ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.85K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

54)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

       " ระยำเอ้ย! อีกนิดเดียวแท้ๆ!! "  ไกรเหลือบไปมองหัวหน้ามือสังหารที่เวลานี้นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดที่พุ่งเป็นลิ่มๆออกมาจากปากแผลที่ถูกลูกธนูปักอยู่ในจุดที่ไม่ต้องตรวจซ้ำว่าตายรึเปล่าเลย พร้อมกับสบถออกมาเสียงดังลั่นทันที...อีกนิดเดียวพวกเขาก็จะรู้ถึงเบื้้องหลัง รวมถึงผู้บงการของไอ้พวกมือสังหารพวกนี้แล้วแท้ๆ

 

       " เวลานี้อย่าพึ่งเป็นห่วงเรื่องพรรค์นั้นดีกว่าน่าขอรับ...เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าน่า "  สินที่เหมือนจะอ่านความคิดของไกร จึงออกตะโกนบอกไกรดังๆจากเสาของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่อีกฝ่ายหลบอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมกับถามต่อเรียบๆว่า

 

       " ท่านไกร...ถึงรู้ว่าไม่ใช่เวลาแต่ข้าขอถามท่านหน่อยเถอะ...เมื่อครู่นี้ท่านสามารถจับจิตสังหารของมือฉมังธนูนั่นได้รึเปล่า? "

 

         ไกรที่เวลานี้หมอบหลบอยู่ตรงมุมของเสาอีกต้นพร้อมกับเรืองขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างนึกย้อนกลับไป ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าทันที

 

       " ไม่...แล้วข้าก็ไม่ได้ประมาทหรือลดการป้องกันลงเลยด้วย...มารู้สึกตัวอีกที่ก็ตอนที่ลูกธนูทะลุหัวไอ้บ้านั่นแล้ว...แล้วทางเจ้าล่ะ "

 

       " เหมือนกัน...ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าข้าไม่ใช่คนเดียวที่จับสัมผัสจิตคุกคามไม่ได้...แต่...มันเป็นไปได้จริงๆรึเนี่ย? "

 

       " อืม...แล้วท่านล่ะ เรือง จับสัมผัสอะไรได้ไหม? "  ไกรลูกคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันกลับมาถามเรืองที่เวลานี้นอนหมอบกระแตนิ่งอยู่ แต่พอสินได้ยินคำถามของไกรเขาก็หัวเราะออกมาดังลั่นทันที โดยที่ยังไม่ได้ฟังคำตอบอะไรจากพระยาเพชรบุรีผู้เก่งกาจผู้นี้เลยด้วยซ้ำ

 

       " ปัดโธ่เอ้ย...ท่านไกร...ถามอะไรไม่คิด...ขนาดพวกเราที่อยู่ในสายที่ฝึกฝนขัดเกลาเพื่ออ่านจิตคุกคามมาทั้งชีวิตยังจับอะไรไม่ได้เล้ย...แล้วไอ้คนที่ไปทางสายหวังพึ่งแต่กลโกงและเดรัจฉานวิชาเพื่อทุ่นแรงโดยไม่คิดจะฝึกฝนอะไรทั้งสิ้นอย่างมันจะไปรับรู้อะไรได้...เอาเข้าจริงถ้าเมื่อครู่ท่านไม่คว้าคอมันเข้าที่กำบังด้วย ป่านนี้หัวของมันคงได้กลายเป็นเป้าทดสอบธนูของไอ้มือฉมังธนูนิรนามนี่ไปแล้ว! "

 

       " ก...กรอด! "

 

         ถึงเรืองจะไม่ได้ตอบโต้อะไรตลอดเวลาที่สินเอ่ยอย่างเยาะเย้ยมา แต่ใบหน้าที่แดงก่ำกับท่าทีที่ปะปนระหว่างความอับอายเพราะเสียหน้าและความเจ็บใจที่สุดของพระยาเพชรบุรี บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่สินพูดไม่เกินความจริงทุกประการ จนกระทั่งไกรที่ว่าเครียดๆอยู่ยังถึงกับต้องเบือนหน้าหลบไปกลั้นหัวเราะอยางเอาเป็นเอาตายเพราะเกรงใจอีกฝ่ายกันเลยทีเดียว

 

       ' ก็น่าเคืองน่าเสียหน้าอยู่หรอก...เล่นประกาศศักดาอย่างเต็มที แล้วดันมาตายน้ำตื้นอย่างนี้...ถ้าเป็นเขาป่านนี้เอาหัวโขกเสาตายไปแล้ว... '

 

       " ใครบอกเจ้าว่าสายข้าไม่ฝึกฝนอะไร ไอ้เด็กไม่มีสัมมาคารวะ! สายของข้าจำเป็นต้องฝีกตบะบารมีและจิตให้แรงกล้าที่สุดเพื่อให้ควบคุมวิญญาณอาถรรพ์และพระเวทย์คาถาต่างๆให้ดำรงความขลังอยู่ได้...ไม่ใช่สายถึกเถื่อนบ้าพลัง หาความสุนทรีย์และความละเอียดอ่อนไม่ได้อย่างสายเจ้าซะหน่อย...อ๊ะ! ขออภัยด้วย ข้าไมได้ว่าท่านนะ...ท่านไกร "

 

         ไกรหัวเราะเบาๆพร้อมกับยักไหล่เป็นเชิงว่าเขาไม่คิดอะไรมาก ก่อนจะค่อยๆโผล่หัวออกไปพ้นเสาต้นที่เขาใช้หลบอยู่เล็กน้อยโดยหวังจะให้เห็นไอ้มือธนูที่เป็นต้นตอของปัญหานี้ แต่ยังโผล่ออกไปไม่พ้นดี เขาก็ถูกเรืองกระชากกลับเข้าที่กำบังอย่างแรงพร้อมกับที่ผู้กระชากร้องเสียงหลงทันที

 

       " ท่านจะบ้าไปแล้วรึอย่างไร?! ที่ไอ้มือฉมังธนูนั่นเงียบไปเพราะมันกำลังรอให้เป้าอย่างพวกเราโผล่ออกไปเป็นเป้าธนูชัดๆ...ป่านนี้คงน้าวสายเตรียมรออยู่แล้วด้วยซ้ำกระมัง ขืนท่านโผล่ออกไปก็เข้าทางมันพอดีน่ะสิ! "

 

       " หา? "

 

       " คราวนี้ข้าเห็นด้วยกับมันนะ...ให้นรกสาปสิ...ท่านรอดมาเป็นนักดาบที่เก่งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ถึงได้ตกหลุมพรางง่ายๆเช่นนี้เนี่ย? "  สินที่อยู่อีกฝั่งนึงพยักหน้าเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นทันทีโดยไม่โผล่หัวออกมาพ้นกำบังแม้แต่น้อย แถมคำถากถางที่ทำให้ไกรต้องเกาหัวแกรกๆทันที

 

       ' เออ...ได้ทีขี่แพะไล่เลยนะ...ก็ในยุคสมัยของกระผมมันไม่มีใครบ้าใช้ธนูกันแล้วนี่หว่าขอรับ...ท่านสิน! '  เขาได้แต่เถียงกลับไปในใจเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งและอดเอ่ยออกมาเบาๆไม่ได้

 

       " เฮ้อ...ทีอย่างนี้ละเข้าขากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียวนะ...เจ้าสองคนนี่สนิทกันเร็วดีจริงๆ "

 

       " ไม่สนิทกันโว้ย! / ขอรับ!! "

 

       ' เฮ้อ...อย่างน้อยเขาก็เป็นเสมือนตัวเชื่อมให้ทั้งสองท่านสนิทกันมากขึ้นล่ะนะ...ถึงจะสนิทกันแบบแปลกๆก็ตามทีเถอะ '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจเฮือกและยิ้มออกมาบางๆ

 

      ...ถึงเขาไม่รู้ว่าเขาจะได้อยู่เฝ้ามองดู ยอดคน ท้้งสองเติบใหญ่ขึ้นได้อีกนานแค่ไหนก็ตามที...

 

       " อืม...แบบนี้ก็แย่น่ะสิ...ว่าแต่ ท่านเรือง...ไอ้เรื่องนี้น่ะ ท่านน่าจะสามารถใช้ ลูกแก้ว และ ลูกขวัญ  ของท่านค้นหาเอาจากที่นี่ได้นี่ "

 

         เรืองเหลือบมามองที่เขา...หรือจะให้พูดคือกำลังมองมาที่ ไหล่ ของเขาเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและส่ายหน้าทันที

 

       " ไม่ไหวหรอกขอรับ...การอัญเชิญวิญญาณอาถรรพ์ระดับนั้นต้องใช้การหน่วงเวลาเพื่อเรียกใหม่ในแต่ละครั้งค่อนข้างสูง...ก็อย่างที่ไอ้เด็กเวรนั่นว่า ถึงข้าจะสามารถ แหกกฏ ได้บ้างในบางข้อ แต่ถ้าขืนแหกได้หมดมันก็ออกจะโกงเกินไปแล้วล่ะขอรับ...แล้วอีกอย่าง จากที่เห็นๆอยู่เนี่ยเด็กสองคนนั่นก็เริ่มจะงอแงแล้วด้วยล่ะ "

 

       " เฮ้ย! เมื่อครู่ไอ้นั่นเรียกข้าว่า ไอ้เด็กเวร อีกแล้วใช่ไหมขอรับ?! "

 

       " เดี๋ยว! เอ็งน่ะเงียบไปก่อนเลย! ท่านเรือง...ตะกี๊---เมื่อครู่ท่านบอกว่า จากที่เห็น ท่านเห็นเด็กสองคนนั่นอยู่ตรงไหนกันฟะ?!! "  ไกรรีบร้องออกมาพร้อมกับเขย่าอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตายทันที...ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่หลบตาพร้อมกับฝืนหัวเราะเบาๆ

 

       " ฮ่ะๆ เรื่องที่เวลานี้เด็กสองคนนั้นอยู่ที่ไหน...ท่านไม่รู้จะสบายใจกว่าเยอะ...เชื่อข้าเถอะขอรับ " 

 

       " ต่อให้ไม่รู้ก็ไม่สบายใจเฟ้ย!! "

 

       " เฮ้อ...ส่วนเรื่องที่จะให้วิญญาณกุมารีสองตนนั่นติดตาม...ต่อให้ข้าเองก็ตอบได้นะขอรับ...ถึงจะเป็นวิญญาณอาถรรพ์ที่สามารถแหกกฏได้ทุกข้อก็เถอะ...แต่ถ้าหากให้ติดตามจากระยะไกลเช่นนี้ พวกนางก็จำต้องใช้ จิตสังหาร ในการนำทางอยู่ดี...แต่ขนาดเราทั้งสองยังไม่สามารถจับจิตสังหารที่ว่านั่นได้ เรียกเด็กทั้งสองนั่นมาก็เปล่าประโยชน์น่ะขอรับ "  สินที่หลบอยู่ไกลๆตอบกลับมาอย่างเป็นการเป็นงาน ในขณะที่เรืองพยักหน้ารับเบาๆและพูดเสริมอีกเล็กน้อยว่า

 

       " ถ้าจะให้พูด ระดับข้าเองในเวลานี้ก็พอจะสามารถอัญเชิญมาได้อยู่หรอก แต่ข้าไม่รับประกันว่าข้าจะสามารถควบคุมพวกเธอได้อย่างเบ็ดเสร็จเช่นที่เคย...ดีร้ายพวกนางอาจจะหันคมเขี้ยวมาหาท่านแทนก็ได้...จะลองเสี่ยงดูไหมล่ะขอรับ? "

 

       " ไม่ต้องเฟ้ย!! "

 

         ไกรหันกลับไปปฎิเสธความหวังดีของอีกฝ่ายดังลั่น ก่อนจะไล่เรื่องไม่เป็นเรื่องทุกอย่างออกจากหัวไป และหันกลับไปเพ่งมองที่ร่างอันไร้วิญญาณของมือสังหารระดับหัวหน้า ที่เวลานี้นอนแน่นิ่งหน้าผากทะลุจมกองเลือดตัวเองอยู่ ก่อนจะพูดอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้งว่า

 

       " หืม...ถ้าจะว่ากันตามตรง ฝีมือธนูของไอ้เวรนั่นมันระดับเอกอุชัดๆ...ทั้งๆที่สามารถยิงลูกธนูมาได้โดยที่พวกเราไม่มีใครซักคนรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ...แล้วทำไมมันเลือกที่จะเก็บพวกเดียวกันเอง แทนที่จะเป็นพวกเราทั้งสามคนกันล่ะ? "

 

         เมื่อได้ยินไกรพูด ทั้งสองคนต่างก็หันไปมองที่ศพของมือสังหารที่ถูกลูกธนูชนิดพิเศษที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนปักอยู่ ก่อนจะลูบคางอย่างครุ่นคิดไปตามกันทันที

 

       " อืม...แต่ข้าว่ามันก็ทำถูกแล้วนี่... "  ในที่สุด สินก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ เรียกความสนใจให้กับไกรได้ทันที

 

       " หืม? "

 

       " ...ท่านก็น่าจะทราบนี่...ว่าต่อให้เป็นมือฉมังธนูที่เก่งกาจแค่ไหน แต่ธนูก็ยังคงมีข้อจำกัดของมันเองอยู่ คือยิงได้ทีละดอก...แล้วต้องเสียเวลาน้าวขึ้นสายใหม่มันคงไม่มั่นใจว่าจะสามารถเก็บพวกเราได้ครบทั้งสามคน เผลอๆคงคิดว่าจะมีพวกของเราตามมาสมทบอีก "  สินขยายความอีกครั้ง ในขณะที่เรืองพยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมกับพูดต่อคำพูดของอีกฝ่ายเบาๆ

 

       " ...แล้วถ้าหากผิดพลาดขึ้นมา เกิดเราคนใดคนนึงรอดไปได้พร้อมกับไอ้คนร้ายนั่น สงสัยไอ้เวรที่ท่าทางจะปากสว่างนั่นคงจะคายความลับทุกอย่างออกมาหมดเปลือกแน่ๆ ...พวกมันคงจะเสี่ยงให้ความลับของพวกมันเปิดเผยออกมาไม่ได้...เลยจำเป็นต้องเก็บไอ้นี่ก่อน แล้วค่อยหันมาจัดการกับพวกเราทีหลังนั่นแหละ "

 

       " ถ้าอย่างนั้นจะว่าเราไม่ได้อะไรเลยก็ออกจะผิดไปซักนิด...เพราะอย่างน้อยเราก็รู้ว่าไอ้คนที่ถูกฆ่านี่ไม่ใช่นักเลงหัวไม้ธรรมดาๆ แต่คงจะเป็นกลุ่มซ่องโจรที่มีฝีมืออยู่ไม่น้อย และความลับที่พวกมันต้องการจะปกปิด ต้องไม่ใช่ความลับธรรมดาๆ แต่เป็นระดับตัดสินเป็นตายได้เลยน่ะสิ "

 

       ' โชคร้ายที่ไอ้เรื่องนั้นน่ะพวกเรารู้อยู่แล้วน่ะสิ...ว่าไอ้พวกนี้มันเป็นกลุ่มมือสังหารลับที่เป็นเหมือนองค์กรใต้ดิน แถมไอ้เรื่องที่พวกมันปิดเป็นความลับก็คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์ ที่พยายามเอาให้ประสบผลจากที่ล้มเหลวไปอย่างสิ้นเชิงที่วัดประดู่ทรงธรรมน่ะสิ...แปลว่างานนี้...ตูคว้าน้ำเหลวสินะ...เฮ้อ...งานนี้ขืนท่านผู้เฒ่ารู้เข้า มีหวังโดนด่าเปิงแหงๆ '  ไกรเกาหัวแกรกๆ ก่อจะเลิกคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆว่า

 

       " ดูไม่ผิดจริงๆแฮะ...พวกท่านสนิทกันได้เร็วดีจริงๆ "

 

       " ไม่สนิทกันโว้ย! / ขอรับ!! "

 

         ไกรหัวเราะเบาๆกับท่าทีของทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเอียงคอเล็กน้อยพร้อมกับทำสีหน้าเคร่งลงอีกครั้ง เพราะเขาได้ยินเสียงฝีเท้าคนและฝีเท้าม้าหลายสิบฝีเท้าใกล้เข้ามา พวกเขาหันไปมองหน้ากันเองพร้อมกับเห็นพ้องต้องกันทันที

 

       " กรมพระตำรวจ...ล่ะกระมั้งขอรับ "

 

       " อืม...ถ้าเป็นเวลานี้ก็คงจะปลอดภัยแล้วล่ะ...ต่อให้เก่งขนาดไหนมันก็คงจะไม่บ้าพอจะตกอยู่ใต้การค้นหาของเหล่ากรมพระตำรวจหรอกน่ะ "  เรืองพูดเบาๆพร้อมกับทำท่าจะลุกออกนอกที่กำบัง แต่ไกรกลับกดไหล่ไว้ก่อนจะพุ่งออกไปยืนตรงกลาง(อดีต) โรงเตี๊ยมอันไร้ที่กำบังโดยสิ้นเชิง จนทั้งสินและเรืองถึงกับต้องร้องเสียงหลงทันที

 

       " ท่านไกร! ทำบ้าอะไรของท่านเนี่ยขอรับ?! " 

 

       " อ้าว? ก็พิสูจน์อย่างไรล่ะ "

 

       " ถ้าอย่างนั้นท่านก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงด้วยตัวเองนี่ขอรับ! "

 

       " เอาน่าๆ ข้าเองก็มั่นใจในตัวเองมากพอและเชื่อว่าคงจะหลบลูกธนูที่เห็นอยู่คาตาพ้น...รึอย่างน้อยก็น่าจะยังพอเลี่ยงๆจุดตายได้ อย่างน้อยพวกเจ้าก็จะได้ไม่ต้องเจ็บตัวอย่างไรล่ะ "  ไกรหันมาเลิกคิ้วและตอบกลับยิ้มๆ...ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเขาจะไม่ต้องการให้บุคคลที่จะมีความสำคัญในประวัติศาสตร์ทั้งสองต้องมาเจ็บตัวแบบไม่จำเป็น แต่การกระทำของเขาก็เพิ่มความน่านับถือในสายตาของทั้งเรืองและสินมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดทันที

 

      ...ในยุคสมัยนี้...ไม่สิ ไม่ว่าในยุคสมัยไหนก็ตาม...ไม่มีหัวหน้าคนไหนที่กล้ายอมเสี่ยงอันตรายแทนลูกน้องเช่นนี้แน่นอน...

 

       " ตกลงว่าเป็นอย่างไรบ้างล่ะขอรับ? "

 

       " อืม...เท่าที่ดูนี่ ข้าก็ยังไม่ตายนะ "

 

       " เฮ้อ...กรุณาเลิกแช่งชักหักกระดูกตัวเองซะทีเถอะขอรับ...มันไม่ดีต่อตัวท่านเองนะ "

 

       " ฮ่าๆ เออๆ ไอ้มือฉมังธนูนั่นไม่อยู่แล้ว...ดีไม่ดีอาจจะเผ่นแน่บไปตั้งแต่ที่จัดการไอ้มือสัง---คนร้ายนั่นเสร็จแล้วล่ะ...เท่ากับว่าพวกเราหลบกันเก้อนั่นแหละ "

 

       " เฮ้อ...แต่อย่างน้อยเอาให้มั่นใจก็ยังดีกว่าเอาชีวิตไปเสี่ยงทดสอบเช่นท่านล่ะนะขอรับ "

 

         ไกรได้แต่หัวเราะเบาๆอย่างไม่ถือสา ก่อนจะมองไปรอบ...จากที่เคยเป็นโรงเตี๊ยมที่คับคั่งไปด้วยเหล่าพ่อค้าวาณิชย์ทั้งชาวจีนและชาวตะวันตกที่มานั่งดื่มชาและกินอาหารกันอย่างเนืองแน่น เวลานี้กลับกลายสภาพเป็นฉากการฆาตกรรมหมู่แบบโคตรสิ้นคิดของเหล่าสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ฆาตกรโรคจิตในหนังเกรดบี ที่พอมาเห็นของจริงๆแบบคาตาเช่นนี้กลับไม่รู้สึกขำเลยซักนิด ก่อนจะได้แต่ถอนหายใจเฮือกอีกครั้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ในวันนี้ทันที

 

       " งานนี้คงต้องหาที่ซุกหัวนอนใหม่แล้วล่ะ ท่านเรือง "

 

       " เวรกรรม...อุตส่าห์เริ่มชอบที่นี่แล้วแท้ๆ "

 

       " ก็ถ้าเจ้า---ไม่สิ ลูกๆของเจ้าไม่เล่นกันจนเลยเถิด แล้วเจ้าก็ไม่อยากนึกจะประกาศศักดาให้พวกข้าเห็น เรื่องมันก็ไม่บานปลายถึงขั้นนี้หรอก "  สินเอ่ยตำหนิเบาๆ ก่อนจะหันไปมองสภาพศพของ คนร้าย ทั้ง ๔ คนที่นอนแน่นิ่งอยางน่าสังเวชอยู่ ก่อนจะหันมามองหน้าไกรเหมือนกับยกเป็นหน้าที่ให้เขาจัดการทันที

 

       " เออๆ ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ "  ไกรครางออกมาเบาๆ พร้อมกับใช้มือเลิกสร้อยโลหะที่เขาใช้เพื่อห้อย ธำมรงค์พระราชทาน ออกมาให้พ้นนอกสาบเสื้อเพื่อให้เห็นกันชัดๆ...ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบการใช้เส้นสายนัก แต่งานนี้ก็คงเป็นข้อยกเว้นได้หรอกมั้ง

 

       " อย่างไรเสียพวกเราก็คงต้องไปหาจุดที่ไอ้มือฉมังธนูนั่นซุ่มอยู่อีก เพื่อจะได้รู้ถึงระดับฝีมือที่แท้จริงของมัน ใช้ธำมรงค์พระราชทานนั่นก็ดีเหมือนกันนะขอรับ...ถึงจะผิดวัตถุประสงค์ไปหน่อยก็เถอะ "

 

       " เห...นั่นน่ะหรือ...ธำมรงค์พระราชทาน ที่ท่านอุทุมพรว่าไว้ตอนต้น "  เรืองหันกลับมามองด้วยความสนอกสนใจทันที  ในขณะที่สินเดินออกไปที่หน้าโรงเตี๊ยมพร้อมกับเพ่งมองไปที่หัวมุมถนนที่เป็นต้นเสียงของคนและม้าของเหล่ากรมพระตำรวจ...แต่พอได้เห็นเหล่ากรมพระตำรวจที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาชัดๆ สีหน้าของสินก็เคร่งลงทันที

 

       " เฮ้อ...ดูท่าว่างานนี้พวกเราคงต้องเสียเวลากันนานหน่อยแล้วล่ะขอรับ "

 

       " หา? "

 

       " ระยำเอ้ย...ร้อยวันพันปีก็เห็นแต่นั่งๆนอนๆกินเงินหลวงที่ขูดรีดจากเหล่าชาวบ้านไปวันๆ ไม่คิดเลยว่าจะโผล่มาเอาวันนี้ซะได้...ออกญาอนุชิตชาญไชย...จางวางกรมพระตำรวจ หัวหน้าสูงสุดฝ่ายขวาแห่งกรมพระตำรวจทั้งมวล! "

 

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับมาที่หมู่บ้านยุคันตวาต...

 

       " ก็...อย่างที่บอกนั่นแหละ...เวลานี้ท่านผู้เฒ่าเองกับมือสังหารคนใหม่ของเราก็กำลังใช้ความสามารถทั้งหมดในการสืบหาความจริง...ความจริงเกี่ยวกับมือสังหารดำปริศนาที่เวลานี้กลายเป็นปฏิปักษ์กับหมู่บ้านของพวกเราโดยสิ้นเชิงไปแล้ว...โดยที่เรายังไม่สามารถระบุได้ถึงตัวตนของพวกมันเลยด้วยซ้ำ...ถ้าเป็นไปได้ ภารกิจที่พวกเจ้าจะต้องทำในอนาคต ก็จงใช้ความระมัดระวังให้มากที่สุด แล้วก็...ถ้าหากพวกเจ้าพบเห็นตราสัญลักษณ์นี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ตาม อย่าปะทะตรงๆ และให้รีบกลับมาแจ้งทางเราทราบทันที... "  ท่านเมือง...มือสังหารผู้ที่อาวุโสที่สุดในหมู่มือสังหารทั้งหมดกล่าวขึ้นเสียงดังฟังชัดกับมือสังหารทั้งหมด รวมถึงสิงห์และศกุนตลาที่ยืนอยู่ใกล้ๆเหมือนกับเป็นคำสั่งทันที โดยมียูกิโอะและอนาสตาเซียยืนอยู่ที่เงาไม้ใกล้ๆโดยไม่ได้เข้าไปประชุมด้วย จนยูกิโอะที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆอดเอ่ยแซวขึ้นมาเบาๆไม่ได้

 

       " นี่...ในฐานะที่เจ้าอยู่ในตำแหน่งหัวหน้ามือสังหารทั้งหมด...ให้เมืองไปเป็นคนออกคำสั่งทั้งหมดเช่นนี้จะดีเร้อ? "

 

         อนาสตาเซียเหลือบดวงตาสีฟ้าจรัสมามองที่อีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะยักไหล่และยิ้มบางๆ พร้อมกับตอบกลับมาเรียบๆว่า

 

       " อืม...ให้ท่านเมืองเป็นฝ่ายสั่งการนั่นแหละ...ดีแล้ว...อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่ใชพวกที่สามารถพูดสั่งการได้อย่างไร้ที่ติเช่นนั้นแน่ๆ "

 

       " ก็นั่นสินะ...คนที่ถูกสอนมาให้สังหารอย่างเดียวอย่างเจ้าน่ะ จะไปรู้ถึงการใช้ชีวิตอย่างคนปรกติได้อย่างไรกัน "

 

       " ไอ้คนหญ้าแก่ที่จ้องจะให้โคอ่อนกินอย่างท่านน่ะยังจะกล้าพูดอีกเหรอ?! "  หญิงสาวหันกลับมาแยกเขี้ยวใส่ช่างตีดาบสาวผู้เป็นอมตะ แถมยังใช้คำพูดที่เธอได้ยินมาจากเทพีผู้สิงสถิตอยู่ในแหวนอีก นั่นทำให้อีกฝ่ายเลิกคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับแยกเขี้ยววับทันที

 

       " ย...ยัยเด็กนี่! ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายก็เถอะ แต่ทำไมถึงฟังแล้วเจ็บจี๊ดไปถึงกระดองใจเช่นนี้ก็ไม่รู้แฮะ! "

 

          ก่อนที่พวกเธอทั้งสองจะหันกลับไปมองที่เมืองอีกครั้ง ซึ่งเมืองก็หันหน้ามามองอยู่ก่อนแล้วพวกเธอและเมืองจึงพยักหน้าให้กันเบาๆ เพื่อให้พูดตามที่นัดกันไว้ต่อทันที

 

       " อืม...ก็ยังโชคดีที่เมืองเป็นคนแรกที่มาถึง พวกเราเลยสรุปสถานการณืให้ฟังและให้เขาพูดแทนได้อย่างสะดวกดาย...ถึงท่านจะปิดบังไม่บอกความจริงที่ท่านรู้ออกมาทั้งหมดก็เถอะ เพราะลำพังแค่พวกเราคงจะพูดได้ไม่น่าเชื่อถือเท่าท่านเมืองแน่ๆ... "

 

 

       " ...ก็อย่างที่ข้าบอก...ส่วนผู้ที่รับหน้าที่ในการสืบหาความจริงเกี่ยวกับพวกมือสังหารที่ใช้ตราสัญลักษณ์เดียวกับพวกเรานี่ ก็คงจะต้องจัดเป็นกลุ่ม ๓ คนเพื่อความสะดวกในการเคลื่อนไหวเช่นเดิมนั่นแหละนะ "  เมืองลูบคางที่เต็มไปด้วยเคราที่ดกหนาของเขาอย่างครุ่นคิดพร้อมกับมองไปรอบๆเพื่อหาคนที่เหมาะสม ก่อนจะเอ่ยขึ้นเรียบๆอีกครั้ง

 

       " คนแรก...สิงห์...ข้าเชื่อว่าเวลานี้แผลของเจ้าคงจะหายดีแล้วสินะ? "

 

         สิงห์ที่ยืนกอดอกอยู่อีกมุมหนึ่งเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

 

       " ก็ยังไม่ถึงกับหายสนิทดีนัก...แต่ถ้าให้ตามเรื่องนี้ล่ะก็ ข้าเองก็ไม่มีปัญหาหรอก "

 

       " อืม...ส่วนคนที่ ๒ ...ศกุนตลา...ความสามารถในการซุ่มโจมตีด้วย ศรพลายวาต จากระยะที่ไกลเกินสายตาและการหยั่งจิตสำรวจของเจ้าจำเป็นที่สุดหากเกิดการปะทะกับพวกสายคงกระพัน หรือสายจอมขมังเวทย์...เจ้าคงร่วมมือกับสิงห์ได้อย่างดีสินะ " 

 

         ศกุนตลาเลิกคิ้วด้านที่ไม่ได้ถูกปิดบังด้วยหน้ากากยักษ์แสยะยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสิ้นตามนิสัยเงียบขรึมของเธอ ซึ่งมือสังหารทุกคนก็เข้าใจดีว่านี่เป็นการตอบรับตามแบบฉบับของเธอแล้วจึงไม่มีใครพูดอะไรต่อ ในขณะที่เมืองผู้เป็นผู้ออกคำสั่งพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเอ่ยชื่อสุดท้ายออกมาทันที

 

       " คนสุดท้าย...อุษา "

 

       " หา? "  คราวนี้ทั้งอุษาและมือสังหารอื่นทุกคนตางก็ร้องขึ้นพร้อมกันอย่างงงวยทันที เพราะปกติแล้วสิงห์และศกุนตลาจะปฏบัติภารกิจภายใต้การนำของหัวหน้ามือสังหารและมือสังหารอันดับ ๑ อย่างอนาสตาเซีย และเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด จึงทำให้ทุกคนออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่รายชื่อของคนสุดท้ายกลายเป็นอุษาแทนที่จะเป็นอนาสตาเซียเช่นนี้

 

       " เฮ้อ...กะไว้แล้ว วาต้องมีแต่คนสงสัย "

 

       " ก็ถ้าท่านไม่หักดาบ นาคราช ของข้าเป็นเสี่ยงๆล่ะก็...เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้นหรอกเจ้าค่ะ "  อนาสตาเซียหันกลับไปประชดอีกฝ่ายเบาๆ ในขณะที่อีกฝ่ายหัวเราะออกมาอย่างไม่สำนึกผิดอะไรเลยซักนิด

 

       " ฮ่าๆๆๆ เอาน่าๆ ประเดี๋ยวข้าตีขึ้นให้ใหม่...เอาให้เลิศกว่าที่เคยก็ยังได้ ถือเป็นการไถ่โทษไปในตัวก็แล้วกันนะ "

 

       " เฮ้อ...เป็นถึงมือสังหารอันดับ ๑ แต่เวลานี้กลับไม่มีแม้กระทั่งศาสตราประจำกาย...ความรู้ถึงไหนมีหวังได้อายไปถึงนั่น...แล้วนี่ข้าคงต้องจับเจ่าอยู่ที่นี่ไปจนกว่าจะได้ศาสตราคืนสินะ "

 

         ยูกิโอะเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่เธอจะแสยะยิ้มออกมาบางๆ จนอนาสตาเซียหันไปขมวดคิ้วมองอย่างจับผิดทันที

 

       " คราวนี้คิดอะไรแผลงๆอีกล่ะ? "

 

       " เฮ่ย...นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน?! "

 

       " ก็เพราะข้ารู้แล้วว่าทานเป็นคนอย่างไรนี่แหละ ข้าถึงได้ถามไปอย่างไร "

 

       " ปากดีนัก ประเดี๋ยวก็ไม่ช่วยซะเลยนี่ "

 

       " ช่วย?...ท่านจะช่วยอะไรข้ากัน? "

 

       " ฮิๆ ก็ช่วยเป็นกามเทพ ให้เจ้าได้สมหวังอย่างไรล่ะ "

 

       " หา? "

 

         ช่างตีดาบสาวหัวเราะเบาๆอยางมีเลศนัย ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปที่กระท่อมตีศาสตราของเธอ และกลับมาพร้อมกับห่อผ้าที่ใส่ ศาสตราปริศนา ของไกร ที่เธอได้ร่วมมือกับ เด็กในความดูแล ของเธอสร้างขึ้นมาพร้อมกับโอ้อวดว่าเป็นผลงานชิ้นเอก พร้อมกับโยนให้อนาสตาเซียที่คว้าไว้อย่างงงๆทันที

 

       " เอ้า...ไหนๆเจ้าก็ว่างๆอยู่แล้ว...ท่านหญิงอนาสตาเซียเจ้าคะ...เจ้าพอจะช่วยเป็นธุระให้ข้า นำดาบนี่ไปส่งให้กับมือสังหารคนล่าสุด นามว่าไกร ...ผู้เป็นเจ้าของมันที่กรุงศรีอยุธยาได้รึเปล่าล่ะเจ้าคะ? "

 

 

 

 

...........................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา