ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.47K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
55)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา ไกรก็ได้พบกับหัวหน้าของเหล่ากรมพระตำรวจทั้งหมดตามที่สินว่าไว้ พร้อมกับเหล่ากรมพระตำรวจที่อยู่ในชุดเครื่องแบบสีเข้มและกระบองหนักๆสีดำอีกนับได้เกือบ ๒๐ คน ที่พุ่งเข้ามาล้อมพวกเขาไว้ตรงกลางอย่างเป็นระเบียบและรวดเร็วที่สุดทันที...
' อืม...ดูจากความรวดเร็วและเป็นระเบียบของการเข้าล้อม...แบบนี้มันเทียบได้กับหน่วยปราบปรามจลาจลหรือไม่ก็หน่วยสวาทในยุคปัจจุบันชัดๆเลยแฮะ ' ไกรที่ยืนกอดอกอยู่ในวงล้อมอย่างไม่เกรงกลัวถึงกับคิดในใจเบาๆ...อาจเป็นเพราะเขามีบารมีของ ธำมรงค์พระราชทาน คุ้มหัวอยู่และไม่ใช่คนผิดโดยตรงอยู่แล้ว เขาเลยไม่ได้เกรงกลัวอะไรมาก ผิดกับสินที่ถึงแม้จะเก็บดาบเข้าฝักไปแล้วแต่ก็ยังอยู่ในสภาพที่พร้อมจะชักออกมาทันทีด้วยสีหน้าที่ยิ่งเคร่งลงอย่างเห็นได้ชัด
...ในขณะที่อดีตพระยาเพชรบุรีหรือเรือง...เวลานี้ได้หายไปจากที่เกิดเหตุเรียบร้อยแล้ว...โดยที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายไปตอนไหน...
" ...สิน "
" ไม่ต้องห่วงมันหรอกน่า ท่านไกร...คนมีชนักปักหลังอย่างมันพอเห็นตำรวจก็คงจะหลบเลี่ยงเป็นธรรมดา " ถึงจะยังพูดอย่างมะนาวหน้าแล้ง แต่สินก็กระซิบตอบกลับมาเบาๆเพื่อให้ไกรรู้สึกสบายใจมากขึ้น ในขณะที่เมื่อได้ยิน ไกรก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที
" หืม? แต่ว่า "
" เฮ้อ...ดีเสียอีกไม่ใช่รึอย่างไรขอรับ มันจะได้ช่วยเป็นกองหนุนให้เราด้วย "
' อ้าว...ก็มันรู้ทั้งรู้ว่ามันได้รับราชโองการอภัยโทษ...ยกเว้นความผิดในอดีตทั้งหมดแล้ว...แต่ก็ยังเลือกที่จะหลบอีก...อืม สงสัยมันไม่อยากมีปัญหามั้ง? '
" อ้าว...นึกอยู่ว่าเป็นผู้ใด ที่แท้ก็เป็นท่านเจ้าพระยาผู้โด่งดัง กับหลวงยกกระบัติผู้เป็นบุตรแห่งเจ้าพระยาจักรีผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง... "
ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นเอง ความคิดของเขาก็ถูกขัดจังหวะด้วยชายในชุดเสื้อแพรของข้าราชการชั้นสูงที่อยู่บนหลังม้าที่แต่งเป็นม้าศึกอันพ่วงพีกำยำ ในขณะที่ตัวผู้พูดนั้นเป็นชายที่อยู่ในวัยล่วงผ่านวัยกลางคนมาแล้วเล็กน้อย หนวดและเส้นผมสีน้ำตาลแก่ๆของเขาถูกตัดแต่งและจัดทรงอย่างดีราวกับเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนมากกว่าจะเป็นหัวหน้ากรมพระตำรวจ ในขณะที่ไล่มาถึงร่างกายที่แม้จะลงพุงหน่อยๆเพราะการกินดีอยู่ดีเกินไป แต่ก็ยังเห็นถึงร่องรอยของมัดกล้ามที่เคยมีอย่างบริบูรณ์ในอดีต เมื่อรวมกับดวงตาที่คมปลาบดุจเหยี่ยวของเขา มันทำให้ไกรเดาได้ไม่ยากเลยว่า...ถ้าหากไม่ถูกยศถาบรรดาศักดิ์และความสะดวกสบายบำเรอและกัดกิน...ชายผู้นี้คงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่ไม่อาจดูแคลนได้แน่ๆ
" ...ถ้ากระผมคาดเดาไม่ผิด...ท่านก็คงจะเป็น...ท่านพระยาอนุชิตชาญไชย...สินะขอรับ " ไกรที่ยืนกอดอกอยู่กลางวงล้อมของเหล่ากรมพระตำรวจอดพูดขึ้นยิ้มๆพลางค้อมศีรษะให้เล็กน้อย ในขณะที่พระยาผู้เป็นจางวางกรมพระตำรวจฝ่ายขวาเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" เป็นเกียรติของกระผมนัก ที่ท่านเจ้าพระยาคนเก่งอย่างท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี จดจำกระผมได้... " ออกญาอนุชิดฯพูดขึ้นยิ้มๆ พร้อมกับก้มหัวคำนับเล็กน้อย แต่กลับไม่ยอมลงออกมาจากหลังม้ามา นั่นทำให้ทั้งไกรและสินมุ่นคิ้วลงเล็กน้อยทันที แต่เขาก็ตัดสินใจปล่อยผ่านไปอย่างไม่อยากจะเอาอะไรมากพร้อมกับที่สินเป็นฝ่ายพูดต่อเบาๆ
" ไม่นึกเลยว่าผู้ที่มาจะเป็นท่าน ท่านออกญา "
" ก็นะ...ก็ไอ้พวกนายสำเภามันพากันมาบอกว่ามีเหตุวุ่นวายที่โรงเตี๊ยมนี่...ก็รู้นี่ว่าเศรษฐกิจในเวลานี้ พวกเราจำเป็นต้องพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจพวกนายสำเภาเหล่านี้...กระผมเองเลยต้องแสดงให้เห็นว่าเอาใจใส่ ด้วยการมายังที่นี่ด้วยตนเอง " ออกญาวัยกลางคนพูดเบาๆ แม้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นการสนทนากันแบบปกติธรรมดา และอีกฝ่ายก็ใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร แต่ก็มีจุดสังเกตบางอย่างที่ทำให้ไกรรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาอย่างฉันท์มิตรตามน้ำเสียง ...เมื่อรวมกับที่เขาทำเป็นลืมเลือนไม่ยอมลงจากหลังม้า และไม่ยอมออกคำสั่งให้เหล่ากรมพระตำรวจที่ล้อมไกรและสินอยู่ลดท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์กับเขาสองคนลง นั่นทำให้ไกรรู้สึกไม่ดีกับจางวางผู้เป็นหัวหน้ากรมพระตำรวจตรงหน้านี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ทันที
" เฮ้อ...ถ้าอย่างนั้นกระผมก็ต้องขออภัยท่านด้วยที่ทำให้เรื่องวุ่นวาย...ถึงปฐมเหตุจะไม่ได้มาจากพวกข้าก็เถอะ...ไอ้ ๔ คนนี้มันมาหาเรื่องก่อน และพวกมันก็ชักอาวุธออกมาซึ่งทำให้สถานการณ์มันรุนแรงเกินกว่าเหตุและบีบให้ข้าต้องลงมืออย่างไม่อาจจะออมแรงได้น่ะขอรับ "
" ชักอาวุธ?...อย่างนั้นหรือขอรับ? "
" ใช่ขอรับ...อาวุธ "
" แต่เวลานี้พระอัยการก็ตราออกมาแล้วว่าห้ามทุกคนพกอวุธมีคมที่ไม่ใช่เครื่องมือประกอบสัมมาอาชีพ...ท่านแน่แท้แก่ใจนะขอรับ? "
ไกรเหลือบกลับไปมองที่ศพของเหล่ามือสังหารทั้ง ๔ ศพที่เวลานี้ยังจมกองเลือดอยู่ โดยมีดาบรูปร่างแปลกประหลาดตกหล่นอยู่ข้างๆตัวอย่างเห็นได้ชัด...ถ้าพระยาอนุชิตฯผู้นี้ตาไม่บอด เขาก็ควรจะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่แรกแล้ว...นอกจากว่า...ตำรวจพวกนี้ไม่ได้มาด้วยเจตนาที่ดีจริงๆ
...เขาคงจำเป็นต้องระวังคำพูดให้มากที่สุด...เพราะเวลานี้หากเขาก้าวพลาดไปแม้แต่คำเดียว งานนี้อาจจะเป็เรื่องยุ่งได้ง่ายๆแน่ๆ...
" กระผมแน่แก่ใจ "
" หืม...ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลก...เพราะเหล่ากรมการตำรวจใต้อาณัติของกระผมก็คงไม่ยอมให้มีคนที่ถือศาสตราและท่าทีน่าสงสัยหลุดรอดสายตาไปได้...รึท่านว่าอย่างไร? "
' คำถามบังคับคำตอบ...ถ้าเราตอบว่าพวกตำรวจทำงานพลาดก็เท่ากับโทษตำรวจที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของมัน...แต่ถ้าตอบตรงข้าม ก็เท่ากับพวกเราฆ่าคนตายโดยไมมีเหตุเพียงพอ...ไอ้นี่ ' ไกรคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่ใช้การถามกลับไปแทนว่า
" แล้วมันจะเป็นทางอื่นไปได้อย่างไรล่ะ? ท่านออกญา "
พระยาอนุชิตเหลือบไปมองสินที่สบสายตาตอบกลับมาอย่างแข็งกร้าว ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆและพูดต่อทันที
" ก็ท่านอาจจะกำลังปกป้อง ผู้ใต้บังคับบัญชา หนุ่มน้อย ที่อาจจะคันไม้คันมือเกิดนึกร้อนวิชาขึ้นมา...จนเป็นเหตุให้ผู้บริสุทธ์ต้องกลายเป็นที่ลองดาบก็เป็นได้ "
' ทั้งๆที่ก็เห็นๆอยู่คาตาว่าสภาพศพของไอ้ ๔ คนที่คว่ำอยู่ไม่มีรองรอยของดาบซักนิด...แต่ก็ยังลากโยงมาถึงท่านสินได้...ก็แปลว่าเป้าหมายของมันคือสินกับเราแน่ๆสินะ '
กริ๊ก!
" อย่าน่า...สิน " ไกรเอ่ยห้ามสินที่ขยับปลดดาบออกมาจากฝักเล็กน้อยทันที ในขณะที่สินที่เป็นผู้โดนดูถูกถึงกับหันขวับกลับมาหาเขาด้วยสายตาที่แข็งกร้าวพร้อมกับตวาดเบาๆว่า
" แต่ว่า...ท่านไกร! " แต่เขาก็ต้องชะงักกึกลงทันที เพราะสายตาของไกรส่องประกายวูบ บ่งบอกเป็นคำพูดได้เพียงคำเดียวเท่านั้น...คือ หุบปาก !
' เฮ้อ...ถ้าหากชักดาบออกมาเวลานี้ก็เข้าทางพวกมันน่ะสิ... ' ไกรคิดในใจอย่างเหนื่อยหน่ายและก็อดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ ...เพราะหลังจากต้องเสี่ยงตายปะทะกับมือสังหารไม่ทราบฝ่ายเสร็จ ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นปะทะคารมกับคนในฝั่งเดียวกันแทนทันที แถมดีไม่ดีงานนี้อาจจะเสี่ยงมากกว่าปะทะกันด้วยอาวุธด้วยซ้ำ...นั่นทำให้เขาอดฝืนหัวเราะออกมาแปร่งๆไม่ได้
" ถ้ามันเป็น...อย่างที่ท่านออกญาว่า...ท่านออกญาคิดจะทำอะไรต่อไปล่ะ? "
คำถามหยั่งเชิงของไกรทำให้พระยาแห่งกรมพระตำรวจยิ้มกว้างทันที เพราะเข้าใจว่าเจ้าพระยาหนุ่มตรงหน้ายอมเล่นด้วยแล้ว เขาจึงเผยความตั้งใจออกไปทันที
" ไอ้กระผมก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวเด็กน้อยไม่ประสานักหรอกนะขอรับ...แล้วอีกอย่าง หลวงยกกระบัตรนี่ก็เป็นถึงบุตรบุญธรรมของท่านเจ้าพระยาจักรี...ถ้าหากจะเกิดคดีความจนเข้าคุกเข้าตารางก็คงจะไม่งามไปถึงผู้เป็นพ่อ...เอาเป็นว่าคราวนี้กระผมจะให้ลูกน้องของกระผมละเว้นไว้ซักครั้ง... "
" หืม? " ไกรยังคงยืนยิ้มอยู่ในสีหน้าพร้อมกับครางเบาๆอย่างสนอกสนใจ แม้ว่าจะต้องขยุ้มไหล่ของสินที่ถูกจี้เข้าจุดใจดำเรื่องที่เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าพระยาจักรีครุฑไว้เพื่อไม่ให้สินทำเสียเรื่องก็ตามที
" ...ก็หวังเพียงว่าให้ท่านทั้งสองจดจำว่ากระผมได้ให้ความช่วยเหลือไว้...เผื่อการณ์ข้างหน้ากระผมเองก็อาจจะต้องพึ่งบารมีของท่านบ้าง...ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯ...ท่านหลวงยกกระบัตร "
" พึ่ง...บารมี? "
" ใช่แล้ว...ถ้อยทีถ้อยอาศัย...เช่นน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอย่างไรล่ะขอรับ "
" พึ่งพา...อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆๆ " ทันทีที่พระยาอนุชิตฯพูดจบ ไกรก็ถึงกับยกมือขึ้นตบหน้าผากพร้อมกับหัวเราะลั่นทันที จนสินที่ว่าอารมณ์กรุ่นๆอยู่ยังถึงกับต้องหันกลับมามอง...ในขณะที่พระยาอนุชิตและตำรวจที่ล้อมอยู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
" มีอะไร...น่าขันอย่างนั้นรึ? ท่านเจ้าพระยา--- " จางวางหัวหน้ากรมพระตำรวจสะกดกลั้นอารมณ์พร้อมกับถามกลับมาเรียบๆ ในขณะที่ไกรที่รออยู่แล้วสวนกลับมาทันที
" ฮ่าๆๆ ก็ขันท่านน่ะสิ...ท่านออกญาฯ...โธ่เอ้ย กระผมก็คิดว่าจะมาแบบเหนือเมฆอะไร ที่ไหนได้ กลับเป็นแค่พยายาม แบล๊คเมล์---พยายามข่มขู่พวกกระผมด้วยข้อหาโง่ๆ เพื่อหวังให้เป็นบุญคุณกันเท่านั้น...ฮ่ะๆ กระผมตีค่าท่านไว้สูงเกินไปจริงๆ! "
คำพูดสบประมาทแบบซึ่งๆหน้าของไกรทำให้ใบหน้าของพระยาอนุชิตชาญไชยถึงกับเปลี่ยนสีทันที จากซีดขาวลงอย่างอับอายที่ถูกตอกหน้า ก่อนจะกลายเป็นแดงก่ำไปด้วยโทสะ เขาจะชักดาบที่เหน็บอยู่กลางหลังออกมาทันที แต่ก็ต้องชะงักกึก ตัวแข็งทื่อไปทันทีเช่นกันกับรังสีอันน่าขนลุกขนพองของวิญญาณอาถรรพ์ กุมารี สองตนที่ลอยเอ่ยๆอยู่เหนือหัวของไกรและสินตั้งแต่เมื่อไหรก่็ไม่ทราบ พร้อมกับปล่อยรังสีฆ่าฟันอันเข้มข้นและกระหายเลือด...สะกดเขาและเหล่ากรมพระตำรวจที่ล้อมอยู่ให้แข็งเป็นหินไปในทันที!
" โฮ่...แน่ใจแล้วหรือ ท่านออกญา...ที่จะตัดสินใจจะจัดการกับพวกกระผมด้วยกำลังน่ะ... " ไกรพูดขึ้นเรียบๆด้วยสีหน้ายิ้้มแย้มพร้อมกับปล่อยจิตฆ่าฟันออกมาเพื่อเสริมให้กับ ลูกแก้ว และ ลูกขวัญ ที่เรืองที่เวลานี้อยู่ตรงไหนก็ไม่อาจทราบได้แอบอัญเชิญมาช่วยเหลือ จนกระทั่งพวกกรมพระตำรวจที่อยู่แถวหน้าสุดถึงกับต้องก้าวถอยหลังกลับไปโดยไม่รู้ตัวทันที
" ก...กรอด!! "
" ...ถ้าหากท่านต้องการจะเป็นมิตรกับพวกกระผมจริงๆ กระผมก็ไม่ขัดข้องแต่อย่างใด...ท่านออกญาอนุชิต...แต่ถ้าหากท่านคิดจะเป็นศัตรูกับกระผม ท่านก็ควรจะพึงระลึกว่าพวกกระผมไม่มีทางพ่ายแพ้ด้วยกำลังแน่ๆ "
" พวกเจ้า!! "
" ส่วนไอ้ศพ ๔ ศพที่อยู่ด้านหลังนี่ ท่านจะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่านเห็นสมควรก็แล้วกันนะขอรับ...พวกกระผมคงจะต้องขอรบกวนท่านแล้ว "
" ไอ้เด็กเวร! "
ดวงตาของพระยาอนุชิตอัดแน่นไปด้วยโทสะจนแทบจะระเบิดออกมาให้ได้...แต่เขาก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ถนัดนัก เพราะอีกฝ่ายก็เป็นถึงคนโปรดของพ่ออยู่หัว อีกทั้งถ้าหากลงมือทำอะไรลงไปในเวลานี้ จิตสังหารของเจ้าพระยาพิทักษ์ฯและสิน...รวมถึง กุมารี ทั้งสองที่ลอยเอื่อยๆอยู่ ก็ทำให้เขาไม่อาจแน่ใจว่าจะทำอะไรได้สำเร็จ เผลอๆอาจจะกลายเป็นที่ขายหน้าแก่ตำแหน่งที่เขาอยู่จนไปถึงพระเนตรพระกรรณของพ่ออยู่หัวทั้งสองก็เป็นได้ ทำให้เขาได้แต่กัดฟันกรอดจนกรามแทบแตกเพื่อสงบสติอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้น ศักดิ์ศรีที่ค้ำคออยู่ก็ทำให้เขาข่มโทสะตัวเองลงได้อย่างยากลำบาก...ทำให้บรรยากาศภายในโถงโรงเตี๊ยมเข้มข้นและหนีกอึ้งขึ้นทุกทีราวกับลูกโป่งที่ถูกอดด้วยลมจนแน่น...รอเพียงเวลาที่จะระเบิดโพล๊ะออกมาอย่างรุนแรงเท่านั้น!!
แต่ก่อนที่บรรยากาศที่ข้าหนักนี้จะระเบิดออก...ซึ่งไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะระเบิดออกไปในทิศทางไหน...อยู่ๆ เหตุการณ์ก็ถูกขัดขึ้นด้วยการเข้ามาแทรกของจอมทหารเฒ่าที่ไกรคุ้นเคยเป็นอย่างดี...เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ตรงหน้านี้ทันที...
...ออกพระเพชรพิไชย...หัวหน้าจางวางกรมทหารล้อมวัง ในชุดเกราะเต็มยศ...พร้อมด้วยเหล่าทหารล้อมวังในอาวุธครบมืออีกเกือบ ๑๐คนทีเดียว...
" ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...ทีราชโองการถึงท่านและหน่วยคเณศร์เสียงา...ให้เข้าเฝ้าโดยด่วนที่สุด!! "
..................................................
...ตกเย็นวันนั้นเอง...ณ จวนของพระเพชรพิไชย...ขอบราชวังหลวงชั้นนอก...
ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...พระยาพานทองผู้อาจจะมีศักดินาถึงระดับนาหมื่น...ผู้เป็นหัวหน้าองครักษ์ทหารมหาดเล็กทั้งปวง...ชายผู้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีฝีมือดาบที่เอกอุเหนือกว่าจอมทหารทุกคน...เวลานี้ถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าก้มหน้าสำนึกผิดอยู่มาเป็นเวลาเกือบ ๑ ชั่วโมงแล้ว โดยที่ถัดออกไปเป็นท่านผู้เฒ่าและพระเพชรพิไชยนั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อย โดยที่ไม่มีผู้ใดสนชายหนุ่มที่กำลังนั่งคุกเข่าท้องร้องเสียงดังลั่นเลยแม้แต่น้อย...จนกระทั่งในที่สุด เมื่อความอดทนของไกรที่ใช้เพชิญกับบรรยากาศมาคุอันน่าอึดอัดนี้สิ้นสุดลง เขาก็ร้องออกไปทันที
" ท...ท่านผู้เฒ่า "
" ...สำนึกผิดแล้วรึยังล่ะขอรับ...ท่านเจ้าพระยา... " ท่านผู้เฒ่าที่นั่งหันหลังใช้มือพุ้ยข้าวเข้าปากเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะที่พระเพชรพิไชยที่นั่งเครั้ยวข้าวอยู่อีกด้านหนึ่งกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดขึ้นเบาๆว่า
" ท่านไกร...ข้าเองก็ใช่ว่าจะมีสิทธิพูดอะไรเช่นนี้ แต่ท่านควรจะทราบว่าฝ่ายกรมเวียงกับฝ่ายกรมวังใช่ว่าจะถูกกันนัก...ที่ท่านทำนั่นเป็นเหมือนกับการยั่วยุให้ความขัดแย้งนั่นแตกหักเร็วขึ้นเท่านั้น "
" แตกหัก? "
" เจ้าน่ะ ยังสติดีอยู่รึเปล่า...ไกร...ไอ้คนที่เจ้าไปมีเรื่องด้วยน่ะคือจางวางเจ้ากรมพระตำรวจฝ่ายขวาเชียวนะ..เจ้าคิดจะประกาศตนเป็นศัตรูกับกรมพระตำรวจทั้งมวลรึอย่างไร? เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากออกพระเพชรพิไชยไม่ได้ทราบข่าวแล้วนำหน่วยทหารล้อมวังเข้าไปช่วยไว้ได้ทันด้วยการหลอกว่ามีราชโองการ...และไอ้เวรนั่นสองจิตสองใจเพราะเจ้าเป็นคนโปรดของพ่ออยู่หัว...เรื่องราวมันจะเลวร้ายลงแค่ไหน ...เจ้าทำให้หน่วยของตนเองต้องตกอยู่ในอันตรายโดยไม่จำเป็นแท้ๆ! "
" แต่ว่า ท่านพระเพชรพิไชยก็น่าจะเห็นนี่ขอรับ...เจ้านั่น...เอ๊ย พระยาอนุชิตนั่นมาหาเรื่องพวกเราก่อนนะ "
" ข้าว่านั่นไม่เรียกว่าหาเรื่องหรอกนะ...ท่านไกร...ออกญาอนุชิตชาญไชยนั่นก็เคยเป็นนักดาบผู้เจนศึก ยากที่ผู้ใดจะต่อกรได้อยู่เช่นกัน...เพียงแต่ด้วยฐานบำนาญที่ต่างกันระหว่างกรมเวียงและกรมวัง ทำให้เบี้ยหวัดที่เขาได้รับมันน้อยเกินกว่าที่ควรจะเป็น...นั่นทำให้เขาเปลี่ยนไป กลายเป็นคนที่พยายามเล่นพรรคเล่นพวกและไม่สนหน้าที่ของตนอีกต่อไป...ถ้าให้ข้าพูดตรงๆข้าก็ไม่โทษเขาหรอกนะที่เขากลายเป็นเช่นนี้ "
' ...นั่นสินะ...หนึ่งในสาเหตุหลักๆที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาต้องแตกในครั้งที่ ๒ ก็เป็นการแตกแยกกันเองในหมู่ข้าราชการ และทำให้ระยะห่างระหว่างข้าราชการและประชาชนทั่วไปห่างกันมากยิ่งขึ้น...เป็นเหตุให้ประชาชนธรรมดาเลือกที่จะหนีการเกณฑ์เข้าสังกัดทหาร จนกระทั่งกำลังป้องกันพระนครอ่อนแอลงและกรุงแตกในที่สุด...เห็นกันแบบชัดๆเลยแฮะ '
" เจ้ามีทางเลือกมากมายที่จะเลี่ยงปัญหานี้ แต่เจ้ากลับเลือกที่จะชนเข้าตรงๆแทน...เพราะฉะนั้น แค่บทลงโทษให้อดข้าวเย็นนี่ก็ถือว่าปราณีเจ้าอยู่มากแล้วด้วยซ้ำ! " ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆ ก่อนจะวางชามข้าวลงและหันกลับมามองหน้าไกรตรงๆพร้อมกับพูดต่อเบาๆว่า
" ดูท่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่...ทางเจ้าก็เกิดเรื่องขึ้นมากมายเลยสินะ...เรื่องผู้ใต้บังคับบัญชาที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของจอมขมังเวทย์กับเดรัจฉานวิชาของเจ้าเอาเป็นว่าข้าจะไม่ถามอะไร และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าจัดสรรดูแลเอาเองก็แล้วกัน...ที่ข้าสนใจก็คือไอ้มือสังหาร ๔ คนนั่นนั่นแหละ...เอ้า...ลองเล่ามาทีรึ "
ไกรขมวดคิ้วพร้อมกับอ้าปากทำท่าจะเล่า แต่เขาก็ชะงักไปเล็กน้อยและเหลือบมามองที่พระเพชรพิไชยที่นั่งตาแป๋วฟังอยู่ นั่นทำให้ทหารเฒ่ารู้สึกตัวและลุกออกไปทันทีโดยไม่พูดอะไรมาก เพราะใจจริงแล้วก็อย่างที่เขาบอก...เพราะเขาไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านนี่แหละ ทำให้เขาอายุยืนได้ถึงเวลานี้...
" พูดตรงๆก็ต้องบอกว่าคว้าน้ำเหลวนั่นแหละครับ...เอ้อ...หมายถึงไม่ได้อะไรเลยน่ะ " ไกรพูดเบาๆอย่างยอมรับโดยใช้คำพูดในยุคที่เขาจากมาเพราะเห็นว่าพวกเขาอยู่กันแค่ตามลำพัง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิดทันที
" แล้วใบหน้าเบื้องหลังผ้าคลุมนั่นล่ะ เจ้าเห็นหน้าพวกมันรึเปล่า? "
" ...ครับ...แต่ถ้าให้พูดตรงๆก็คงจะเรียกว่า พวกมัน ไม่ได้ เพราะที่ยังพอจะเห็นหน้าชัดๆก็มีแต่ตัวหัวหน้าที่ถูกธนูปักเข้าหัวเท่านั้น...ส่วนลูกน้องมันอีก ๓ คนสภาพใบหน้าเละจนแยกไม่ออกว่าเป็นใคร...ส่วนไอ้หัวหน้านั่นผมก็ลองถามพวกทหารล้อมวังดูแล้วแต่ก็ไม่มีใครรู้จักซักคน...และเพราะมันฉุกละหุกเพราะต้องรีบหลบมา เลยไม่ได้อะไรไปมากกว่านี้น่ะครับ "
" เฮ้อ...ป่านนี้ศพพวกนั้นก็คงถูกเอาไปฝังเรียบร้อยที่นอกกำแพงแล้วล่ะกระมัง เสียดายนัก ถ้าข้าอยู่ด้วยคงจะได้อะไรมากกว่านี้แน่ๆ "
" ช่าย...อย่างน้อยๆก็คงได้เป็นเป้าทดสอบธนูแน่ๆ เพราะยังไงคุณก็ไม่ตายอยู่แ้ล้วนี่ "
โป๊ก!
" เผื่อเจ้าไม่รู้นะ...เวลานี้เจ้ายังอยู่ในการลงโทษอยู่ " ท่านผู้เฒ่าพูดเรียบๆโดยไม่สนไกรที่นั่งน้ำตาเล็ดกุมหัวตรงที่ถูกมะเหงกป้อยเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่ไกรจะนึกขึ้นได้และหันกลับไปหยิบอะไรบางอย่างที่เหน็บไว้ที่ด้านหลังออกมาให้ท่านผู้เฒ่าดูทันที
" จะว่าไม่ได้อะไรก็ไม่ได้นักหรอกนะครับ...ก่อนจะชิ่งมาผมให้สินแอบหักเอาหัวและส่วนปลายหางของลูกธนูปริศนานั่นมาจาศพสุดท้ายด้วย คุณพอจะ--- " ไกรยังพูดไม่ทันจบดี ท่านผู้เฒ่าก็รีบพุ่งมาคว้าหัวเงี่ยงลูกธนูและปลายหางที่ทำจากขนหางเหยี่ยวนั่นไปราวกับเห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าทันที
" นี่น่ะหรือ? ไอ้ธนูที่มาจากมือฉมังธนูผู้ลบจิตสังหารได้อย่างหมดจดที่เจ้าว่า "
" อ...อ่า...ครับ...พอจะรู้อะไรบ้างไหมล่ะครับ "
ท่านผู้เฒ่าเพ่งมองไปที่เงี่ยงหัวธนูซึ่งเป็นโลหะไม่ทราบชนิดสีดำสนิทที่เวลานี้ยังสังเกตเห็นคราบเลือดแห้งๆเล็กๆติดอยู่ และขนหางเหยี่ยวที่เป็นเหมือนกับหางเสือนั่น ก่อนจะหลับตาลงและส่ายหน้าเล็กน้อยทันที
" ไม่เลย...ไอ้ข้าเองก็ไม่ใช่พวกสันทัดในอาวุธประเภทธนูนัก...ไม่สิ...แม้แต่โลหะที่ใช้ข้าก็ยังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ...ก็คงจะต้องส่งกลับไปให้ยูกิโอะดูให้นั่นแหละ...ส่วนที่ข้าติดใจ่ะคงจะเป็นไอ้มือฉมังธนูนั่น...ทั้งเจ้าและสินแน่ใจนะว่าไม่ได้รับรู้ถึงจิตคุกคามของมันจริงๆน่ะ "
" ครับ "
" เจ้ากับสินคงจะไม่ได้เมาจนทำให้การรับรู้ทื่อลงหรอกนะ? " ท่านผู้เฒ่าลองหยั่งเชิงถามอย่างไม่แน่ใจนัก ในขณะที่ไกรแยกเขี้ยววับใส่ทันที
" ถ้าผมกับสินเมาน้ำชาเสิร์ฟฟรีของโรงเตี๊ยมได้ก็คงเมาไปแล้วเหมือนกันล่ะขอรับ! พูดแบบนี้ไม่เชื่อใจกันเลยนี่! "
" เฮ้อ...ก็แค่ถามเผื่อไว้น่ะ...เพราะแม้แต่สกุนตลาที่ว่าเป็นมือสังหารที่ถนัดการสังหารระยะไกลและเฉียบคมที่สุดยังไม่สามารถปิดกั้นจิตสังหารในชั่วเสี้ยววินาทีที่ยิง ศรพลายวาต ได้เลยนะ...อย่าว่าแต่พวกมือฉมังธนูที่มีระยะยิงที่ใกล้กว่าปืนชนิดเทียบไม่ติดเลย... "
" แล้ว? "
" ...ถ้าหาก...ถ้าหากมือฉมังธนูนั่นสามารถปิดกั้นจิตสังหารได้อย่างสมบูรณ์แบบจริง และเป็นพวกเดียวกับไอ้กลุ่มมือสังหารที่เรากำลังสาวรอยกันอยู่ล่ะก็...เราอาจจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เราไม่อาจจะเอาชนะอยู่ก็เป็นได้นะ " ท่านผู้เฒ่าลูบคางอย่างครุ่นคิดพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งลงอย่างเห็นได้ชัด...ก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดอะไร เขาก็เป็นฝ่ายชิงพูดต่อเสียก่อนว่า
" ขอโทษเจ้าด้วยนะ ไกร...แต่เวลานี้เจ้าคงจะต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเจ้าเองเพียงลำพังแล้วล่ะ "
" หา? "
" นับแต่นี้ข้าคงจะต้องให้การอารักขาพ่ออยู่หัวทั้งสองตลอดทั้งวันคืนแล้วล่ะ...เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องซ้ำรอยเช่นที่วัดประดู่ทรงธรรมอีก...เจ้าเองก็คงจะต้องระวังไว้ให้มากที่สุดเช่นกัน...เพราะเวลานี้ข้าเชื่อว่าเจ้าได้กลายเป็นเป้าหมายลำดับต้นๆของพวกมันไปเรียบร้อยแล้ว! "
แกร๊ก!
" นั่นใคร! " ทั้งท่านผู้เฒ่าและไกรแทบจะร้องขึ้นพรอมกันทันทีด้วยสัญชาตญาณระวังภัย แต่พวกเขาก็ต้องถอนหายใจเฮือกออกมาพร้อมกันเช่นกัน เพราะผู้เดินเข้ามาจนทำเสียงไม้ลั่นที่หน้าประตูนั่นคืออดีตพระยาเพชรบุรี ผู้เวลานี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของไกรที่เข้ามาอย่างปราศจากพิรุธใดๆทั้งสิ้น
" โธ่เอ้ย...ท่านเรืองเองหรอกเหรอ...ทำเอาข้าเสียเส้นหมด "
" เสียเส้น? "
' อ่าว? เวรกรรม...คำๆนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ในยุคนี้งั้นหรอกเหรอ...อุตส่าห์คิดว่าเก่าพอดูแล้วแท้ๆ ' ไกรโคลงหัวพร้อมกับคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามไปอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้งว่า
" ช่างเถอะ...มีอะไรอย่างนั้นหรือ? ถึงได้มาหาข้าถึงที่นี่น่ะ? "
เรืองสบตาเขาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไร...ก่อนที่ในที่สุดจะเกาหัวแกรกๆและถอนหายใจเฮือกอย่างลำบากใจจนกระทั่งไกรต้องถามซ้ำไปอีกรอบ ชายหนุ่มจึงค่อยตอบกลับมาเรียบๆว่า
" ...ท่านไกร...พระเพชรพิไชยใช้ให้ข้ามาบอกท่านว่า จมื่นศรีสรรักษ์...แห่งเวรเดช มาที่จวนนี่ เพื่อมาเชิญท่านให้ไปเดินตรวจเวรยามของเหล่าองครักษ์ทหารมหาดเล็กที่ประจำอยู่กำแพงพระราชวังชั้นกลางน่ะขอรับ... "
..............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ