ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.19K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

50)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

       " ท่านศรีปราชญ์ "

 

         เสียงของพระภิกษุที่กำลังเข้าสู่วัยชราที่ยังคงนั่งในท่าวิปัสนากรรมฐาน เอ่ยปลุกท่านผู้เฒ่าจากภวังค์ลึกที่เขากำลังดำดิ่งอยู่ในห้วงอดีตอันแสนนาน...กระชากชายหนุ่มผู้เป็นอมตะให้กลับสู่เวลาปัจจุบันอีกครั้ง...ท่านผู้เฒ่ากระพริบตาถี่ๆ ๒-๓ ครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นลูกใบหน้าที่ซึมชื้นไปด้วยเหงื่อกาฬเล็กน้อยพร้อมกับถอนหายใจเฮือก

 

       " เฮ้อ...ด้วยความเคารพนะ...ถ้าหากพระคุณเจ้ายังเห็นและนับถือข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาต และหัวหน้าของท่านอยู่...แม้ว่าจะเป็นแค่อดีตหัวหน้าก็ตาม...โปรดเรียกข้าว่า ท่านผู้เฒ่า เช่นเดิมเถอะ "

 

       " หึๆ...ก็ถ้าในเมื่อคุณโยมขอ ก็ตามแต่ใจคุณโยมก็ได้...โยมท่านผู้เฒ่า "

 

       " เฮ้อ...ขอบใจนะที่อุตส่าห์ทำให้ข้าหวนนึกถึงอดีตช่วงที่ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ได้ "

 

       " ฮ่ะๆ เอาเป็นว่าอาตมาขออภัยที่ทำให้คุณโยมอารมณ์เสียก็แล้วกัน...ว่าแต่...ที่คุณโยมอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่วัดนี่...คุณโยมมีกิจอันใดอย่างนั้นรึ? "

 

         คำถามเพื่อเข้าเรื่องของพระผู้เคยเป็นอดีตลูกน้องของท่านผู้เฒ่าทำให้เขาถอนหายใจเฮือกอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนท่านั่งเป็นท่าขัดสมาธิ เพราะหากเข้าเรื่องจริงๆ งานนี้มีหวังได้คุยกันยาวแน่ๆ ...ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นเล่าเรื่องเกี่ยวกับมือสังหารประหลาดพร้อมกับตราสัญลักษณ์โลหะที่ค้นเจอในศพของมือสังหารผู้นั้นให้ฟังอย่างละเอียด ซึ่งก็กินเวลาไปไม่ใช่น้อยๆทีเดียว...ซึ่งทันทีที่เขาเล่าจนจบ พระภิกษุที่ยังคงนั่งหันหลังให้ผู้นี้ก็ถึงกับครางออกมาเบาๆอย่างสนอกสนใจทันที

 

       " แล้ว...ท่านคิดเห็นอย่างไร? ทานผู้เฒ่า "

 

       " ถ้าข้าคิดออกข้าคงจะไม่บากหน้ามาพึ่งพระคุณเจ้าหรอก...เรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องใช้ความสามารถในการรวบรวมข่าวสารของ เจ้ากรมข่าวลือ อย่างพระคุณเจ้าเพื่อหาหลักฐานให้มากขึ้นแล้วล่ะ "

 

       " จ...เจ้ากรม...ข่าวลือ? "  พระภิกษุตรงงหน้าทำปากพะงาบๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนที่ในที่สุดท่านก็ครางออกมาเบาๆ

 

       " พระคุณเจ้า? "

 

       " ...อาตมามีความคิดสุดโต่ง...สุดโต่งที่ว่าแม้แต่ตัวอาตมาเองยังแทบไม่เชื่อว่าตัวเองคิดได้...แต่ถ้ามองในแง่ของความสมเหตุสมผลล่ะก็...สมมติฐานนี้ของอาตมามันสมเหตุสมผลจนน่าตกใจเลยทีเดียวล่ะ "

 

       " ??? "

 

       " ข้ากำลังคิดถึงกลุ่มมือสังหารดำที่เป็นผู้ลอบสังหารท่านเหล็ก...สมุหกลาโหมไร้พ่ายในยุครัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์...และเป็นเบื้องหลังปฐมเหตุให้สมเด็จพระเพทราชาต้องชิงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แทนน่ะ "  คำพูดของพระภิกษุผู้นั้นทำให้ท่านผู้เฒ่าขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยและตอบกลับไปทันที

 

       " ไม่มีทางหรอก...ไอ้กลุ่มมือสังหารดำนั่น ข้าและเหล่ามือสังหารรุ่นแรกก็จัดการจนสิ้นซากไม่อาจฟื้นตัวได้ในยุคสมัยของสมเด็จพระเจ้าเสือแล้ว...และเพื่อความมั่นใจ ข้าก็เข้ารับราชการเป็นถึงสมุหนายกในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าท้ายสระผู้เป็นราชโอรสของพระเจ้าเสือเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวอื่นๆ...แต่ตลอดระยะเวลาที่ข้าอยู่ในตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย...ก็น่าจะรับรองได้ว่าไอ้กลุ่มมือสังหารห่านเหวนั่นหมดสิ้นไปแล้ว... "

 

       " หมดสิ้นไปก็ใช่ว่าจะเกิดใหม่ไม่ได้นะ...ท่านผู้เฒ่า...ไอ้อาตมาเองที่ไม่ใช่รุ่นแรกก็คงพูดอะไรไม่ได้หรอก ก็เพียงแค่ตามลบ และรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่ท่านและเหล่ามือสังหารรุ่นที่ ๑ ทิ้งเอาไว้เท่านั้น...แต่นั่นทำให้อาตมาทราบว่าเรายังไม่ทราบถึงจุดมุ่งหมายของเหล่ามือสังหารดำนั่นเลย... "  

 

       " พระคุณเจ้า...จะบอกว่า? "

 

       " ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ...ท่านผู้เฒ่า...ก็ถ้าปฏิธานยังไม่สำเร็จ...มันจะแปลกอะไรถ้าหากพวกมันจะกลับมาอีก...เพื่อสานต่อสิ่งที่ยังไม่สำเร็จให้เสร็จสมบูรณ์! "

 

 

 

 

 

 

..................................................

 

 

 

 

 

 

     ...ย้อนกลับมาที่เจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี และหลวงยกกระบัตรเมืองตาก...

 

       " ที่นี่สินะ... "

 

       " ขอรับ "

 

       " แน่ใจแล้วสินะ "

 

       " ขอรับ... "

 

       " ...ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามอย่างนึง...ทำไมที่หน้าคุกมันถึงได้มีตลาดที่ใหญ่โตขนาดนี้ละเฟ้ย!! "  ในที่สุดไกรก็หมดความอดทนที่จะค่อยๆตะล่อมอย่างสุภาพก่อนจะถามอีกฝ่ายไปตรงๆทันที ในขณะที่สินเองก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆพร้อมกับแยกเขี้ยววับตอบกลับมาทันที

 

       " ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ...แต่เท่าที่ข้ารู้ ที่นี่เรียกว่าตลาดหน้าคุกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าตลาดนี่มาตั้งอยู่ตรงนี้ทำไม หรือเพราะอะไร ข้าจะรู้ไหมละขอรับ! "

 

      ...ตลาดที่ตั้งอยู่ตรงย่านตะแลงแกงอะันเป็นที่ตั้งของคุกหลวงเป็นตลาดขนาดใหญ่ชนิดที่ตลาดแห่งอื่นๆแทบจะเทียบไม่ติดเลย นอกจากตึกแถวของชาวจีนที่เปิดขายอาหารและของสดเรียงเป็นตับและร้านของพวกชาวตะวันตกที่ขายของใช้นำเข้าประหลาดๆต่างๆแล้ว ก็ยังมีร้านแผงลอยที่เป็นร้านของชาวบ้านนำของมาขายอีกเกือบร้อยร้าน...นับว่าตลาดหน้าคุกแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่และคึกคักที่สุดเลยก็ว่าได้...

 

       " ...ตลาดหน้าคุก...นึกว่าจะเป็นตลาดที่ขายของแพงๆ ขุดเลือดขูดเนื้อเสียอีก...แต่นี่มัน...ก็ขายด้วยราคาปกตินี่นา...ไม่สิ...ของหรืออาหารบางอย่างอย่างขายถูกกว่าปกติด้วยซ้ำ "  ไกรอดพูดเบาๆไม่ได้...เพราะเขาจำได้ลางว่าสำนวน ตลาดหน้าคุก มันคือของที่โก่งราคาขายแพงกว่าปกติและคนจำเป็นต้องซื้อ เสียอีก...ในขณะที่สินที่เดินตามมาก็ได้แ่เลิกคิ้วอย่างงงๆ อันพิสูจน์ได้ว่าสำนวน ตลาดหน้าคุก คงจะยังไม่เกิดในยุคสมัยนี้แน่

 

       " ข้าว่าก็ปรกตินี่ขอรับ...ยิ่งเป็นตลาดใหญ่อย่างตลาดหน้าคุกยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นตลาดที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เพราะเป็นทำเลทองที่มีผู้ต้องการมาขายที่นี่มาก...ถ้าขืนลองขายโก่งราคาเกินที่คลังกำหนด พวกกรมพระตำรวจก็ได้รวบน่ะสิ...บ้านเมืองมันมีขื่อมีแปนะ "

 

       " คำพูดนี้ พอพูดออกมาจากปากคนที่คิดจะเอาชนะข้าทุกวิถีทางโดยไม่สนกฎกติกาแล้วมันรู้สึกจี๊ดพิลึกเลย..."  ไกรพูดเบาๆพร้อมกับมองไปรอบๆ เพื่อซึมซับบรรยากาศของตลาดเมื่อยามสายๆนี้อย่างเต็มที่...เพราะคนในยุคปัจจุบันอย่างเขาคงไม่มีโอกาสได้เห็นบรรยากาศอันสงบสุขและงดงามแบบนี้แน่ๆ


      ...หลวงยกกระบัตรเมืองตากเหลือบมามองหน้าเจ้าพระยาผู้เป็นนายของตนโดยตรงเล็กน้อยอย่างงงงวยในพฤติกรรมแปลกๆของอีกฝ่าย ทั้งการเดินลอยชายชมนกชมไม้ราวกับไม่เคยเห็นตลาดเช่นนี้มาก่อน ทั้งคำพูดคำจาที่ดูเหมือนกับฝืนๆ แถมบางครั้งยังหลุดคำบางคำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตนี้ออกมาอีกด้วย...แต่ว่า...ยิ่งเขาได้รู้จักกับชายผู้นี้ เขายิ่งกลับรู้สึกถูกชะตาอย่างประหลาด...ทั้งๆที่เขาเองก็เป็นคนออกปากด้วยตัวเองไปแล้วแท้ๆว่าจะเอาชนะชายผู้นี้ให้ได้ ....แต่สัญชาตญาณลึกๆกลับบอกเขาว่าชายหนุ่มแปลกๆตรงหน้านี่แหละ ที่จะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือและสั่งสอนเขาในทุกๆอย่าง...

 

       " แปลกแท้ๆ "  สินได้แต่ครางออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจตัวเอง

 

       " หืม? มีอะไรรึเปล่า? "

 

       " เฮ้อ...เปล่าหรอกขอรับ...แค่ความคิดบ้าๆที่แล่นเข้าสู่หัวชั่วแวบนึงเท่านั้น "

 

         ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ติดใจจนกระทั่งเอ่ยปากถามอะไร...พวกเขายืนมองบรรยากาศโดยรอบอย่างเงียบๆเป็นเวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ จนกระทั่งในที่สุดชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปลุกพวกเขาสองคนให้ตื่นจากภวังค์ช้าๆ

 

       " ...ขอโทษด้วยนะที่ปล่อยให้พวกเจ้ารอตั้งนาน "

 

       " หืม? "  ทั้งไกรและสินต่างก็เลิกคิ้วและครางออกมาเบาๆเล็กน้อยกับชายร่างสันทัดในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ ที่ใช้ผ้าทีบๆปิดบังหน้าตาที่เข้ามาทักเล็กน้อย...แต่เมื่อชายผู้นั้นเปิดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก พวกเขาก็ถึงกับสะดุ้งและรีบก้มลงเพื่อทำความเคารพทันที

 

       " ส...สมเด็จเจ้า--- "  

 

         โป๊ก! โป๊ก!

 

         แต่พวกเขายังก้มไม่ทันถึงพื้น สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรที่อยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดาๆก็เอาไม้ตะพดที่ถือมาด้วยเคาะเข้ากลางกบาลของทั้งไกรและสินไปคนละที ก่อนจะแยกพระทาฐะ(เขี้ยว)วับทันที

 

       " วัดโธ่เอ้ย!...จะทำเอิกเกริกไปทำอะไรเล่า...ถ้าข้าต้องการให้พวกเจ้าถวายบังคมอย่างเต็มยศ แล้วข้าจะแต่งองค์ด้วยชุดชาวบ้านธรรมดาๆ และมาเป็นการส่วนพระองค์โดยไม่มีทหารราชองครักษ์ติดตามมาด้วยเพื่ออะไรล่ะ!! "

 

       " อ...เอ่อ...ขอรับ "  สินเอามือลูบหัวป้อยพร้อมกับครางรับคำเบาๆ ในขณะที่ไกรรีบกราบทูลสวนขึ้นมาทันที

 

       " สมเด็จท่าน--- "

 

       " ก็บอกแล้วอย่างไรว่าข้ามาเป็นการลับ ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ "

 

       " ท...ท่าน...เหตุใดท่านถึงได้ทำการสุ่มเสี่ยงอย่างนี้ล่ะ! เสด็จ---เดินทางมาคนเดียวทั้งๆที่ท่านก็รู้ว่าท่านและพ่ออยู่หัวกำลังถูกปองร้ายอยู่เช่นนี้! "

 

       " ถูกปองร้าย? "  สินที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรถึงกับต้องครางออกมาอย่างงงๆ ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรถึงกับปัสสาสะ(ถอนหายใจ) เฮือกพร้อมกับยักอังสะ(ไหล่) ทันที

 

       " เอาเข้าแล้วเป็นไร...เพราะอยู่กับท่านออกญาฯมาก เลยติดสันดานขี้บ่นเป็นตาแก่ของตานั่นมาเป็นแน่ "

 

         คำดักคอของสมเด็จเจ้าฟ้าทำให้ไกรถึงกับทำหน้าปุเลี่ยนๆทันที ก่อนที่จะรีบกราบทูลเบาๆอีกครั้ง

 

       " โธ่! นี่กระผมจริงจังนะขอรับ!... "

 

       " เฮ้อ...มันช่วยไม่ได้นี่นา... "

 

       " ข่วย...ไม่ได้? "

 

         สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร...จอมทัพผู้เป็นเสมือนกษัตริย์องค์ที่ ๒ ในชุดชาวบ้านธรรมดาผินพระพักตร์มามองชายหนุ่มตรงหน้าทั้งสองคนเล็กน้อย ก่อนจะหลับพระเนตรและปัสสาสะเฮือกอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ และตรัสออกมาเบาๆว่า

 

       " ช่วยไมได้...เรืองนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไหน่ก็ยิ่งเป็นการดีเท่านั้น...เพราะไอ้คนที่ข้าจะมีโองการอภัยโทษ แล้วให้ออกมาร่วมหน่วยคเณศร์เสียงาของเจ้าเนี่ย...ถ้าหากมีผู้ใดรู้เข้า ข้าก็มีหวังเป็นขี้ปากถูกครหานินทาแน่ๆน่ะสิ "

 

       " หา? "

 

       " ก็...เพราะไอ้นักโทษเด็ดขาดผู้นี้...ต้องติดคุกด้วยข้อหาที่อุกฉกรรจ์ที่สุด  คือสมคบคิดกับพวก วางแผนลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ พระเชษฐาของข้าอย่างไรล่ะ "

 

       " แล้วใจคอท่านยังจะปล่อยมันออกมาอีกเนี่ยนะขอรับ!! "  ถึงตรงนี้ ทั้งไกรและสินต่างก็ตะโกนออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทันที!

 

 

 

 

 

...................................................

 

 

 

 

 

      ...เมื่อทราบแน่แล้วว่าพวกเขาไม่อาจเปลี่ยนความตั้งใจของจอมทัพผู้เป็นเสมือนพ่ออยู่หัวองค์ที่ ๒ อย่างสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรได้ ทั้งไกรและสินก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเดินตามเสด็จไปที่คุกอันอยู่ไม่ไกลจากย่านตะแลงแกงและตลาดหน้าคุกมากนัก ก่อนที่พระเจ้าอุทุมพรจะบอกให้ไกรใช้อำนาจของธำมรงค์พระราชทานเพื่อผ่านเหล่าผู้คุมร่างยักษ์เพื่อเข้าไปในคุกอย่างง่ายๆโดยที่ผู้คุมเหล่านั้นไม่แม้แต่จะซักถามอะไรเกี่ยวกับ ผู้ติดตาม ทั้ง๒ คนที่มาด้วยเลยด้วยซ้ำ ....นั่นทำให้ไกรได้รู้ว่าธำมรงค์พระราชทานที่เขาเอาห้อยคออยู่นั้นไมได้มีอำนาจแค่ในราชวังเท่านั้น แต่เขาสามารถใช้มันเพื่อเข้าถึงส่วนราชการต่างๆได้ทุกที่เลยก็ว่าได้...

 

       ' ถ้านับแค่อำนาจในการผ่านเข้าออกสถานที่ราชการต่างๆ...แหวนวงนี้ก็ไม่ต่างจากพระแสงดาบอาญาสิทธิ์เลยไม่ใช่รึไงเนี่ย? '  ไกรคิดในใจเล็กน้อยพร้อมกับประเมินอำนาจของธำมรงค์พระราชทานนี้ใหม่ ก่อนจะชะงักเล็กน้อยเมื่อพระเจ้าอุทุมพรที่เดินนำหน้าอยู่เอ่ยขึ้นกับเขาเบาๆว่า

 

       " อืม...ข้าว่าจะถามตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว...มันก็น่าแปลกนะที่คราวนี้เจ้าไม่ได้มาพร้อมกับท่านออก---มาพร้อมกับคนติดตามของเจ้า...แต่มากับสินแทนเช่นนี้...เจ้านั่นไปไหนเสียแล้วล่ะ "  พระเจ้าอุทุมพรเร็วพอจะเปลี่ยนคำเรียกของท่านผู้เฒ่าจากท่านออกญาฯที่เคยตรัสจนติดพระโอษฐ์ กลายเป็นคนติดตามของไกรแทนโดยที่สินไม่ทันได้จับสังเกตอะไรได้ ในขณะที่ไกรเองก็ลอบอมยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับไปว่า

 

       " เขาไปทำธุระแทนกระผมที่ชานเมืองน่ะขอรับ ส่วนสินเองก็เห็นว่าว่างๆอยู่ ก็เลยชวนมาด้วยกัน "

 

       " ชวนมาด้วยกัน? "

 

       " ท่านเจ้าพระยาหมายถึงสั่งให้กระผมติดตามมาด้วยน่ะขอรับ "  สินแก้คำพูดของไกรเบาๆ เพื่อให้พระเจ้าอุทุมพรเข้าพระทัยมากขึ้น ซึ่งพระเจ้าอุทุมพรก็พยักพระพักตร์อย่างไม่ติดพระทัยอะไร หรือต่อให้ติดพระทัย พระองค์ก็ซ่อนมันไว้ได้อย่างมิดชิดเลยทีเดียว

 

       " ว่าแต่...เรื่องที่พระองค์---หมายถึงท่านว่าถึงชายที่ทำให้ท่านต้องมาที่นี่เพื่อปลดปล่อยเขาและแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในหน่วยของกระผม...กับเรื่องที่ท่านบอกว่าเขาเคยวางแผนลอบปลงพระชนม์นี่ ตกลงมันเป็นอย่างไรกันแน่หรือขอรับ? "  หลังจากที่เดินกันอย่างเงียบๆ ผ่านอาคารไม้ที่เป็นเหมือนอาคารคุมขังที่มีเวรยามยืนตรวจการกันอยู่ทุกจุดไปซักพัก...ในที่สุดไกรก็อดถามในสิ่งที่เขายังติดใจอยู่ขึ้นเบาๆไม่ได้ ในขณะที่เมื่อได้ยินคำถาม พระเจ้าอุทุมพรที่เวลานี้ยังคงใช้ผ้าปิดบังพระโฉมไว้อยู่ก็เอาหัตถ์ลูบพระหนุ(คาง) อย่างครุ่นคิดก่อนจะตรัสตอบเบาๆว่า

 

       " ก็... "  แต่แล้วพระองค์ก็ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะผินพระพักตร์มามองสินอย่างประเมินค่า...แต่เพียงครู่ต่อมาพระองค์ก็ปัสสาสะเฮือกและแย้มพระสรวลอย่างเชื่อใจว่าเด็กหนุ่มนามว่าสินผู้นี้คงปากหนักพอจะไม่แพร่งพรายให้คนอื่นรู้แน่...พระองค์จึงตรัสต่อเบาๆอีกครั้ง

 

       " ...เจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้วใช่ไหม ว่าข้าเคยขึ้นครองราชย์อยู่ประมาณ ๑ เดือนตามราชโองการสุดท้ายของพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศรัชกาลก่อน ผู้เป็นบิดาของข้าและพี่...ก่อนที่ข้าจะถวายราชสมบัติให้ท่านพี่น่ะ "

 

       " ขอรับ "

 

       " ไอ้คนที่ติดคุกอยู่นี่ก็เป็นหนึ่งในขุนนางระดับสูงมาตั้งแต่ครั้งแผ่นดินพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศ และถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อข้าไปแล้ว...ทีนี้พอข้าถวายราชสมบัติให้กับพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เรื่องก็เกิดเลย เพราะไอ้เวรนี่กับเพื่อนขุนนางกลุ่มหนึ่งไม่พอใจและไม่ยอมรับราชอำนาจของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์...วางแผนจะก่อการทุรยศลอบปลงพระชนม์พระองค์และคิดเชิญข้าที่เวลานั้นเป็นพระดอกเดื่อแห่งวัดประดู่ทรงธรรมขึ้นเป็นพ่ออยู่หัวดังเก่า...ตัวข้าเองกว่าจะทราบเรื่องนี้จากปากมัน ก็ปาเข้าไปเกือบถึงเวลาที่มันจะลงมือแล้ว "

 

         ไกรกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะลองนึกลำดับเหตุการณ์ดู และต้องยอมรับว่าเหตการณ์นี้ไม่ต่างจากที่ขุนพิเรนทรเทพหรือพระมหาธรรมราชา วางแผนกับเหล่าขุนนางลอบปลงพระชนม์ขุนวรวงศาธิราช...กษัตริย์ในเวลานั้น และทูลเชิญพระเฑียรราชาที่เวลานั้นผนวชเป็นพระภิกษุเพื่อหนีราชภัย ให้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหาจักรพรรดิเลย...

 

      ...เพียงแต่เหตุการณ์นี้มันต่างกันตรงที่พระดอกเดื่อหรือพระเจ้าอุทุมพรไม่ใช่พระเฑียรราชา...และพระเจ้าเอกทัศน์ก็ไม่ใช่ขุนวรวงศาธิราชนี่สิ...

 

       " ย...อย่าบอกนะว่า...ท่าน "

 

         พระเจ้าอุทุมพรเกาเศียรแกรกๆพร้อมกับมีพระพักตร์ปุเลี่ยนๆทันที พร้อมกับตรัสต่อเบาๆว่า

 

       " อ...อืม...อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ...พอวันรุ่งขึ้นข้าก็เข้ามาในวังและแจ้งข่าวนี้ รวมถึงแผนการทั้งหมดของเจ้านั่นแก่พ่ออยู่หัวเอกทัศน์ทันที แบบหมดสิ้นทุกถ้อยกระบวนความเลยล่ะ "

 

       " แบบนั้นมันเข้าข่ายทรยศความไว้ใจกันเห็นๆเลยไม่ใช่รึไงขอรับเนี่ย!! "  ไกรโพล่งตัดมุกออกมาลั่นอย่างลืมตัวทันที ในขณะที่พระเจ้าอุทุมพรเองก็แยกพระทาฐะ(เขี้ยว)วับและเถียงกลับมาด้วยพระสุรเสียงดังไม่แพ้กันว่า

 

       " อะไรเล่า! ก็บอกไปแล้วว่ามันฉุกละหุก ข้าเองเวลานั้นก็หัวเดียวกระเทียมลีบ...ไม่มีอำนาจพอจะหยุดมันได้ ทรยศมันก็ดีกว่าทรยศพี่ข้าก็แล้วกันล่ะวะ ปัดโธ่! "

 

       " อ...เอ่อ "  สินกระแอมไอเบาๆเพื่อเตือนให้ทั้งสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรและเจ้าพระยาพิทักษ์ฯรู้ตัวว่าพวกเขาทำตัวให้เป็นจุดสังเกตของเหล่าผู้คุมที่อยู่รอบๆแล้ว ทำให้ทั้งสองหันไปมองรอบๆพร้อมกับลดเสียงลงทันที แต่การโต้เถียง---หมายถึงการพูดคุยกันระหว่างหนึ่งจอมทัพผู้มีราชอำนาจเทียบเท่านพระมหากษัตริย์ กับอีกหนึ่งเจ้าพระยาพานทองผู้เป็นหัวหน้าทหารราชองครักษ์ก็ยังไม่จบลงแต่เพียงเท่านั้น

 

       " ถ...ถ้าอย่างนั้น...หลังจากที่ท่านแจ้งรหัสข่าวสารทุกอย่างแก่พ่ออยู่หัวแล้ว ต่อไปก็? "

 

       " อ...เออ...ก็อย่างที่เจ้าคิดอีกนั่นแหละ...หลังจากที่พ่ออยู่หัวทรงทราบ...ไอ้พวกขุนนางกบฎเหล่านั้นก็ถูกรวบทันควันทั้งนายทั้งไพร่...โดยที่พวกมันแทบไม่ได้ทำอะไรนอกจากวางแผนเลยด้วยซ้ำ...พระพี่นางและพ้ออยู่หัวมีความเห็นตรงกันทันทีว่าให้ลงอาญาฟันคอริบเรือนพวกมันทั้งหมดให้สาสมตามกฎมณเฑียรบาล ...แต่ว่าข้าก็ไปเอาหัวพาดเขียงเป็นประกันขอบิณฑบาตรโทษตายของมันกับพวกเอาไว้ได้ทัน "

 

       " บิณฑบาตรโทษ? "

 

       " อืม...ก็นะ...มันออกจะน่าสงสารไปเล็กน้อยที่ปล่อยให้พวกมันหัวขาดทั้งๆอย่างนั้นนี่ "

 

       " ก็ท่านเป็นต้นเหตุให้พวกเขาโดนรวบและต้องโทษประหารเองไม่ใช่รึไงล่ะขอรับ! "

 

       " ก็ถึงได้ช่วยขอไว้อย่างไรเล่า! อุวะ ไอ้นี่! ย้ำหัวตะปูซะจริง! ไม่รู้รึอย่างไรว่าเพราะข้าบากหน้าขอกันแบบหักคอขอนี่แหละที่ทำให้พระพี่นางกริ้วข้าเป็นฟืนเป็นไฟเลย หาว่าข้าใจอ่อนไม่เข้าเรื่อง ทั้งๆที่มันไม่ใช่ความผิดของข้าเลยแม้แต่น้อยแท้ๆ ให้ตกนรกสิเอ้า! "

 

         ไกรกับสินที่ฟังอยู่ได้แต่หันไปมองหน้ากันพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ...เพราะถ้าจะพูดกันตามจริง จะบอกว่าพระเจ้าอุทุมพรไม่ผิดเลยก็ไม่ได้ แต่ในฐานะของผู้ที่เคยตกอยู่ในสภาพตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน (ถึงเวลานี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพนี้อยู่) ทำให้ไกรอดเห็นใจอีกฝ่ายแบบสุดๆเลยไม่ได้...แต่ถึงอย่างนั้นไกรก็ยังมีข้อสงสัยเล็กๆอีกเรื่องที่ต้องถามไปอยู่ดีว่า

 

       " คือ...ก็ไม่ได้อยากจะถามอะไรไปมากกว่านี้หรอกนะขอรับ...แต่ว่าเขาถูกขังไว้ในข้อหาที่อุกฉกรรจ์ที่สุด คือคิดล้มล้างราชบัลลังก์ของพระเจ้าเอกทัศน์นะ ไอ้จะมาปล่อยตัวเขาเช่นนี้ มันจะดีจริงๆหรือขอรับ...กระผมหมายถึงเรื่องความจงรักภักดีน่ะ "

 

         พระเจ้าอุทุมพรขมวดพระขนงเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนที่พระองค์จะหลับเนตรและส่ายพระพักตร์เบาๆทันที

 

       " เฮ้อ...อย่างที่เจ้ากังวลนั่นแหละ...เรื่องความจงรักภักดีน่ะไม่ต้องพูดถึง...เมื่อปีก่อนมันคิดจะล้มล้างราชบัลลังก์ของพี่ข้าอย่างไร เวลานี้ก็คงไม่เปลี่ยนไปหรอก...คุกน่ะไม่ทำให้คนกลับใจเป็นคนดีได้อยู่แล้ว...มีแต่จะเพิ่มแรงอาฆาตไปเท่านั้น...แต่ว่า "

 

       " แต่ว่า? "

 

       " มันช่วยไม่ได้นี่นะ...ก็ไอ้นี่ดันเป็นทั้งทหารและจอมขมังเวทย์ที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักมา...มันเป็นกำลังสำคัญที่อาจจะขาดไปไม่ได้เลยสำหรับการรับศึกพม่าครานี้แน่ๆน่ะสิ "

 

         ดำรัสอันจริงจังของพระเจ้าอุทุมพรทำให้ไกรและสินถึงกับต้องหันมามองหน้ากันเองอย่างสงสัยและสนใจในตัวของไอ้นักโทษเด็ดขาดผู้นี้ทันที เพราะถึงขนาดที่พระเจ้าอุทุมพรออกโอษฐ์ด้วยตนเองเช่นนี้ก็แสดงว่าความสามารถของเจ้านั่นเป็นของจริงแน่ๆ

 

       ' เข้าใจล่ะ...เพราะมีประวัติไม่ดีตีตราอยู่แบบนี้ พระเจ้าเอกทัศน์และพราะเจ้าอุทุมพรเลยคิดจะให้มาอยู่กับเราและสินที่น่าจะเก่งในอีกด้านพอๆกันเพื่อจับตาดู และอยู่ใกล้พระเนตรพระกรรณของพ่ออยู่หัวทั้งสองด้วย แบบนี้ต่อให้คิดจะทำอะไรบ้าๆขึ้นมาก็คงทำได้ไม่ถนัดแน่ๆสินะ '

 

         ไกรพยักหน้าเบาๆอย่างเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ก่อนจะยอมรับว่าเป็นวิธีการที่ฉลาดจริงๆ เพราะไหนๆก็เป็นกำลังที่ขาดไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยเอามัดรวมๆกันไว้ซะเลยแบบนี้เลยดีกว่าจริงๆ...ก่อนจะอดคิดต่อไม่ได้ว่าคนที่เป็นต้นคิดแผนที่ลึกล้ำขนาดนี้ก็คงจะเป็น...

 

       " ก็ไม่ได้อยากจะขัดอะไรหรอกนะขอรับ...แต่อย่าบอกนะว่า ผู้ที่คิดแผนนี้ขึ้น...คือ "

 

       " ฮ่าๆๆๆ ฉลาดทั้งยังกล้าหาญที่จะถามสมเป็นเจ้าจริงๆล่ะนะ...เออ...ก็อย่างที่เจ้าคิดอีกนนั่นแหละ...คนต้นคิดเรื่องนี้ก็คือสมเด็จพระพี่นางนั่นแหละ "

 

       ' กะแล้ว...ทีแรกก็คงจะห้ามนั่นแหละ แต่ก็คงจะจำนนต่อเหตุผล เลยคิดแผนแบบยุส่งนี้ขึ้นมาเสียเลย...ฮ่ะๆ คงต้องพูดว่า ก็สมกับเป็นผู้ที่มีอดีตหวานชื่นกับท่านผู้เฒ่าล่ะนะ...เจ้าเล่ห์พอกันเลย '

 

        หลังจากที่ไกรไม่ได้ถามอะไรต่อ สินที่ฟังอย่างเงียบๆมาตลอดก็เป็นฝ่ายเอ่ยทูลถามผู้เป็นจอมทัพสูงสุดด้วยน้ำเสียงยำเกรงเบาๆว่า

 

       " ด้วยความเคารพอย่างสูงนะขอรับ...แต่ว่า เท่าที่ข้าพุทธ---กระผมฟังมาทั้งหมด...ต่อให้จะบอกว่าไอ้นักโทษเด็ดขาดผู้นี้คิดจะนำราชสมบัติมาถวายให้กับท่าน แต่ว่าเวลานี้มันก็น่าจะรู้แล้วว่าท่าน...เอ่อ... "

 

       " ...หักหลังมัน "  พระเจ้าอุทุมพรต่อประโยคที่สินพูดออกมาได้ลำบากเยาๆ พร้อมกับแย้มพระสรวลอย่างไม่คิดมาก ตรงกันข้ามพระองค์ค่อนข้างถูกพระทัยในความช่างสังเกตของอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยซ้ำ ก่อนจะพยักพระพักตร์ให้อีกฝ่ายพูดต่อเบาๆ

 

       " ...ข...ขอรับ...มันก็น่าจะรู้แล้วว่าท่านเป็นผู้เฉลยแผนการของมันทุกอย่าง เช่นนี้อย่าว่าแต่จงรักภักดีเลย...แค่มันไม่โกรธแค้นท่าน กระผมก็ว่าถือเป็นกุศลระดับปาฏิหาริย์แล้ว...แล้วเราจะคุมไอ้คนที่อาจจะคลุ้มคลั่งไปแล้วเช่นนี้อยู่จริงๆหรือขอรับ "

 

       ' โห...เออ มีเหตุผลวุ้ย...แม้แต่เราเองก็ก็มัวแต่สงสัยว่าไอ้หมอนั่นเป็นใคร จนลืมนึกถึงไปเลยนะเนี่ย '  ไกรอดหันไปมองหลวงยกกระบัตรหนุ่มผู้ที่อนาคตจะกลายเป็นผู้นำก๊กพระเจ้าตากและผู้กู้เอกราชให้กับชาวไทยทุกคนอย่างนึกชื่นชมในใจไม่ได้

 

      ...ความละเอียดถี่ถ้วนและความช่างสังเกตนี่แหละ...ที่จะทำให้ชายหนุ่มผู้นี้...ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้อย่างสมภาคภูมิ...

 

       " ฮ่ะๆ เออ ทั้งพระพี่นางและพ่ออยู่หัวเองก็ทรงเตือนถึงเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน ว่าการปล่อยไอ้นี่มาอาจจะกลายเป็นหายนะมากกว่าเป็นผลดีสำหรับอโยธยา...แต่ว่านะ...ไกร สิน...อย่าห่วงไปเลย... "

 

       " ขอรับ? "

 

         พระเจ้าอุทุมพรเหลือบพระพักตร์กลับมามองชายหนุ่มทั้งสองพร้อมกับแย้มพระสรวลอย่างมั่นพระทัยที่สุด ก่อนจะตรัสต่อเบาๆทันทีว่า

 

       " ...ข้าเองก็มีไม้ตายของข้าเช่นกัน! "

 

         เมื่อพระองค์ตรัสจบ...พวกเขาก็เดินมาถึงดึกขนาดใหญ่ที่เป็นตึกที่ถูกสร้างแบบก่ออิฐถือปูน ซึ่งต่างจากที่จองจำแห่งอื่นๆที่ถูกสร้างด้วยไม้ธรรมดาๆ ...โดยที่ผนังหนาๆทั้งหมดถูกสร้างให้ทึบตันโดยไม่มีแม้แต่หน้าต่างซักบานเดียว ในขณะที่ประตูไม้ขาดใหญ่ด้านหน้าก็ถูกลั่นดาลไว้อย่างหนาแน่นด้วยแม่กุญแจขนาดมหึมาหลายดอก พร้อมกับเหล่าผู้คุมร่างยักษ์อาวุธครบมือที่ยืนรักษาการอยู่ติดกันเป็นพรืด ที่ดีไม่ดีอาจจะมีจำนวนมากกว่าจำนวนู้คุมที่เดินตรวจตราคุกทั้งหมดด้วยซ้ำ...จากความเข้มงวดของการรักษาการขนาดนี้ ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาได้มาถึงคุกที่ใช้จองจำนักโทษเด็ดขาดระดับสูงสุดแล้ว...

 

       " เอ้า...ถึงตรงนี้ก็คงไม่ต้องปิดบังอะไรกันแล้วล่ะ "  พระเจ้าอุทุมพรครางเบาๆพร้อมกับปลดผ้าที่คลุมใบหน้าออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นพระพักตร์ที่เหล่าผู้คุมทั้งหมดต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี...พระพักตร์ของจอมทัพผู้มีศักดิ์เทียบเท่ากับพระเจ้าแผ่นดินทุกประการ!

 

       " ถ...ถวายบังคมสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร!! "

 

       " เฮ้อ!...เอาล่ะ...ข้าเอาอิสรภาพมาให้แล้ว...ไอ้พระยาเพชรบุรี...เรือง! "

 

 

 

 

 

 ..................................................

 

 

 

 

     

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา