ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
49)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ปีต่อมา...จุลศักราช ๑๐๕๐ (พ.ศ.๒๒๓๑)...อโยธยา ศรีรามเทพนคร...
...ชายหนุ่มนามว่าศรีปราชญ์ที่กำลังจูงม้าตัวพ่วงพีที่แบกสัมภาระติดหลัง ค่อยๆเดินผ่านกำแพงพระนครสีขาวมัวๆที่เวลานี้มีกองทหารยืนอยู่อย่างแน่นหนาไปอย่างช้าๆ...ดวงตาสีเข้มที่ไม่เหลือเค้าแววของความขี้เล่นอันเป็นนิสัยประจำตัวอยู่เลย...ดวงตาที่มีเพียงความว่างเปล่าของเขาค่อยๆเหม่อมองไปที่ยอดของพระที่นั่งสรรเพชญ์มหาปราสาทที่เห็นอยู่ลิบๆอย่างเหม่อลอย...ทั้งๆที่เขาอยู่ในชุดชาวบ้านธรรมดาๆ แต่กลับแผ่รังสีกดดันอันน่าขนลุกบางอย่างออกมา จนแม้แต่กองทหารที่ยืนตรวจตราอยู่ก็ยังไม่อยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย และเพราะชายหนุ่มไม่ได้มีท่าทีมีพิรุธอะไร พวกเขาจึงได้แต่ปล่อยให้ผ่านเข้ากรุงไปโดยไม่ได้ตรวจสอบอะไรมากมาย...
" ...ไม่อยากเชื่อเลย...ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องกลับมา...แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องกลับมาในสภาพเช่นนี้... " เขาได้แต่หลับตาลงพร้อมกับบ่นเบาๆ...ก่อนจะหยิบผ้าสีทึบๆขึ้นมาคลุมโพกปิดบังรูปพรรณใบหน้าไว้เล็กน้อย...จริงอยู่ที่ว่าเขาได้ ตาย ไปเกือบจะพอสิบปีแล้ว...แต่ชื่อเสียงของเขาในฐานะของจอมกวีลือนาม ศรีปราชญ์ ก็ยังคงมีอยู่...ยิ่งด้วยความที่ใบหน้าของเขาไม่แก่ลงเลยตลอดเกือบสิบปีมานี้ ยิ่งอาจทำให้คนในเมืองหลวงนี้จดจำเขาได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
" เฮ้อ...นอกกำแพงยังพอทน...แต่นี้อยู่ในตัวพระนครแล้ว...ก็คงต้องกันไว้ก่อน ดีกว่าแก้ล่ะนะ "
หลังจากโพกผ้าปิดบังใบหน้าเสร็จสิ้น...ชายหนุ่มค่อยๆเหลือบมองไปที่บรรยากาศรอบๆอย่างเพ่งพิศ ก่อนที่เขาจะต้องถอนหายใจเฮือกให้กับบรรยากาศรอบกาย...เพราะมันต่างจากในสมัยที่เขาจากมาราวกับฟ้ากับเหวเลยทีเดียว...
...ทั้งๆที่เวลานี้เป็นช่วงเวลาเย็นๆ และถนนอันเป็นเส้นทางที่เขาใช้เดินอยู่ก็เป็นถนนหลักที่เชื่อมต่อกับเขตท่าเรือแท้ๆ แต่บรรยากาศกลับดูเงียบเหงาอย่างเห็นได้ชัด...จากที่เคยมีร้านรวงและสถานเริงรมณ์ต่างๆเปิดอยู่อย่างแน่นขนัด บัดนี้ถูกปิดไปจนเกือบจะหมด...โดยเฉพาะร้านที่มีเจ้าของเป็นชาวตะวันตกที่เวลานี้ถูกปิดตายไปเลย...มีเพียงร้านรวงของชาวจีนที่มีเปิดอยู่บ้างประปรายเท่านั้น...ในขณะที่จำนวนของทหารที่เดินตระเวนตรวจตราตามท้องถนนกลับมีมากขึ้นเกือบ ๓ เท่าตัว...ที่ท่าเรือในเวลานี้ก็มีเพียงสำเภาจีนที่จอดเทียบท่าอยู่เพียงไม่กี่ลำเท่านั้น...จากที่เคยแน่นขนัดไปด้วยสำเภาจากทุกชาติ...ทุกภาษาแท้ๆ...
...ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก ก่อนที่จะเลือกโรงแรมสัญชาติจีนเล็กๆกลางเก่ากลางใหม่เป็นที่พัก...จำนวนเงินที่เขายัดเข้ามือของเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นมากพอจะทำให้เถ้าแก่ทำทีหูหนวกเป็นใบ้กับท่าทีอันน่าผิดสังเกตของเขาได้ และเลือกที่พักเป็นห้องขนาดใหญ่ชั้นบนสุดเป็นที่ค้างแรม...ที่นี่...ทำให้เขาเห็นกำแพงพระราชวังที่อยู่ไม่ไกลนักได้อย่างชัดเจน...
" เฮ้อ...ถ้าหากมีเวรยามเดินกันขนาดนี้ แม้แต่เราก็คงทำอะไรไม่ได้มาก...คงต้องรอให้มืดกว่านี้ซะล่ะกระมัง " เขาได้แต่บ่นเบาๆก่อนจะเหลือบมองดูขอบฟ้าที่เวลานี้ดวงอาทิตย์กำลังจะลับสายตาไป ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" ...ก็ไม่ได้อยากจะบ่นอะไรหรอกนะ...ไอ้ข้าเองก็โลดโผนโจนทะยานชนิดไม่นับลูกเขาเมียใครก็จริง แต่สำหรับเมียของสหายนี่ก็คงต้องจัดอยู่ในข้อยกเว้น...โดยเฉพาะกับสหายที่สนิทที่สุดของข้ายิ่งแล้วใหญ่...มันเป็นการไม่งามเลยนะ ที่มาหาข้าในยามโพล้เพล้เช่นนี้ "
...แกร๊ก...
ที่มุมมืด เหนือขื่อคาของเพดานห้อง ปรากฏเสียงของไม้ลั่นเบาแสนเบา ก่อนที่หญิงสาวร่างบางในชุดนินจาสีดำสนิทผู้หนึ่งจะค่อยๆเลื้อยลงมาจากด้านบนราวกับอสรพิษ และมายืนด้านหลังเขาช้าๆ โดยที่ศรีปราชญ๋เองก็ไม่หันกลับมามองด้วยซ้ำ...ราวกับว่าเขารู้จักนินจาสาวผู้นีดีอยู่แล้วก็ไม่ปาน
" เจ้ารู้อยู่แล้วอย่างนั้นรึ?...ว่าเป็นข้า " หญิงสาวผู้นั้นถามขึ้นเบาๆอย่างอดประหลาดใจไม่ได้ ในขณะที่ศรีปราชญ์ที่ยังคงนั่งเหม่อมองไปที่เขตพระบรมมหาราชวังได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ
" รู้อยู่แล้ว...พอๆกับที่เจ้ารู้ว่าข้ายังไม่ตายนันแหละ...ก็นะ มันก็ไม่ยากเกินเดานี่ "
" ไม่ยาก...เกินเดา? "
" ...หึๆ...คิดว่าข้าไม่รู้จริงๆหรือ...ว่าผู้เป็นยายชาวญี่ปุ่นของเจ้าจะเป็นผู้ถูกเนรเทศตามคำบัญชาของ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิ เป็นยอดนินจามือสังหารน่ะ...มารี กีมาร์...อ้อ...ข้าต้องเรียกยศเต็มว่า ท้าวทองกีบม้า สินะ "
...หญิงสาวที่อยู่ในชุดนินจาหลับตาลงและถอนหายใจเฮือก...ก่อนที่เธอจะค่อยๆถอดหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าของสตรีที่เป็นลูกครึ่ง กึ่งตะวันตกและกึ่งตะวันออกอันงดงามที่แผงแววกังวลและโศกเศร้าไว้...ดวงตาสีอ่อนของเธอเหลือบมองที่ชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างงงๆ
" รู้อยู่แล้ว...ก่อนที่ข้าจะแต่งงานกับคอนสแตนตินอย่างนั้นหรือ? "
" อืม...รู้ก่อนได้ซักพักล่ะ...แต่ก็ต้องยอมรับว่าเจ้าแสดงเป็นคาทอลิกที่เคร่งตรัดได้อย่างแทบจะสมบูรณ์แบบทีเดียว ...ก็แหม...เจ้าเป็นคนที่จะมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสหายข้าทั้งที ข้าก็ต้องรู้ตื้นลึกหนาบางซะหน่อยสิ "
" รู้อยู่แล้ว...แล้วยังปล่อยให้เขาแต่งกับข้าอีกอย่างนั้นรึ? ...คนที่ติดสามีข้ายิ่งกว่าตังเมอย่างเจ้าเนี่ยนะ? "
" เฮ่ยๆ...เป็นคำกระทบกระเทียบที่ฟังแล้วแปลกหูพิลึก...แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นา "
" ช่วย...ไม่ได้? "
" ช่วยไม่ได้...ก็คอนสแตนตินมันรักเจ้านี่... "
คำพูดของชายหนุ่มนามว่าศรีปราชญ์ทำให้หญิงสาวชะงักกึก...ก่อนที่เธอจะหลบสายตาไปอีกทางเพื่อปิดบังหยาดน้ำตาเล็กๆที่รื้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามอยู่ จนศรีปราชญ์ที่ทำหน้านิ่งและเย็นชาราวกับเป็นหินที่ปักบนหลุมศพก็ยังต้องอดฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดต่อไม่ได้
" เฮ้อ...เอาวะ...อย่างน้อยนี่ก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าอย่างน้อยเจ้าก็รักคอนสแตนตินจริง "
" ...แต่ว่า...น่าเสียดาย " หญิงสาวพูดเบาๆพร้อมกับเดินเข้าไปที่หน้าต่างอีกด้านหนึ่ง และเหม่อมองไปยังทิศทางเดียวกันกับที่ศรีปราชญ์มองอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นเบาไม่เกินเสียงกระซิบ แต่พอที่ศรีปราชญ์จะได้ยินอย่างชัดเจนว่า
" ...ชายผู้เป็นที่รักของทั้งข้าและเจ้า...จะถูกประหารในวันรุ่งพรุ่งนี้แล้ว... "
..............................................
...ตกดึกสงัด...ที่ข้างกำแพงพระบรมมหาราชวังสีขาวสะอาด...
" ที่นี่แหละ...จุดที่เวรยามเบาบางที่สุด " ศรีปราชญ์ที่เวลานี้อยู่ในชุดรัดกุมสีดำสนิทที่อัรสามารถกลืนหายไปกับความมืดอย่างง่ายดายถามขึ้นเรียบๆ พลางเงยหน้ามองกำแพงที่สูงราวตึกสองชั้นตรงหน้า ในขณะที่หญิงสาวในชุดนินจาที่ยืนอยู่ข้างๆพยักหน้ารับเบาๆ
" ใช่... "
" เจ้าแน่ใจนะ? "
" คิดว่าข้าเอาแต่นั่งๆนอนๆ แล้วก็ทำขนมทำกับข้าวตลอดเวลาที่สามีของข้าถูกจับไว้รึอย่างไร? ...ข้าพลิกหินทุกก้อน ร่อนทรายทุกเม็ด เพื่อหาทางแล้ว...ถ้าหากเจ้ามาไม่ทัน ที่นี่แหละที่เป็นทางที่ข้าจะบุกเข้าไป "
" ทำไม...พวกเขาถึงได้จับกุมคอนสแตนตินไว้ในตรุของราชวัง...แทนที่จะเป็นคุกหลักที่แยกตะแลงแกงกัน? "
" เพราะตัวตนของเขาอันตรายเกินกว่าที่จะเอาไว้ในคุกที่มีระดับป้องกันปกติอย่างไรล่ะ... " หญิงสาวผู้เป็นภรรยาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เอ่ยขึ้นราวกับรำพึงเบาๆ ก่อนที่จะพูดต่อ
" อีกไม่กี่นาทีก็จะเป็นช่วงเปลี่ยนกะเวรของเหล่าทหารล้อมวัง...เวลานั้นเป็นเวลาที่เวรยามจะเบาบางที่สุด แต่ก็เป็นเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น...ถ้าหากจะเข้าไปโดยไม่ให้ผู้ใดรู้ พวกเราจะต้องเร็ว และผิดพลาดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย " มารีพูดเรียบๆ ก่อนจะชะงักกึกเมื่อเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าช้าๆ
" ไม่ใช่เรา...แต่เป็นข้าต่างหาก...เจ้ามาส่งข้าแค่นี้แหละ "
" หา? "
" พูดตามตรง...เจ้าไปด้วยกันก็พาลจะขวางมือขวางเท้าข้าซะเปล่าๆ "
" ว่าอย่างไรนะ?! " คำพูดเชิงปรามาสของศรีปราชญ์ทำให้มารีตาลุกวาวทันที แต่เธอก็ต้องชะงักกึกกับคำพูดของอีกฝ่ายอีกครั้ง
" ลูกชายคนที่ ๒ ของเจ้า...คอนสแตนติน จูเนียร์ พึ่งจะลืมตาดูโลกได้ไม่ถึง ๒ เดือน...เมื่อขาดผู้เป็นพ่อ...จอร์จและคอนสแตนติน Jr ต้องการแม่...แม่ ที่แท้จริง ไม่ใช่แม่นม "
" ห...หึ! ...ไอ้คนที่เสเพล ลอยไปลอยมาไม่ลงหลักปักฐาน...ไม่เป็นหลักเป็นแหล่งเช่นเจ้า พูดออกมาเช่นนี้ไม่อายปากบ้างรึอย่างไร? "
" เฮ้อ...ทั้งๆที่ยังสาวยังสวยอยู่แท้ๆ แต่เริ่มเทศน์เป็นยายแก่ๆเสียแล้ว...เอาล่ะ! " พูดจบเขาก็ปาตะขอติดเชือกพรวด...ด้วยความแม่นยำชนิดจับวาง ตะขอนี้ก็ขึ้นไปเกี่ยวค้างอย่างมั่นคงอยู่ที่ขอบกำแพงในการขว้างเพียงครั้งเดียว...เขาดึงเชือกแรงๆเพื่อทดสอบความมั่นคงเล็กน้อย ก่อนจะจะหันกลับมาพยักหน้าให้กับหญิงสาวเล็กน้อย ในขณะที่หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจเฮือกอย่างจำนนต่อเหตุผลของอีกฝ่าย และพยักหน้าตอบกลับมาช้าๆ
" ข้าจะกลับไปคอยท่าที่โบสถ์ที่อยู่ด้านนอกพระนคร...ระวังตัวด้วยนะศรีปราชญ์...แล้วก็...ช่วยคอนสแตนตินให้ได้ล่ะ "
" ถือเป็นคำมั่นของข้าเลย... "
ชายหนุ่มกระโดดพรวดด้วยความเร็วและตัวที่เบาอย่างเหลือเชื่อ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็พุ้งขึ้นถึงยอดกำแพง...เขามองซ้ายมองขวาเล็กน้อยอย่างระวังภัย พอเห็นว่าเวรยามกะใหม่ยังไม่มาถึงเขาจึงลอบถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกระโดดทิ้งตัวเข้ามาในเขตพระบรมมหาราชวังอย่างเงียบเชียบ...แต่ดูเหมือนก็ยังไม่เงียบพออยู่ดี...
" ...หึๆ...ใบหน้าไม่เปลี่ยนไปจากเกือบสิบปีที่แล้วเลยนะ...ยินดีต้อนรับกลับมาจากความตาย...ท่านศรีปราชญ์ "
คำทักทายเรียบๆของชายหนุ่มคนหนึ่งที่พูดขึ้นทันทีที่เข้าของเขาแตะถึงพื้ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเขาจะลอบบุกเข้ามา ทำให้เขาได้แต่หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือก
" ไอ้จิตสังหารอันแข็งแกร่งนี่ ตอนแรกที่อยู่ด้านนอกข้าก็เดาว่าจะเป็นขุนพลท่านใด...แต่ไม่นึกเลยว่าจะเป็นไอ้คนที่ทั้งหัวแข็งทั้งหน้าเหม็นเป็นหินข้างส้วมเช่นเจ้า...หลวงสรศักดิ์ มะเดื่อ "
คำค่อนขอดของชายหนุ่มผู้บุกรุกทำให้จอมทหารหนุ่มนามว่าหลวงสรศักดิ์ ผู้อยู่ในชุดเกราะทหารเต็มยศ ที่ทั้งหัวแข็งและทั้งหน้าเหม็นเป็นหินข้างส้วมตามที่เขาบอกได้แต่ถอนหายใจเฮือก...ก่อนจะใช้ดวงตาที่คมกริบราวกับจะสามารถมองเห็นในที่มืดได้กวาดไปมองรอบๆ และถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" หึ...ว่าแล้วเชียว...ขนาดคิดว่าเราปิดบังตัวตนได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วแท้ๆ...เฮ้อ...ถ้าเจ้าเอาดีทางด้านกลาโหม ป่านนี้เจ้าคงได้เป็นขุนทหารระดับเจ้าพระยาไปแล้วแท้ๆ "
" ก็เหมือนกันแหละน่า...ทั้งที่เจ้าสามารถต่อโคลงแข่งกับข้าได้อย่างงดงามแท้ๆ...ถ้าเจ้าเอาดีทางด้านกวีล่ะก็ ป่านนี้เจ้าคงกลายเป็นจอมกวีผู้มีชื่อเสียงไปแล้วแท้ๆ...ไม่ต้องเดินต๊อกต๋อยเป็นเบ๊ไอ้พระเพทราชา...พ่อบ้าเลือดของเจ้าเช่นนี้หรอก "
" ...พ่อบุญธรรม " หลวงสรศักดิ์หลับตาลงพร้อมกับพูดแก้คำพูดของอีกฝ่ายเรียบๆ ก่อนที่เขาจะมองไปรอบๆและพูดต่อทันที
" ...เพราะจับสัมผัสข้าได้...เลยทำให้เจ้าตัดสินใจเข้ามาคนเดียว และไม่ยอมให้ผู้ร่วมอุดมการณ์อีกคนเข้ามาสินะ "
" เอ๋? ...พูดอะไรข้าไม่เห็นรู้เรื่อง? "
" อันที่จริงข้าก็ไม่ได้รังเกียจที่จะสนทนากับคนที่ตายไปแล้วอย่างเจ้าหรอกนะ...แต่จะเอาอย่างนี้จริงๆหรือ? "
" เอ๋? ...พูดอะไรข้าไม่เห็นรู้เรื่อง? "
" เฮ้อ...จะทำไขสือหรือกวนโทสะข้าก็ทำไปเถอะ เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ได้ผล "
คำพูดโต้ตอบอันไม่ยินดียินร้ายของขุนทหารหนุ่มตรงหน้าทำให้ศรีปราชญ์ถึงกับเกาหัวแกรกๆ...แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขารู้ดีว่าคงไม่มีอะไรมายั่วให้อีกฝ่ายโมโหง่ายๆแน่ ...ก่อนจะค่อยๆหยั่งสำนึกไปรอบๆช้า...และด้วยการหยั่งสำนึกนี้ ผลก็ทำให้เขาอดแปลกใจไม่ได้
" หือ? อะไรเนี่ย?...นึกว่าจะได้พบกับกองทหารที่เตรียมจะตะครุบข้าเสียอีก...แต่ผิดคาด...ที่รออยู่มีเจ้าแค่เพียงคนเดียวรึนี่? "
" ...นี่ก็แปลว่าเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามีคน...หรืออาจจะเป็นกองทหารนับร้อยรออยู่ แต่เจ้าก็ยังเข้ามาอย่างนั้นรึ?...ไม่คิดบ้างหรือว่าเจ้ามันบ้าบิ่นเกินไปแล้ว "
" แล้วที่เจ้ามาดักรอข้าตามลำพังเช่นนี้ไม่คิดว่าเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นเหมือนกันรึอย่างไร?--- "
ศรีปราชญ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรื่อยๆเอื่อยๆ ...แต่ทันทีที่ประโยคสุดท้ายจบลง ร่างของเขาก็หายลับไปจากคลองสายตาของจอมทหารนามว่าหลวงสรศักดิ์ผู้นี้ทันที พร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งวูบจนแม้แต่คนที่ ทั้งแข็งทั้งเหม็น อย่างหลวงสรศักดิ์ยังถึงกับต้องใจหายวาบ ก่อนจะรีบพุ่งหลบมีดสั้นสีเงินวาวที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายเมื่อไหรก็ไม่ทราบ แถมยังหมายที่จุดตายที่ไร้เกราะป้องกันอย่างลำคอของเขาไปได้อย่างฉิวเฉียด!
" ระยำเอ๊ย! "
ถึงจะหลบครั้งแรกไปได้ แต่การจู่โจมของศรีปราชญ์เองก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น...มีดสั้นเงาวับอีกเล่มก็พุ่งเข้ามาสู่มืออีกข้างของเขาพร้อมกับจิตสังหารที่พุ่งพรวดขึ้นไปอีก...ดวงตาวาววับที่แม้แต่หลวงสรศักดิ์เองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนมันบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่า ถ้าหากเขายังไม่คิดจะโต้ตอบกลับไปล่ะก็...งานนี้มีหวังได้เสียอวัยวะสำคัญไม่ส่วนใดก็ส่วนหนึ่งไปแน่
เคร้ง!
เมื่อไม่มีทางเลือก หลวงสรศักดิ์ยกดาบพร้อมกับฝักดาบที่อยู่ในมือขึ้นมากันมีดสั้นอีกเล่มของศรีปราชญ์ไว้...แต่เมื่อได้เห็นดาบพร้อมกับฝักนั่นชัดๆ ...จิตสังหารที่สูงอยู่แล้วก็พุ่งสูงขึ้นไปใหญ่ ราวกับเอาน้ำมันไปราดกองไฟไม่มีผิดเพี้ยน
" ดาบฟ้าฟื้น!...นี่มันดาบของท่านเหล็ก...เจ้าไม่มีสิทธิ์!! "
" รับความจริงบ้างสิเฮ้ย! ท่านเหล็กถูกลอบสังหารเสียชีวิตไปแล้ว...ดาบเลือกข้าเป็นนายคนต่อไปของมัน ทำใจรับหน่อยเซ่!! "
เคร้ง! เคร้ง!!
" ตลกตายล่ะ! คนที่เก่งกล้าสามารถชนิดไปเหยียบนครพิงค์เชียงใหม่ได้อย่างท่านเหล็กนะเหรอจะโดนลอบสังหาร...อีกอย่าง คิดว่าข้าไม่รู้รึว่าเจ้าเป็นตัวการในการจับกุมและสั่งประหารคอนสแตนตินน่ะ!! "
คำบริภาษอย่างเกรี้ยวกราดที่มาพร้อมกับคมมีดที่หมายชีวิตของศรีปราชญ์ทำให้หลวงสรศักดิ์ถึงกับต้องกัดฟันกรอด เพราะชุดเกราะหนักที่เขาใส่อยู่มันทำให้เขาช้าลงไป ๑ ถึง ๒ จังหวะ...ยิ่งเมื่อต้องมาเจอกับมีดสั้นที่เล็งแต่ช่องว่างของเกราะแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
" นี่! ศรีปราชญ์ ฟังข้าก่อนได้ไหม?! ข้าไม่ได้มาดักรอท่านที่นี่เพื่อมาทะเลาะกันนะ อีกอย่าง ถ้าขืนข้าชักดาบนี่ออกมา มีหวังทหารยามคนอื่นๆได้รู้ตัวแน่ " เขาพยายามพูดเพื่อให้อีกฝ่ายหยุดการโจมตีที่หมายชีวิตนี้ แต่ชายหนุ่มตรงหน้าดูเหมือนจะถูกโทสะครอบงำจนไม่ฟังอะไรเสียแล้ว หลวงสรศักดิ์จึงได้แต่กัดฟันกรอด ก่อนจะตัดสินใจตะโกนออกมาดังๆทันที
" ปัดโธ่เอ๊ย! ใจคอเจ้าจะรอให้ข้าชักดาบ หรือไม่ก็เสียแขนขาไปซักข้างรึอย่างไร ถึงจะออกมาหยุดไอ้คลั่งนี้ได้น่ะ! "
เสียงตะโกนของหลวงสรศักดิ์ทำให้ศรีปราชญ์ชะงักกึกไปเสี้ยววินาที เพราะทันทีที่สิ้นเสียงนั้น สัมผัสของเขาก็จับถึงสิ่งผิดปกติที่อยู่ด้านหลังได้ทันที
' คน...กองหนุน?...อะไรวะ! ทั้งที่จับสัมผัสไม่ได้เลยแท้ๆ?! ' ศรีปราชญ์ตาลุกวาวพร้อมกับหันขวับไปทางด้านหลังและแยกเขี้ยววับรอรับการโจมตีของบุคคลที่ ๓ ทันที...แต่พอได้เห็นหน้าของบุคคลที่ ๓ ผู้เข้ามาเพื่อขัดขวางการต่อสู้ระหว่างเขากับหลวงสรศักดิ์ชัดๆ ดวงตาที่ลุกวาวราวกับสัตว์ร้ายของเขาก็ต้องเบิกตากว้างจนแทบถลนอย่างตกตะลึง มีดสั้นทั้งสองเล่มที่อยู่ในมือของเขาถึงกับหลุดร่วงลงพื้นทันที
" จ...เจ้า! "
" แหม่...ถ้ารู้ว่าจะได้เห็นท่านทำหน้าเช่นนี้...ข้าคงจะยอมโดนจับและโดนโทษประหารไปหลายๆรอบแล้วแน่ๆ "
" เป็นไปไม่ได้!...เจ้าควรจะถูกจำไว้ในตรุไม่ใช่เหรอ?! คอนสแตนติน ฟอลคอน!! "
ผู้ที่มาปรากฎตัวตรงหน้ากลับกลายเป็นบุคคลที่เขาอุตส่าห์ฝ่าคมหอกกระบอกปืนกลับมาช่วย...สหายรักผู้ถูกจองจำและมีกำหนดกำลังจะถูกประหารในวันรุ่งพรุ่งนี้...สมุหนายกผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาที่อุกฉกรรจ์ที่สุด...ข้อหากบฏ และเตรียมการล้มล้างราชบัลลังก์ของพ่ออยู่หัวพระนารายณ์...เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ คอนสแตนติน ฟอลคอน นั่นเอง!
ระหว่างที่ศรีปราชญ์กำลังกำลังยืนตัวชานิ่งอย่างยังไม่สร่างตกตะลึงอยู่นั้น หลวงสรศักดิ์ผู้ส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาหยุดศรีปราชญ์ไว้ก็หลับตาลงและถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปบ่นใส่ผู้ที่เขาเป็นคนจับกุมมาด้วยตนเองเบาๆอย่างหงุดหงิดว่า
" ให้นรกสาปสิ! ทั้งๆที่ดูอยู่ตลอดแท้ๆแต่ก็ยังนั่งซุ่มโป่งเงียบไว้...ปล่อยให้ข้าต้องรับมือไอ้คลั่งนี่คนเดียว...เจ้านี่มันน่านัก! "
" ฮ่ะๆ เอาน่า...คิดซะว่าข้าเอาคืนท่านที่ท่านปล่อยให้ข้าถูกจำอยู่ในตรุสกปรกนั่นเกือบ ๓ เดือน กว่าจะมาช่วยข้าออกมาได้น่ะ " คอนสแตนติน ฟอลคอนที่เห็นชัดๆว่าอยู่ดีกินดีผิดกับความจริงที่ควรจะอดๆอยากๆเพราะติดคุกอยู่หัวเราะพร้อมกับตบไหล่ที่หุ้มด้วยเกราะหนังของหลวงสรศักดิ์เบาๆอย่างถือสนิท ในขณะที่หลวงสรศักดิ์ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" เออ ข้าผิดจนได้สินะ...คิดว่าหาคนที่หน้าตาเหมือนเจ้ามันหาง่ายนักรึอย่างไร...ถ้าอยากให้ช่วยไวๆ เกิดชาติหน้าก็เกิดให้มันหน้าโหลๆหน่อยสิวะ โธ่ "
หลังจากตกตะลึงอยู่นาน ในที่สุดศรีปราชญ์ก็เรียกสติกลับคืนมาได้ เขามองหน้าหลวงสรศักดิ์และคอนสแตนติน ฟอลคอนสลับกันไปมา ๒-๓ ครั้ง ก่อนจะเอ่ยตะกุกตะกักอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดถึงตรงหน้าเบาๆว่า
" พ...พวกเจ้า...ใครก็ได้...อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดมาทีได้ไหม?! ข้างงไปหมดแล้วเนี่ย!! "
คำร้องของศรีปราชญ์ทำให้หลวงสรศักดิ์กับ(อดีต)เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะหันไปมองหน้ากันเองพร้อมกับพยักหน้าเบาๆพร้อมกันทันที
" อืม...ถ้าหากแม้แต่คนที่มีหูตาเป็นสับปะรดอย่างไอ้หมอนี่ยังไม่รู้ถึงแผนการของพวกเรา...ก็แปลว่าแผนนี้ยังไม่รั่วไหลออกไป...ถือว่าโชคดีในระดับนึงล่ะนะ ท่านมะเดื่อ(ชื่อของหลวงสรศักดิ์) "
" เฮ้อ...คงต้องขอบคุณพระเจ้าของข้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้ายึดเป็นสรณะแล้วล่ะ...เพราะถ้าแผนของเราเกิดรั่วไหลขึ้นมาจริงๆ หัวของทั้งข้าและเจ้า...รวมถึงลูกเมียและโคตรของพวกเราทั้งหมดคงได้แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่หน้าประตูผีแล้วเป็นแน่ "
" ผ...แผนการ?! แผนอะไรของพวกเจ้ากัน?! "
หลวงสรศักดิ์และคอนสแตนติน ฟอลคอนหันมามองหน้ากันเองอีกครั้ง ก่อนที่หลวงสรศักดิ์จะพยักหน้าเป็นเชิงยกหน้าที่ให้ ผู้สมรู้ร่วมคิด ชาวกรีกเป็นผู้อธิบายแทน...ในขณะที่คอนสแตนติน ฟอลคอนได้แต่ถอนหายใจเฮือกกับภาระที่โดนโยนมา...เขาจึงหันมาหาศรีปราชญ์ผู้เป็นสหายสนิทพร้อมกับพูเรียบๆทันที
" ศรีปราชญ์...ฟังนะ...เวลานี้มันไม่ใช่เวลาเหมาะที่เราจะมาระลึกชาติเล่าความหลังกัน...เรามีเรื่องสำคัญที่จะต้องลงมือทำกัน...และต้องลงมือทำกันประเดี๋ยวนี้เลยด้วย "
" ??? "
" ...เอาล่ะ...ในฐานะของรองหัวหน้าหน่วยยุคันตวาตที่เจ้ายัดเยียดให้ข้า...พวกเรามาสร้างเรื่องลวงโลกขนานใหญ่จกลายเป็นประวัติศาสตร์กันเถอะ!! "
.................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ