทั้งยังมีฝีไม้ลายมือมากพอจะเป็นที่โจษจันมาถึงฝ่ายในนี้ ซึ่งพระองค์ก็น่าจะผ่านพระกรรณมาบ้างแล้วจากการประลองนั่น...ถึงหม่อมฉันจะไม่รู้ถึงพื้นเพชาติกำเนิดที่แท้จริง แต่เด็กนั่นก็มีพลพรรคมากพอจะช่วยค้ำชูราชบัลลังก์อัน...เอ่อ...ง่อนแง่น ของพระสวามีของพระองค์ อนุชาของหม่อมฉันได้เป็นแน่ " สมเด็จพระพี่นางตรัสขึ้นอย่างเป็นการเป็นงาน ในขณะที่สมเด็จพระอัครมเหสีใช้หัตถ์ลูบปราง (แก้ม) อย่างครุ่นคิด ก่อนจะปัสสาสะเฮือกอีกครั้งทันที
" ...พระองค์ตรัสราวกับพระองค์ไม่ทรงทราบ...ถึงความลับของสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทร...ที่แม้แต่พระราชบิดาขององค์หญิง...สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์...ไม่สิ...แม้แต่ตัวขององค์หญิงเองก็ยังไม่ทรงทราบเลยอย่างนั้น "
" ท่านกรมขุนวิมลพัตร... "
" ...ความลับ...ที่ทำให้เราสองจำต้องปิดปากฝังเหล่านางพระกำนัลและหมอซินแสขันทีจีนทั้งหมดทั้งมวล ในราตรีที่สมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรมีพระประสูติกาลมา...ความลับของ บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั่นอย่างไรล่ะเพคะ "
ดวงเนตรวาววับเจ้าแผนการของสมเด็จพระพี่นางถึงกับหม่นแสงลงทันที และเป็นดำรัสที่ทำให้พระองค์และพระอัครมเหสีเงียบงันกันไปอึดใจใหญ่อย่างไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้ ...จนกระทั่งในที่สุด สมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็ค่อยๆฝืนสรวลออกมาเบาๆทันที
" พระองค์ทรงระลึกได้หรือไม่...ว่าพระองค์เป็นผู้ดำรัสสั่งเอง ทั้งๆที่ยังทรงเหนื่อยอ่อนจากพระประสูติกาลของราชธิดาผู้นี้แท้ๆ ว่าเราสองจะไม่มีใครเอ่ยถึง ไอ้ฉายากาลกิณีนี่น อีก...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม...ท่านกรมขุนฯ "
เนตรอันหรี่บางของกรมขุนวิมลพัตรเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างดำรินึกขึ้นได้ ก่อนที่พระองค์จะฝืนสรวลออกมาอย่างแกนๆทันที
" เฮ้อ...หม่อมฉันลืมเลือนไปอย่างที่พระองค์ว่าจริงๆ "
" ก็นั่นล่ะ...เห็นหรือไม่?...แม้แต่พวกเราเองก็ยังแทบจะลืมเลือนไปแล้วด้วยซ้ำไป...ตลอด ๑๐ กว่าขวบปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดที่เราเกรงกลัวกันเลยแม้แต่น้อย...สิริจันทรเติบโตมาอย่างเด็กสาวที่ร่าเริงและบริสุทธ์ที่สุด จนป้าแก่ๆอย่างเราอดที่จะอิจฉาไม่ได้เลยไม่ใช่รึอย่างไรล่ะ "
" ป...ป้าแก่ๆ! " สมเด็จพระอัครมเหสี กรมขุนวิมลพัตรถึงกับครางออกมาเบาๆ แทบจะอ้าโอษฐ์ค้างให้กับกับคำเปรียบเปรยที่กระทบกระเทียบใส่จุดใจดำของพระองค์อย่างถนัดถนี่ ในขณะที่สมเด็จพระพี่นางได้จังหวะตรัสต่อทันที
" เอาน่าๆ เชื่อหม่อมฉันเถอะ...ว่าสำหรับ เรื่องนั้น เราคงแค่คิดมากไปเอง กังวลไปถึงสิ่งที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้จริงเท่านั้น...และเชื่อคำหม่อมฉันเถอะ...สิริจันทรในเวลานี้...เป็นเพียงแค่เด็กสาวที่บริสุทธ์ธรรมดาๆเท่านั้น "
สมเด็จพระอัครมเหสี...ผู้เป็นมารดาแท้ๆของเจ้าหญิงสิริจันทรนิ่งเงียบไปเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ในที่สุด พระองค์จะปัสสาสะเฮือก พร้อมกับตรัสขึ้นเรียบๆอีกครั้ง
" สมเด็จพระพี่นาง...พระองค์อาจจะลืมเลือนไปอย่างนึงนะเพคะ "
" เพคะ? "
" ...ผ้าน่ะ...ยิ่งขาว...ยิ่งบริสุทธ์เท่าไหร่...ก็ยิ่งแปดเปื้อนได้อย่างง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น...และถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงตำนาน แต่พลังของฉายา บุตรีแห่งสุรีย์แสง นั่นมีสักเพียงครึ่งของตำนานที่ว่าไว้...ถึงเวลานั้นแม้เราสองในเวลานี้มีอำนาจล้นฟ้า...ก็ไม่อาจจะรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน!! "
.............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ