ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
56)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...เมื่อไม่มีทางเลือกและเหตุผลที่จะปฏิเสธอะไร ไกรก็ได้แต่มองหน้าท่านผู้เฒ่าเล็กน้อย ก่อนจะต่างฝ่ายต่างพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับที่ไกรลุกขึ้นยืนและออกไปข้างนอกห้องทันที...
" ไกร...คราวเจ้าไปกับเรืองเพียง ๒ คนก็แล้วกันนะ "
" อ้าว แล้ว? "
" ...หลังจากที่ไอ้พวกมือสังหารนั่นลงมือพลาดจนเป็นเหตุให้ตกตายไปถึง ๔ คน...ข้าเชื่อว่าพวกมันคงยังไม่กล้าลงมือในเร็ววันนี้...รึอย่างน้อยๆก็คงจะไม่เคลื่อนไหวอะไรในคืนนี้แน่ๆน่ะ...ข้าเลยกะจะออกไปที่ประตูผีไปหาสัปเหร่อผู้ฝังไอ้ ๔ ศพนั่นซะหน่อย...อย่างน้อยๆสัปเร่อก็น่าจะค้นตัวเพื่อหาของมีค่าในศพเหล่านั้นบ้าง...เผื่อจะได้อะไรที่มากกว่าหัวธนูนี่ "
" เข้าใจแล้วครับ " ไกรรับคำอย่างว่าง่าย ถึงแม้ว่าใจจริงแล้วเขาจะเป็นกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับการออกเดินตรวจที่เป็น งาน แบบจริงๆจังๆครั้งแรกนี้เล็กน้อยก็ตาม แต่ก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อยที่เขาเดินออกมาพบกับเรืองที่เวลานี้อยู่ในชุดแพรของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่เปลี่ยนเป็นสีทึบๆแทนทีจะเป็นสีสด...นั่นแปลว่าอย่างน้อยเขาก็ยังมีเพื่อนร่วมทางที่แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่
" เสื้อเหมาะกับท่านดีนี่ เรือง "
" สีมืดทึบอย่างกับเสื้อคนตาย "
" แต่มันก็กลืนไปกับความมืดได้ดี...ช่วยพรางตาจากระยะไกล ให้ท่านไม่กลายเป็นคนตายจริงๆได้อย่างไรล่ะ " ไกรพูดด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆ พร้อมกับถอดเสื้อตัวเก่าที่เวลานี้เต็มไปด้วยคราบฝุ่นจากการล้มลุกคลุกคลานออกและเดินกลับห้องเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่ แต่พอเขาผลักประตูห้องเข้าไปเขาก็ดันพบกับหญิงรับใช้คนเดิมที่กำลังเตรียมเสื้อแสงชุดใหม่ให้อยู่พอดิบพอดี
" อ๊ะ...ท่านไกร "
" ฮ...เฮ้ย! " ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างห้ามไม่อยู่จนเรืองต้องหันมามองอย่างงงๆ ในขณะที่หญิงสาวผู้นั้นเหมือนกับจะเริ่มรู้เส้นหน้าบางของไกรดีแล้ว เธอจึงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนค้อมหัวให้อย่างนอบน้อมทันที
" ท่านออกพระเพชรพิไชยทราบว่าท่านกำลังจะออกไปข้างนอก ท่านจึงให้ข้าจัดเตรียมชุดให้น่ะเจ้าค่ะ "
" อ...อ่า...ขอบใจเจ้ามากนะ เอาเป็นว่าเจ้าออกไปได้แล้วล่ะ ข้าจะเปลี่ยนชุด "
หญิงสาวเลิกคิ้วบางของเธอน้อยๆ ก่อนจะพูดออกมาเบาๆทันที
" แต่ว่าข้าสามารถช่วยท่านผลัดได้นะเจ้าคะ "
" ไม่ต้อง!...เอ่อ...หมายถึง ข้าผลัด---เปลี่ยนเองได้น่ะ "
สาวรับใช้ผู้นั้นมองหน้าไกรสลับกับชายหนุ่มผมสีทองแดงอีกคนที่ยืนกอดอกหน้าตายหลังพิงประตูนิ่งอยู่ไปมา พร้อมกับหน้าขึ้นสีชมพูระเรื่อขึ้นราวกับกำลังคาดเดาอะไรบางอย่างที่ไม่เข้าท่าในความคิดของไกรอยู่ จนไกรต้องรีบขยายความอย่างเหนื่อยๆว่า
" ไม่ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดแน่...ข้าเพียงแต่ชอบเปลี่ยนชุดคนเดียวเท่านั้นน่ะ...ว่าโว้ย! จะอธิบายยังไงดีเนี่ย! "
ในที่สุด เรืองที่ยืนนิ่งพิงประตูอยู่ก็ถอนหายใจเฮือกและเดินข้ามาช่วยพูดให้เรียบๆว่า
" ท่านไกรกำลังบอกว่า หากเจ้าอยู่นี่ เจ้าก็กำลังรบกวนท่านนะ "
" เฮ้ย! ไม่ใช่นะ "
" เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ...เช่นนั้นข้าขอตัวนะเจ้าคะ " แต่หญิงรับใช้ผู้นั้นกลับรับคำและทำท่าจะเดินออกไปจากห้องอย่างว่าง่ายจนไกรถึงกับต้องเอามือเกาหัวแกรกๆทันที...แต่ก่อนที่จะออกจากห้องไป เธอก็ชะงักอย่างนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเหลียวหลังมาเอียงคอพร้อมกับยิ้มให้กับไกรเล็กน้อยและเอ่ยขึ้นเบาๆอีกครั้งว่า
" ข้าได้ยินว่าท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยแม้แต่ซักคำเดียว...ถ้าหากท่านต้องการ ให้ข้าห่อข้าวไปด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ? "
" อ...เอ่อ...ข้าว่าคงไม่ต้องหรอกนะ "
" แต่งดเว้นกินข้าวเช่นนี้จะไม่ดีต่อท้องท่านเองนะเจ้าคะ "
" เฮ้อ...กูจะบ้า...เอาเป็นว่าท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯจะไปฝากท้องที่ต้นครัวหลวง หรือไม่ก็ไปกินกับพวกมหาดเล็กเองก็แล้วกัน "
" เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ...ถ้าเช่นนั้นขอให้ท่านเดินทางปลอดภัยนะเจ้าคะ "
หลังจากที่หญิงรับใช้ผู้นั้นเดินออกไปอย่างว่าง่ายจนไกรต้องแปลกใจ เรืองที่ยังคงยืนกอดอกพิงประตูนิ่งอยู่ก็ถึงกับถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง และครางออกมาเบาๆทันที
" เฮ้อ...ก็นึกว่าจะเนื้อหอมเฉพาะกับพวกวิญญาณเช่น ลูกแก้ว-ลูกขวัญ ของข้า...ที่ไหนได้...ก็อย่างว่านั่นแหละนะ...รูปหล่อราวกบตอลนไฟซะขนาดนี้ "
" ไม่ค่อยแน่ใจเลยว่านี่เป็นคำชม...แถมให้ไปเนื้อหอมกับวิญญาณที่จ้องจะกระซวกแบบนี้ข้าไม่เอาด้วยเฟ้ย!! "
" ...ทีแรกข้าก็หลงโอ่ตัวคิดว่าท่านเกรงอกเกรงใจข้าคนเดียว...แต่สงสัยว่าข้าคงจะคาดผิด...ท่านมันเกรงอกเกรงใจกับทุกคนผิดกับตำแหน่งเจ้าพระยาของท่านเลยนะ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี "
" ก็ถ้าข้ารู้ว่าทำอย่างนี้แล้วยัยนั่นออกไปโดยไม่ถามอะไรซักคำข้าก็คงพูดอย่างที่ท่านพูดไปนานแล้ว " ไกรอดบ่นเบาๆพลางสวมเสื้อแพรตัวใหม่ที่ถูกจัดเตรียมไว้อยู่ไม่ได้ ในขณะที่เรืองหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" ก็ดีแล้วนี่ขอรับ...นางนั่นก็งามมิใช่น้อย เหมาะที่ท่านจะเอามาเป็น นางเล็กๆ อยู่นี่ "
" เฮ้ยๆ ประเดี๋ยวเลยๆ แล้วทำไมทุกคนถึงได้คิดเองเออเองว่าข้าต้องอยากได้หญิงรับใช้นั่นมาเป็น นางเล็กๆ ด้วยล่ะฟะ?! " ไกรร้องออกมาดังลั่น ซึ่งคราวนี้เรืองเลิกคิ้วน้อยๆอย่างสงสัยทันที
" อ้าว? ก็จากคำพูดคำจาของท่าน "
" เฮ้อ...อย่างนั้นเข้าใจเสียใหม่เลยนะว่าข้ายังไม่มีลูกเมีย...แล้วก็ยังไม่คิดจะมีในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย " ไกรพูดเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจสถานะของเขาอย่างเหนื่อยหน่าย ในขณะที่เรืองเลิกคิ้วบางๆอย่างสนใจทันที
" หืม...ท่านนี่ประหลาดดีนะขอรับ...คนอายุเท่าท่านป่านนี้เขามีลูก ๒ เมีย ๓ กันแล้ว...ไม่มีมาอยู่ทึนทึกเช่นท่านแน่ๆ...หืม? รึว่าตกลงแล้วท่านชื่นชอบคนเพศเดียวกัน?? "
" ไม่ใช่เฟ้ย!! เฮ้อ ท่านนี่มันกวนโมโหแบบหน้าตายแท้ๆผิดจากที่ข้าคาดไว้แท้ๆ...เอาเป็นว่าข้ายังหาคนที่ถูกใจพอจะร่วมเรียงเคียงหมอนและเป็นแม่ของลูกข้าไมได้เท่านั้น "
ก่อนที่ไกรจะเลิกคิ้วบางๆอย่างนึกขึ้นได้และถามอีกฝ่ายกลับไปเบาๆว่า
" เออ...แล้วท่านล่ะ...หมายถึง...เอ่อ...ลูกเมียของท่านล่ะ ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้าง? "
เรืองนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามของผู้ที่เป็นเจ้านายของเขา ก่อนที่เขาจะตอบกลับมาเรียบๆ
" ท่านลืมเลือนไปแล้วหรือ...ว่าข้านั้นต้องโทษทัณฑ์ด้วยข้อหาอะไร...อาญาโทษของข้าคือประหาร ๗ ชั่วโคตร...แม้ข้าจะรอดพ้นโทษฟันคอมาได้ แต่ลูกเมียข้า...รวมถึงพ่อแก่แม่เฒ่าก็ไม่ได้รับการงดเว้นแต่ประการใด...ทั้งญาติมิตร ไพร่ทาส บ้านเรือน...แม้แต่ยศศักดิ์ ข้าคนนี้ก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว "
ไกรหน้าซีดขาวไปอย่างรู้ตัวว่าเขาได้พลาดถามในสิ่งที่ไม่ควรถามไปเสียแล้ว...อย่าไม่น่าให้อภัยเลยโดยสินเชิง
" ข้า...ขอโทษที่ถามอะไรโง่ๆไปแบบนั้นนะ เรือง "
" ไม่จำเป็นต้องขอโทษขอโพยอะไรหรอกขอรับ...ข้าเพียงแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น "
" หา?! "
" ขอรับ...แค่ล้อเล่นเท่านั้น...ความจริงแล้วทั้งพ่อและแม่ของข้าน่ะต่างก็ตายไปตั้งแต่ข้ายังตัวน้อยๆแล้ว ส่วนข้าเองก็ไม่มีลูกมีเมียกับเขาตั้งแต่แรกแล้วน่ะขอรับ "
" ...อ...ไอ้! " ไกรสบถขุดโคตรเหง้าศักราชของอีกฝ่ายออกมานั่งนับญาติเรียงคนโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์แค่ไหนก็ตาม ค่าที่อีกฝ่ายกล้าเล่นตลกหน้าตายไม่เข้าเรื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายก็ยังคงทำหน้านิ่งราวกับหินปักหลุมศพพร้อมกับพูดต่อเรียบๆว่า
" ...ตัวข้าที่เดินเข้ามาในเส้นทางสาย ไสยเวท นี่ก็มีศีล...มีสัตย์บางอย่างที่ข้าจำต้องรักษาเอาไว้โดยไม่อาจจะฝ่าฝืนได้...หากไม่ต้องการให้พระเวทคาถาชั้นสูง และตบะบารมีที่ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดมาเสื่อมสลายไป ทำให้ข้าไม่อาจจะมีลูกมีเมียอย่างปกติได้...ต่างจากท่านที่แค่ไม่อยากมีเท่านั้น "
" แหม่...ฟังดูเหมือนจะน่าเห็นใจนะ "
" ...ทั้งชีวิตนี้ข้าก็มีเพียงแต่ลูกแก้วและลูกขวัญที่วิ่งเล่นอยู่รอบๆท่านนี่แหละ ที่เป็นเสมือนบุตรของข้า "
" จะล้อเล่นก็ให้มันบันยะบันยังหน่อยเถอะ ถือว่าข้าขอร้องล่ะนะ "
" เอ่อ...เรื่องลูกแก้วกับลูกขวัญข้าพูดจริงขอรับ "
" แบบนั้นยิ่งน่าโวยใหญ่เฟ้ย!...เฮ้อ...จะจริงหรือไม่ข้าก็เหนื่อยเกินกว่าจะตกใจแล้วล่ะ...ส่วนท่านก็พอกันเลย...เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์รู้สึกผิดแท้ๆ "
ไกรครางออกมาเบาๆให้กับตลกหน้าตายอย่างอดีตพระยาเพชรบุรีตรงหน้า ก่อนจะคว้าดาบที่วางไว้ขึ้นมาเป็นสัญญาณว่าเขาพร้อมแล้ว ซึ่งเรืองก็พยักหน้าเบาๆพร้อมกับเดินออกไปพร้อมกันทันที
" ว่าแต่ท่านแน่ใจแล้วหรือ? ที่ว่าจะติดตามข้าไปด้วยน่ะ...ถ้าขืนคนอื่นเห็นว่าท่านอยู่ที่นี่ มีหวังพวกนั้นรุมยำท่านเละแน่ๆ " ไกรอดถามขึ้นอย่างเป็นห่วงเล็กน้อยไม่ได้ ในขณะที่เริองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างประหลาดใจทันที
" ไอ้เด็กนั่นไม่อยู่คนนึงแล้ว อย่างไรเสียข้าเองก็ต้องติดตามท่านในฐานะผู้ติดตามอยู่ดี ข้าเองก็พอมีวิชาด้าน นะหน้าทอง ใช้ได้อยู่ ...แล้วถ้าหากปะเหมาะเคราะห์หามเกิดพวกมันจะเอาเรื่องจริงๆ ข้าก็ยังอาศัยบารมีของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯของท่านรอดได้อย่างสบายๆอยู่แล้ว ...อีกอย่าง...ตามสัตย์แล้วท่านควรจะต้องเป็นห่วงสวัสดิภาพของพระเจ้าเอกทัศน์มากกว่านะขอรับ...ในข้อที่ว่าข้าอาจจะก่อการอีกครั้งเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ "
' เฮ้อ...เรื่องนั้นเราไม่ค่อยห่วงเท่าไหร่นักหรอก...เพราะตามประวัติศาสตร์ นอกจากจะไม่ก่อกบฏอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว ท่านยังออกศึกได้อย่างห้าวหาญกว่าขุนน้ำขุนนางที่ปากว่า รักชาติรักแผ่นดิน ในเวลานี้หลายต่อหลายคนด้วยซ้ำไป ' ไกรคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะโคลงหัวไปมาโดยไม่พูดอะไรต่อ ในขณะที่เรืองเองก็ไม่ได้คิดจะถามอะไรต่อตามประสาคนปากหนักไม่พูดมาก...เมื่อพวกเขาสองคนลงมาพร้อมที่ชานเรือน ก็เป็นสัญญาณว่าพวกเขาพร้อมที่จะออกเดินตรวจกำแพงพระนครแล้ว...
.............................................
...หลังจากที่เขาสองคนร่วมกับจมื่นศรีสรรักษ์เดินตรวจตราเวรยามไปซักพัก ไกรก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่จมื่นศรีสรรักษืไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเรืองที่ติดตามเขามาด้วยเลยแม้แต่น้อย สำคัญเพียงแค่ว่าเป็นหนึ่งในหน่วยของเขาเช่นเดียวกับสินเท่านั้น...อาจจะเป็นเพราะ นะหน้าทอง ของเรืองสำแดงฤทธิ์เดชจริงๆ หรือไม่ก็เพราะท่านจมื่นและทุกคนคงจะไม่คิดว่าไอ้คนที่ควรจะเน่าตายในคุกจะออกมาเดินลอยหน้าลอยตาเช่นนี้ได้ จึงทำให้จมื่นศรีสรรักษ์ไม่ได้ไต่ถามอะไร...เพียงแต่พูดถึงเรื่องที่ไกรไปมีปัญหากับพระยาอนุชิตชาญไชยเท่านั้น...และฟังจากคำพูดคำจาที่เข้าข้างและเห็นดีเห็นงามด้วยกับการกระทำของไกรทุกประการก็ทำให้ไกรได้แต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเหมือนกับเขาได้รู้ว่า เวลานี้...เขาได้ก้าวเข้ามาสู่เกมการเมืองอย่างที่ท่านผู้เฒ่าได้ว่าไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว...
...จากเนื้อหาในคำพูดของจมื่นศรีสรรักษ์ทำให้ไกรได้ทราบถึงความไม่ลงรอยกันที่ค่อนข้างจะร้าวลึกระหว่างพวกที่ทำงานในรั้ววัง กับพวกที่ทำงานอยู่ฝ่ายนครบาล ที่แม้ว่าจะดูเหมือนร่วมมือกันทำงานเป็นอย่างดี แต่ต่างฝ่ายต่างก็เขม่นกันอยู่ในที...ด้วยเหตุว่าเบี้ยหวัดราชการและหน้าตาของทั้งสองฝ่ายต่างกันเกินไป ซึ่งเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว...และเมื่อไกรที่เป็นขุนนางคนโปรดและเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ที่ไม่อาจจะดูแคลนเข้ามาท่ามกลางความขัดแย้งนี้...จึงไม่แปลกที่กลุ่มอำนาจทั้งสองต่างก็อยากได้มาเป็นพรรคพวก...จนในบางครั้ง จะต้องเล่นนอกกฎไปบ้างก็ตามที...
' ...อืม...ถ้าเรื่องมันเป็นอย่างนี้ ก็พอเข้าใจพระยาอนุชิตชาญไชย ที่พยายามแบล๊คเมล์เพื่อสร้างบุญคุณกับเราล่ะนะ...เฮ้อ...ไอ้ตำแหน่งเจ้าพระยาพิทักษ์ฯนี่มันเนื้อหอมจนน่าเอาไปเหวี่ยงทิ้งจริงโว้ย ' ไกรอดคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่ายพลางโคลงหัวไปมาไม่ได้ ในขณะที่เรืองที่เดินตามมาด้วยก็ได้แต่หัวเราะเบาๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี...
" อ๊ะ...ท่านเจ้าพระยา...รีบหลบข้างทางก่อนดีกว่าขอรับ "
เสียงร้องของจมื่นหัวหน้ามหาดเล็กแห่งเวรเดชปลุกไกรขึ้นจากภวังค์ความคิดของเขา พร้อมๆกับที่เขาได้สังเกตเห็นกระบวนเสด็จที่ของพระบรมวงศานุวงศ์กำลังเสด็จมา ทำให้พวกเขาทั้งสามรีบเดินหลบเข้าข้างทางทันที
" นั่น? "
" ขอรับ...ดูท่าแล้วน่าจะเป็นกระบวนเสด็จของสมเด็จพระพี่นางน่ะ... " จมื่นศรีสรรักษ์พูดเบาๆ ก่อนที่พวกเขาทั้งสามคนจะก้มลงกราบถวายบังคมกระบวนเสด็จและสิวิกากาญจน์...แต่เมื่อสิวิกากำลังเคลื่อนผ่าน...พระสุรเสียงที่ทรงอำนาจของสมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็ตรัสหยุดสิวิกาและกระบวนเสด็จของพระองค์ไว้ทันที
" หยุดก่อน! "
" เอาเข้าแล้วเป็นไร... " ไกรได้แต่ครางออกมาอย่างเบาแสนเบา จนมีเพียงเรืองที่หมอบอยู่เยื้องด้านหลังเท่านั้นที่หลุดหัวเราะพรืดออกมาก่อนจะรีบเอามืออุดปากของตัวเองไว้ทันที
" อ้อ...ทีแรกก็นึกว่าใครที่ไหนที่อยู่กับท่านจมื่น...ที่แท้ก็เป็นท่านเจ้าพระยาคนเก่ง...กับ...ไอ้ ...หน่วยคเณศร์เสียงาคนใหม่ ที่สมเด็จท่านอุตส่าห์ไปเสาะหามานั่นเอง "
' อืม...ตะกี๊ถ้าฟังไม่ผิด...คำว่า ไอ้ มันฟังดูกดหนักว่าทุกคำรึเปล่าน้อ... ' ไกรคิดในใจพลางเหลือบหันมามองอดีตพระยาเพชรบุรีที่หมอบนิ่งอยู่เล็กน้อยอย่างไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก...คงเป็นเพราะพระพี่นางยังจำฝังใจ วีรเวร ที่เรืองได้ก่อไว้ในอดีต ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับยกมือขึ้นจบถวายบังคมอีกครั้ง
" พุทธเจ้าข้า...ข้าพุทธเจ้าเพียงแค่มาเดินตรวจตราความสงบเรียบร้อย...ให้สมกับที่ได้กินยศเป็นเจ้าพระยาเท่านั้น "
" หืม? คิกๆ ถ้าหากว่าขุนนางทุกคนทำงานได้คุ้มเงินเบี้ยหวัดเช่นท่านก็คงจะดีนะ " พระพี่นางตรัสผ่านม่านสิวิกาออกมาโดยไม่ปรากฎพระโฉมตามกฎมณเฑียรบาล ก่อนที่พระองค์จะร้อง อ้อ! อย่างดำรินึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะตรัสต่อเบาๆอีกครั้ง
" ท่านเจ้าพระยา...หลังจากนี้ท่านมีกำหนดการอะไรที่สำคัญชนิดต้องทำให้ได้ต่อไปหรือไม่? "
ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างเริ่มเดาทางอีกฝ่ายไม่ออก ก่อนจะได้แต่ทูลตอบไปตามความจริงว่า
" ก็ไม่มีกิจอันใดที่ต้องทำหรอกพุทธเจ้าข้า... "
" อืม...ถ้าอย่างนั้นก็ดี "
" พุทธเจ้าข้า? "
" ก็ท่านเป็นถึงหัวหน้าราชองครักษ์ที่รับใช้ใกล้ชิดพ่ออยู่ห้วที่สุด...พ่ออยู่หัวทั้งสองทรงดำริว่าท่านควรจะรู้เส้นสายลู่ทาง ไปจนถึงพระตำหนักแต่ละองค์ให้ชัดแจ้งประดุจดูลายมือตนเอง...ไม่ใช่แค่เฉพาะชั้นนอกหรือชั้นกลาง...แต่ท่านควรจะรู้แจ้งถึงในเขตพระราชฐานชั้นในด้วย...ทั้งสองพระองค์จึงฝากให้ข้าซึ่งเป็นผู้จัดการทุกอย่างในฝ่ายในทั้งหมดเป็นธุระในเรื่องนี้ "
" พ...พุทธเจ้าข้า " ไกรทำได้แต่พนมมือรับคำเบาๆ แม้ว่าจะตะหงิดๆ ว่าไอ้คำว่า หายนะ กำลังโบกมือทักทายเขาไหวๆอีกรอบแล้วก็ตามที
" อื้ม เช่นนั้น...ถ้าท่านไม่มีกิจธุระอะไรเป็นพิเศษ...ถ้าอย่างนั้นท่านก็ตามเสด็จข้ามาก็แล้วกัน...ข้าตั้งใจจะไปกราบพระที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ในกำแพงฝ่ายในอยู่พอดี "
' ว...วัดพระศรีสรรเพชญ์?!! ' ไกรแทบจะอ้าปากค้างออกมาพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกายทันที เพราะเขาเองก็เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวชมวัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่จังหวัดอยุธยาในยุคปัจจุบันมาแล้ว...ขนาดที่ว่าเขาได้เห็นวัดในสภาพที่เป็นซากปรักหักพังและผ่านช่วงเวลามาถึงหกร้อยหกสิบกว่าปี (นับตั้งแต่ปีที่สร้างซึ่งสร้างพร้อมกับการตั้งราชธานีคือ พ.ศ.๑๘๙๓ จนถึงปัจจุบัน) แต่เขาก็ยังรู้สึกขนลุก เพราะสามารถสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองที่จำศีลอยู่ภายในซากปรักหักพังของพระเจดีย์ใหญ่ทั้ง ๓ องค์...ที่ไม่อาจถูกบดบังได้ด้วยกาลเวลาเลนแม้แต่น้อย...
...ถ้าย้อนกลับไปในเวลานั้น ต่อให้พระอินทร์เขียวๆลงมาพูด เขาก็ยังไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ ว่าเขากำลังจะมีโอกาสได้มาเห็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังอยุธยาในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อยด้วยตาตนเองเช่นนี้!...
" ข้าพุทธเจ้าเห็นว่าคงไม่เหมาะกระมัง สมเด็จท่าน... " ระหว่างที่ไกรกำลังตาลอยคิดเพ้อฝันไปไกล จมื่นศรีสรรักษ์ที่หมอบอยู่ถัดไปก็รีบกราบบังคมทูลขึ้นชนิดดับฝันของไกรกลางอากาศทันที พร้อมกับกราบทูลขยายความต่อเบาๆว่า
" ...เวลานี้ก็เป็นเวลาเย็น...จวนที่จะย่ำกลองอันแสดงถึงช่วงเวลาวิกาลเต็มที...หากให้ท่านเจ้าพระยาที่เป็นบุรุษเข้าไปในฝ่ายในที่ล้วนแล้วแต่มีแต่อิสตรี ข้าพุทธเจ้าเห็นว่ามันจะไม่เหมาะไม่ควรนะพุทธเจ้าข้า "
' อืม...ถึงจะเสียดายนิดๆแต่ก็ต้องยอมรับว่าก็จริงอย่างที่จมื่นศรีสรรักษ์พูดแฮะ... ' ไกรคิดในใจอย่างปลอดอคติก่อนจะอดถอนหายใจเฮือกออกมาเบาๆอย่างเสียดายไม่ได้ แต่เสียงสรวลเบาๆของสมเด็จพระพี่นางก็ทำให้ทั้งเขาและจมื่นผู้เป็นนายเวรชะงักกึก...โดยเฉพาะจมื่นศรีสรรักษ์ที่แสดงท่าทีตกตะลึงออกมาอย่างชัดแจ้งโดยไม่คิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย เพราะตลอดเวลาที่เขารับราชการมหาดเล็กตั้งแต่หัวดำมายันหัวเริ่มหงอกประปรายเช่นนี้เขายังไม่เคยเห็นสมเด็จพระพี่นางผู้นี้สรวลออกมา หรือแม้แต่แย้มพระสรวล(ยิ้ม) เลยด้วยซ้ำแท้ๆ!
" อืม...ก็จริงอย่างที่จมื่นพูด...ถ้าอย่างนั้น...คุณท้าวศรีสัจจา! "
สิ้นพระสุรเสียงอันทรงพระอำนาจ...คุณท้าวชราร่างล่ำบึ้กราวกับนักกล้าม ผู้บังคับบัญชาเหล่าจ่าโขลนสตรีผู้เป็นเหมือนกองทหารยามผู้ดูแลฝ่ายในทั้งปวงก็ลุกขึ้นจากมุมมืดที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสิวิกา และอ้อมมานั่งคุกเข่าใช้ดวงตาวาววับจ้องใส่ไกรที่นั่งหมอบอยู่ทันที
" เจ้าค่ะ...สมเด็จท่าน "
" จากนี้ไปข้าขอสั่งให้คุณท้าวคอยจับตาดูท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีไว้ทุกฝีก้าว...ถ้าหากท่านเจ้าพระยาคนเก่งผู้นี้เกิดนึกอะไรโง่ๆ เกิดไปทำรุ่มร่ามใส่เหล่าสนมนางห้ามฝ่ายใน จนอาจจะเป็นที่ครหาและผิดราชมณเฑียรบาลขึ้นมา...ให้คุณท้าวใช้พลองประจำมือคุณท้าวฟาดใส่อย่างไม่ต้องยั้งมือได้เลย...เอาให้กระอักเอาความไร้ยางอายนั่นออกมาให้หมดทั้งกระบิได้ยิ่งดี...เป็นอันเข้าใจนะ "
" ห...หา? ป...ประเดี๋ยวก่อน สมเด็จท่าน--- " ไกรที่ได้ยินชัดๆเต็มสองหูถึงกับร้องออกมาเบาๆพร้อมกับยกมือทำท่าจะประท้วงคำสั่งนั้นทันที แต่โชคร้ายที่คุณท้าวศรีสัจจาดันได้ยินชัดเต็มสองหูไม่แพ้กัน พร้อมกับที่หัวหน้ากองจ่าโขลนนางนี้ยกมือขึ้นบังคมนอมรับคำสั่งดังลั่นทันที
" เข้าใจชัดแจ้ง และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พระเสาวนีย์นี้ด้วยเจ้าค่ะ สมเด็จท่านเจ้าขา! "
" อ...เอ่อ...ถ้ามันเป็นการลำบากสมเด็จเจ้าฟ้ากับคุณท้าวมากเกินไป เอาเป็นว่าข้าพุทธเจ้า--- "
" โฮ้ย! ไม่ลำบากอิฉันเลยเจ้าค่่ะ ท่านเจ้าพระยา...เชื่อฝีมืออิฉันเถอะ ต่อให้มีวิชาสายคงกระพันค้ำหัวในระดับไหนก็ตาม พอเจอกระบวนพลองของอิฉันเข้าไป รับรองหลับรวดไปตื่นอีกทีบนสวรรค์โน่นเลยล่ะเจ้าค่ะ! "
" ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะว่างเช่นนี้ทุกวัน...เอาเป็นว่าที่ให้โดยเสด็จมาด้วยถือเป็นคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธก็แล้วกันนะ ...หวังว่าท่านคงจะไม่ขัดข้องนะ...ท่านเจ้าพระยา "
" ...ที่ผ่านมาแม้เป็นช่วงสั้นๆแต่ก็เหมือนจะสนุกอยู่เหมือนกัน...เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอกราบลาส่งท่าน ณ ตรงนี้เลยนะ...ท่านไกร... "
" ต...ตูยังไม่ได้ไปตายเฟ้ย! ไอ้ท่านเรือง!! "
..................................................
...ภายในกำแพงของราชวังหลวงฝ่ายในที่ไกรได้ก้าวเข้ามาตามคำเชิญ(แกมบังคับขู่เข็ญ) ของสมเด็จพระพี่นางค่อนข้างจะแตกต่างจากที่ไกรวาดภาพเอาไว้เล็กน้อย...อาจเป็นเพราะรู้อยู่แก่ใจว่านอกจากพระมหากษัตริย์แล้วก็ไม่มีบุรุษคนไหนได้รับอนุญาตให้เข้ามาถึงเขตนี้ ทำให้เหล่านางสนองพระโอษฐ์ นางกำนัล...รวมไปถึงสนมนางห้ามเกือบทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพที่สบายๆ หรือจะพูดให้ชัดๆก็คือแทบทุกคนต่างก็ปล่อยร่างกายท่อนบนให้เปลือยเปล่าไว้ โดยไม่สนใจจะปิดบังอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าคราวนี้จะต่างออกไปตรงที่ว่าไกรซึ่งเป็นบุรุษอีกคนที่เข้ามาตามอำนาจของพระธำมรงค์พระราชทานและพระเสาวนีย์ของสมเด็จพระพี่นางก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ทำให้หญิงสาว (และไม่สาว) เหล่านั้นนั้นเกิดความเขินอายเลยแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม พวกเธอกลับค่อนข้างจะสนอกสนใจชายหนุ่มผู้อยู่ผิดที่ผิดทางนี้อยู่ไม่น้อย จนกระทั่งไกรเองนี่แหละที่ต้องเป็นฝ่ายก้มหน้างุดมองแต่พื้น ด้วยความที่ไม่รู้จะเอาสายตาไปมองที่ไหนดีนั่นเอง
" แหม่ๆ...ทั้งๆที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียวนอกจากพ่ออยู่หัว...ที่ได้มีโอกาสและอำนาจสูงสุดที่ได้รับพระราชทานมาให้เข้ามาถึงใน แดนสวรรค์ต้องห้าม นี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีกิจธุระชนิดคอขาดบาดตายแท้ๆ...ใจคอท่านเจ้าพระยาจะชมแต่ถนนทางเดินจริงๆหรือ...ไกร " หลังจากที่ทรงทอดพระเนตรอยู่นาน...ในที่สุดสมเด็จพระพี่นางพินทวดีก็อดตรัสขึ้นเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อชายหนุ่มผู้ตามเสด็จมาข้างๆสิวิการของพระองค์อย่างขำขันไม่ได้...ในขณะที่เมื่อได้ยินไกรก็ถึงกับลอบแยกเขี้ยววับทันที
" เอาเป็นว่าข้าพุทธเจ้าใช้สายตาจ้องอิฐจ้องปูนที่ใช้ปูถนนแทนจะเป็นบุญต่อชีวิตข้าพุทธเจ้ามากกว่านะพุทธเจ้าข้า "
" หืม? ทั้งๆที่ในในฝ่ายในแห่งนี้ที่เราได้ผ่านมาก็มีพระที่นั่งที่สร้างอย่างวิจิตรงดงาม...ผ่านโรงราชยานและพระคลังมหาสมบัติ...และทั้งยังมี เหล่านางฟ้านางสวรรค์ ผู้งดงามตามรายทางอีกนับไม่ถ้วน...ถ้าหากท่านยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองเพื่อเป็นบุญตา เกรงว่าจะเป็นที่ครหาว่าเสียเชิงชายชาติอาชาไนยได้นะ... "
" ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด...แต่เสียเชิงชายก็ยังดีกว่าเสียชีวิตล่ะพระพุทธเจ้าข้า! " ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆ พลางเหลือบหันกลับไปมองคุณท้าวศรีสัจจาที่เวลานี้กำลังบีบเค้นไม้พลองที่ทำจากไม้เนื้อแน่นสีดำสนิทพร้อมกับใช้สายตาที่ไม่มีแม้แต่ริ้วรอยฝ้าฟางจ้องมองอยู่ที่ด้านหลังของไกรราวกับเพชรฆาตที่จ้องนักโทษประหาร แถมยังปล่อยจิตคุกคามอันไม่น่าเสี่ยงมาใส่เขาเป็นระยะๆอีกต่างหาก...แบบนี้ต่อให้ไม่ผิดกฎมณเฑียรบาลและความเหมาะสมห้ามไว้เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงหันไปมอง สวรรค์น้อยๆ ที่รายล้อมอยู่ข้างทางเสด็จอยู่ดี
" ที่พูดอยู่นี่เป็นการจาบจ้วงและไร้ยางอายรึเปล่าเจ้าคะ ท่านเจ้าพระยา?! "
" ไม่ใช่ขอรับ!! " ไกรหันไปบอกอีกฝ่ายอย่างเหนื่อยๆก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองทางอีกครั้ง...แต่สิ่งที่เข้ามาอยู่ในคลองสายตาของเขากลับทำให้เขาถึงกับชะงักจนกระทั่งหยุดก้าวเท้าไปทันที
...วัดพระศรีสรรเพชญ์...วัดประจำพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงศรีอยุธยา...ที่มีจุดเด่นที่สุดคือพระเจดีย์สีขาวบริสุทธ์ขนาดใหญ่ ๓ องค์ที่ตั้งเรียงกันอยู่ ต่อด้วยพระวิหารมงคลบพิตรที่งามเลิศและแลดูใหม่ราวกับพึ่งสร้างเมื่อไวๆนี้ ไม่ได้สร้างมาพร้อมกับการตั้งราชธานีด้วยซ้ำ...พระวิหารหลวง ที่เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสูง ๘ วา ที่ห่อหุ้มไว้ด้วยทองคำเนื้อเจ็ดหนัก ๒๘๖ ชั่ง (๑๗๑ กิโลกรัม) พระศรีสรรเพชญดาญาณ ...พระวิหารหลวง...ที่เป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วในปัจจุบัน...ที่เขาสามารถบอกได้อย่างปลอดอคติว่าจำลองไว้ได้อย่างงดงาม แต่ทว่าความขลังกลับต่างกันชนิดที่แม้แต่เขาเองก็ยังสัมผัสได้...
" ว...วัดพระศรีสรรเพชญ์...ที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม! "
" หืม...อ้อ...หมายถึงดูใหม่น่ะหรือ? ...ก็ไม่แปลกหรอก... " สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดีตรัสทวนคำเบาๆอย่างสงสัย แต่ก็ทรงคาดเดาเอาเองว่าไกรคงหมายถึงว่าทำไมวัดที่ควรจะสร้างมาตั้งแต่สมัยต้นอยุธยาถึงได้ยังดูคงสภาพใหม่และไม่ทรุดโทรมไปตามกาลเวลาเช่นนี้...พระองค์จึงตรัสต่อเพื่อไขข้อข้องใจไปเบาๆว่า
" ...ที่วัดยังดูใหม่ขนาดนี้ก็เพราะรัชสมัยของพระบิดาของเรา...พ่ออยู่หัวในพระบรมโกศทรงดำริให้มีการบูรณะปฏิสังขรวัดหลวงทั้งวัดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่วัดถูกสร้างขึ้นมาน่ะ เมื่อไม่ถึง ๑๐ กว่าปีที่แล้วนี่เอง...ทำให้ทั้งพระเจดีย์ ๓ องค์ พระมหาวิหารมงคลบพิตร ไปจนถึง พระที่นั่งจอมทอง ที่สร้างในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรมยังดูใหม่อยู่เช่นนี้...และเชื่อข้าเถอะ...ว่าจะยังดูใหม่เช่นนี้ไปอีกนานเป็นแน่ "
" พ...พุทธเจ้าข้า...อีกนานเป็นแน่... " ไกรได้แต่ครางออกมาอย่างบางเบาพร้อมกับใช้สายตาของเขามองไปที่พระวิหารที่ตั้งเด่นตระหง่านใต้แสงอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าไปเหม่อลอย...
...ทั้งๆที่เขาบอกกับตัวเอง เตือนตัวเองมาตลอดว่าเขาอยู่ในอดีตที่เกิดขึ้นไปแล้ว ผ่านไปแล้วในยุคของเขา...ที่เขาไม่มีหน้าที่ไปตัดสินหรือเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์แท้ๆ...แต่อยู่ๆ น้ำตาก็รื้นเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างอย่างไม่มีเหตุผลไปซะอย่างนั้น...
" ท่านเจ้าพระยา? "
" อ...ขอโทษ---ขออภัยด้วยพุทธเจ้าข้า...แสงเพียงแค่เข้าตาข้าพุทธเจ้าเท่านั้น " ไกรรีบส่ายหน้าไล่น้ำตาที่รื้นขึ้นมาออกไปจากใบหน้า พร้อมกับกลับเข้าสู่ใบหน้าและอารมณ์ที่เป็นปรกติอีกครั้งในชั่วเสี้ยววินาที พร้อมกับหัวเราะกลบเกลื่อนไป ซึ่งทุกคนก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก
ชายหนุ่มเดินตามกระบวนเสด็จไปอย่างเงียบๆไปจนกระทั่งถึงเขตพุทธาวาสตรงหน้าพระมหาวิหารมงคลบพิตร โดยที่ไกรลอบถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก เพราะถ้าหากยึดตามที่พระพี่นางได้ตรัสไว้แต่แรก ก็เท่ากับว่าการทัวร์เขตราชวังหลวงฝ่ายใน (ที่เหมือนกับมีผู้คุมสาว(เหลือน้อย)ร่างยักษ์เดินคุมต้อยๆ ราวกับจะพาไปลานประหาร) กำลังจะจบลงแต่เพียงเท่านี้...จนกระทั่งชายหนุ่มเลือบไปสังเกตเห็นขบวนเสด็จของพระบรมวงศานุวงส์ชั้นสูงอีกขบวนนึง ที่กำลังจอดรออยู่หน้าพระมหาวิหาร นั่นทำให้ทั้งสมเด็จพระพี่นางและไกรถึงกับมุ่นพระขนงและขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
" หืม? สิวิกาและกระบวนนางสนองพระโอษฐ์นั่นมัน? "
...ก่อนที่จะมีใครได้ทันว่าอะไร คำตอบก็ปรากฎขึ้นทันทีเมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรค่อยๆดำเนินผ่านธรณีพระมหาวิหารออกมาช้าๆ ก่อนที่พระองค์จะเลิกขนงของพระองค์ขึ้นอย่างงุนงงทันทีที่เห็นกระบวนเสด็จที่กำลังจะเข้ามาเทียบจอดข้างๆกระบวนเสด็จของพระองค์เช่นนี้ แต่เมื่อพระพี่นางแหวกม่านสิวิกาออกมาให้เห็นพระโฉม พระเนตรสีอ่อนของพระองค์ก็เบิกกว้างขึ้นพร้อมกับที่โอษฐ์สยายกว้างเป็นรอยแย้มพระสรวลอย่างยินดีทันที
" อ้าว? สมเด็จพระปิจตุฉาเจ้าคะ? "
" สมเด็จเจ้าฟ้า...องค์หญิงสิริจันทร...ยินดีเช่นกันที่ได้พบกับพระองค์เช่นนี้ "
ก่อนที่องค์หญิงแสนสวยจะผินพระพักตร์กลับมามองที่เจ้าพระยาหนุ่มผู้ตามเสด็จมาด้วยอย่างงงงวย ก่อนที่พระองค์จะเบิกเนตรกว้าง...เอียงศอพร้อมกับแย้มพระสรวลน้อยๆอน่างน่ารักน่ามองที่สุดทันที
" ท่านไกร---ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าข้าจะได้พบกับท่านที่นี่... "
" ข...ข้าพุทธเจ้าเอง...ก็อยากจะพูดเช่นเดียวกับที่พระองค์ตรัสมาแบบทุกกระเบียดนิ้วเลยพระพุทธเจ้าข้า! " ไกรได้แต่ยกมือขึ้นประนมพร้อมกับบังคมทูลไปเบาๆ
...นึกออกแล้วว่าไอ้อาการขนลุกที่ต้นคอวาบๆนี่มันมีสาเหตุมาจากอะไร...
..................................................
" "
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ