ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

53)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
 
================================================
 
 
 
 
      ...ก่อนที่ไกรจะได้ทันว่าอะไรออกมา...อยู่ๆ ก็เกิดสายลมหมุนวูบ กรรโชกอย่างรุนแรงตรงหน้าเขาและเรืองจนกระทั่งไกรถึงกับต้องยกแขนขึ้นบังสายตาไว้...เมื่อสายลมกรรโชกนั้นสงบลงอีกครั้งดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาก็ถึงกับต้องเบิกกว้างอย่างตกตะลึงทันที...
 
         น...น่ารักวุ้ย!...
 
         นั่นเป็นคำจำกัดความแรกที่เขาพอจะจำกัดความได้หลังจากที่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันคือเด็กผู้หญิงที่อายุประมาณ ๕-๖ ขวบสองคน...ไม่สิ...จะบอกว่าเป็นเด็กก็อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเด็กสองคนนี้เป็นเหมือนกับตัวตุ๊กตาที่หัวใหญ่และแขนขาป้อมที่อยู่ในชุดตะเบงมานสีย้อมฝาดประดับด้วยกำไลข้อมือโลหะสลักอักขระแปลกๆ ...โดยที่เด็กที่น่าจะเป็น ลูกแก้ว มีผิวสีหม้อใหม่ (สีแทน) ผมสีดำสนิทตัดซอยสั้นและดวงตาสีน้ำตาลอ่อนท่าทางแก่นแก้ว ในขณะที่ ลูกขวัญ เป็นเด็กหญิงผิวขาวเนียนละเอียดราวกับลูกขุนน้ำขุนนาง ผมหยักศกยาวสีน้ำตาลอ่อนรับกับดวงตาที่สีอ่อนกว่าเล็กน้อยและดูท่าทางเรียบร้อยกว่าเด็กอีกคนมาก ...ซึ่งถึงจะบอกว่าเป็นทั้งคู่ต่างกันสุดขั้ว แต่ก็มี ๒ อย่างที่เหมือนกัน อย่างแรกก็คืออักขระอุณาโลมสีดำแปลกๆที่หน้าผากของเด็กทั้งสอง และอย่างที่ ๒ คือไม่ว่ามองจากมุมไหน เด็กที่รูปร่างเหมือนตุ๊กตาหรือตัวการ์ตูนนี้ก็น่ารักน่าเข้าไปกอดจนแม้แต่เขาเองยังแทบจะห้ามใจไม่อยู่เลยทีเดียว
 
       " ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร...ท่านเจ้าพระยา...แต่ว่าอย่าทำอย่างที่ใจท่านคิดดีกว่านะ เด็กสองคนนี้ไม่ใช่เด็กน้อยธรรมดาๆ "
 
       " อย่าบอกนะว่าเด็กสองคนนี้? "
 
       " ขอรับ...เด็กสอง ตน นี้เป็นกุมาร...ไม่สิ...ต้องพูดว่าเป็น กุมารี ภายใต้อาณัติของข้าเอง และเป็นผู้ที่ข้าสั่งกับข้าวกับปลาเหล่านั้นมาเซ่นนั่นแหละ...โชคท่านดีอยู่บ้างที่เห็นเด็กนี่ในเวลาที่พวกเธออิ่มหมีพีมันแล้ว...เพราะท่านไม่อยากเห็นพวกเธอในสภาพที่หิวโหยเมื่อครู่นี้แน่ๆ...ฝันร้ายชัดๆเลยล่ะ "  พระยาเพชรบุรีครางออกมาเบาๆด้วยสีหน้าจริงจังสุดชีวิต จนไกรอดหัวเราะแปร่งๆออกมาไม่ได้ ในขณะที่เด็กผู้เหญิงที่เป็นกุมารีทั้งสองหันดวงตากลมโตมามองที่ไกรอย่างสนอกสนใจพร้อมกับที่ปากเล็กๆนั้นขยับเป็นร้อยยิ้มบางๆอย่างน่ารักน่าชัง  แต่พอเด็กทั้งคู่ขยับเพื่อจะเข้ามาใกล้ไกรเท่านั้น เรืองผู้เป็นเสมือน พ่อ ของเด็กทั้งสองก็กระแอมไอพร้อมปล่อยกระแสอะไรบางอย่างออกมาเพื่อหยุดกุมารีทั้งสองไว้ทันที
 
       " เฮ้อ...กะไว้แล้วไม่ผิด...ถึงจะถวายข้าวปลาเป็นเครื่องเซ่นแล้ว แต่ก็ยังหิวโหยและต้องการวิญญาณเพื่อรักษาสภาพไว้จริงๆสินะ...แต่พ่อขอบอกไว้ก่อนเลยว่าชายผู้นี้เป็นหัวหน้าของพ่อ...ห้ามทำอะไรเขาเป็นอันขาด...ถ้าไม่อยากให้พ่อต้องกลับเข้าคุกแล้วพวกเจ้าต้องอดๆอยากๆอีก "
 
       " หา?...เฮ้ยๆ...เมื่อครู่ อย่าบอกนะว่า... "
 
         เรืองเหลือบสายตามามองเขาเล็กน้อยก่อนฝืนหัวเราะแห้งๆทันที
 
       " ...ก็...อย่างที่ข้าได้บอกไว้...ว่าทั้งสองพิเศษกว่ากุมารปกติทั่วไป...ทำให้บางครั้งแค่การเซ่นด้วยอาหารธรรมดาอาจไม่พอก็ได้น่ะขอรับ "
 
       " หา?! "
 
       " ก็กลิ่นอายของวิญญาณของท่านมันแข็งแกร่งและหอมหวล ต่างจากชาวน้านร้านตลาดทั่วไปอยู่ไม่น้อย...แต่ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรหรอกนะขอรับ ...ข้าคุมได้อยู่...กระมั้งนะ "
 
       " กระมั้งนะเนี่ยนะ! แบบนี้ไม่ห่วงก็แปลกแล้วเฟ้ย! "
 
         เรืองถอนหายใจเฮือกก่อนจะตัดบทสนทนาด้วยการเดินดุ่มๆมาที่ระเบียงเพื่อให้เห็นการต่อสู้และศัตรูซึ่งอยู่ในชุดดำเช่นเดียวกับมือสังหารที่วัดประดู่ และมาด้วยกันถึง ๔ คนชัดๆ ก่อนที่จะหันมาหาไกรพร้อมกับที่มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มบางๆเล็กน้อย
 
       " ท่านไปดูไอ้เด็กนั่นเถอะ...ท่านไกร...ไอ้พวกชุดดำนั่นไว้เป็นธุระของข้าเอง "
 
       " แน่ใจนะ ท่านเรือง "
 
       " หึๆ พูดเช่นนี้เหมือนดูถูกกันชัดๆ...แต่เอาเถอะ...ข้ามันก็เป็นคนไม่มีอะไรให้ดูถูกอยู่แล้ว...เอาเป็นว่า...ท่านพิสูจน์ฝีมือข้าด้วยตาตัวเองเลยก็แล้วกัน "  พูดจบเขาก็กระโดดลงไปจากระเบียงพร้อมกับเด็กน้อยทั้งสอง ตน นั้นทันที
 
        " เฮ้อ...เอาเถอะ ขอดูฝีมือของผู้ที่ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าอาคมแก่กล้าที่สุดหน่อยเถอะ ท่านพระยาเพชรบุรี "  ไกรถอนหายใจเฮือกพร้อมกับครางออกมาเบาๆราวกับรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งลงบนไดและฝ่าพ่อค้าวาณิชชาวจีนและชาวตะวันตกที่วิ่งแตกฮือไปคนละทิศละทางอย่างตกอกตกใจ เพื่อจะเข้าไปดูอาการของสินที่กองอยู่กับเศษไม้อดีตโต๊ะและเก้าอี้โรงเตี๊ยม...แต่เมื่อเขาลงมาถึง หลวงยกกระบัตรคนเก่งก็ลุกขึ้นพร้อมกับประคองดาบในมือเพื่อเตรียมพร้อมรับการจู่โจมครั้งต่อไปแล้ว
 
       " อ้าว? เห็นเสียงโครมใหญ่ ก็นึกว่าถ้าไม่ตายก็เจ็บหนัก เลยกะจะลงมาดูใจซะหน่อย...ดูท่าไม่เป็นอะไรเลยนี่? "  เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นอะไรมากเท่าที่เขากังวล ไกรเลยโล่งใจขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะอดเอ่ยแซวขำๆไม่ได้ ในขณะที่สินหันขวับมามองอย่างเคืองๆทันที
 
       " ขบขันเสียจริง...นั่นปากหรือขอรับ?! "
 
       " ฮ่ะๆ เอาน่า แล้วมันไปไงมาไง---หมายถึงเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย? "
 
         สินถอนหายใจเฮือกอย่างถอนฉิว ก่อนจะรายงานเรียบๆสั้นๆว่า
 
       " ข้าก็กะว่าจะลงมาหาอะไรดื่มเพื่อดับอารมณ์อย่างที่ท่านสั่งนั่นแหละ แต่พอผ่านเจ้าพวกนั้นที่นั่งยืนแอบอยู่ที่ประตูโรงเตี๊ยมนี้ ข้าก็จับจิตสังหารที่พุ่งพรวดจากเจ้าพวกนี้ได้อย่างกะทันหัน...โชคดีที่ข้าชักดาบมากันการจู่โจมของพวกมันได้ทัน...ไม่อย่างนั้นก็คงได้เจ็บหนักเช่นที่ท่านหวังไว้แน่ๆ "
 
       " เฮ่ย...ก็แค่ล้อเล่นน่า มองโลกในแง่ร้ายซะจริงผับเผื่อยเหอะ "  ไกรบ่นเบาๆก่อนจะหันหน้ากลับไปมองเหล่ามือสังหารชุดดำที่เวลานี้ถูกขวางกั้นด้วยเรืองและเด็กสาวผู้เป็นวิญญาณอาถรรพ์ใต้อาณัติของเรืองและขยับดาบเพื่อเตรียมพร้อมเผื่อเรืองรับมือไม่ไหว  ในขณะที่เมื่อเหลือบไปมองมือสังหารเหล่านั้นอีกครั้ง ไกรก็อดยิ้มออกมาแห้งๆไม่ได้
 
       " ถ้าเป็นการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัวแล้วยังเอาชีวิตเจ้าไม่ได้...ก็แปลว่าไอ้พวกนี้เป็นแค่ลิ่วล้อ...ไม่ใช่ระดับพวกตัวเอ้อย่างที่ข้าเจอที่วัดประดู่ โชคดีของเจ้าแท้ๆ "
 
       " โชคดี?! ลองท่านถูกดีดกระเด็นมาชนโต๊ะพังเป็นแถบๆอย่างนี้บ้างสิ แล้วดูรึว่าท่านจะยังพูดว่าโชคดีได้อีกไหม?! "
 
       " แบบนี้เรียกว่าเราสนิทกันมากขึ้นรึเปล่าเนี่ย? "  ไกรพูดพล่างกลั้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปมองเหลามือสังหารพวกนั้นอีกครั้งพร้อมกับย้มแห้งๆทันที
 
       ' ถึงไม่อยากจะพูดก็เถอะ...แต่งานนี้ดูเหมือนแผนของท่านผู้เฒ่ากับพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงทั้ง ๓ ที่ให้เราและหน่วยคเณศร์เสียงาเป็นเหมือนตัวล่อเป้าดูเหมือนจะได้ผลเต็มที่เลยแฮะ...เฮ้อ...จับพลัดจับผลูมารับจ๊อบเสี่ยงตายแท้ๆ ตูเอ๋ย! '
        
         ถึงเวลานี้ทั้งไกรและสินจะจับดาบขึ้นและอยู่ในสภาพพร้อมรบเต็มที่เผื่อสถานการณ์ที่ฉุกเฉินที่สุดแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนการเตรียมพร้อมของพวกเขาจะออกจะไม่จำเป็นเสียแล้ว เพราะเหล่ามือสังหารในชุดดำทั้ง ๔ นั้นดูเหมือนจะลังเลที่จะต้องฝ่าจิตคุกคามแปลกๆอันน่าขนลุกของเรือง และเด็กสาวที่มีลักษณะคล้าบกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ลอยเอื่อยๆอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้ดีว่าคนที่สามารถอัญเชิญและเรียกใข้ กุมารทอง ให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างเป็นตัวเป็นต้นเช่นนี้ได้ถึง ๒ ตน ทั้งยังในเวลากลางวันเช่นนี้ ไม่ใช่ระดับจอมขมังเวทย์ธรรมดาๆแน่!...
 
       " อ...เอาอย่างไรดี? "  ในที่สุดมือสังหารคนนึงก็หันไปกระซิบถามผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเบาๆทันที...อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้ง ๔ รู้ดีว่าพวกจอมขมังเวทย์เป็นสายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อสายนักรบ(มือสังหาร) อย่างพวกเขาอย่างที่สุด ทำให้การล่าถอยอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก่อนที่มือสังหารชุดดำผู้เป็นหัวหน้าจะได้ทันตัดสินใจอะไร เด็กน้อยผิวสีแทนที่มีนามเรียกว่า ลูกแก้ว ก็พุ่งลอยมาตรงหน้าพวกเขาทันที
 
       " นี่ๆ พี่ชายๆ "
 
       " อ...อึ่ก! "
 
         ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนของลูกแก้วส่องประกายวาววับอย่างอยากรู้อยากเห็น พร้อมกับลอยไปมา ในขณะที่ริมฝีปากเล็กๆนั่นจะเอ่ยเจื้อยแจ้วอีกครั้ง
 
       " พ่อบอกว่าพี่ชายจะเล่นกับหนู จะเล่นกันจริงๆนะ ไม่โกหกนะ...พวกหนูติดอยู่ในที่มืดๆที่เต็มไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ที่ร้อนจนพวกหนูฝ่าออกมาไม่ได้มาตั้งนาน พวกหนูเหงามากเลยล่ะ "
 
       " ก...กรอด! หนวกหูโว้ย! "  ด้วยความตกใจประสมกับความหวาดกลัว ทำให้มือสังหารผู้ถามคนแรกไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้อยู่...ดาบรูปร่างแปลกๆที่อยู่ในมือของเขาจึงถูกฟันออกหมายสะพายแล่งวิญญาณที่มีรูปลักษณ์ชัดแจ้งตรงหน้าทันที เกินกว่าที่หัวหน้าของเขาจะห้ามทัน
 
       " อ...ไอ้โง่เอ๊ย! อย่า!! "
 
         เคร้ง!!
 
         หลังสิ้นเสียงร้องห้ามที่สายเกินไปแล้วของหัวหน้า ดวงตาที่เป็นเพียงส่วนเดียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้าของผู้ที่ฟันดาบออกมาถึงกับต้องเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เพราะดาบที่เขามั่นใจว่าสามารถตัดบัวได้ไม่เหลือใยกลับไม่ระคายผิวที่ดูเหมือนจะอ่อนนุ่มของเด็กที่ลอยอยู่ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง ในขณะที่รอยยิ้มอันน่ารักของเด็กหญิงกลับค่อยๆฉีกสยายกว้างขึ้น จนในที่สุดรอยแสยะยิ้มนั้นก็กว้างจนถึงหูทั้งสองข้าง เผยให้เห็นซี่ฟันอันแหลมคมขาววับนับไม่ถ้วนราวกับฟันฉลาม ก่อนที่เธอจะเอ่ยพูดเบาๆอีกครั้ง
 
       " เข้า...ใจ...ล่ะ...จะเล่นไล่จับเช่นที่พวกหนูเคยกันสินะเจ้าคะ บอกไว้ก่อนเลยนะว่าพวกหนูน่ะเก่งมาก...ไม่เคยมีใครหนีพวกหนูพ้นแน่นอน ...อย่างนั้นหนูจะนับแล้วนะเจ้าคะ...๙...๘...๗...๖... "
 
       " ร...ระยำเอ๊ย! "
 
       " ...๓...๒...๑...ยักษ์จะไปจับเด็กกินล่ะน้าาา "
 
       " ยักษ์ อย่างนั้นหรือ? "  ไกรครางออกมาเบาๆอย่างสงสัย แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว ข้อสงสัยของเขาก็ได้รับการเฉลยทันที
 
         พริบตาหลังจากที่พูดจบ เด็กหญิงผู้เป็น กุมารี  นามว่าลูกแก้วก็พุ่งเข้าใส่มือสังหารผู้ที่ฟันดาบใส่เธอพร้อมกับกางกรงเล็บที่งอกยาวและแหลมคมราวกับอสูรกาย จิกลึกเข้าไปในเนื้อของอีกฝ่ายจนเขาถึงกับร้องเสียงหลงราวกับหมูถูกเชือด...แต่เสียงโหยหวนเหล่านั้นก็หยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อคมของเขี้ยวและฟันอันแหลมคมราวกับมีดโกนงับเข้าเต็มลำคอของอีกฝ่ายและกระชากออกอย่างแรงจนกระทั่งเส้นเลือดใหญ่และหลอดลมของอีกฝ่ายขาดติดปากออกมา ดับชีพของมือสังหารเคราะห์ร้ายที่ทำอะไรรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นทันทีพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระฉูดกระเซ็นเป็นสายไปทั่วสารทิศทันที!
 
         เฮือก! 
 
         พริบตาเดียวที่ไกรได้สบสายตากับกุมารีนามว่าลูกแก้วผู้นั้นอีกครั้ง ขนาดเขาที่ว่าเตรียมใจไว้แล้วยังถึงกับหน้าซีดเผือด ขนลุกวูบและมือตีนเย็นวาบทันที เพราะดวงตากลมโตของอีกฝ่ายไม่เหลือความน่ารัก บริสุทธิ์ หรือไร้เดียงสาอยูอีกเลยโดยสิ้นเชิง...ดวงตาและใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยเลือดสีคล้ำนั้นเต็มไปด้วยอาถรรพ์มนต์ดำ ความกระหายเลือด และความไร้ซึ่งผิดชอบชั่วดีใดๆเลย...โดยสิ้นเชิง...
 
       ' แบบนี้ไม่ใช่ยักษ์แล้วเฟ้ย! โคตรแม่ซอมบี้ชัดๆ!! ...เฮ้ย! นี่ตูกำลังอยู่ในหนังเรื่อง ชักกี้ รึยังไงกันฟะเนี่ย?!! '
 
       " ...วิญญาณของเด็กนั่น...ถูกกระแสของมนต์ดำผูกมัดไว้...จนไม่อาจเข้าสู่วังวนแห่งวัฏสงสาร เพื่อไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าได้...ได้แต่ต้องถลำลึกลงสู่ห้วงแห่งกรรมตามคำสั่งของผู้เป็นนาย...นั่นคือคำจำกัดความที่ข้าสามารถบอกได้เกี่ยวกับกุมารของพระยาเพชรบุรีนั่น "
 
       " สิน? " 
 
       " แต่ว่า...วิญญาณระดับนี้ไม่ใช่ระดับที่คนๆเดียวจะสามารถควบคุมได้ ต่อให้มีตบะบารมีมากแค่ไหนก็ตามที...อย่าว่าแต่ควบคุมบงการได้ดั่งใจถึง ๒ ตนเช่นนี้เลย...แล้วอีกอย่าง... "
 
       " อีกอย่าง? "
 
       " วิญญาณอาถรรพ์ระดับนี้ก็เหมือนกับการเลี้ยงสัตว์ร้ายหน้าขน ที่จำเป็นต้องเลี้ยงดูให้อิ่มหมีพีมันอยู่ตลอดเวลา...แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีโอกาสที่สัตว์ร้ายจะแว้งกัดได้...วิญญาณของกุมาร---กุมารีทั้งสองตนก็เช่นกัน...ถ้าหากไม่เลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำเซ่นไหว้เป็นนิจ เพียงไม่นานวืิญญาณก็จะทำร้ายเจ้าของมันเอง...แต่นี่...ทั้งๆที่เรืองติดอยู่ในคุกตั้งปีกว่าโดยไม่มีอะไรถวายให้เลย...แต่กุมารีทั้งสองนั่นกลับยังให้ความจงรักภักดีต่อมันไม่ปลี่ยนแปลง...น่าแปลกสิ้นดี "
 
       " ย...อย่างนั้นเหรอ? "  ไกรได้แต่รับคำเบาๆอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติพรรค์นี้เลย...(พึ่งมาเชื่อเอาอย่างสนิทใจก็ตอนได้รู้จักกับสิงห์นั่นแหละ) ...ก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองที่มือสังหารเคราะห์ร้ายที่บัดนี้ลงนอนชักกระตุกเลือดนองเต็มพื้น โดยมีลูกแก้วนั่งคร่อมและฟัดกัดกินซากศพนั้นราวกับกำลังบ้าเลือดที่สาดไปทั่วราวกับฉากหนังสยองขวัญเกรดบี โดยไม่สนใจมือสังหารอีก ๓ ที่กำลังยืนแข็งค้างอย่างตกตะลึงอยู่เลยแม้แต่น้อย  ก่อนที่ทั้งสามจะสร่างตะลึงและหันขวับจ้องเขม็งที่เรืองที่ยืนกอดอกอยู่ตรงหน้าอย่างรู้ดีว่าจุดอ่อนของจอมขมังเวทย์ผู้ใช้วิธีอัญเชิญวิญญาณมาช่วยสู้เช่นนี้มีจุดอ่อนอยู่ที่ตัวผู้อัญเชิญเองที่ต้องใช้สมาธิในการคุมวิญญาณเพื่อต่อสู้เป็นอย่างมาก  ก่อนที่มือสังหารที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าจะชี้ดาบมาที่เรืองพร้อมกับตวาดสั่งการลั่นทันที
 
       " มัน! จัดการมันซะ แล้ววิญญาณนี่จะสิ้นฤทธิ์ไปเอง!! " 
 
       " โฮ่...ฉลาดดีนี่ "  เรืองถึงกับเลิกคิ้วพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างชมเชยทันที แต่มือสังหารทั้งสามคนที่เหลือไม่มีใครยืนรอรับคำชมเชยนี้เลย เพราะพวกมันชักอาวุธพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าล้อมเรืองไว้จากทุกด้านทันที
 
       " ให้ช่วยไหม? เรือง "  ไกรที่เห็นเรืองตกอยู่ในสถานการณืเป็นรองรีบร้องถามขึ้นทันที แต่เรืองเพียงเหลือบมามองพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อยและหันกลับไปโดยไม่พูดอะไรซักคำทั้งยังยืนจังก้ากอดอกอยู่ในสภาพสบายๆ โดยไม่ได้ตั้งท่าเตรียมตัวรับมืออะไรทั้งนั้น...นั่นทำให้ไกรถึงกับต้องคิ้วกระตุกก่อนจะเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับถอนหายใจเฮือกอย่างถอนฉิวทันที
 
       " เฮ้อ...กวนส้นได้โล่จริงๆ ให้ดิ้นตายเหอะ...ไม่น่าไปเสียเวลานึกเป็นห่วงเล้ย "
 
       " ท่านไกร? "
 
       " อืม...ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก...คนประเภทที่ยังทำท่าทางเช่นนี้ได้ก็คงจะมีอยู่แค่ ๒ จำพวกเท่านั้น...ถ้าไม่โง่ขนาดควายเรียกพี่... "   ไกรเว้นเล็กน้อยพร้อมกับส่งสายตาแปลกๆไปที่ด้านหลังของเรือง ก่อนจะพูดต่อประโยคเรียบๆว่า  " ...มันก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองจนไม่เห็นไอ้พวกนี้อยู่ในสายตาเท่านั้นแหละ "
 
      ...จะได้ยินหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่เหล่ามือสังหารเหล่านั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้วนอกจากพุ่งเข้าใส่เรืองพร้อมกันจากทั้งซ้ายและขวา โดยที่หัวหน้าผู้ที่ถือดาบใหญ่ตรงหน้าเรืองยืนประคองดาบคุมเชิงไว้เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายหลบรอดไปได้ ซึ่งในสายตาของไกรและสินซึ่งเป็นสายนักดาบแล้ว ทั้งจังหวะและความเร็วอยู่ในระดับที่ไร้ที่ติ บ่งบอกได้ว่าพวกมันฝึกฝนการประสานการโจมตีนี้มาเป็นอย่างดี ถ้าเป็นปกติแล้วผู้ที่อยู่กลางวงและตกเป็นเป้าโจมตีเช่นนี้ถ้าไม่ตายก็คงจะต้องเจ็บหนักแน่ๆ...
 
      ...แต่น่าเสียดาย...ที่พระยาเพชรบุรีไม่ใช่คนธรรมดา...
 
         พริบตาก่อนที่คมดาบทั้งสองจากมือสังหารทั้งซ้ายและขวาจะเข้าถึงตัวของเรืองเพียงองคุลีเดียว คมดาบของทั้งสองก็ถูกเกราะกำบังที่มองไม่เห็นสะท้อนกลับอย่างแรงจนกระเด็นกลับไป ก่อนจะถูกพลังบางอย่างแขวนให้ลอยค้างอยู่บนอากาศโดยที่ทั้งคู่ต่างก็ทิ้งดาบลงและเอามือกุมลำคอตัวเองไว้พร้อมกับหน้าเขียวดิ้นพราดๆราวกับถูกเชือกที่มองไม่เห็นรัดแขวนคอให้ห้้อยอยู่อย่างนั้น!
 
       " เจ้าน่ะเป็นเช่นนี้ทุกทีลูกแก้ว...พอได้อาหารอร่อยๆทีไรเป็นลืมว่ากำลังเล่นอยู่ทุกที...ดูสิว่าพวกคนเลวเกือบจะแปะพ่อได้อยู่แล้วเนี่ย "  กุมารีอีกตนอันมีนามว่า ลูกขวัญ ที่กอดอกลอยเอื่อยๆอยู่ที่เหนือหัวของเรืองเริ่มจีบปากจีบคอพูดออกมาเบาๆอย่างตำหนิ ในขณะที่ลูกแก้วพึ่งเงยหน้าออกมาจากซากศพของมือสังหารเคราะห์ร้ายคนนั้นพร้อมกับเลือดที่เปรอะเต็มใบหน้าน่ารักๆนั่นพร้อมกับแก้ตัวลั่นทันที
 
       " ก็ช่วยไม่ได้นี่นา...พวกเราอยู่ในที่แคบๆมืดๆที่ฝ่าออกมาไม่ได้นั่นมาตั้งนาน วิญญาณของพวกเราก็เสถียรน้อยลงเต็มที ต้องหาเศษวิญญาณอื่นมาเสริมไว้...ที่พ่อสั่งไม่ให้ กิน เจ้านายของพ่อก็ขัดใจพวกเราไปทีแล้ว คนนี้เลยขอเถอะน่า...อีกอย่าง มีเจ้าอยู่ทั้งคน พวกพี่ๆพวกนั้นไม่มีทางแปะพ่อได้แน่ๆอยู่แล้ว อย่างไรเราก็ชนะเห็นๆน่า "
 
       ' แปะ...งั้นเหรอ? หมายถึงเล่น โป้งแปะ สินะ...ถึงจะบอกว่าพูดจาเหมือนกับเด็กๆธรรมดาๆ แต่ไอ้การกระทำนี่มัน...ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงเลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?! '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปมองซากศพของมือสังหารคนแรกที่เวลานี้มีสภาพไม่ต่างอะไรจากซากศพที่ถูกสัตว์ร้ายรุมแทะจนไม่อาจระบุรูปพรรณสัญฐานได้อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะต้องเบือนหน้าหนีอีกครั้งเพราะไม่อยากจะอ้วกเอาของเก่าออกมาโชว์ให้เสียภาพลักษณ์ตอนนี้ ...เพราะสภาพศพที่ถูกยัยเด็ก ลูกแก้ว ฟัดเข้าให้นี่มันเหลือจะรับจริงๆ
 
       " พูดจาไร้ความรับผิดชอบสิ้นดีเลย...แต่เอาเถอะ ก็จริงอย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ  ไหนๆก็ได้ออกมาแล้วทั้งที... "  เด็กสาวอันเป็นวิญญาณกุมารีที่มีท่าทางราวกับลูกคุณหนูนั้นหันลงมามองเรืองผู้เป็นเสมอนพ่อของเธอเล็กน้อย ในขณะที่เรืองที่ยืนกอดอกนิ่งอยู่ถอนหายใจเฮือกและพยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเหมือนกับอนุญาตอะไรบางอย่าง นั่นทำให้เธอถึงกับแสยะยิ้มกว้างออกมาทันที
 
       " ฮิๆ...ขอกินให้เต็มคราบเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ! "
 
         กร๊อบ!!
 
       " อ๊ากกกกกกกก!! "
 
         หลังจากสิ้นเสียงร้องอันโหยหวนของมือสังหารดวงกุดสองคนนั้น ไกรก็ถึงกับต้องหลับตาและเบือนหน้าหนีภาพที่เปลี่ยนจากการต่อสู้ กลายไปเป็นการทรมานและค่อยๆสังหารทีละน้อยๆอย่างโรคจิตและเลือดเย็นชวนให้ขยอกของเก่าตรงหน้านั้นทันที ในขณะที่สินเองที่ว่าเป็นคนในยุคสมัยนี้ และเจอกับเรื่องโหดๆผ่านตามาก็ไม่น้อยยังถึงกับต้องหรี่ตาลง รู้สึกตะครั่นตะครอและลำคอเหนียวหนืดอย่างไม่อยากจะเชื่อในภาพที่เห็นผ่านสายตาตัวเองนี้เลย
 
       " มันกำลังประกาศศักดา... "
 
       " ว่าไง---ว่าอย่างไรนะ? "
 
         สินฝืนกลืนน้ำลายลงไปในลำคออย่างยากเย็น ก่อนจะขยายความต่อเบาๆว่า
 
       " ...ฝีมือระดับมันถ้าจะหยุดคนร้ายทั้ง ๔ อย่างเงียบๆ ไม่กระโตกกระตากและไม่สะดุดตาก็น่าจะทำได้ แต่นี่กลับแสดงความสามารถของมันอย่างเต็มที่ตั้งแต่แรกโดยไม่จำเป็นเลย...บอกได้อย่างเดียวว่าไอ้การกระทำที่เป็นเหมือนการขี่ช้างจับตั๊กแตนนี้มีจุดประสงค์เดียว...มันกำลังประกาศฝีมือที่แท้จริงให้เรารับรู้เพื่อข่มเรา... "
 
       " ...ก็ข่มได้จริงๆนั่นแหละ "  ไกรฝืนพูดเบาๆอย่างไม่อยากจะยอมรับนักแต่ก็ต้องยอมรับโดยดุษฎี...เพราะเอาเข้าจริง ถ้าหากเป็นเขาที่ต้องไปยืนเผชิญหน้ากับพระยาเพชรบุรีผู้นี้ และ ลูกสาว ทั้งสองตนของเขา เขาก็ยังเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะยืนหยัดอยู่ได้เกิน ๓ นาทีไหมด้วยซ้ำ
 
       " หึๆ ก็ไม่แปลกหรอกขอรับ...สายนักรบอย่างพวกเรามันแพ้ทางสายจอมขมังเวทย์อย่างมันอยู่แล้ว...ในทางกลับกัน สายจอมขมังเวทย์อย่างมันต่อให้เก่งกล้าสักแค่ไหน ก็ไม่มีวันเอาชนะพวกมือขมังธนูหรือเหล่านักแม่นปืนที่โจมตีได้จากระยะไกลลิบอยู่ดี...มันก็แพ้ทางหมุนวนกันไปไม่ต่างจากงูกินหางนั่นแหละ "
 
      " เฮ้อ...ใจชื้นขึ้นเยอะเลย "  ไกรบ่นเบาๆ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้และรีบตะโกนบอกเรืองที่ยังคงยืนกอดอกนิ่งอยู่ทันที
 
       " เรือง! อย่าพึ่งปล่อยให้ลูก---กุมารีของท่านฆ่าไอ้หัวหน้ามัน...เราต้องการมันเป็นๆเพื่อสืบหาคนบงการ!! "
 
         สิ้นคำสั่งของไกรผู้ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาโดยตรง...เรืองก็ยกมือขึ้นกำแน่นพร้อมกับตวาดอะไรบางอย่างออกมาดังลั่น ซึ่งส่งผลให้ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญ...ลูกสาวที่ทั้งน่ารักน่าชังและน่าขนพองสยองเกล้าของเขาที่เวลานี้กำลังดูดกินอะไรบางอย่างที่ไกรไม่ใคร่อยากจะรู้นักจากซากศพของมือสังหาร ๓ คนนั้น สลายหายไปโดยสิ้นเชิงราวกับไม่มีอะไนเกิดขึ้น...เหลือไว้แต่เพียงซากศพอันน่าสังเวชและสยดสยองของมือสังหารชุดดำทั้ง ๓ และหัวหน้ามือสังหารที่เวลานี้ตัวสั่นเทิ้ม ม่านตาขยายกว้างและฉี่ราดด้วยความหวาดผวา และไม่อยู่ในสภาพที่จะต่อสู้ขัดขืนได้อีกโดยสิ้นเชิง ก่อนที่เรืองจะถอนหายใจเฮือกทันที
 
       " ท่านทำให้ข้าต้องขัดใจกับ ลูกสาว ทั้งสองของข้าอีกแล้ว...ทั้งๆที่ข้าสัญญาว่าจะให้เด็กสองคนนั่น กิน จนหนำใจแท้ๆ "
 
       " ...ก...กิน เนี่ยนะ?...อ...เอ่อ เอาเป็นว่าข้าฝากท่านบอกเด็กสองคนนั้นว่าข้าจะชดใช้ให้คราวหลังก็แล้วกันนะ "  
 
       " ไม่ต้องฝากข้าบอกหรอก...เพราะเด็กสองคนนั่นเวลานี้ก็กำลังเกาะหลังเกาะไหล่ท่านอยู่แล้ว...เพียงแต่ท่านไม่เห็นเท่านั้นแหละ "
 
       " เชี่ย!! "  ไกรถึงกับสะดุ้งโหยงก่อนหมุนตัวสะบัด อะไรบางอย่าง ออกจากหลังของเขาอย่างเอาเป็นเอาตายทันที...แต่นั่นก็สร้างเสียงหัวเราะให้กับทั้งสินและเรืองเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของสถานการณ์ลงได้ไม่มากก็น้อย แต่ไกรกลับขำไม่ออกเลยซักนิดเดียว
 
       " ล้อเล่นเช่นนี้ไม่ตลกเลยนะเฟ้ย! "
 
       " อ้อ...เรื่องนั้นข้าไม่ได้ล้อเล่นขอรับ ...ให้ตายสิ พวกเธอบอกว่ากระสากลิ่นวิญญาณของท่านนี่มันต่างจากคนอื่นจริงๆ...อืม...ยินดีด้วยนะ ดูเหมือนเด็กๆจะติดท่านเข้าเสียแล้วล่ะ "
 
       " เนื้อหอมแบบนี้ตูไม่เอาด้วยเฟ้ย!! "
 
       " เฮ้อ...เอาล่ะ...สนุกกันมากพอแล้วล่ะขอรับ...กลับมาที่ไอ้เวรนี่กันดีกว่า "  สินกระแอมไอพร้อมกับเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างเป็นการเป็นงาน...ดึงไกรและเรืองกลับไปมองที่หัวหน้ามือสังหารชุดดำที่นั่งเข่าอ่อนลุกไม่ขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่ไกรจะชักดาบที่อยู่ในมือออกมาขู่อีกฝ่ายพร้อมกับพูดเรียบๆ แฝงกระแสกดดันอันน่ากลัวเพื่อกดดันอีกฝ่ายเพิ่มเติมว่า
 
       " เอ้า...เจ้าน่ะ...ถ้าไม่อยากจะมีสภาพชวนสังเวชอย่างลูกน้องเจ้าทั้งสามคนล่ะก็...บอกมา...บอกทุกอย่างที่พวกข้าต้องรู้ออกมาให้หมด!! "
 
         ดวงตาที่เหลือกโพลงและสั่นระรัวของมือสังหารผู้นั้น เหลือบมามองที่ไกร สิน และเรือง สลับกับหันไปมองสภาพศพของอดีตสหายผู้เวลานี้แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครเป็นใคร ซึ่งมันทำให้การตัดสินใจของเขาง่ายดายจนแทบไม่ต้องคิดทีเดียว
 
       " ข...เข้าใจแล้วๆๆๆ ข้าจะบอกทกอย่าง!...ข้า--- "
 
         ฉึก!!
 
         แต่ก่อนที่มือสังหารชุดดำที่จนมุมผู้นั้นจะได้ทันพูดอะไรที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายของไกรออกมา ศีรษะที่คลุมด้วยผ้าปิดบังใบหน้านั้นก็ถูกลูกธนูยาวที่มีหัวธนูเป็นเงี่ยงโลหะสีดำสนิทและมีปลายเป็นขนหางเหยี่ยว พุ่งทะลุกลางศีรษะด้านหลังจนส่วนเงี่ยงโลหะนั้นทะลุหน้าผากออกมาอย่างแม่นยำ ดับชีพมือสังหารผู้นี้อย่างกะทันหันและเด็ดขาดที่สุด โดยที่ทั้งไกร สิน และเรืองไม่สามารถสัมผัสถึงจิตสังหารและต้นตอของลูกธนูดอกนี้ได้เลยด้วยซ้ำ!
 
         เพียงพริบตาที่ลูกธนูดอกนั้นพุ่งทะลุหัวของมือสังหารผู้นั้น ทั้งไกรและสินต่างก็พุ่งหลบเข้าจุดกำบังทันที โดยที่ไกรคว้าคอเรืองที่ยังคงตะลึงอยู่ให้พุ่งหลบมาด้วยพร้อมกับตะโกนดังลั่นทันที!
 
       " มือฉมังธนู!! "
 
 
 
 
 
.......................................................
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา