ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.22K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

47) ...ตอนที่ ๑๒ (Side story)...ความจริงเบื้องหลัง (๒)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

=================================================

 

 

 

 

      ...ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ ๘๐ ขวบปีก่อน...     

 

      ...เมืองนครศรีธรรมราช...ประมาณปีจุลศักราช ๑๐๔๐ (ปี พ.ศ.๒๒๒๑) รัชสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ์ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ...

 

         ฉัวะ!!

 

      ...ดาบเล่มโตอันเงาวับของเพชรฆาตวาดวูบเงื้อขึ้นสุดหล้า ก่อนจะฟันฉับเข้าเต็มหลังคอของชายหนุ่มผู้ถูกผูกติดอยู่กับหลักประหารทันทีด้วยความเร็วแทบมองไม่ทัน...ด้วยจังหวะ ความเร็ว ความคม และความแม่นยำที่เป็นเลิศที่สุดของเพชรฆาตมือที่หนึ่ง...พริบตาเดียว หัวของชายหนุ่มผู้นี้ก็ปลิวกระเด็นออกจากบ่าวูบ...เลือดสีสดพุ่งกระฉูดออกจากลำคอที่ถูกตัดขาดไป และสาดกระเซ็นลงบนบทโคลงที่ถูกเขียนขึ้นด้วยนิ้วเท้าด้านขวาของเขาทันที...

 

      ...บทโคลงสี่สุภาพ...ที่ในอนาคตอันใกล้นี้...จะเป็นบทโคลงอมตะที่คุ้นหูทุกคน ในทุกยุคทุกสมัย...

 

 

                            ...ธรณีนี่นี้                        เป็นพยาน 

                         เราก็ศิษ์มีอาจารย์                   หนึ่งบ้าง

                         เราผิดท่านประหาร                  เราชอบ

                         เราบ่ผิดท่านมล้าง                   ดาบนี้คืนสนอง...

 

 

       " เป็นบทโคลง...ที่เพราะพริ้ง...และเขียนได้งามใช้ได้เลยทีเดียวนะ...ถึงจะเป็นการเขียนด้วยนิ้วเท้าด้านขวาเพราะมือถูกมัดไว้ก็ตามทีเถอะ "

 

       " อืม...นึกไม่ถึงเลยแฮะ ว่าไอ้นั่นจะสามารถใช้เท้าเขียนได้จริงๆ...ทั้งๆที่เป็นนักโทษประหารอยู่แล้ว แต่กลับมีความสามารถถึงเพียงนี้...น่าเสียดายจริงๆ...ข้าคงต้องจ่ายอัฐก้อนโตให้กับลูกเมียของมันตามสัญญาแล้ว "

 

       " หา!? ...นี่ท่าน...อย่าบอกนะว่า---ให้ตกนรกสิ! แม้แต่เรื่องพรรค์นี้ พวกเจ้าก็ยังพนันกันได้อย่างนั้นหรือเนี่ย?! "

 

       " เฮ้อ...เริ่มบ่นเป็นยายแก่ๆอีกแล้ว...แต่...เรื่องก็คือ...เจ้านั่นถูกประหารแล้ว...นั่นก็แปลว่า...ศรีปราชญ์...หนึงในยอดกวีเอกแหงรัชสมัยพ่ออยู่หัวนารายณ์ฯ...สิ้นชีพ อย่างเป็นทางการ...แล้วสินะ?... " 

 

       " หืม? เหอ? ...ยอดกวีเอกเนียนะ...พูดเองเออเองสิไม่ว่า...สำหรับข้าแล้ว...ท่านมันก็แค่ไอ้คนเจ้าชู้เสเพลที่บังเอิญโชคดีเท่านั้นแหละ "

 

         ชายหนุ่มผู้กำลังใช้กล้องส่องทางไกลโลหะอย่างดี ส่องมองการประหารนั้นอย่างเงียบๆเหนือยอดไม้ที่อยู่ไกลออกไปถึงกับถอนหายใจเฮือกและเอามือนวดขมับตัวเองและตอบกลับชายหนุ่มชาวตะวันตกอีกคนที่นั่งอยู่บนคาคบไม้ใกล้ๆไปเบาๆว่า

 

       " เมื่อไหร่ท่านจะระลึกได้ซะทีนะ...ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันล้วนแล้วแต่เป็นแผนการของข้าทั้งสิ้นทั้งปวงน่ะ "

 

       " แผนการ?...ท่านยังกล้าพูดว่านั่นเป็นแผนการได้อีกหรือ? ...ไอ้ แผน ที่ท่านว่าน่ะมันเป็นแค่การจับพลัดจับผลูทำไปตามสถานการณ์ตรงหน้า...แล้วมันบังเอิญโชคดีได้ผลเท่านั้นไม่ใช่รึอย่างไร? "  ชายหนุ่มชาวตะวันตกในชุดชาวบ้านธรรมดาๆกอดอกพร้อมกับเถียงกลับมาเบาๆ...ถ้าหากสังเกตกันดีๆ ชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้นี้พูดภาษาไทยด้วยลิ้นที่อ่อนและไพเราะราวกับคนพื้นเพอยุธยาจริงๆเลยทีเดียว

 

       " อะแฮ่ม...จริงอยู่ที่ สุดยอดแผนการ ของข้าจำเป็นต้องใช้ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและการพลิกแพลงตามสถานการณ์สูง  แต่มันก็ได้ผลไม่ใช่รึอย่างไร? "

 

       " ...เป็นแผนที่มีสิ่งจำเป็นเยอะจริงๆ...แล้วยังจะมีหน้ามาภูมิอกภูมิใจอีกนะ "

 

       " เอ้า! ก็ต้องภูมิใจสิ...แผนการทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดีนี่ "

 

       " อย่างนั้นการที่เจ้าดอดเข้าไปเล่นชู้กับอนุภรรยาของเจ้าพระยาศรีธรรมราชฯ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ลุล่วงไปแล้ว ของแผนการอันล้ำเลิศของท่านด้วยอย่างนั้นสิ? "  ชายหนุ่มชาวตะวันตกย้อนเกล็ดถามเรียบๆด้วยน้ำเสียงเสียดแทงที่สุด ทำเอาอีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวรับมือกับคำถามนี้ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกทันที

 

       " อ...อึ๋ย!...น...นั่นมัน...โธ่เอ้ย! ช่างหัวข้าเถอะน่า ข้าไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ! ท่านนี่มันปากจัดสิ้นดี...ท่านรู้ตัวไหมเนี่ย? "

 

       " เฮ้อ...เอาอารมณ์มาปะปนกับงานจนได้...ท่านน่ะมันบ้าสิ้นดีเลยรู้ตัวรึเปล่าเนี่ย?! "

 

       " ให้นรกสาปสิ...อย่าบอกนะว่าสมุหนายก อัครมหาเสนาบดีศักดินาหมื่นไร่อย่างท่านอุตส่าห์ทิ้งการทิ้งงานที่สำคัญที่สุด...ถ่อมาถึงหัวเมืองที่อยู่สุดภาคใต้นี่ เพียงเพื่อจะมาต่อล้อต่อเถียงกับข้าน่ะ "

 

       " เปล่าเลย... "  ชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้นั้นถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะเขม้นมองไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ในชุดภูมิฐานที่สุดและท่าทีที่จองหองพองขนที่สุด ที่กลางลานประลองนั้นโดยไม่ใช้กล้องส่องทางไกลด้วยซ้ำ...ดวงตาที่คมกริบของเขาฉายประกายวาววับก่อนที่ริมฝีปากบางจะแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย

 

       " ...ข้ามาที่นี่เพื่อให้ได้เห็นทุกอย่างกับตาตัวเองต่างหาก...ตรงตามที่ท่านรายงานมาทุกประการเลยนะ...ไอ้ระยำเจ้าพระยาศรีธรรมราชนี่คิดไม่ซื่อต่อพ่ออยู่หัว...และกำลังคิดซ่องสุมผู้คนเพื่อก่อการตั้งตัวเป็นเจ้าเองจริงๆด้วย!...ทั้งๆที่มันเองก็เป็นถึงเจ้าพระยามหานครศักดินาหมื่นไร่ ผู้ครองหัวเมืองชั้นเอกที่มีเพียง ๒ เมืองเท่านั้นแท้ๆ...ไม่อยากจะเชื่อเลย! "

 

       " เฮ่ยๆ ...ไอ้บทพล่ามแบบน้ำท่วมทุ่งนั่นน่ะข้าเองก็ไม่อยากจะขัดอะไรหรอก...แต่ไอ้คำพูดของท่านมันทะแม่งๆพิกลนะ...พูดเช่นนี้ท่านก็เหมือนกับด่าว่าข้าพูดจาไม่น่าเชื่อถือเลยน่ะสิ "

 

       " เปล่า...โธ่เอ้ย...ข้ากำลังจะชมเชยท่านต่างหาก... "  ชายชาวตะวันตกผู้นั้นหันมาพร้อมกับค้อมหัวเล็กน้อย และพูดขึ้นยิ้มๆว่า 

 

       " ...ท่านพึ่งจะเปิดโปงแผนชั่วร้ายของออกญามีชื่อผู้นี้...เปิดโปงแบบไม่เหลือหรอเลย...ทำได้ดีมาก...ท่านศรีปราชญ์ "

 

       " ฮ่าๆๆ คำชมของไอ้คนปากหนักเช่นท่าน ช่างเป็นสิ่งที่ล้ำค่านัก...ข้าขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีอย่างยิ่งเลย...ท่านออกญาวิชาเยนทร์ "

 

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

 

      ...ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ์ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช)  ...ถือเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองในด้านการฑูตและการติดต่อค้าขายกับชาวตะวันตกที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งราชอณาจักรอโยธยาขึ้นมาเป็นราชธานี...ทั้งๆที่พระราชประสงค์แรกเริมเดิมที่ของสมเด็จพระนารายณ์จะเป็นการหาพันธมิตรชาติตะวันตกเพื่อคานอำนาจของของฮอลันดา(๑) เท่านั้นแท้ๆ ...แต่ทว่า...การค้าขาย...การฑูต...ภาษา...ศาสนา...และวัฒนธรรมต่างๆ ที่ถูกแลกเปลี่ยนไปมาระหว่างกรุงศรีอยุธยากับฝรั่งเศสส่งผลเกินความคาดหมายของทุกๆคนไปมาก...ถึงแม้ว่าผลพลอยได้นี้จะส่งผลดีอย่างที่สุดที่ทำให้อยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองด้านวิทยาการต่างๆจนถึงขีดสุด...ล้ำหน้าราชอาณาจักรใกล้เคียงไปถึงหลายช่วงตัว...แต่ว่า...ใช่ว่าทุกคนจะนิยมชมชอบนโยบายนี้...

 

      ...ความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนเป็นเหมือนกับการก้าวกระโดดเช่นนี้ ทำให้กลุ่มอำนาจเก่าผู้เสียประโยชน์...และกลุ่มผู้มีหัวอนุรักษ์นิยมหลายต่อหลายกลุ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง...หลายครั้งหลายหนตลอดหลายปีมานี้ ที่กองทัพใต้การบัญชาของพ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ต้องยกกระบวนไปปราบปราม...ถึงแม้ว่าจะปราบปรามได้ทุกครั้งก็จริง แต่นั่นก็เกิดจากหน่วยข่าวที่ยอดเยี่ยม และขุนพลคู่พระทัยผู้มีฝีมือและความจงรักภักดีที่สุด...และไม่มีอะไรรับประกันได้เลยว่า...ครั้งหน้า...พวกเขาจะโชคดีปราบปรามได้สำเร็จอีก...

 

       " เพราะฉะนั้นถึงต้องมีข้าอยู่อย่างไรล่ะ! ข้าและหน่วยยุคันตวาตของข้านี่แหละ ที่จะเป็นผู้ท่องไปทั่วทั้งดินแดนสุวรรณภูมิ...รวบรวมข้อมูลข่าวสารทั้งหมด...วิเคราะห์ความเสี่ยงของการก่อการกบฎทั้งหมด...การข่าวที่สมบูรณ์แบบของข้านี่แหละที่ทำให้หน่วยปราบปรามของเจ้าพระยาโกษาธิบดีเหล็กและดาบฟ้าฟื้นของเขาตามไปปราบปรามพวกมันลงได้ก่อนการก่อกบฏจะเริ่มเสียอีก...เป็นอย่างไร! เห็นค่าของตัวข้าและหน่วยของข้ารึยัง?! "  ชายหนุ่มอันมีนาม หรือไม่ก็สมญาว่าศรีปราชญ์พูดขึ้นพร้อมกับยืดอกอย่างภาคภูมิใจที่สุด...ในขณะที่ชายหนุ่มชาวตะวันตกเชื้อสายกรีกที่นั่งอยู่ข้างๆเลิกคิ้วขึ้นทันทีที่ศรีปราชญ์พูดจบ ก่อนที่เขาจะขัดขึ้นเบาๆอีกรั้ง

 

       " หน่วยยุคันตวาต? ...ก็อยากจะชมเชยอยู่หรอกนะว่าเป็นชื่อที่เพราะดี...แต่พ่ออยู่หัวอนุมัติและมีราชโองการตั้งหน่วยอะไรนี่แล้วอย่างนั้นหรือ? "

 

       " ไม่อ่ะ...อันที่จริงพ่ออยู่หัวเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าทำอะไรอยู่ "

 

       " อ้าว? แล้วกันสิ "

 

       " เฮ่ย! หน่วยยุคันตวาตของข้าเป็นหน่วยลับนะ จะให้มีคนรู้ได้อย่างไรเล่า เจ้าเองที่เป็นรองหัวหน้าหน่วยก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีนี่ "

 

       " รองหัวหน้า? เดี๋ยว...ประเดี๋ยวนะ! หยุดตรงนี้ก่อนเลย...แล้วข้าถูกเหมารวมให้อยู่ในหน่วยบ้าๆบอๆของท่านได้อย่างไรเนี่ย? ทั้งยังเป็นรองหัวหน้าอีกต่างหาก...ม...ไม่สิ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ...แล้วเรา จะทำอะไรกับไอ้ออกญาระยำนี่ดีล่ะ...ที่จริงแล้ว...ข้าสามารถสังหารมันในเวลานี้เลยก็ยังได้นะ "

 

       " ประสาทไปแล้วรึอย่างไร?  ถ้าขืนท่านทำอะไรเวลานี้ล่ะก็ ความเรื่องที่ข้ายังไม่ตายก็แดงขึ้นมาน่ะสิ! ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วข้าจะส่งสารลับไปถึงท่านเพียงผู้เดียวทำตบักตะบวยอะไรเล่า! "

 

       " อ้าว? แล้ว "

 

         ศรีปราชญ์ลูบคงพร้อมกับเพ่งมองไปที่ลานประหารที่ผู้คนเริ่มแยกย้ายกันไปอย่างครุ่นคิด...ดวงตาของเขาเหลือบไปมองบทโคลงที่อยู่ข้างเท้าขวาของนักโทษประหารผู้นั้น...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะแสยะยิ้มออกมาบางๆ

 

       " ข้ามีความคิดดีๆ "

 

       " จะไม่เชื่อข้าก็ได้นะ...แต่ข้าล่ะโคตรเกลียดเวลาที่ท่านทำหน้าเช่นนี้เลย ท่านศรีปราชญ์ "  คำดักคอของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อัครมหาเสนาบดีเชื้อสายกรีกผู้เป็นเสมือนสหายของเขา ทำเอาชายหนุ่มถึงกับชะงักกึก ก่อจะหันไปแยกเขี้ยวใส่ทันที

 

       " ข้าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมนะเฮ้ย! หาใช่โจรผู้ร้ายไม่...ส่วนเรื่องของเจ้าพระยาศรีธรรมราชนั้น...เอาเป็นว่า...เจ้าลองหาโคลงที่จบลงยากๆให้พ่ออยู่หัวเห็นแบบผ่านๆก็แล้วกัน...ถึงจะเป็นนักการทูตที่สมบูรณ์แบบ...แต่พ่ออยู่หัวก็ยังคงเป็นกวีที่เก่งกาจและกระหายในการต่อโคลงไม่เสื่อมคลาย...เมื่อไม่มีผู้ใดจบโคลงให้แก่พระองค์ได้ อย่างไรเสียพระองค์ก็ต้องมีหนังสือเรียกข้า---เรียกตัวศรีปราชญ์กลับไปแน่...เมื่อถึงเวลานั้น... "

 

       " พ่ออยู่หัวจะทรงทราบว่าศรีปราชญ์ถูกประหารแล้ว...และถูกประหารโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากท่านก่อน...ท่านคิดจะยืมพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัวจัดการไอ้กบฏผู้นี้ โดยไม่ให้พ่ออยู่หัวทรงทราบว่ามันกำลังเตรียมการก่อกบฎอย่างนั้นรึ?! "

 

       " ช่าย...และนี่คือการปิดตำนานของศรีปราชญ์โดยสมบูรณ์ "

 

         เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เหลือบสายตาสีซีดของเขากลับมามองชายหนุ่มผู้เป็นเหมือนสหายตรงๆด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนที่ในที่สุดเขาก็พูดขึ้นเรียบๆว่า

 

       " เจ้าคิดจะใช้การตายนี้หายตัวไปจริงๆรึ? "

 

       " อื้ม...แล้วเหยียบไว้ล่ะ...ท่านที่ข้าถือเป็นเป็นสหายที่สนิทที่สุดเป็นเพียงผู้เดียวที่ทราบเรื่องนี้...อย่าปูดออกมาเป็นอันขาดเชียวล่ะ "

 

       " จะเอาอย่างนี้จริงๆหรือ?...ศรีปราชญ์...ถึงท่านจะทำตัวป่วนไปทั่วราวกับเป็นศรีธนณชัยกลับชาติมาเกิดก็เถอะ แต่เนื้อแท้แล้วท่านถือเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยาก...ไม่ใช่แค่ด้านกวี...แต่ด้านกระบวนดาบและการวางแผนซ้อนกลท่านก็เก่งกาจไม่แพ้ผู้ใด...หากเอาจริงท่านอาจจะมีฝีมือพอจะประมือกับท่านโกษาเหล็ก หรือมีตบะบารมีเพียงพอจะใช้ดาบฟ้าฟื้นของท่านโกษาเหล็กได้ด้วยซ้ำ...ถ้าหากท่านเอาดีในด้านราชการล่ะก็--- "

 

       " เอาอีกแล้ว...บ่นเป็นยายแก่อีกแล้ว...แบบนี้มารี กีมาร์(ท้าวทองกีบม้า) หลงไปชมชอบท่านได้อย่างไรกันนะ...ทั้งๆที่ข้าออกจะมีเสน่ห์กว่าตั้งเยอะแท้ๆ "  เสียงบ่นอ่อยๆของศรีปราชญ์ทำให้คอนสแตนติน ฟอลคอนหันกลับมามองพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอีกคร้้ง...

 

      ...ก็เพราะไอ้สันดานเจ้าชู้ประตูดินอย่างนี้อย่างไรเล่า...เขาถึงไม่ยอมชวนไอ้นี่ไปที่จวนของเขาซะที...

 

       " มารีน่ะ ตั้งครรภ์แล้วนะ "

 

       " หืม  หา?...เฮ้ย?! จริงดิ?!! ตกลงท่านมีน้ำยาพอจะทำนางท้องได้จริงๆเหรอเนี่ย? ลูกคนอื่นรึเปล่า---จ๊ากกกก!! แอ๊ก! "  คำถามของศรีปราชญ์ยังไม่ทันถามได้ครบประโยคดี ก็ถูกส้นเท้าหนาๆของเพื่อนชาวตะวันตกที่นั่งอยู่ที่คาคบไม้ข้างๆยันเปรี้ยงจนร่วงลงมากระทบพื้นดินอย่างแรงจนถึงกับจุกลุกไม่ขึ้น ก่อนที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์จะปีนตามลงมาพร้อมกับขยับแขนเสื้อพับขึ้นและขยับแยกเขี้ยวอย่างเอาเรื่องทันที

 

       " วิธีเดียวที่จะรักษาไอ้คนคนปากเปราะอย่างท่านได้ คงเป็นการกระทืบให้รากเลือดอย่างที่เขาบอกจริงๆสินะ "  เขากัดฟันกรอดพร้อมกับง้างเท้าจะซ้ำไอ้คนปากเปราะที่นอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่ให้น่วม แต่อีกฝ่ายยกมือห้ามไว้พร้อมกับรีบละล่ำละลักเอ่ยขอโทษทันที

 

       " ประเดี๋ยวๆๆๆ ความผิดข้าเองที่พูดออกไปโดยไม่คิด อโหสิให้ด้วยเถอะนะๆ ล...แล้วก็ยินดีด้วยนะ จะ...จะได้เป็นพ่อคนกับเขาแล้วนี่...มารีท้องได้กี่เดือนแล้วล่ะเนี่ย? "

 

          คำยินดีของศรีปราชญ์ทำให้เจ้าพระยาหนุมผู้กำลังจะเป็นพ่อคนอยู่รอมร่อชะงักเท้าลง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างอดใจอ่อนไม่ได้

 

       " ถ้าหมอมิชชันนารีตรวจอาการไม่พลาดล่ะก็ คงจะประมาณ ๔ เดือนได้แล้วล่ะ...ว่าแต่ท่านเถอะ "

 

       " หืม? "

 

       " ...ข้าหมายใจจะให้ท่านเป็นพ่อทูนหัวของลูกข้านะ...แล้วท่านก็รับปากไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วด้วย แล้วใจคอท่านไม่คิดจะอยู่รอรับขวัญหลานของท่าน ลูกของข้าเลยอย่างนั้นหรือ? "

 

       " ท่านนี่มันโหดร้ายสิ้นดีเลยรู้ตัวไหม...กล้าใช้ลูกตัวเองเป็นข้ออ้างเพื่อรั้งข้าไว้แบบนี้ "  คำดักคอเรียบๆอย่างเท่าทันของศรีปราชญ์ทำให้เจ้าพระยาวิชาเยนทร์หน้าร้อนวูบอีกครั้งอย่างนึกละอายแก่ใจที่พูดออกไป  ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกและพูดออกไปตามตรงว่า

 

       " ข้าพูดจริงจังนะ...มันออกจะน่าเสียดายอย่างถึงที่สุดที่คนมีฝีมืออย่างท่านจะใช้ชีวิตไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้...ท่านสามารถทำให้อโยธยายิ่งใหญ่กว่านี้ได้อีกหลาย--- "

 

       " เฮ้อ...นี่เป็นคำพูดที่รักชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าขุนนางชาวอโธยาหลายคนอีกนะเนี่ย...แต่ว่านะ ลำพังแค่พวกท่านน่ะก็เพียงพอแบบเหลือแหล่แล้ว...ส่วนทางข้านั้นท่านไม่ต้องห่วงหรอก...ถึงข้าหมายใจใฝ่ฝันว่าจะออกเดินทางไปทั่วทั้งสุวรรณภูมิเพื่อท่องเที่ยวก็เถอะ แต่หน่วยยุคันตวาตของข้า ที่มีข้าที่เป็นหัวหน้ากับท่านที่เป็นรองหัวหน้าเพียงสองคน--- "

 

       " นี่ตกลงรวมข้าเข้าวงสังฆกรรมบ้าๆบอๆกับท่านแล้วจริงๆเหรอเนี่ย? "

 

       " เรื่องหยุมหยิมอย่าไปใส่ใจเลยน่า เรื่องก็คือท่านไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยข้าหรอก...อย่างไรเสียหน่วยยุคันตวาตก็ยังคงทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับอโยธยาไม่มีวันเปลี่ยนแปลง...ข้าเองก็จะค่อยๆแผ่ขยายเส้นสายของหน่วยยุคันตวาตของข้าให้ไปทั่วจนกลายเป็นหน่วยข่าวที่ครอบคลุมที่สุด...ข่าวที่ไม่ชอบมาพากลทุกเรื่องข้าจะส่งมาถึงท่านเอง...เพราะฉะนั้น อย่าได้ห่วงข้าไปเลย "

 

       " เฮ้อ...ลอยชาย ท่องเที่ยวไปเรื่อยอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีหลักแหล่ง...ความคิดแบบเด็กๆ "  คำเหยียดของขุนนางกรีกผู้เป็นสหายทำให้ศรีปราชญ์หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นอย่างไม่ถือสาหรือโกรธเคืองใดๆ ....เขาขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับกอดคอเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ไว้อย่างถือสนิทพร้อมกับพูดเบาๆว่า

 

       " เพราะข้ามันมีความคิดแบบเด็กๆอย่างนี้อย่างไรล่ะ...ที่ทำให้ข้าหลุดออกจากกรอบความคิดของผู้ใหญ่หน่ายโลกเช่นท่าน และช่วยอโยธยาไว้จากสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงมากมายได้ "

 

         เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เหลือบมองผู้เป็นสหายสนิทอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างปลงตก เพราะเขาเองก็รู้ถึงนิสัยดื้อดึงของอีกฝ่ายดี...ลงได้ตัดสินใจลงไปแล้วต่อให้เขาว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้อยู่ดี...เขาจึงได้แต่พูดเบาๆว่า

 

       " ถ้าหากลงท่านได้ตัดสินใจเช่นนั้น ข้าก็คงป่วยการที่จะห้ามปรามอยู่ดี...แต่ข้าอยากให้ท่านพึงระลึกไว้อย่างนึง ว่าทุกอย่างมันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ท่านคิดเสมอไป...แม้แต่อโยธยาอันรุ่งเรืองนี้ก็คงจะไม่ได้อยู่ยั้งยืนยงอย่างค้ำฟ้า... "

 

       " ท่านจะพูดอะไรของท่าน... "

 

       " ...ซักวัน...ท่านเองก็ต้องพบกับความสูญเสีย และถึงวันนั้น ท่านที่กลายเป็นผู้อมตะไม่แก่ไม่ตายเช่นนี้ ก็มีแต่จะต้องทำใจและก้าวผ่านไปให้ได้เท่านั้น...ไม่มีทางอื่นเลย "

 

         ประโยคหลังทำให้ศรีปราชญ์ถึงกับชะงักกึก และดวงตาหม่นแสงลงอย่างประหลาด ก่อนจะสะบัดหัวและแยกเขี้ยววับทันที

 

       " นี่...ท่านมันว่างนักรึอย่างไรฮะ...ถึงได้ตามจิกตามกัดข้าไม่เลิกเช่นนี้เนี่ย!...แล้วเรื่องนั้นก็มีท่านเพียงคนเดียวที่ทราบ...แม้แต่พระโหราธิบดีผู้เป็นบิดาของข้ายังไม่รู้เลยแท้ๆ...ท่านนี่มันปากสว่างซะจริง! "

 

       " เฮ้อ...ถ้าถามว่าว่างไหม...เวลานี้ข้าน่ะโคตรจะยุ่งเลย...อีกมิกี่มื้อกี่เพลาข้าก็ต้องรีบไปที่เมืองละโว้(ลพบุรี) อันพ่ออยู่หัวดำริจะตั้งให้เป็นราชธานีแห่งที่ ๒ เพื่อคอยคุมการก่อสร้างป้อมปราการอีก...แถมท่านเจ้าพระยาโกษาธิบดีปานเองก็น่าจะกลับมาจากการเจริญไมตรีกับ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่ง ราชวงศ์บูร์บง อีกมิเกินเดือนหน้าแน่...ข้าก็ต้องเตรียมการต้อนรับคณะทูตของฝรั่งเศสที่ตามมาด้วยอีก...ไม่ได้มีเวลาว่างมาลอยชายเช่นท่านแน่ "  เจ้าพระยาวิชาเยนทร์พูดพร้อมกับกระโดดขึ้นม้าตัวพ่วงพี ที่ถูกเอาอุปกรณ์ต่างๆออกทั้งหมดโดยเหลือแค่อานและบังเหียนเท่านั้น ซึ่งบ่งบอกว่าม้าตัวนี้เป็นม้าที่เจ้าของต้องการความเร็วอย่างที่สุดแน่...ก่อนที่เขาจะหันกลับมาและพูดเบาๆว่า

 

       " ถ้าหากความตั้งใจของท่ายังคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง...นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกันแล้วนะ...ท่านศรีปราชญ์ "

 

       " ...อย่าเริ่มเชียวฟอลคอน...ข้าแค่ออกท่องเที่ยว...ไม่ได้ไปตายที่ไหน...ไม่ต้องมากล่าวลาแบบสะอึกสะอื้น ขี้มูกโป่งบ่อน้ำแตกให้เห็นเชียวนะ "  คำดักคอของศรีปราชญ์ทำให้สมุหนายกหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว...ความคิดและคำพูดซึ้งๆที่เตรียมจะพูดหายไปจากหัวในพริบตาเลยทีเดียว

 

       " เฮ้อ...บางครั้งข้าก็อดคิดไม่ได้นะ...ว่าทำไมฟ้าถึงได้จับคนเช่นข้า...มาพบเจอกับไอ้คนที่ไม่เอาถ่าน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ชอบเอาแต่แต่งโคลงกลอน หลีหญิง กับลอยชายไปๆมาๆแบบท่านได้...ท่านรู้ไหมว่าเมื่อครั้งที่เราพบกันครั้งแรกเมื่อ ๔-๕ ขวบปีก่อน...ข้าล่ะเกลียดขี้หน้าท่านมากที่สุดในบรรดาขุนนางหนุ่มทุกคนเลย "

 

       " เฮ้ยๆๆ งานนี้ขอเถียงเลย...คิดว่าเวลาที่เจอกันครั้งแรกข้าชอบขี้หน้าท่านนักนี่...ไอ้คนที่เอาจริงเอาจังไปซะทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยปานใดอย่างท่านน่ะ ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไรกัน...ถามจริงๆเหอะ แบกไอ้หัวแข็งๆนั่นไว้บนบ่าแบบนี้ไม่รู้สึกเมื่อยคอบ้างรึอย่างไรกัน! "

 

       " หา? พูดอะไรของท่าน...ข้าไม่เมื่อยคอเลยซักนิด! "  สมุหานายกหนุ่มตอบกลับไปอย่างจริงจังด้วยสีหน้าซีเรียสที่สุดจนทำให้ศรีปราชญ์ถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะตะโกนตอบกลับมาทันทีว่า

 

       " จ...เจือกตอบกลับมาเฉยเลย...ไอ้คนเถรตรงเอ๊ย นั่นมันเป็นคำประชดประชัน ไม่ใช่คำถามแบบต้องการคำตอบเฟ้ย!! "

 

       " อึ๋ย! จะ...จะไปรู้ได้อย่างไรกันเล่า! ข้าไม่ได้มีเวลาว่างมาศึกษาคำประชดห่วยแตกพรรค์นี้ซะหน่อย... "

 

       " ก็หัดศึกษาซะมั่งเซ่! อย่างน้อยก็เพื่อเอาไว้เข้าสังคมกับเขาบ้าง! เพราะนอกจากข้ากับคนที่พอจะรู้พื้นนิสัยท่านเพียงไม่กี่คนแล้ว ท่านมันก็เป็นคนที่ไม่มีใครคบเลย เพราะไอ้นิสัยเถรตรงของท่านนี่แหละทำให้ข้าอดเป็นห่วงไม่ได้...แล้วพอไม่มีข้าอยู่ซักคนเช่นนี้ ท่านจะอยู่ได้อย่างไรถามจริงๆเหอะ! "

 

       " ช...ช่างข้าเถอะน่า!  แล้วก็ช่างหัวท่านด้วยก็แล้วกัน!...ถึงจะบอกว่าจะไป แต่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างท่านมันจะไปได้ซักกี่น้ำกันเชียว เผลอไม่เกิน ๓ เดือนท่านได้กลับมาตายรังที่อโยะยาแน่ๆ เพราะฉะนั้นจะไสหัวไปตายหงส์ตายห่านที่ไหนก็ไปเลยไป๊! "

 

       " พูดอย่างนี้มันหาเรื่องกันชัดๆเลยไม่ใช่รึอย่างไร...เออ! ท่านก็กลับไปทำงานเครียดๆนั่นให้หัวล้านเลือดออกจากทวารทั้ง ๕ ตายไปเลยไป๊! แล้วข้าจะไม่โผล่หน้าไปให้ท่านเห็นอีกตลอดชีวิตเลย! "

 

         หลังจากเถียงกันจนหนำใจ...ในที่สุดศรีปราชญ์ก็ยกมือขึ้นฟาดเข้าเต็มบั้นทายของม้าตัวเร็วที่ออกญาวิชาเยนทร์ขี่อยู่ ส่งผลให้ม้าตกใจและดีดขาขึ้นจนแทบจะทำให้สมุหนายกหนุ่มตกลงมา...ดีที่ว่ารั้งสายบังเหียนบังคับไว้ทัน ก่อนทีจอมกวีหนุ่มจะเกาหัวแกรกๆพร้อมกับหันหลังกลับและทำท่าจะเดินจากไป...แต่เขาก็ต้องชะงักกึกเพราะเพื่อนสนิทชาวกรีกที่อยู่บนหลังม้านั้นพูดขึ้นเบาๆอีกครั้ง

 

       " ท่านศรีปราชญ์... "

 

       " หืม? จะชวนทะเลาะอะไรอีกล่ะ ท่านออกญา? "

 

       " ...ถ้า...ถ้าเป็นไปได้...ช่วยส่งข่าวมากับเหยี่ยวสื่อสารที่ข้าให้ไว้เป็นระยะๆด้วยเถอะนะ...อย่างน้อยข้าก็จะได้รู้ว่าท่านเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือที่ไหน...ข้ารับรองว่าข้าจะรักษาความลับเรื่องนี้ไว้เป็นอย่างดีเลย " 

 

         ศรีปราชญ์เลิกคิ้วกับคำพูดที่เบาแสนเบาของอีกฝ่าย...ก่อนที่ดวงตาของเขาจะหม่นแสงลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงความจริงที่ว่าเขาอาจจะไม่ได้พบกับเพื่อนรักผู้นี้ไปตลอดกาลแล้วก็ได้...ซึ่งมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาเสียใจที่ตัดสินใจปล่อยให้ตัวตนของตนเอง ตาย ไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่แบบนี้...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะฝืนยิ้มและตอบกลับไปโดยไม่หันกลับไปมองว่า

 

       " เมื่อไม่มีข้าอยู่ช่วยแล้ว...ท่านต้องระวังตัวให้จงหนัก...ฟอลค่อน...ความใกล้ชิดระหว่างท่านกับพ่ออยู่หัวสมเด็จพระนารายณ์ฯ ทำให้เหล่าขุนนาง...หรือแม้แต่เหล่าราชนิกูลต่างก็อิจฉาริษยาในตัวตนของท่าน...และข้าก็ไม่อาจคอยอยู่ช่วยท่านได้อีกแล้ว...เพราะฉะนั้น "

 

       " อืม...เข้าใจแล้ว...แล้วข้าจะระวังตัวไว้... "

 

       " ส่วนของรับขวัญหลานของข้า...ไว้ข้าจะส่งมาให้อีกทีหลังจากเด็กคนนั้นเกิดก็แล้วกัน...อดใจรอไว้ได้เลย "

 

       " ฮ่ะๆๆๆ ข้าจะอดใจรอล่ะกัน "

 

         ทั้งคู่ต่างเงียบงันลงอีกครั้ง...ก่อนที่ในที่สุดศรีปราชญ์จะหันกลับมาหาออกญาวิชาเยนทร์ช้าๆ และยิ้มกว้างขึ้นพร้อมกับค้อมหัวให้เล็กน้อย...เพราะเขารู้ดี...ว่านี่เป็นการกล่าวอำลาจริงๆแล้ว...

 

       " รักษาตัวด้วยนะ...ท่านเจ้าพระยาวิชาเยนทร์... "

 

       " หากโลกภายนอกมันโหดร้ายนัก...อโยธยาและเรือนของข้ากับมารีก็พร้อมจะต้อนรับท่านกลับมาเสมอ...เพราะฉะนั้น...ไปดีมาดีนะ...ท่านศรีปราชญ์ เพื่อนรักของข้า... "

 

       " หึๆๆ ลาก่อน ...คอนสแตนติน ฟอลค่อน...เพื่อนรักของข้า... "

 

 

 

 

 

..............................................

 

 

 

       " "

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา