ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
48)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ไม่กี่ปีต่อมา...
เคร้ง!
" เวร! "
ดาบเล่มเรียวงามในมือของชายหนุ่มนามว่าศรีปราชญ์ ถูกดีดให้กระเด้งออกมาจากผิวหนังที่แข็งปานเหล็กกล้าของคู่ต่อสู้ พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มเจ้าของดาบเล่มนี้ถึงกับร้องสบถลั่นทันที เพราะการโจมตีเมื่อครู่นี้เขาจงใจเล็งที่บริเวณส่วนหลังคอของอีกฝ่ายอันเป็นจุดอ่อนและจุดตายที่สุดของมนุษย์ทุกคน...และดาบของเขาก็เป็นดาบที่หลอมจากเหล็กชั้นดีแท้ๆ แต่ดาบก็ยังถูกสะท้อนกลับมาอีก...เมื่อเขาถอยกลับมาตั้งหลักและมองไปที่ใบดาบอีกครั้ง เขาก็ถึงกับทำหน้าเหยเกทันที...
" อ...อะไรวะ? ถึงจะไม่ใช่เหล็กน้ำพี้ก็เถอะ แต่ดาบถึงกับบิ่นในการโจมตีครั้งเดียวแบบนี้...กะไว้แล้วเชียว...ถึงจะเป็นรอยสักคงกระพันชาตรีเหมือนกัน...แต่อาคมของชาวปักษ์ใต้นี่...แข็งกว่าชนิดคนละเรื่องกันเลย! "
" กรร! "
ชายหนุ่มร่างยักษ์ที่หน้าตาท่าทางราวกับองคุลิมาลกลับชาติมาเกิดตรงหน้าคำรามลั่นจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งลานอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆกับการโจมตีของเขาเลยแม้แต่น้อย...ร่างที่แทบไม่เหลือเสื้อผ้าปกปิดใดๆนั้นเต็มไปด้วยรอยสักรูปสัตว์และอักขระแปลกๆอยู่เต็มทั้งตัวจนแทบไม่เหลือช่องว่างใดๆ...ชนิดที่แม้แต่บนกลางกระหม่อมและลูกกระเดือกที่ว่ากันว่าเป็นส่วนที่หากสักลงไปแล้วจะเจ็บปวดที่สุดยังไม่เว้นเลย...และที่หนักที่สุดคือที่ส่วนหลังของชายหนุ่มผู้นี้ ที่แทบทั้งหลังถูกสักไว้ด้วยเสือขนาดใหญ่ที่เวลานี้เหมือนกำลังสั่นไหวระริกราวกับมีชีวิต แถมยังรู้สึกว่ามันหันมาแยกเขี้ยวใส่เขา จนแม้แต่ศรีปราชญ์เองยังถึงกับยิ้มออกมาเครียดๆ
" เวร...แบบนี้แม้แต่คุยกันก็คงจะคุยกันไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ...ถูกอวิชชาฝ่ายต่ำครอบงำโดยสมบูรณ์เลยไม่ใช่รึอย่างไรเนี่ย?...แล้วไอ้...รังสีที่อยู่ด้านหลังนั่นอีก... "
...ถ้าเป็นคนธรรมดาล่ะก็ คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆ...แต่สำหรับเขาล่ะก็...เห็นชัดเลย...
...เบื้องหลังของชายหนุ่มที่ยืนอย่ตรงหน้าผู้นี้...เงาของเสือโครงตัวขนาดมหึมาที่ดวงตาวาววับราวกับปิศาจร้าย!...
" อย่าบอกนะว่า...ไอ้เสือกินคนที่อาละวาดอยู่ทั่วดินแดน อาณาจักรปตานีดารุสลาม (พื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสในปัจจุบัน) คือเอ็งเองน่ะ "
" โฮก! กรร!! "
" มิน่าเล่า...เหล่าทหารธรรมดาๆถึงได้จัดการกับเอ็งไม่ได้...ระดับของเอ็งนี่อย่างน้อยๆก็ต้องใช้ระดับแม่ทัพนั่นแหละถึงจะโค่นลง "
" แฮ่! กรร! "
" หา? ถึงจะพยายามสื่อสารก็เหอะ...แต่ตูไม่ใช่ ผู้ใช้สัตว์สมิง นะเฟ้ย! จะได้ฟังภาษาสัตว์ออก...แต่...เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองดูซักกะหน่อย "
" กรร!? "
" โฮก กรรๆๆ!! "
" โฮก?...แฮ่ กรร!! "
" โฮก กี๊ๆๆ กรร แง่งๆๆๆ เมี้ยวๆ ...เฮ้ย เดี๋ยว! ---เจี๊ยก!!! "
ผลจากการพยายามถูไถเจรจาสื่อสารกับอีกฝ่ายด้วยภาษาของสัตว์เดรัจฉานดันให้ผลตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เย็นลงแล้ว ยังดูเหมือนจะทำให้อีกฝ่ายปรี๊ดแตกไปเลย เพราะมันคำรามลั่นอย่างเดือดดาลก่อนจะกางฝ่ามือที่ถูกรัศมีของเสือโคร่งที่อยู่ด้านหลังห่อหุ้มจนกลายเป็นกรงเล็บขาดมหึมา พุ่งเข้าใส่เขาด้วยคามเร็วสูงจนเขาต้องร้องเสียงหลงและพุ่งตัวหลบสวนอีกฝ่ายไปโดยที่กรงเล็บของอีกฝ่ายเฉียดผมบนหัวของเขาไปนิดเดียวเท่านั้น
" อ...อะไรฟะ! การเจรจาไม่เป็นผลเรอะ! "
" ก็แหงสิเฟ้ย!! ...เอ็งเป็นสัตว์เดรัจฉานเรอะ ถึงจะได้คุยกับมันรู้เรื่องน่ะ!! "
ที่จวนที่พักชั่วคราวที่ถูกสร้างขึ้นใกล้ๆกับป้อมปราการแบบตะวันตกขนาดใหญ่ ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา...ปากคลองบางหลวง (คลองบางกอกใหญ่) ...เจ้าพระยาวิชาเยนทร์...สมุหนายกหนุ่มทุบโต๊ะพร้อมกับตะโกนตบมุกที่ถูกเขียนมาในจดหมายดังลั่นอย่างลืมตัว...ก่อนจะรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาหันซ้ายหันขวาพร้อมกับกระแอมไอเบาๆเพื่อเรียกมาดของตัวเองกลับมาและนั่งลงพร้อมกับอ่านจดหมายของสหายรักที่อยู่ในมือต่ออีกครั้ง...
...หลังจากการ ตาย ของศรีปราชญ์และการประหารชีวิตออกญาศรีธรรมราช ผู้ออกคำสั่งประหารนั้นจบลง ...คอนแสตนติน ฟอลคอน หรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ก็ถูกราชโองการโดยตรงของพ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ให้มาคุมการก่อสร้างป้อมปราการที่ทันสมัยที่สุดตรงฝั่งธนบุรี เพื่อเตรียมรอรับการจู่โจมที่คงจะมาอีกของพวกฮอลันดา...นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ไม่ได้ข่าวของผู้เป็นสหายรักผู้นี้อีกเลย...จนกระทั่งวันนี้...
" ให้นรกสาปสิวะ...บทจะหายไปก็หายหัวไปแบบนึกว่าตายไปแล้วจริงๆ...แต่พอบทจะส่งข่าวมาก็ส่งมาซะหนาปึ้กเป็นนวนิยายเลย...แบบนี้...สมเป็นมันแท้ๆ " เขาเกาหัวแกรกๆ ก่อนจะขยับแว่นตารูปครึ่งเสี้ยวกับแสงไฟเล็กน้อยและอ่าน...กองกระดาษเล่มหนาราวกับเป็นบันทึกประจำวันนี้จากสหายที่ไม่รู้อยู่ที่ไหนแล้วต่ออีกครั้ง...
" ...อืม...แล้ว หลังจากนั้น ข้าก็หยุดการใช้ดาบที่ไม่เป็นผลไปและหันไปคว้ากระบองเหล็กที่ใส่ติดย่ามมาด้วยแทน...ท่านก็น่าจะรู้แล้วว่ากระบองเหล็กเป็นสิ่งเดียวที่สามารถปราบผู้มีวิชาคงกระพันชาตรีได้...และด้วยความสามารถของเพลงดาบแห่ง หน่วยยุคันตวาต ที่ข้าเพียรพยายามคิดค้นขึ้น ทำให้ข้าปราบ เสือกินคนแห่งอาณาจักรปตานีดารุสลาม ลงได้......สรุปแบบตัดจบเกินไปแล้วเฟ้ย!! แล้วไอ้ที่ตั้งต้นปูเรื่องสาธยายมาทั้งหมดกว่า ๒ หน้ากระดาษจะเล่าไปทำตบักตะบวยอะไรเล่า! " สมุหนายกหนุ่มหลุดตวาดตบมุกใส่กระดาษจดหมายในมือออกมาอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะอดแยกเขี้ยววับพร้อมกับเกาหัวแกรกๆไม่ได้
...ดูเอาเถอะ...นี่ขนาดหายไปเป็นปีๆ และตอนนี้ก็มาเป็นแบบกระดาษแค่ ๗-๘ แผ่นแท้ๆ แต่ยังอุตส่าห์ดำรงรักษาความกวนโทสะได้อย่างคงเส้นคงวาจนเขาอดปวดหัวอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ปวดแบบนี้มาเป็นเวลานานไม่ได้...
" อ่ะๆ...แต่อย่าเข้าใจผิดนะ...ข้าไม่ได้ฆ่าไอ้หมอนั่นหรอก...พอดีหลังจากที่อัดมันจนน่วมเป็นกระท้อนแล้ว อาคมอวิชชาฝ่ายต่ำที่ครอบงำอยู่ก็อ่อนแอลงจนข้าพอจะถอนอาคมของมันได้...และในที่สุด ข้าก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้เขามาเป็นพรรคพวกแห่งหน่วยยุคันตวาตของพวกเราได้...เฮ้อ...ก็อยากจะอุทานอีกครั้งอยู่หรอก แต่ข้าเหนื่อยแล้วก็พอเดาทางได้แล้วล่ะ... " เขาครางออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายพร้อมกับอ่านต่อช้าๆ
...ฮา ฮา ฮา...เอ้า! ไร้สาระกันมาพอสมควรแล้ว...มันก็รู้ตัวนี่หว่า? ...ถ้าหากท่านได้รับจดหมายนี้...เชื่อว่าป่านนี้ข้าคงจะลอยชายอยู่บนเกาะสิงหปุระ(สิงคโปร์) ...หรือไม่ก็กำลังจับเรือไปเกาะลังกาแล้วแน่ๆ...ข้าต้องขอโทษท่านจริงๆที่ไม่ได้ส่งข่าวคราวมาเลยเป็นปีๆ เพราะตอนแรกข้าเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าตัวตนของข้าจะถูกลบโดยสมบูรณ์เพียงใด...พึ่งมาแน่แท้แก่ใจเอาก็อีตอนได้ข่าวการประหารเจ้าพระยาศรีธรรมราชนั่นแหละ...แต่เจ้าเองมันก็เหลือเกินจริงๆ...ต่อให้ตอนท้ายของโคลงเขียนว่า ดาบนี้คืนสนอง ก็เถอะ...แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเถรตรงกราบทูลพ่ออยู่หัวว่าให้ใช้ดาบเล่มเดียวกับที่ประหาร ศรีปราชญ์ เพื่อประหารไอ้ออกญามีชื่อนั่นเลยนี่หว่า...แต่เอาเถอะ...เรื่องมันแล้วไปแล้ว...
" เฮ้อ...เป็นคนที่เอื่อยเฉื่อย และยอมอะไรง่ายๆไม่เปลี่ยนจริงๆ " ถึงจุดนี้ คอนสแตนติน ฟอลคอนเอานิ้วขยี้สันจมูกพร้อมกับถอนหายใจเฮือก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มบางๆเมื่อนึกถึงนิสัยเสียอันน่าปวดเศียรเวียนเกล้าของสหายสนิทผู้นี้ พร้อมกับอ่านข้อความในจดหมายต่อ...
...สำหรับเรื่องลูกชายของเจ้า...จอร์จ ฟอลค่อน...ในฐานะพ่อทูลหัวที่ไม่เคยพบหน้ากันเลยซักครั้ง...ข้าคงจะพูดได้แค่ว่า...ขออวยพรให้เขาเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาอย่างร่าเริงและแข็งแรง...รึอย่างน้อยๆก็ขอให้อ่อนโยน กล้าหาญ และเป็นมิตรเช่นมารี...แม่ของเขา...ไม่เถรตรงเป็นบรรทัดอย่างพ่อหัวแข็งของเขาก็แล้วกัน...
" ไอ้เวรนี่...ขนาดมาแค่จดหมายยังอุตส่าห์... " เขาอดบ่นเบาๆอีกครั้งไม่ได้
...ฮ่ะๆ ข้าถึงจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ข้าก็พอเดาสีหน้าของท่านในเวลานี้ออกนะ ...แต่ว่านะ...จริงอย่างที่ท่านบอกไว้ตอนจากลากันนั่นแหละ...ต่อให้ข้าพักค้างอ้างแรมอยู่ในสถานที่ที่หรูหรามากแค่ไหน...ทิวทัศน์และวัฒนธรรมแปลกใหม่และงดงามแค่ไหน...ก็ไม่มีที่ไหนที่เป็นเหมือนกับบ้านของเรา...
...อาจจะอ่านแล้วดูแปลกๆไปบ้าง...แต่ข้าคิดถึงท่านว่ะ...สหายรักของข้า...
" หึ...คิดถึงอย่างนั้นรึ?...ไอ้บ้าเอ้ย...คำๆนี้เขาเอาไว้พูดกับสาวโว้ย...แต่...เอาเถอะ...อย่างไอ้หมอนั่นเอง ไปที่ไหนก็คงไม่ขาดสาวๆข้างกายอยู่แล้วนี่เนอะ...คิดถึงข้า คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนก็รีบกลับมาสิวะ "
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพลิกกระดาษไปเป็นอีกหน้าหนึ่ง...แต่หน้าต่อไปกลับทำให้เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกต...เพราะลายมือของศรีปราชญ์ที่เคยเป็นลายเส้นที่สวยงามราวกับงานศิลป์ กลับกลายเป็นลายมือหวัดๆ ราวกับถูกเขียนขึ้นอย่างเร่งรีบ...ทั้งกระดาษและหมึกก็เป็นเพียงกระดาษชนิด ดาดๆ และหมึกชนิดที่หาได้ทั่วไป...ต่างจากจดหมายแผ่นแรกๆที่ถูกเขียนขึ้นจากหมึกและกระดาษชั้นดีโดยสิ้นเชิง...ซึ่งผิดกับลักษณะนิสัยกรุยกรายและเจ้าสำอางค์ของอีกฝ่ายอย่างที่สุด...มันทำให้เขาถึงกับค้องขยับแว่นตาเพื่อจะให้อ่านอย่างถี่ถ้วนทันที
...คอนสแตนติน สหายข้า จากตรงนี้โปรดอ่านให้ดีที่สุด...
...พ่ออยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์ปราสาททองทุกพระองค์อาจจะตกอยู่ในอันตราย...นี่อาจจะเป็นเพียงข่าวลือโคมลอยที่ไม่จริง หรือข้าอาจจะคิดมากไปเอง...ข้าเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้หรอก...แต่ท่านควรจะเตือน ออกญามหาเสนา(เหล็ก) กับ ออกพระเพทราชา เอาไว้...ทั้งสองคนเป็นผู้ที่พ่ออยู่หัวไว้วางพระราชหฤทัยที่สุด...ข้ารู้ว่าท่านที่อยู่ในสายการทูตและนับถือแคทอลิกไม่ค่อยถูกกับพวกเขาซึ่งเป็นสายกลาโหมและนับถือพุทธ...แต่อย่างน้อยก็ช่วยเตือนเป็นนัยๆไว้ก็แล้วกัน...
...ข้อความสั้นๆที่เป็นเหมือนข้อความที่ไร้แก่นสารใดๆนี้กลับทำให้คิ้วของออกญาผู้เป็นสมุหนายกผู้นี้ขมวดคิ้วแน่นจนแทบจะผูกเป็นปมทันที...เพราะถึงจะดูเหมือนเป็นข่าวโคมลอย แต่มันก็ออกมาจากปากของศรีปราชญ์...มันทำให้ข่าวนี้ดูน่าเชื่อถือขึ้นอย่างประหลาด...และที่แน่ๆ...เขาให้น้ำหนักของมันมากกว่าข่าวไร้สาระแน่นอน...
" ท่านเหล็ก...ท่านทองคำ(ชื่อของพระเพทราชา) อย่างนั้นหรือ?...เฮ้อ...ก็จริงอยู่นะที่ทั้งสองท่านเป็นทั้งพี่น้องร่วมสายน้ำนม และเป็นสหชาติ(เกิดร่วมปีเดียวกัน)กับพ่ออยู่หัว ทำให้พ่ออยู่หัวไว้วางราชหฤทัยทั้งสองท่านมากที่สุด...ไอ้เรื่องที่จะต้องแจ้งพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว...แต่...ไม่ใช่ว่าข้าไม่ถูกกับพวกเขาหรอก...แต่พวกเขานั่นแหละที่เหม็นหน้าข้า "
เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ถอนหายใจเฮือกอีกครั้งพร้อมกับทำหน้าลำบากใจทันทีเมื่อคิดว่าเขาจะต้องนำเรื่องที่เหมือนกับเรื่องห่วยแตกที่ไร้ทั้งแก่นสารและหลักฐานพรรค์นี้ไปแจ้งแก่ไอ้คนที่แผ่รัศมีน่ากลัวๆออกมาตลอดเวลา อย่างอดีตออกญาโกษาธิบดีผู้บัดนี้ดำรงตำแหน่งสมุหกลาโหม ผู้เป็นนักรบไร้พ่ายอย่างโกษาเหล็ก...และออกพระเพทราชา...จางวางกรมช้างในผู้เป็นรักษาการสมุหกลาโหมอย่างท่านทองคำ...ก่อนที่เขาจะขยับลุกขึ้นและบิดตัวอย่างเมื่อยขบจนกระดูกลั่นเกรียว...เจ้าพระยาหนุ่มเหลือบมองจดหมาย ๗-๘ แผ่นในมืออีกครั้ง ก่อนที่จะยื่นมันเข้าไปใกล้กับตะเกียงตรงหน้าช้าๆ...จดหมายที่ถูกเขียนมาในกระดาษชั้นดีก็ถูกไฟกินจนลามไป เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียวกระดาษปึกบางๆนี้ก็ถูกพระเพลิงทำให้หายสาปสูญจนไม่เหลือหลักฐานใดๆโดยสิ้นเชิง...
" เฮ้อ...หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ? "
ชายหนุ่มปิดปากหาวเล็กน้อยก่อนจะเตรียมตัวเข้านอนเพื่อที่จะตื่นขึ้นรับกับปัญหาใหม่ๆในตอนเช้า...แต่น่าเสียดาย ที่ปัญหาที่ว่ามันไม่ยอมปล่อยให้เขาได้นอนเลยนี่สิ...
" ท่านออกญาขอรับ! แย่แล้วขอรับๆ! "
" เฮ้อ...คิดผิดรึเปล่าน้อ...ที่รับราชโองการมาคุมการก่อสร้างเองโดยตรงเช่นนี้...มีเรื่องได้ไม่เว้นแต่ละวันเลย...เออๆ ข้ายังไม่หลับ!... " เขาเกาหัวแกรกๆก่อนจะลุกขึ้นไปที่หน้าประตูและเปิดออกพร้อมกับพูดถามชายหนุ่มที่ยืนหอบอยู่ตรงหน้าจวนชั่วคราวของเขาขึ้นเรียบๆ
" มีอะไร? "
" ร...เรือ...เรือรบขอรับ!...มีเรือรบที่ไม่ขึ้นธงสัญชาติ...กำลังแล่นเข้ามาใกล้ป้อมที่กำลังก่อสร้างอยู่...อีกมิช้ามินานก็คงจะเข้าระยะปืนใหญ่ของทั้งฝั่งเราและของเรือลำนั้นแล้วขอรับ! "
" ว่าอย่างไรนะ?! "
..........................................
...สิ้นคำอุทาน...เจ้าพระยาวิชาเยนทร์พุ่งพรวดไปที่พระแสงดาบอาญาสิทธิ์ของตนที่รับพระราชทานมาจากพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัวพระนารายณ์โดยตรง ก่อนจะคว้าพระแสงดาบนั้นพุ่งออกไปทันทีโดยไม่สนจะสวมเกราะหรือรองเท้าด้วยซ้ำ...
" บ้าน่า...เรือรบ? พวกฮอลันดาอย่างนั้นรึ?...รึว่าพวกอีสต์ อินเดีย? "
" ม...ไม่ทราบขอรับ...แต่ว่า "
" ฮึ่ม ช่างมัน...ข้าไปดูด้วยตาตนเองก็ได้วะ " เจ้าพระยาหนุ่มวิ่งพรวดด้วยความเร็วสูงจนเพียงชั่วครู่เดียวเขาก็มาถึงฐานที่เป็นหินแข็งของป้อมปราการที่ปากคลองบางหลวงที่ก่อสร้างเสร็จไปได้กว่า ๗ ส่วนแล้ว พร้อมกับขมวดคิ้วและเพ่งมองไปที่ผืนน้ำอันดำมืดตรงหน้า...และในที่สุด ดวงตาที่คมประดุจเหยี่ยวของเขาก็พบกับแสงของตะเกียงหลังเรือ ปรากฎขึ้นเล็กๆราวกับหิ่งห้อย ที่เส้นขอบฟ้าไกลออกไป...
" ระยะขนาดนี้...คงจะมีแค่ ปืนใหญ่นารายณ์สังหาร รึไม่ก็ ปืนใหญ่พิรุณแสนห่า ที่อยู่ในพระนครเท่านั้นแหละที่จะพอมีลุ้นยิงถึง...แต่ว่า " เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกตเล็กน้อย
...น่าแปลกเกินไป...
...ถึงจะบอกว่าเรือรบของฮอลันดาเป็นเรือปืนที่ล้ำสมัยก็เถอะ...แต่ทางอยุธยาเราก็มีฝรั่งเศสหนุนหลังอยู่...ปืนใหญ่อันล้ำสมัยและกองทหารอาสาฝรั่งเศสก็มีอยู่เต็มป้อม...ต่อให้เป็นป้อมที่ยังสร้างไม่เสร็จดีก็เถอะ...แต่ถ้าหากจะถล่มป้อมนี้ให้เป็นจุลจริงๆ อย่างไรก็ต้องใช้เรือปืนไม่น้อยกว่า ๕ ลำ...แต่มาลำเดียวเช่นนี้มัน...ประเดี๋ยวสิ!...
...พริบตาที่เขาชะงักกึก ชายหนุ่มที่เหนื่อยหอบเพราะหายใจไม่ทันอยู่ด้านหลังก็หยุดหอบหายใจและพุ่งพรวดเข้ามาทางด้านหลังซึ่งเป็นจุดอับสายตาของเขาพร้อมกับชักมีดสั้นเล่มวาววับออกมา...ดวงตาที่ส่องประกายวาววับนั้นเปล่งจิตสังหารออกมาในชั่วพริบตา แต่จิตสังหารนั่นทำให้เจ้าพระยาหนุ่มรู้ตัวและก้มลงต่ำ หลบมีดสั้นของอีกฝ่ายที่แทงหมายกระดูกสันหลังของเขาทันที!
แคว่ก!!
" บ...บัดซบเอ้ย! ให้พระเจ้าทรงโปรดสิวะ!! " คอนสแตนติน ฟอลคอนถึงกับสบถสาบานออกมายาวเหยียด พร้อมกับกระชากเสื้อบางๆที่บัดนี้ถูกคมมีดบาดขาดเป็นแนวยาวนั้นทิ้งทันทีเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของร่างกายพร้อมกับแยกเขี้ยววับ
" ชิ! รู้ตัวเพราะจิตสังหารอย่างนั้นรึ?! " ชายหนุ่มผู้วิ่งมาแจ้งข่าวแก่เขากัดฟันกรอดเพราะรู้ดีว่าตัวเองลอบสังหารพลาดไปแล้ว แต่เขากลับไม่ผลีผลามพุ่งเข้ามาโจมตีก่อน...ชายหนุ่มผู้นั้นกระโดดถอยกลับไปและตะโกนลั่นทันที
" โจมตี! "
ปัง!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงตะโกนดี ลำกล้องเล็กเรียวของปืนคาบศิลาหลายกระบอกที่อยู่เหนือป้อมไม้ชั่วคราวใกล้ๆกับป้อมหินที่ยังสร้างไม่เสร็จก็สว่างวาบ! ปลดปล่อยกระสุนสังหารที่พุ่งเข้าหมายชีวิตของสมุหนายกหนุ่มผู้นี้ ทำเอาเขาถึงกับใจหายวูบ...ถึงสัญชาตญาณจะสั่งให้เขาขยับในทันที แต่ร่างกายของเขากลับเกิดการเหน็บชาขึ้นอย่างกะทันหันจนไม่อาจตามทันสัญชาตญาณของตนได้...ทำให้เสี้ยววินาทีนั้น เขาได้แต่ยืนเป็นเป้านิ่งเท่านั้น!...
เฉี๊ยะ!
...จะเพราะโชคดีระดับเข้าขั้นปาฏิหาริย์หรืออะไรก็แล้วแต่...ที่ดลบันดาลให้กระสุนนัดแรกที่ควรจะดับชีพเขาไปแล้ว กลับพลาดอย่างมหันต์ด้วยการพุ่งเฉียดหางคิ้วด้านขวาของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ไปเพียงองคุลีเดียว...ถึงจะส่งผลให้เลือดจากรอยแผลที่เกิดขึ้นนั้นพุ่งกระฉูดจนปิดการมองเห็นของดวงตาด้านขวาของเขา แต่มันก็ทำให้อการเหน็บชาที่เกิดขึ้นทั่วร่างกายหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที!...
" ระยำ! " หลังจากได้สิทธิ์ในการควบคุมร่างกายกลับคืนมา เจ้าพระยาหนุ่มสบถลั่นพร้อมกับพุ่งตัวเข้าไปที่แนวหินและต้นไม้ที่อยู่ติดกับป้อมซึ่งเป็นแนวอับที่ปืนของผู้ปองร้อยไม่อาจจับเป้ายิงได้ ก่อนที่เขาจะทิ้งพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี ...สิ่งที่อยู่ในมือของเขาเวลานี้กลับกลายเป็นกระบอกโลหะสีขาววาววับที่เขาคว้าออกมาจากกระเป๋าลับที่ติดอยู่ตรงกางเกงพร้อมกับกำมันไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของเขา...ภายใต้สถานการณ์ที่เข้าขั้นวิกฤตินี้ เขายังมีแก่ใจวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอย่างใจเย็นทันที
" อ้าวๆ...สำหรับขุนนางฝ่ายพลเรือน ความเร็วและการตอบสนองของท่านทำให้พวกข้าประหลาดใจนะ "
" ...ให้นรกสาปสิวะ! ...พวกเจ้า! เจ้าเป็นใคร...ต้องการอะไรกันแน่?! "
" ก็...ความต้องการของพวกเราก็ง่ายๆ...แค่ต้องการกำจัดท่านให้พ้นทางเท่านั้น! "
' กำจัดให้พ้นทาง?...แปลว่าการตายของเราเป็นเพียงส่วนหน่งของแผนการของพวกมันอย่างนั้นรึ? ' เขาคิดในใจอย่างใจเย็นเพื่อรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด...ก่อนจะตะโกนกลับไปอีกครั้ง
" เสียใจด้วยนะ! เพราะข้ายังมีชีวิตอยู่ "
" เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกน่า...ท่านออกญา...ชีวิตของท่านคงจะเหลืออีกไม่นานเท่าไหร่หรอก...เพราะพวกข้าจะส่งท่านลงนรกตามไอ้พวกกองทหารอาสาฝรั่งเศสที่ประจำป้อมไปแน่นอน! "
' กะแล้วเชียว...ดีที่ว่าเราตะหงิดใจที่ไม่เห็นพวกกองทหารอาสาพวกนั้น...ทั้งๆที่เรือรบเข้ามาใกล้ขนาดนี้แท้ๆ เลยตั้งตัวและหลบทัน...ไม่อย่างนั้น...ป่านนี้ก็คงได้ลงนรกไปตามที่ไอ้เวรนี้ว่าไปแล้ว! '
" ฟังดูแย่สำหรับข้าจริงๆ...ถามจริงๆเถอะ ถ้าหากข้าตายไป พวกเจ้าจะทำอะไรต่อไปกันแน่? "
" ฮ่าๆๆ ดีจริงที่ท่านถาม...เพราะพวกข้าจะได้หลวมตัวเล่าแผนการทั้งหมดออกไปแบบหมดเปลือกเสียเลย...ยิง! "
...สิ้นเสียงคำสั่งที่ตวาดออกมา เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ที่ยังคงหลบอยู่ด้านหลังโขดหินก็ต้องหดคอก้มต่ำลงและแยกเขี้ยววับเพื่อรับกับกัมปนาทปืนคาบศิลาที่บรรจุดินดำและกระสุนเสร็จสิ้นและระดมยิงเข้ามาที่กำบังของเขาอีกครั้ง...ในเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นและความตายนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกต่อไป...กระบอกโลหะในมือถูกกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง เพียงพริบตาเดียวลูกไฟที่มีลักษณะคล้ายกับพลุตะไลสีแดงก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิทและระเบิดออกจนย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงฉานไปชั่วครู่ทันที!
...แต่พลุตะไลที่เป็นเหมือนกับการส่งสัญญาณที่อาจจะเห็นไปไกลหลายเมืองนี้กลับทำให้ชายหนุ่มผู้พยายามลอบสังหารเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ยิ้มออกมาเล็กน้อยราวกับเดาถึงการกระทำนี้ของเจ้าพระยาหนุ่มได้อยู่แล้ว...เขาเก็บมีดสั้นพร้อมกับหันหลังและพูดเรียบๆทันที
" ...พลุตะไลสำหรับเรียกกองหนุน...หน่วยปราบปรามพิเศษแห่งราชอาณาจักรอยุธยา...พวกเราทั้งหมด ถอนตัวได้แล้ว... "
" ต...แต่ว่า...กว่ากองหนุนจะมาก็อีกซักพัก...พวกเรายิงอีกเพียง ๒ ระลอกก็สามารถปลิดชีพออกญามีชื่อผู้นี้ได้แล้ว...ท่านจะ--- "
" หุบปาก!...คำสั่งข้าถือเป็นเด็ดขาด...ถอนตัวโว้ย!! "
สิ้นคำสั่งถอนตัว พวกเขาก็ล่าถอยกลับไปและค่อยๆกลืนหายเข้าไปกับเงามืดอย่างรวดเร็ว...เพียงแค่ไม่ถึงอึดใจก็ไม่เหลือร่องรอยของพวกมันอีกต่อไปแล้ว...ถ้าไม่นับว่าพวกมันถอยกลับไปอย่างรวดเร็วราวกับชำนาญพื้นที่ดีแล้ว...การล่าถอยของพวกมันก็ออกจะง่ายดายจนเขาอดแปลกใจไม่ได้...
' ...น่าแปลก...ต่อให้เราจุดพลุตะไลเพื่อขอความช่วยเหลือหน่วยปราบปรามพิเศษก็เถอะ...แต่ก็อย่างที่พวกมันพูด...ถ้าหากพวกมันอดทนและระดมยิงมาอีกซัก ๒-๓ ระลอก...ต่อให้เป็นเรา ถ้าไม่ตายก็คงจะบาดเจ็บสาหัสแน่ๆ...ทั้งไอ้จิตสังหารนั่นก็เป็นของจริง...มันต้องการให้เราตายจริงๆ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่ๆ...ถ้าเป็นเช่นนั้น...ทำไม มันถึงได้ถอนตัวกันง่ายนัก ' เจ้าพระยาหนุ่มวิเราะห์สถานการณ์ในใจอย่างผิดสังเกต ในขณะที่เขาเองก็ยังนอนคลุกดินอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่โดยไม่ขยับไปไหน...เพราะเขาเองก็กลัวโดนหลอกและตลบหลัง...ขืนซี้ซั้วโผล่ออกไปแล้วพวกมันดักรออยู่มีหวังได้ตายน้ำตื้นแน่ๆ
...เพียงประมาณครึ่งชั่วโมง...ถึงแม้ว่าในห้วงความคิดของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์จะเหมือนกับรอคอยมาอย่างชั่วกัปชั่วกัลป์ก็ตาม...ท่ามกลางความเงียบสนิทชนิดเข็มตกยังได้ยิน...ในที่สุดสมุหนายกหนุ่มก็ได้ยิเสียงฝีเท้าของม้าศึกหลายสิบตัว ค่อยๆควบตะบึงเข้ามาที่จุดที่เขาแอบซ่อนอยู่...ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆนับ ๑ ถึง ๑๐ ในใจอย่างช้าๆ...เมื่อครบ ๑๐ เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นยืน และคว้าพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ชูขึ้นเหนือหัวให้กองทหารที่มาเป็นทัพหนุนทุกคนสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน...ยิ่งเมื่อเห็นชัดๆว่าผู้ใดเป็นผู้นำกำลังมาช่วยเขา...เจ้าพระยาหนุ่มก็ถึงกับยิ้มยิงฟันกว้างอย่างยินดีราวกับตายแล้วเกิดใม่เลยทีเดียว
" ท่านออกญาวิชาเยนทร์... "
" เฮ้อ...ดีจริงๆที่เป็นท่าน...หลวงสรศักดิ์...ท่านมาช่วยชีวิตกระผมไว้แท้ๆ "
หัวหน้ากองทหารหน่วยพิเศษนี้เป็นชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกับเขาและศรีปราชญ์ แต่กลับมีดวงตาที่ส่องประกายแรงกล้าอันบ่งบอกถึงพลังฝีมือที่ไม่อาจหยั่งได้...ดวงตาอันคมกริบของเขาเหลือบมามองที่สมุหนายกผู้อยู่ในชุดกะรุ่งกะริ่งที่มีเพียงพระแสงดาบอาญาสิทธิ์เพื่อบ่งบอกฐานะเท่านั้น ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ
" เมื่อครู่นี้...เป็นพลุตะไลของท่านใช่หรือไม่ขอรับ? "
" ถามอะไรแปลกๆ...กระบอกพลุนั่นก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีในครอบครอง ...เรื่องนั้นช่างเถอะ...พวกเจ้ารีบติดตามมือ...สังหาร--- "
ประโยคหลังเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เบาลงอย่างผิดสังเกต เพราะกองทหารม้าที่ตามมาด้วยนั้นกำลังควบตะบึงล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมกับส่งสายตากระหายเลือดแปลกๆมาที่เขา...ซึ่งต่อให้เป็นเด็กอมมือ แต่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่านี่ไม่ใช่รูปแบบการบังคับม้าเพื่ออารักขาเขาแน่ๆ
" หลวงสรศักดิ์...นี่มันเรื่องอะไรกัน? "
หัวหน้าทหารหนุ่มผู้ที่เป็นเหมือนกับสหายอีกคนของคอนสแตนติน ฟอลคอนเหลือบมามองเขาอีกครั้งพร้อมกับถอนหายใจเฮือก และพูดขึ้นเรียบๆทันที
" ท่านออกญา...เรื่องที่ท่านจุดตะไลขึ้น...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับพวกข้านับเป็นเรื่องที่รอได้...เรื่องที่สำคัญเป็นอันดับหนึงก็คือ...ท่านต้องตามพวกเรากลับไปที่พระนครบัดเดี๋ยวนี้ "
" ว่าอย่างไรนะ?! จะบอกว่าเรื่องที่กระผมเกือบจะถูกส่งลงนรกนี่เป็นเรื่องที่รอได้อย่างนั้นรึ?! " เจ้าพระยาหนุ่มตาโกนลั่นอย่างไม่เข้าใจ แต่คำตอบของอีกฝ่ายยิ่งกลับทำให้เขาถึงกับต้องอ้าปากค้างไปอีก
" ใช่ขอรับ...เป็นเรื่องที่รอได้...ท่านต้องกลับไปกับพวกข้าเดี๋ยวนี้! " หัวหน้าทหารนามว่าหลวงสรศักดิ์ตวาดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างพร้อมกับชักดาบเล่มเงาวับที่ขัดอยู่ด้านหลังออกมา...ซึ่งเป็นเหมือนเป็นสัญญาณให้ทุกคนชักดาบออกมาและจ่อจี้ลงมาที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ที่ยืนอยู่บนพื้นอย่างประสงค์ร้ายทันที!
" น...นี่มันอะไรกัน? ท่านดอกเดื่อ! " สมุหนายกหนุ่มยกมือยอมจำนนพร้อมกับตะโกนถามหลวงสรศักดิ์อย่างไม่เข้าใจทันที...ด้วยอารามรีบร้อนทำให้เขาเลือกที่จะเอ่ยนามจริงของหลวงสรศักดิ์แทนที่จะเป็นราชทินนาม...ในขณะที่หลวงสรศักดิ์ที่ชักดาบนิ่งอยู่หลับตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือก...ก่อนที่เขาจะประกาศเรียบๆอีกครั้ง
" ...คอนสแตนติน ฟอลคอน...ท่านถูกกล่าวหาโดยมีหลักฐานที่มัดตัวท่านอย่างชัดเจนในข้อหาพยายามล้มล้างราชบัลลังก์พ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ ...และเป็นตัวการสำคัญที่สุด...ในเหตุการลอบสังหารเจ้าพระยามหาเสนาเหล็กอีกด้วย!! "
" ว...ว่าอย่างไรนะ?! ...ท...ท่านเหล็ก ส...เสียชีวิตแล้วอย่างนั้นเหรอ?!! "
" ข้าไม่มีหน้าที่ตอบคำถามท่าน...ท่านออกญา...จะกลับไปแบบเป็นๆ หรือกลับไปแบบเป็นศพ...ท่านเลือกเอง! "
...........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ