ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

51)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
 
================================================
 
 
 
 
      ...ภายในอาคารอันเป็นสถานที่จองจำระดับสูงสุด...
 
         ไกรกวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและอดชักสีหน้าออกมาไม่ได้...ขนาดตัวเขาเองที่ว่าอยู่ง่ายกินง่าย ขอแค่มีที่ซุกหัวนอนเล็กๆก็หลับได้แล้วแท้ๆ...แต่สถานที่แห่งนี้มันอยู่ในระดับสุดทนจริงๆ
 
       ' ...ก...ก็รู้อยู่หรอกว่าคุกสมัยก่อนมันไม่คำนึงถึงสุขอนามัย...ต...แต่ที่นี่มัน...ทำเอาห้องขังที่เราเคยเข้าไปนอนที่หมู่บ้านยุคันตวาตถึงกับกลายเป็นโรงแรมห้าดาวไปเลย... '
 
      ...ภายในตึกสูงเกือบ ๓ ชั้นที่ถูกสร้างให้เป็นอาคารคุมขังระดับสูงสุดนี้กลับเป็นอาคารชั้นเดียวที่มีเพดานอยู่สูงลิบโดยไม่มีหน้าต่างเลยซักบานเดียว ส่งผลให้ภายในนี้ร้อนอบอ้าวเหมือนกับอยู่ในเตาอบไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งๆที่พึ่งอยู่ในช่วงเวลาสายๆแท้ๆ ...และเพราะไม่มีหน้าต่างเลยซักบาน และเพดานด้านบนที่ถึงจะถูกออกแบบมาให้ระบายอากาศได้ แต่ก็มีลักษณะปิดทึบจนไม่อาจมีแสงสว่างลอดผ่านได้ ภายในนี้จึงต้องอาศัยแสงสว่างจากคบเพลิงที่ส่องเห็นรำไรอย่างเกียจคร้านอยู่อย่างเดียวโดยไม่มีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยแม้แต่น้อย...
 
      ...สภาพของห้องขังถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆที่ถูกสร้างโดยซี่กรงเหล็กอย่างดีสูงถึงเพดาน โดยมีขวากหนามอันแหลมคมกั้นดักเพื่อกันนักโทษปีนลูกกรงหลบหนีไว้ถึง ๓ จุด ต่างจากคุกภายนอกที่ทำจากไม้ธรรมดาๆโดยสิ้นเชิง อันแสดงให้เห็นถึงความอุกฉกรรจ์ของความผิดของผู้ที่ติดอยู่ภายในนี้ และไร้ซึ่งระบบกำจัดสิ่งปฏิกูลโดยสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาที่พึ่งเข้ามาแท้ๆยังได้กลิ่นของของเสียปะปนกับกลิ่นสาปสางและกลิ่นเน่าผสมรวมกัน โชยมาปะกับจมูกจนไกรกับสินยังต้องเบือนหน้าหนี  ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรที่เหมือนจะรู้ถึงสภาพภายในนี้ล่วงหน้าอยู่แล้วก็เอาผ้าที่เคยใช้ปิดบังพระโฉมขึ้นผูกปิดปากและจมูกเพื่อกันกลิ่นไว้ ก่อนจะผินพระพักตร์ไปมองหัวหน้าผู้คุมของคุกนี้พร้อมกับพยักพระพักตร์เบาๆ
 
       " พวกข้าไปกันตามลำพังได้...เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก "
 
         หัวหน้าผู้คุมร่างยักษ์ผู้นั้นทำท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพนมมือขึ้นเหนือหัวและทูลตอบกลับมาด้วยความเป็นห่วงว่า
 
       " ...ค...ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดฯ ...แต่ว่าภายในนี้เต็มไปด้วยนักโทษเด็ดขาดในคดีอุกฉกรรจ์...ถึงจะอยู่ในตารางที่หนาแน่นที่สุด แต่ว่าก็ยังอันตรายอยู่ดี...ขืนพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ทรงทราบว่าข้าปล่อยให้สมเด็จท่านเสด็จเข้าไปตามลำพัง...พ...พวกข้ามีหวังถูกอาญาตัดหัวเสียบประจานกันถ้วนหน้าแน่ๆ "
 
        ไกรเหลือบมองไปที่ชายร่างยักษ์อันมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้คุมเล็กน้อยพร้อมกับถอนหายใจเฮือก เพราะเขาอยู่ในชุดเกราะหนักและอาวุธครบมือชนิดที่ดีไม่ดีอาจจะเตรียมพร้อมมากกว่าไปรบด้วยซ้ำ...มันทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงไอ้ภายในตึกนี้มันขังอะไรกันแน่เนี่ย
 
       " เฮ้อ...ตกลงมันห่วงข้าหรือห่วงหัวตัวเองกันแน่น้อ...เอาเถอะน่า...อีกอย่าง ข้าก็ไม่ได้มาตามลำพังแต่เพียงผู้เดียวเสียหน่อย...เจ้ากับพวกอยู่คอยทีข้าอยู่ด้านนอกนี่แหละ "  พระเจ้าอุทุมพรตรัสพร้อมกับคว้าคบเพลิงจากมือของหัวหน้าผู้คุมคนนั้นมาถือไว้ทันที ในขณะที่ไกรและสินก็หันไปคว้าคบเพลิงของผู้คุมคนอื่นมาถือไว้เช่นกัน อันเป็นสัญญาณว่านอกจากพวกเขาแล้ว คนอื่นไม่ต้องตามมา
 
       " น...น้อมรับบัญชาขอรับ "
 
       ' ง...ง่ายๆงี้เลยเหรอวะ? เฮ้ย! ปรกติแล้วคนระดับพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๒ จะเข้าไปในที่อันตรายแบบนี้พวกเอ็งต้องห้ามปรามมากกว่านี้สิเฟ้ย! '  ไกรกระพริบตาปริบๆพร้อมกับเกาหัวแกรกๆทันที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป...พอดีกับที่พระเจ้าอุมุมพรเริ่มพระราชดำเนินออกไป ทั้งเขาและสินจึงหันไปมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะพักหน้าเป็นเชิงให้รีบตามไปในทันที
 
       " ...อึ่ก...ข้าไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่าที่นี่มีอยู่จริง "  แม้แต่คนในยุคอันโหดร้ายนี้อย่างสินที่ตอนแรกพยายามทำหน้านิ่งๆอยู่ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีทันที เมื่อแสงจากคบเพลิงของเขาส่องให้เห็นถึงร่างของชายผู้หนึ่งที่อยู่ในสภาพทุเรศทุรังที่สุด...
 
      ...ร่าง...ของหนังหุ้มกระดูก ที่ผอมจนไม่อาจจะคะเนอายุหรือเชื้อชาติได้...หรือให้พูดตามที่เห็น...พวกเขาคะเนไม่ได้ด้วยซ้ำว่าร่างๆนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่...ร่างที่จมกองปฏิกูลที่กำลังเน่าเหม็นได้ที่อยู่นี่บ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่ของนักโทษเด็ดขาดในที่จองจำที่ดูเหมือนนรกบนดินแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
 
      ...ที่นี่ คือส่วนที่ดำมืดที่สุด...ของนครที่สว่างไสวที่สุด อย่างอโยธยาศรีรามเทพนครแห่งนี้...
 
       " ต้องบอกว่าข้าเองก็เสียใจที่พวกเจ้าจะต้องมาเห็นสภาพอันน่าสังเวชของพวกมันและคุกอันน่าทุเรศทุรังเช่นนี้...แต่ก็อย่างที่อยากจะบอก...ถึงการลงโทษที่สาหัสจะไม่ทำให้ผู้ถูกลงทัณฑ์สำนึกผิดหรือกลับใจ...แต่ในบางครั้ง การลงโทษที่รุนแรงเช่นนี้ก็อาจจะยังจำเป็นอยู่...และทุกคนที่อยู่ที่นี่ ก็สมควรได้รับโทษทัณฑ์ที่หนักหนาสาหัสกว่า ความตาย อันรวดเร็วทัั้งสิ้น...ถ้าหากเจ้าได้รู้ถึงวีรกรรมของไอ้หนังหุ้มกระดูกนั่น...เจ้าอาจจะไม่เหลือความสมเพชสงสารอยู่เลยก็เป็นได้... "
 
         ดำรัสอันเรียบเฉยของของพระเจ้าอุทุมพรที่ดำเนินนำหน้าไปโดยที่แทบจะไม่ได้สนพระทัยสภาพอันน่าสังเวชของร่างหนังหุ้มกระดูกที่สินให้ความสนใจอยู่เลยด้วยซ้ำ ทำให้สินที่อยู่เบื้องหลังถึงกับชักสีหน้าออกมาทันที...แต่ไหล่ของเขาก็ถูกมือหนาๆของไกรตบลงบางๆ พร้อมกับที่ไกรส่ายหน้าช้าๆเป็นเชิงเตือนให้เขาเลิกสนใจนักโทษพวกนี้เสีย
 
       " มาเถอะ สิน "
 
       " ต...แต่ว่า "
 
       " ถ้าเจ้ายังใจอ่อน...คิดเล็กคิดน้อยในทุกๆสิ่งที่เจ้าเดินผ่านเช่นนี้ เจ้าจะเป็นทหารที่ดีไม่ได้หรอก "
 
       " ท...ทหารที่ดี? "
 
        " ใช่แล้ว...ทหารที่ดี... "
 
       ' ใช่แล้ว...หรือจะพูดให้ถูก...ถ้าหากท่านยังใจอ่อนเช่นนี้ ท่านก็จะไม่อาจเป็นผู้นำกองทัพก๊กพระยาตาก...กู้เอกราชให้แก่ชาวไทยไม่ได้หรอก...สมเด็จพระเจ้าตากสิน... '  ไกรคิดต่อในใจอีกเล็กน้อยพร้อมกับเหลือบไปมองร่างหุ้มกระดูกที่อยู่ในกรงเหล็กนั่นอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะเบือนหน้ากลับไปและเดินต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
      ...ถ้าหากให้พูดตามตรง...ไกรที่เป็นผู้ที่มาจากอนาคตที่ศิวิไลซ์กว่านี้และโหดร้ายน้อยกว่านี้ควรจะเป็นผู้ที่ช๊อคกับสิ่งที่ปรากฏผ่านคลองสายตาเหล่านี้ มากกว่าสินที่เป็นคนของยุคนี้อยู่แล้วด้วยซ้ำ...แต่เขาเลือกที่ทำในสิ่งที่ง่ายดายที่สุด ถึงเป็นสิ่งที่เขารังเกียจที่สุดก็ตามที...
 
      ...เขาแค่เพียงเบือนหน้าหนีจากมันเท่านั้น...
 
      ...สั้นๆ ง่ายๆ...เหมือนกับการเบือนหน้าหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบ และปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่แตะต้องเท่านั้น...แต่มันก็ได้ผลที่สุดสำหรับสิ่งที่เขาเผชิญอยู่ตรงหน้า...เพราะเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงอดีต...เขาเพียงแค่ลื่นไหลไปตามกระแสของอดีต และปล่อยให้มันไหลไปอย่างที่มันควรเป็น...ตามที่เขาได้เรียนรู้มาเท่านั้น...
 
       " หึๆ...ทหารที่ดีอย่างนั้นรึ...ฮ่าๆๆ...บางครั้งในเวลานี้...ที่อโยธยาอันแข็งนอกกลวงในนี้ต้องการ...ก็เพียงแค่ ทหารที่ดี อย่างที่เจ้าว่านั่นแหละ...ไกร "  พระเจ้าอุทุมพรที่ดำเนินนำหน้าอยู่ยังถึงกับต้องผินพระพักตร์กลับมาทอดพระเนตร พร้อมกับสรวลและตรัสเบาๆราวกับรำพึงกับตัวพระองค์เองเท่านั้น
 
      ...หลังจากการพูดคุยสั้นๆนี้จบลง...ทั้งไกรและสินต่างก็รีบเร่งฝีเท้าตามเสด็จพระเจ้าอุทุมพรที่ดำเนินล้ำหน้าไปอยู่ก่อนแล้วให้ทัน...ก่อนที่พระเจ้าอุทุมพรจะนำพวกเขาผ่านเส้นทางอันคดเคี้ยวที่เป็นเหมือนกับเขาวงกตย่อมๆ ที่ถูกสร้างจากกรงเหล็กและความตายนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับกลิ่นของซากศพและปฏิกูลอันเน่าเหม็นที่ทะลุผ้าที่ปิดปากอยู่แรงขึ้นทุกขณะที่ก้าวลึกเข้ามา เป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่อาจทราบได้...จนกระทั่งในที่สุด...เขาก็มาถึงจุดหมายปลายทาง...จุดที่เวลานี้พวกเขาไม่ได้กลิ่นเน่าเหม็นอันน่าขยะแขยงเหล่านั้นอีกต่อไป...
 
      ...เพราะกลิ่นเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยกลิ่นของอาถรรพ์อวิชชาชั้นต่ำและความตายอันเข้มข้น...จนแม้แต่ไกรและสินที่ว่ามีสุขภาพดีที่สุดยังรู้สึกตะครั้นตะครอและพาลจะจับไข้เอาได้ง่ายๆเลยทีเดียว...
 
       ' แบบนี้นี่เอง ที่ทำให้พระเจ้าอุทุมพรเลือกที่จะไม่เชิญพระเจ้าเอกทัศน์ให้โดยเสด็จมาด้วย...แม้แค่เรายังรู้สึกอึดอัด...ถ้าพระเจ้าเอกทัศน์มาอยู่ที่นี่...มีหวัง... '  ไกรอดคิดในใจเล็กน้อยไม่ได้ ก่อนจะเพ่งมองไปที่กรงขังขนาดใหญ่ที่สุดที่เป็นเหมือนทางตันตรงหน้าเขา แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากความมืดมิด ทำให้สินที่อยู่ข้างๆขยับเดินเข้าไปเพื่อส่องไต้ให้สว่างขึ้น
 
       " ระวังน่อ สิน...อาจจะมีภูติผีปิศาจโผล่ออกมาก็เป็นได้ "  ถึงจะรู้ว่าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ควร แต่ไกรก็ยังอดที่จะเอ่ยหยอกล้อเด็กหนุ่มผู้อยู่ในสายบังคับบัญชาของเขาไม่ได้ ในขณะที่สินเองก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับแกล้งหัวเราะประชดกลับมาเบาๆ
 
       " ฮา ฮา ฮา...น่าขบขันสิ้นดีขอรับ "  เขาพูดพร้อมกับยื่นไต้ หรือคบเพลิงในมือเข้าไปในลูกกรงเหล็กตรงหน้า ...แต่ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้ อยู่ๆเสียงหัวเราะอันแหบพร่าและน่าขนลุกที่สุดก็ดังก้องไปทั่วบริเวณจนไกรถึงกับสะดุ้งโหยง และสินถึงกับทิ้งไต้ในมือลงและวิ่งตาเหลือกพุ่งกลับมารวมกลุ่มกันกับไกรและพระเจ้าอุทุมพรอย่างขวัญหนีดีฝ่อทันที
 
       " ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า "
 
       " ร...ระยำเอ้ย! โดนเล่นซะแล้ว!! "  ไกรสบถดังลั่นพร้อมกับชักดาบที่อยู่ในมือขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมทันที แต่เขาก็ต้องชะงักกึกเพราะพระเจ้าอุทุมพรที่ดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่ไม่ตื่นตกใจกับเสียงหัวเราะปริศนานั่นโบกหัตถ์เป็นเชิงห้าม ก่อนจะดำเนินก้าวไปด้านหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตรัสขึ้นเรียบๆว่า
 
       " เลิกเล่นได้แล้ว...เรือง...พวกข้ามาดี "
 
         ดำรัสเรียบๆของพระองค์เป็นเหมือนกับสวิตช์ที่หยุดเสียงหัวเราะอันน่าขนลุกนั้นลงอย่างชะงัด ก่อนที่เสียงอันแหบพร่าเสียงเดียวกันนั้นจะพูดขึ้นเบาๆอีกครั้ง
 
       " เตโช... "
 
         หลังสิ้นคำพูดสั้นๆนั้น อยู่ๆ ไต้หรือคบเพลิงที่สินเผลอทิ้งไว้ในลูกกรงนั้นก็ลุกโชติช่วงขึ้นราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน จนกระทั่งทำให้บริเวณเบื้องหลังลูกกรงนั้นสว่างไสวจนเห็นผู้ที่ถูกขังอยู่ภายในและความพิเศษของลูกกรงที่ขังเขาไว้ ซึ่งต่างจากห้องขังอื่นๆที่พวกเขาเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิงอย่างชัดเจน
 
         ถ้าไม่นับผมเผ้าและหนวดเคราที่ยาวเฟื้อยและรุงรังจากการติดคุกติดตารางมาเป็นเวลานาน สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คงจะเป็นสีของเส้นผมอันยาวและรุงรังของชายหนุ่มที่เป็นสีทองแดง แทนที่จะเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มอย่างที่ควรจะเป็น...ใบหน้าของเขานอกจากจะถูกปิดบังไว้ด้วยผมเผ้าและเคราดกหนาแล้ว ที่บริเวณดวงตาทั้งสองข้างยังถูกปิดไว้ด้วยแถบหนังสัตว์สีคล้ำที่เหมือนกับถูกเย็บติดไว้กับใบหน้าอย่างถาวร...ร่างกึ่งกล้ามเนื้อกึ่งกระดูกอันน่าจะเคยอุดมไปด้วยมัดกล้ามมาก่อน เต็มไปด้วยรอยสักของยันต์และอักขระเขมรต่างๆจนท่วมตัวแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆ ที่ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองข้างถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนเหล็กอันแน่นหนาที่สลักไว้ด้วยอักขระอาถรรพ์รูปร่างแปลกๆเหมือนกับเพื่อสะกดพลังของผู้ถูกล่ามไว้ตามความเชื่อเกียวกับไสยเวทย์นั่นเอง
 
         ส่วนของลูกกรงเหล็กที่ขังขายหนุ่มผู้นี้ไว้ก็ถูกเจิมไว้ด้วยแป้งเจิมสีขาวขุ่นเก่าๆ ที่ถูกเจิมเป็นอักขระโบราณทุกซี่ลูกกรงที่ล้อมรอบชายผู้นี้อยู่ และภายใต้แสงสว่างจากคบเพลิงที่ลุกโชติช่วงอยู่นี้ ทั้งไกรและสินก็ได้เห็นสิ่งที่น่าประหลาดและอยู่ผิดที่ผิดทางที่สุด นั่นคือพระพุทธรูปทองเหลืองปางมารวิชัยที่ถูกตั้งประดิษฐานไว้ทั้ง ๔ ทิศ ที่ถูกโยงติดกันไว้ด้วยสายสิญจน์สีขาวมอๆ ล้อมรอบชายผู้ถูกคุมขังไว้อีกชั้นหนึ่ง...พักตร์ของพระพุทธรูปทั้ง ๔ ต่างจับจ้องมาที่ชายหนุ่มที่ถูกตีตรวนอยู่กลางวงราวกับกำลังจับจ้องมองความผิดขั้นอุกฤษฏ์โทษของชายผู้นั้นก็ไม่ปานเลยทีเดียว!! 
 
       " อ...อึ่ก...ถึงจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ฉากที่เห็นอยู่นี่มัน...เกินกว่าสามัญสำนึกของข้าจะคาดเดาได้จริงๆ "  ไกรที่เวลานี้ยังคงกำดาบในมือแน่นโดยไม่ยอมลดการป้องกันลงถึงกับต้องกัดฟันกระซิบออกมาเบาๆ ในขณะที่สินที่เรียกสติกลับคืนมาได้แล้วก็ชักดาบคู่ที่ขัดอยู่กลางหลังออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมเหมือนกับไกรทันที
 
       " ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า ...ในที่สุด... "
 
       " ในที่สุด? "
 
       " สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร...ที่พระองค์เสด็จมาถึงที่นี่ได้ ก็แปลว่า ขุนหลวงขี้เรื้อน นั่นคงจะกลับสู่สวรรค์ไปแล้วสินะ!...ฮ่าๆๆ ก็คิดไว้อยู่แล้ว...คนเป็นโรคเรื้อนขนาดหนักเช่นนั้นจะอยู่บนบัลลังก์ได้สักกี่ปี่กันเชียว... " 
 
         คำพูดอันไร้ซึ่งความยำเกรงของอดีตพระยาเพชรบุรีผู้ถูกจองจำอยู่นี้มำเอาสินถึงกับชักสีหน้าในขณะที่พรเจ้าอุทุมพรเองที่ทีแรกพยายามวางอุเบกขาปั้นพระพักตร์นิ่งยังถึงกับต้องขนงกระตุก ก่อนจะปัสสาสะเฮือกอย่างถอนฉุนและตรัสขึ้นเรียบๆว่า
 
       " เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าพระเจ้าเอกทัศน์ทรงสวรรคตแล้วล่ะ? "
 
       " ฮ่าๆ ก็ถ้าหากยังไม่สวรรคต ท่านก็คงจะไม่สึกออกมาเพื่อครองราชบัลลังก์...ตามศักดิ์และสิทธิ์ที่เป็นของท่านอยู่แล้วเป็นแน่...และที่ท่านมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาถึงนรกที่นี่ก็แปลได้เป็นอย่างเดียวว่า...ตัวข้าพุทธเจ้าได้พ้นจากขุมนรกระยำแห่งนี้แล้ว! "
 
       " จากเท่าที่ข้าดู...เจ้ากูดูเหมือนจะสุขสบายดีใน ขุมนรก แห่งนี้นี่? "
 
       " ทรงตรัสหยอกข้าพุทธเจ้าอย่างนั้นหรือ? "
 
         ดวงเนตรอันการุณของพระเจ้าอุทุมพรบัดนี้กลายเป็นความว่างเปล่าจนไม่อาจจะคาดคะเนสิ่งที่อยู่ในพระทัยของพระองค์ได้ ก่อนที่ในที่สุดพระองค์จะปัสสาสะเฮือกและดำเนินเข้าไปชิดลูกกรงนั้นโดยที่ไกรและสินที่ติดตามมาด้วยไม่อาจห้ามทัน
 
         แกร๊ก! 
 
         ก่อนที่ไกรและสินจะได้ทันว่าอะไร แม่กุญแจขนาดใหญ่ที่ลั่นดาลไว้ก็ถูกไขออกพร้อมกับที่พระองค์ดำเนินเข้าไปภายในลูกกรงนั้นทันที
 
       " สมเด็จท่าน!! "  ไกรตวาดลั่นพร้อมกับทำท่าจะพุ่งเข้าไปเพื่ออารักขา...เพราะในความคิดและสัมผัสของเขาแล้ว...การเข้าไปเพื่อเผชิญหน้ากับชายผู้นี้ อาจจะอันตรายพอๆกับเผชิญหน้ากับเสือที่ถูกขังอยู่ในกรงเลยก็ว่าได้...แต่พระเจ้าอุทุมพรทำเพียงแค่โบกหัตถ์เป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง ก่อนที่พระองค์จะงัดลูกกุญแจอีกดอกขึ้นมาและโยนไปให้ ในขณะที่พระยาเพชรบุรียกมือขึ้นรับกลางอากาศอย่างแม่นยำ ทั้งๆที่ดวงตาทั้งสองข้างถูกปิดไว้ด้วยแถบหนังจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้แล้วแท้ๆ
 
       " ศึกจากทางพม่ารามัญกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว...อย่างช้าที่สุดก็คงจะภายในไม่เกิน ๒-๓ เดือนข้างหน้านี้...ข้าจำเป็นต้องใช้ความสามารถของเจ้า... "
 
       " หืม? ศึกพม่าอย่างนั้นหรือพุทธเจ้าข้า? "  
 
       " เออ "
 
       " อืม...อดีตพรานป่าอย่างพระเจ้าอลองพญาปราบปรามพวกมอญได้เร็วกว่าที่ข้าพุทธเจ้าคาดไว้จริงๆ...แต่...ก็ดีแล้วล่ะที่มีท่านเป็นจอมทัพ...แทนที่จะเป็น ขุนหลวงขี้เรื้อน เชษฐาที่ไร้ซึ่งความสามารถของพระองค์ "
 
         แกร๊ก!
 
       " สิน... "
 
         ไกรรีบเอ่ยปรามเขึ้นเรียบๆทันที เพราะสินในเวลานี้ขยับตัวลงต่ำเพื่อเตรียมจะเข้าจู่โจมอีกฝ่ายโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิงอีกต่อไป...คำปรามของผู้บังคับบัญชาโดยตรงอย่างไกรทำให้หลวงยกกระบัตรหนุ่มผู้ในมือถือดาบอาฏมาททั้งสองข้างถึงกับกัดฟันกรอดจนกรามแทบแตกเพื่อระงับอารมณ์ที่ครุกรุ่นจนแทบจะระเบิดของตัวเองไว้ ก่อนจะรีบกระแทกดาบทั้งสองคืนเข้าสู่ฝักทันที...เพราะถ้าหากดาบทั้งสองยังคงอยู่ในมือ มันไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยว่าเขาจะไม่ขาดสติจนพุ่งเข้าไปบั่นคอนักโทษผู้ไร้ที่สูงที่ต่ำตรงหน้าอีก...ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรหลับเนตรพร้อมกับปัสสาสะ(ถอนหายใจ)เฮือกอีกครั้งและทรงตรัสขึ้นเรียบๆว่า
 
       " ก็จริงที่ว่าข้าเป็นจอมทัพผู้บัญชากองกำลังทหารและขุนนางทั้งหมด...แต่ว่านะ มีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เจ้าต้องรู้ไว้... "
 
         ดำรัสของพระเจ้าอุทุมพรทำให้มือที่กำลังใช้ลูกกุญแจไขตรวนที่ข้อเท้าของเรือง(อดีตพระยาเพชรบุรี) ถึงกับชะงักกึก พร้อมกับที่หัวอันกระเซอะกระเซิงนั้นจะเอียงเล็กน้อยเหมือนกับไม่แน่ใจว่าตัวเองฟังผิดหรือไม่ ก่อนที่ในที่สุดเขาจะตัดสินใจเอ่ยทูลถามเรียบๆ
 
       " ข้าพุทธเจ้าเชื่อว่าข้าพุทธเจ้าหูฝาดไป...พระองค์กำลังจะบอกว่า--- "
 
       " เออ...อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ...พ่ออยู่หัวสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ยังไม่สวรรคต และข้าก็ไม่ได้เป็นกษัตริย์อีกด้วย...ถึงแม้ว่าข้าจะมีศักดิ์เทียบเท่ากษัตริย์องค์ที่ ๒ ก็ตามที...ข้าสึกจากเพศบรรพชิตมาและดำรงตำแหน่งจอมทัพสูงสุดก็เพราะคำเชิญของท่านพี่ของข้าเท่านั้น... "
 
         กริ๊ก!
 
         หลังจากที่พระดำรัสสิ้นสุดลง ดาบที่อยู่ในฝักของไกรก็ถูกแง้มออกมาเล็กน้อยเพื่อเตรียมพร้อมทันที...ดวงตาของเขาส่องประกายวาววับอย่างน่ากลัวจนแม้แต่พระเจ้าอุทุมพรที่หันพระปฤษฎางค์(หลัง) ให้ยังรู้สึกได้ เพื่อกดดันไม่ให้พระยาเพชรบุรีคิดจะทำอะไรโง่ๆ...ถึงเขาจะรู้ว่ามันได้ผลน้อยมากสำหรับจอมขมังเวทย์อย่างอดีตพระยามีชื่อตรงหน้าก็ตามที
 
         อดีตเจ้าพระยาเพชรบุรีนั่งนิ่งราวกับถูกถอดปลั๊กไปอยู่นานถึงเกือบ ๓ นาที ราวกับว่ากำลังย่อยข้อมูล แถมยังย่อยได้ช้าเสียเหลือเกิน...ก่อนที่ในที่สุด นายเรืองผู้นี้จะยกมือที่ถูกปลดออกจากพันธนาการแล้วขึ้นตบหน้าผากของตัวเองเบาๆ พร้อมกับพูดเรียบๆราวกับรำพึงกับตัวเองว่า
 
       " พระองค์เคยหักหลังข้าและพรรคพวกมาแล้วครั้งหนึ่ง...พระองค์ยังทรงจำได้หรือไม่? "
 
         ไกรหันกลับไปพยักหน้าให้กับสินเบาๆเพื่อเป็นสัญญาณทันที เพราะเหตุการณ์กำลังเข้าสู่จุดเขม็งเกลียวสูงสุดแล้ว
 
       " ...แล้วพระองค์ยังกล้ามาปลดปล่อยข้า เพื่อสนตะพายให้ข้าเป็นควายใต้อาณัติของพระเจ้าเอกทัศน์...ผู้ที่ข้าพยายามจะลอบปลงพระชนม์อีกอย่างนั้นรึ!! "  เสียงตวาดอันดังลั่นราวกับกำลังระเบิดอารมณ์ของเรือนเป็นเหมือนสัญญาณให้ไกรและสินพุ่งเข้ามากั้นระหว่างพระเจ้าอุทุมพรและเรือนทันที...รอเพียงสัญญาณจากพระเจ้าอุทุมพรเท่านั้น!...
 
       " พวกเจ้า...ถอยไป... "
 
         ไกรและสินถึงกับต้องหันกลับมามองพระพักตร์ของนายเหนือหัวอย่างไม่เชื่อหูตัวเองทันที แต่พระเจ้าอุทุมพรพยักพระพักตร์เป็นเชิงย้ำอีกครั้ง นั่นทำให้ไกรและสินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะถอยออกมา แต่ก็ยังอยู่ในระยะที่พอพุ่งเข้าอารักขาได้อยู่
 
       " ...พระองค์...มีอะไรจะบอกกับข้าพุทธเจ้าหรือไม่? "  เรืองที่เวลานี้ปลดพันธนาการออกจากข้อมือและข้อเท้าออกหมดแล้วลุกพรวดขึ้นยืนเผชิญหน้ากับพระเจ้าอุทุมพรอย่างไม่เกรงพระราชอาญาใดๆทั้งสิ้น ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรยังคงวางอุเบกขา นิ่งเฉยต่อการถูกดูหมิ่นนี้ได้อย่างเหลือเชื่อ...พระองค์ใช้เนตรอันสงบนิ่งอ่านไม่ออกของพระองค์ จ้องมองอีกฝ่ายพร้อมกับตรัสขึ้นเรียบๆว่า
 
       " ข้าต้องการความสามารถของเจ้า...เรือง...ความสามารถอันไร้เทียมทานในพระเวทย์และอวิชชาของเจ้า "
 
       " หลังจากที่พระองค์ทรยศต่อข้า! ตามด้วยทรยศต่อตัวพระองค์เองเช่นนี้นะหรือพระพุทธเจ้าข้า!! "  อดีตพระยาเพชรบุรีผู้ต้องโทษทัณฑ์ฐานพยายามลอบปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ใช้มือกระชากแถบหนังที่ถูกเย็บปิดดวงตาไว้ออกอย่างแรง จนกระทั่งด้ายที่เย็บแถมหนังติดบริเวณหน้าผากกับโหนกแก้มถึงกับฉีกกระจาย เลือดสีคล้ำพุ่งกระฉูดออกมาราวกับน้ำพุ แต่เขากลับไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ...ดวงตาสีทองแดงเบื้องหลังแถบหนังนั่นเต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆที่ผสมปนเปกันไปจนไม่อาจแยกออก...ระหว่างความโกรธเกรี้ยว ความแค้น ความโศกเศร้าที่ถูกทรยศหักหลังซ้ำแล้วซ้ำอีก จนในที่สุด มันก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับที่เรืองพึ่งเข้าใส่ผู้ที่เขาจงรักภักดีที่สุดตรงหน้าเขาทันที!
 
       " พระเจ้าอุทุมพร! ระวัง!! "  ไกรตวาดลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าไปเพื่อจะหยุดอีกฝ่ายไว้ทันที แต่ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างงุนงงอีกครั้ง
 
         เพราะก่อนที่กรงเล็บที่งองุ้มราวกับกรงเล็บเหยี่ยวของเรือนจะพุ่งเข้าถึงพระวรกายของพระเจ้าอุทุมพรเพียงองคุลีเดียว กรงเล็บนั้นก็หยุดชะงักลงราวกับถูกเกราะที่มองไม่เห็นกั้นไว้ ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรที่เหมือนกับจะทราบถึงเหตุการณ์นี้ล่วงหน้าอยู่แล้วก็สรวลออกมาเบาๆว่า 
 
       " หึๆ...กะไว้อยู่แล้ว "
 
       " ก...กรอด! "
 
       " ถึงจะเต็มไปด้วยความแค้นและจิตมุ่งร้าย...แต่เจ้าก็ยังไม่อาจจะฝืนคำสัตย์สาบานแห่งน้ำพระพิพัฒน์สัตยา...ที่เจ้าเคยให้สัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดี...ปกป้องข้าจนกว่าชีพของเจ้าจะหาไม่...ยิ่งสำหรับจอมขมังเวทย์ที่ต้องถือสัจจะเป็นที่ตั้งเหนือสิ่งอื่นใดอย่างเจ้าแล้ว...โองการแช่งน้ำนี้...ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะสามารถละเมิดมันได้ "
 
       " ...ถ...ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีวันยอมก้มหัวให้กับพระเชษฐาของท่าน ผู้ที่ข้ามิได้สาบานว่าจะจงรักภักดีด้วยหรอกพระพุทธเจ้าข้า! "
 
       " เฮ้อ...ข้าเชื่อว่าสักวัน...เมื่อเจ้าได้เห็นโลกภายนอกอันสงบสุขที่พี่ข้าเพียรพยายามสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ทั้งสองของพระองค์...เจ้าจะเข้าใจและยินยอมพร้อมใจเอง...เอาล่ะ...ในเวลานี้... "
 
        " ...พระยาเพชรบุรี...เรือง...วันเวลาสำหรับพักผ่อนของเจ้าหมดลงแล้ว! "
 
 
 
 
 
 
 .................................................
 
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา