ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
46) ...ตอนที่ ๑๒ ...ความจริงเบื้องหลังท่านผู้เฒ่า..(๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
' ...แบบนี้...จะแย่เอาเหมือนกันนะ... ' หลังจากนั่งมองเด็กหนุ่มสองคนซึ่งคนหนึ่งเป็นถึงเจ้าพระยาพานทองผู้เป็นหัวหน้าราชองครักษ์ ในขณะที่อีกคนหนึ่งเป็นหลวงยกกระบัตรว่าที่เจ้าเมืองตากเถียงกันเป็นเด็กๆทะเลาะกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเกาหัวแกรกๆพร้อมกับคิดในใจ
' ถึงจะบอกว่าได้ผู้มีฝีมือมาเป็นพวกก็เถอะ ...แต่เด็กผู้นี้ก็ไม่ใช่คนของหมู่บ้าน จะให้ติดสอยหอยตามเราไปก็คงจะไม่ได้...แต่จะให้ผลักไสไล่ส่งไปก็คงจะเป็นที่ผิดสังเกตเอาอีก...แล้วจะเอาอย่างไรดีล่ะเนี่ย? '
ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ากำลังนั่งครุ่นคิดอยู่นั้น ชายวัยกลางคนที่แต่งองค์ทรงเครื่องในชุดของทหารมหาดเล็กที่ดูภูมิฐานกว่าทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์คนอื่นๆก็ควบม้าตรงมาที่จวนของออกพระเพชรพิไชย ซึ่งทหารเฒ่าผู้เป็นเจ้าบ้านก็หันมาสบตาท่านผู้เฒ่าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปต้อนรับในฐานะเจ้าบ้านทันที
" ...ท่านจมื่นศรีสรรักษ์...เวลานี้เป็นเวรเดชของท่านที่คอยลาดตระเวนในเขตราชฐานชั้นกลางนี่ ท่านทำให้กระผมประหลาดใจ...ลมอะไรหอบท่านมาถึงจวนของข้ากัน "
" ท่านออกพระเพชรพิไชย...ไม่มีอะไรมากหรอกขอรับ...กระผมแค่นำข้อความสำคัญมาแจ้งให้แก่หัวหน้าของกระผม...ได้ยินว่าท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ฯยังคงพำนักอยู่ในจวนของท่าน...ใช่หรือไม่ขอรับ? " จมื่นศรีสรรักษ์ หัวหน้าผู้บัญชาการทหารมหาดเล็กเวรเดช ผู้บัดนี้ขึ้นตรงต่อเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดียิ้มบางๆพร้อมกับคำนับให้กับหัวหน้าจางวางทหารล้อมวังผู้อาวุโสวัยกว่า ในขณะที่เมื่อพระเพชรพิไชยรู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายเขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องห้าม เขาจึงหลีกให้อีกฝ่ายเข้ามาในอาณาเขตจวนแต่โดยดี ...จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มบางๆพร้อมกับก้มหัวคำนับให้อีกครั้ง ก่อนที่เขาจะหันไปหาไกรผู้บัดนี้เป็นนายของเขาโดยตรงพร้อมกับยิ้มกว้างขึ้นและโค้งคำนับชายหนุ่ม ในขณะที่ไกรก็รีบปั้นหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับค้อมหัวตอบกลับไปเล็กน้อยเช่นกัน
" ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี "
" ท่านจมื่นศรีสรรักษ์... "
" ไม่ต้องเรียกกระผมว่าท่านก็ได้ขอรับ...อย่างไรเสียใต้เท้าก็เป็นเจ้านายของกระผมและเหล่าจมื่นอีก ๓ เวรแล้ว "
" แต่ท่านก็ยังอาวุโสกว่ากระผม...และอยู่ในราชการนี้มาก่อนกระผม ให้กระผมเรียกท่านว่าท่านเถอะ " ไกรยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปเบาๆ คำพูดของเขาทำให้อีกฝ่ายชะงักกึก ก่อนในที่สุดจะหัวเราะออกมาทันที
" ฮ่าๆๆๆ เสียดายนักที่วานนี้ข้าติดลาดตระเวนจนไม่ได้ไปชมการประลองนี้ เพราะขุนนางทุกคนที่ได้ดูต่างก็โจษจันกันไปทั่วถึงความเก่งกาจฉกาจฉกรรจ์ของใต้เท้า จนเวลานี้นามของท่านน่าจะออกไปถึงนอกกำแพงราชวังแล้วกระมั้ง...แต่ใต้เท้ากลับมิได้เป็นอย่างที่ทุกคนว่าเลย...ท่านในเวลานี้กลับถ่อมตนอย่างเหลือเชื่อ "
" ประเดี๋ยวนะ ขอขัดก่อนเลย...จากไอ้ข่าวลือที่ท่านได้ยินมาเนี่ย กระผมเป็นอย่างไรกัน? "
" หืม? อ้อ...ทุกคนต่างก็พูดกันว่าท่านเก่งราวกับปิศาจ สามารถรับมือกับกระบวนดาบที่พวกเราถูกฝึกมาได้ทุกรูปแบบ ทั้งบ้างก็ว่าท่านอ่านใจผู้ประลองได้อีก...อ้อ แล้วทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใต้เท้าน่ะจองหองพองขนที่สุดเลยล่ะขอรับ! "
คำพูดของจมื่นหัวหน้าเวรเดชตรงหน้าทำเอาไกรถึงกับแทบทรุด ก่อนจะลอบมองไปที่ท่านผู้เฒ่าที่ส่งยิ้มหวานมาให้อย่างเคืองๆ...ดูเหมือนว่าไอ้แผนที่ทำให้เขาเป็นจุดสนใจดูจะได้ผลเกินความคาดหมายเสียแล้ว...
" เอาเป็นว่า...อย่างไปเชื่อเป็นจริงเป็นจังกับข่าวลือพรรค์นั้นมากเลย ที่เห็นนั่นก็เป็นการแสดงซะส่วนใหญ่น่ะ... "
" การแสดง? " หัวหน้าทหารราชองครักษ์เวรเดชกระพริบตาปริบๆอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ก่อนจะเหลือบไปมองธำมรงค์ทับทิมที่พระเจ้าเอกทัศน์ทรงพระราชทานให้เป็นรางวัล ที่ไกรผูกเข้ากับเชือกที่มีลักษณะคล้ายเชือกร่มสีเข้ม กลายเป็นสร้อยและห้อยคอไว้ ก่อนจะอดถามขึ้นเบาๆไม่ได้ "...ช่างเถอะ...เรื่องที่กระผมอดสงสัยกว่าไม่ได้ก็คือเหตุใด ใต้เท้าถึงได้นำธำมรงค์มาห้อยคอแทนที่จะสวมไว้ล่ะขอรับ? "
" เอ่อ... " ไกรอึกอักเล็กน้อยพร้อมกับใช้มือหยิบธำมรงค์วงนี้ขึ้นมามองเล็กน้อยและตอบกลับไปเบาๆ " ขนาดของธำมรงค์มันใหญ่เกินข้อนิ้วของกระผมน่ะสิ...จะเก็บใส่หีบไว้ก็คงไม่ได้ ก็เลยต้องเอามาคล้องคอเช่นนี้น่ะ "
" ...อย่างนั้น...หรอกหรือขอรับ? " จมื่นศรีสรรักษ์รับคำเบาๆ ด้วยสีหน้าไม่ใคร่จะเชื่อคำแก้ตัว ห่วยๆ ของอีกฝ่ายนัก ...ในขณะที่ไกรก็รีบพูดกลบเกลื่อนต่อทันที
" ว่าก็ว่าเถอะ ท่านเองก็คงจะไม่ได้ถ่อมาที่นี่เพื่อแค่จะมาพูดคุยกับกระผมหรอกกระมัง? "
จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้มออกมาเล็กน้อยกับท่าทีช่างสังเกตของเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้านายโดยตรงของเขา...หัวหน้าทหารมหาดเล็กเวรเดชผู้นี้เหลือบมองไปที่สินที่อยู่อีกด้านด้วยสายตาว่างเปล่าชั่วเสี้ยววินาทีนึง ก่อนจะหันกลับมาที่ไกรและตอบกลับมาเรียบๆ
" พ่ออยู่หัวทั้งสองพระองค์...ทั้งพ่ออยู่หัวเอกทัศน์และพ่ออยู่หัวอุทุมพรให้กระผมนำความมาแจ้งแก่ท่านเจ้าพระยาน่ะขอรับ... "
" พ่ออยู่หัว? "
" ขอรับ... "
" เป็นราชโองการอย่างนั้นหรือ? "
" เปล่าหรอกขอรับ...อันที่จริงต้องบอกว่ากระบวนเสด็จของพ่ออยู่หัวทั้งสองผ่านกระผมที่อยู่เวรอยู่พอดี เลยบอกให้กระผมมาบอกกับท่านเพื่อให้กระผมได้มาพบกับท่านด้วยน่ะขอรับ "
" อืม... " ไกรพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันไปสบตากับท่านผู้เฒ่าชั่วแว้บนึง และหันกลับมาและพยักหน้าอีกครั้งเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อทันที
" ...พ่ออยู่หัวทั้งสองให้ท่านไปรอคอยพระองค์อยู่ที่ย่านตะแลงแกง(๑) ตรงตลาดหน้าคุก...หลังจากที่พระองค์เสร็จกิจธุระราชการศึกกับสองอัครมหาเสนาบดีแล้ว พระองค์จะไปที่คุกนั่นพร้อมกับท่านน่ะขอรับ "
" ย่านตะแลงแกง? "
...เดี๋ยวนะ...ไอ้ตะแลงแกงนี่มันเป็นเครื่องจองจำหรือไม่ก็คุกไม่ใช่เหรอ?...แล้วไอ้ย่านตะแลงแกงนี่...ย่านที่ทำตะแลงแกงขายรึไง? เฮ้ย! จะบอกว่าคนติดคุกเยอะจนตะแลงแกงขายกันเป็นล่ำเป็นสันเลยเหรอ?!
" ท่านจมื่นหมายถึงสี่แยกที่อยู่ตรงศูนย์กลางของพระนครน่ะขอรับ ท่านเจ้าพระยา " ท่านผู้เฒ่ารีบไขข้อสงสัยเบาๆราวกับอ่านใจไกรได้ ก่อนจะเลิกคิ้วบางๆอย่างนึกอะไรขึ้นได้ และรีบพูดต่อทันที
" เอาอย่างนี้สิขอรับ...เรื่องที่ท่านคิดจะไปทำก่อนหน้านี้ ไว้เป็นธุระของข้าเองก็ได้...ส่วนท่านก็ไปรอรับเสด็จพ่ออยู่หัวที่น่านตะแลงแกงตรงตลาดหน้าคุกเถอะ "
' หืม...ถ้าเป็นอย่างนั้นก็โอเคนะ...นอกจากจะไม่เสียเวลาท่านผู้เฒ่าที่จะไปหามือสังหารที่รีไทร์ไปแล้ว ก็ยังทำให้...ส...สินไม่ผิดสังเกตเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเรากับท่านผู้เฒ่าด้วย แถมยังไม่เสียราชการอีก...อืม...แบบนี้สินะที่เรียกงานหลวงไม่ขาดงานราษฎร์ไม่เสียน่ะ ' ไกรคิดบวกลบคูณหารในใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วยและหันไปพูดกับสินที่ยังคงยืนเงียบๆอยู่ตรงมุมหนึ่งว่า
" อืม...ก็เข้าที่...เอาเป็นตามที่เจ้าว่าก็ได้...สิน...เจ้าเองก็มากับข้าด้วยสิ "
" หืม?...เอ๋? ท่านชวนข้า--กระผมอย่างนั้นหรือ? "
" ไอ้ท่าทีประหลาดใจแบบออกนอกหน้านั่นมันเสียมารยาทนะ...แต่เอาเถอะ...ก็เมื่อครู่ข้าก็เรียกชื่อสินนี่ "
...หลวงยกกระบัตรเมืองตาก(สิน) ที่บัดนี้ถูกผู้เป็นพ่อบุญธรรมนำมาฝากไว้กับไกรกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับสบสายตากับไกรอย่างไม่แน่ใจและไม่เชื่อใจ...แต่เขาก็ไม่พบลับลมคมในใดๆในสายตาของไกรเลย...ชายหนุ่มจึงเกาหัวแกรกๆและถอนหายใจเฮือกทันที
" เท่าที่จำได้ กระผมพึ่งจะบอกไปนี่ขอรับว่ากระผมจะโค่นท่านให้ได้...แล้วนี่ใจคอท่านยังจะกล้าชวนกระผมไปด้วยกันอีกหรือขอรับ? "
" ...แต่เจ้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะตั้งป้อมเป็นศัตรูกับข้าในทุกทางนี่...เปาหมายของเจ้าก็แค่เอาชนะกระบวนดาบของข้าให้ได้...ซึ่งถ้ามองในมุมนั้นเราก็เป็นคู่แข่งกัน...ไม่ใช่ศัตรูคู่แค้นกันซะหน่อย...มาด้วยกันเถอะน่า...ข้าเองก็พึ่งจะเคยมาพระนครครั้งแรก ขืนไปคนเดียวแล้วเกิดหลงทางจนรับเสด็จพ่ออยู่หัวไม่ทันจะเสียราชการเสียเปล่าๆ เจ้ามาเป็นเพื่อนข้า...อย่างน้อยก็ไม่หลงกันอย่างไรล่ะ "
" ...ม...มา...เป็นเพื่อน? " สินทวนคำเล็กน้อยอย่างตะกุกตะกักราวกับพึ่งเคยได้ยินคำๆนี้เป็นครั้งแรกจนทำให้ไกรอดเลิกคิ้วตอบอย่างประหลาดใจไม่ได้
' อย่าบอกนะว่า...พระเจ้าตากสินในวัยหนุ่ม...ผู้นี้ ... ' ไกรหันไปมองหน้าหลวงยกกระบัตรหน่มผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของตรงๆอีกครั้ง...ยิ่งเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เหมือนกับทำหน้าไม่ถูกกับคำชวนของเขายิ่งทำให้เขาแน่ใจเข้าไปใหญ่
' ชัดเลย...สินนี่...เป็นพวกเพื่อนไม่คบจริงๆด้วย...ถ้าดูจากความสามารถด้านกระบวนดาบแล้ว...ก็เดาได้ว่า...เก่งเกินไป แถมไม่รู้จักเข้าสังคม จนกลายเป็นคนที่ไม่มีเพื่อนไปสินะ... '
" ใจดีจริงนะขอรับ...อีกฝ่ายพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะเอาชนะท่านให้ได้แท้ๆ...หรือว่า...มั่นใจในฝีมือตัวเองแบบไม่เห็นหัวอีกฝ่ายเลย " ออกพระเพชรพิไชยที่ทีแรกก็กะจะนั่งฟังเงียบๆ อดขัดขึ้นเบาๆไม่ได้ ซึ่งเป็นประโยคที่ทำให้ไกรถึงกับต้องเกาหัวแกรกๆทันที
" ชักใบให้เรือเสียเห็นๆเลยไม่ใช่รึอย่างไรเนี่ย...ท่านออกพระ...ทั้งข้าก็ทำไปด้วยความบริสุทธ์ใจแบบเห็นๆเลยแท้ๆ! " ไกรเถียงออกไปเบาๆ...ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วเขาเองก็ไม่ได้คิดตามที่พูดไว้แบบร้อยทั้งร้อยก็เถอะ...
...ใจจริงของเขาแล้ว...ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับทุกคน...เขาก็ยังอยากจะเป็นมิตรกับสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีในอนาคตผู้นี้อยู่ดี...
...หลวงยกกระบัตรสินขมวดคิ้วอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อใจอะไรไกรนัก ด้วยศักดิ์ศรีอะไรบางอย่างที่ค้ำคอเขาอยู่หลังจากการพ่ายแพ้ให้กับชายตรงหน้าไปเมื่อวาน ...แต่ในที่สุดเขาก็หลับตาลงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกและพยักหน้าเบาๆ
" ก็ได้ขอรับ...อย่าไรเสียหากยึดตามราชโองการของพ่ออยู่หัว กระผมที่เป็นผู้ใต้บัญชาของท่านโดยตรงก็ไม่อาจปฏิเสธคำสั่งเด็ดขาดของท่านได้อยู่แล้วนี่... "
" เฮ่ยๆ ก็บอกแล้วอย่างไรว่าให้ไปเป็นเพื่อน แปลไอ้คำชวนแบบฉันท์มิตรนี่ไปเป็นคำสั่งเด็ดขาดได้อยางไรกันฟะ " ไกรเกาหัวแกรกๆอีกครั้ง...นอกจากจะเพื่อนไม่คบแล้ว...ยังเป็นพวกซึนเดเระอีกรึไงกันเนี่ย?
" ฮ่ะๆ...ก็ดีแล้วนี่ขอรับ...อย่างไรเสียก็ดีกว่าไปคนเดียวอยู่แล้ว แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ...ท่านจมื่น " ท่านผู้เฒ่าหันไปหาจมื่นศรีสรรักษ์และเอ่ยเป็นเชิงเริ่มถามเบาๆ
" หืม? " ในขณะที่ผู้บัญชาการเวรเดชเลิกคิ้วเล็กน้อย...ไม่ใช่เพราะเขางงกับคำถามที่ยังไม่ได้ถามออกมา...แต่เป็นการเลิกคิ้วเพราะงงกับสถานะอันไม่ชัดเจนของชายหนุ่มผู้กำลังเริ่มถามเขานี่ต่างหาก
" ขอเสียมารยาทถามนะขอรับ...แต่ท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าพ่ออยู่หัวมีกิจธุระอันใดกับเจ้าพระยาพิทักษ์ฯกัน? "
" อืม...ก็...ไม่ได้ตรัสออกมาอย่างชัดเจนหรอกนะ...แต่ว่า เห็นพ่ออยู่หัวอุทุมพรเปรยๆกับพ่ออยู่หัวเอกทัศน์ว่า จะหาคนมาเข้าร่วมหน่วยคเณศร์เสียงาของท่านเจ้าพระยาเพิ่มอีกคนน่ะ "
" หาคนเพิ่ม...ให้หน่วยของข้าอย่างนั้นรึ? " ไกรทวนคำเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายก็พยักหน้ายืนยันเบาๆ
" ขอรับ... "
คำยืนยันที่หนักแน่นของจมื่นศรีสรรักษ์ทำให้ไกรและท่านผู้เฒ่าหันไปมองหน้ากันเอง พร้อมกับคิดในใจเหมือนกันและพร้อมกันโดยไม่ได้ัดหมายทันที
' ...หาคนเพิ่ม...ในคุกเนี่ยนะ?! '
.............................................
...ไม่กี่นาทีต่อมา...ที่ประตูขนาดใหญ่หน้ากำแพงพระบรมมหาราชวัง...
" ถ้าอย่างนั้น...ข้าขอแยกไปตรงนี้เลยก็แล้วกันนะขอรับ " ท่านผู้เฒ่าที่บัดนี้อยู่บนหลังม้าตัวพ่วงพีพูดชึ้นเบาๆ พร้อมกับก้มหัวเล็กน้อยให้กับไกรและสิน ที่เวลานี้อยู่ในชุดของทหารธรรมดาๆ และไม่ได้ขี่ม้ามาด้วย ซึ่งสินและไกรก็พยักหน้าตอบกลับมาเล็กน้อย ทำให้ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกเล็กน้อยและอดถามไปไม่ได้
" ย่านตะแลงแกงและตลาดหน้าคุกอยู่ใจกลางพระนครพอดิพอดี...จะว่าใกล้ก็ใกล้อยู่หรอก แต่ถ้าจะให้เดินไปก็ลิ้นห้อยเอาง่ายๆนะ ไม่นำม้าไปด้วยนี่จะดีหรือขอรับ "
" ม...ไม่เป็นไรหรอก...ตัวข้าที่พึ่งจะเข้ามาในพระนครครั้งแรก ก็อยากจะเดินดูบ้านเมืองเรื่อยๆเพื่อเปิดหูเปิดตาอยู่แล้วน่ะ...ม...ไม่ไปสายหรอกน่า " ไกรหันกลับไปพร้อมกับตอบกลับเหมือนกับครางออกไปเบาๆ...ถึงแม้ว่าจริงๆแล้วจะเป็นเพราะเขายังคงเข็ดขยาดและหวาดกลัวการอยู่บนหลังสัตว์สี่เท้าขนาดใหญ่ตัวนี้อยู่ไม่หายก็ตาม...
...ถ้าไม่จำเป็นชนิดคอขาดบาดตายจริงๆ...ต่อให้ต้องเดินจนขาลาก...เขาก็ไม่มีวันให้หว่างขาเขาไปอยู่บนหลังของไอ้สัตว์สี่เท้าสุดอันตรายพวกนี้แน่ๆ!...
" เฮ้อ...ไม่เป็นไรหรอกขอรับ...ผิดนักพวกข้าก็ยังว่าจ้างเรือแจวให้ไปส่งที่ท่าตรงตลาดหน้าคุกได้...อย่างไรก็ทันรับเสด็จอยู่แล้ว " สินตอบกลับท่านผู้เฒ่าเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายคลายกังวล แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลที่ท่านผู้เฒ่ามีอยู่ลดลงไปเลย
' ...ไอ้ที่ข้ากังวลน่ะไม่ได้อยู่ตรงไปไม่ทันหรอก...แต่กลัวว่าจะไปชนเข้ากับเรื่องไม่เป็นเรื่องจนไปไม่ถึงย่านตะแลงแกงนี่สิ! ' ท่านผู้เฒ่าอดคิดในใจอย่างหวาดวิตกไม่ได้...เพราะไกรเองก็พิสูจน์ให้เขาเห็นมาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่า ต่อให้เรื่องเล็กน้อยแค่ไหน เขาก็พร้อมจะทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อันน่าปวดเศียรเวียนเกล้าได้เสมอ...
...กะอีกแค่แผนง่ายๆ แค่มาแจ้งข่าวให้พระดอกเดื่อแล้วกลับหมู่บ้านแถมยังอยู่ในหูตาของเขาเองแท้ๆ เจ้านี่ยังสามารถสร้างเรื่องจนตัวเองต้องกลายมาเป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดี...พระยาพานทองผู้เป็นหัวหน้าทหารราชองครักษ์ได้...เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรสามารถรับประกันได้เลยว่า ถ้าหากปล่อยไปไกลหูไกลตา...เจ้านี่จะไม่ไปสร้างหายนะที่ไหนอีก...
" เฮ่ยๆ...ไอ้สีหน้าเช่นนั้นมัหมายความว่าอย่างไร? ข้าเป็นนายของเจ้านะเฮ้ย! หัดไว้เนื้อเชื่อใจเจ้านายโดยตรงอย่างข้าบ้างสิ!! " ระหว่างที่เขาคิดในใจอยู่นั้น ไกรก็กอดอกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจอย่างผู้ที่เหนือกว่าในยศศักดิ์โดยสิ้นเชิง...เป็นน้ำเสียงทรงอำนาจที่ทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับคิ้วกระตุกและเลิกคิดเป็นห่วงทันที
' อ...ไอ้เด็กเปรต...ทีอย่างนี้ล่ะแสดงได้อย่างแนบเนียนเสียจริงนะ...ฝากไว้ก่อนเถอะ! '
" ก็ได้...อย่างนั้นฝากท่านสินดูแล ท่านหัวหน้า ของเราด้วยล่ะกันนะ...ไปดีมาดีนะขอรับ ท่านเจ้าพระยาพิทักษ์! " ท่านผู้เฒ่าแยกเขี้ยวยิ้มพร้อมกับชักม้าและออกเดินไปทันที ในขณะที่ไกรและสินที่เหลือกันอยู่เพียงสองคนหันไปมองหน้ากันเอง ก่อนจะพยักหน้าให้กันเบาๆเหมือนเป็นเชิงว่าพวกเขาก็เริ่มออกเดินกันได้แล้ว...
ระหว่างทางที่ไกรสาวเท้าเดินตามถนนเลียบกำแพงพระบรมมหาราชวังและดื่มด่ำกับบรรยากาศของผู้คนที่ดำเนินชีวิตไปในช่วงที่เริ่มจะสายนี้อย่างเงียบๆ ...สินเองก็เหลือบมามองที่มือขวาของไกรที่เวลานี้ถือดาบมาเพียงเล่มเดียว ในขณะที่เขาสะพายดาบขัดไว้กลางหลังถึง ๒ เล่ม ก่อนจะอดถามขึ้นเบาๆไม่ได้
" ...ท่านเจ้าพระยา--- "
" เรียกข้าว่าไกรเถอะ...ไม่ต้องเอ่ยบรรดาศักดิ์หรือราชทินนามก็ได้...แล้วก็ไม่ต้องใช้คำที่เป็นทางการอย่าง กระผม หรอก...อย่างไรเสียพวกเราก็ลงเรือลำเดียวกัน...อยู่ในหน่วยเดียวกันแล้วนี่ "
" ท...ท่านไกร... "
" อืม...ความจริงไม่ต้องมี ท่าน ก็ได้นะ แต่เอาเถอะ...มีอะไรอย่างนั้นหรือ ท...สิน? "
" เหตุใดท่านถึงได้พกดาบมาแค่เล่มเดียวล่ะ? ...ก็แนวทางดาบของท่านเป็นดาบสองมือนี่ขอรับ? "
" อันที่จริง...ข้าก็ใช้ได้ทั้งดาบมือเดียวและดาบสองมือล่ะนะ ...แล้วอีกอย่าง ถึงจะพึ่งจะเป็นเมื่อเร็วๆนี้ก็เถอะ แต่ถ้ามีดาบอยู่ในมือทั้งสองมือละก็ ข้ามักจะควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้...คราวที่แล้วที่ประลองกับเจ้าข้าก็ต้องรีบปิดเกม---หมายถึงรีบจบการประลองน่ะ...ไม่อย่างนั้นข้าก็คงจะแย่เหมือนกัน...ปกติแล้วข้าเลยใช้แต่ดาบมือเดียวน่ะ...วาแต่เจ้าเถอะ... "
" ขอรับ? "
" จะว่าข้าสอดรู้สอดเห็นก็ได้นะ แต่ถ้าหากข้าดูไม่ผิด...ทำไม่ท่านจมื่นศรีสรรักษ์นั่นดูหมางเมินกับท่านเหลือเกินนะ...มีอะไรรึเปล่า? "
" ...หึ...ช่างสังเกตจริงนะขอรับ...แต่ว่า มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไรหรอก...ข้าคิดว่า...ที่ท่านจมื่นทำท่าแบบนั้น ก็คงจะเป็นเพราะบิดาบุญธรรมของข้ากระมังขอรับ? "
" บิดาของเจ้า...ท่านครุฑน่ะเหรอ? "
" ขอรับ...ถึงท่านจะเป็นบิดาที่เป็นเหมอนบิดาบังเกิดเกล้าของข้า...แต่บรรดาศักดิ์ของท่านพ่อนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ...มันทำให้ทุกคนคิดว่าที่ข้าซึ่งเดิมเป็นเพียงบุตรของชาวจีนต้าฉิงที่อพยพเข้ามา มียศฐาเป็นขุนนางข้าราชการที่มีหน้ามีตาได้เช่นนี้ได้...เป็นเพราะเส้นสายของท่านพ่อเท่านั้น... "
" อยู่ใต้เงาของท่านครุฑมาโดยตลอดเลยสินะ? "
" เป็นคำเปรียบเปรยที่แปลก...แต่ทว่าแทงเข้าใจดำข้าอย่างจังเลยนะขอรับ... "
" อ้อ...ถ้าอย่างนั้น...เมื่อวานที่เจ้าต่อสู้กับข้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง ราวกับจะตายกันไปข้างนึงเช่นนั้น...อย่าบอกนะว่าเพื่อประกาศศักดา และบอกให้ทุกคนรับรู้...ว่าเจ้าได้ยศศักดิ์เหล่านี้มาได้ด้วยตนเอง...หาใช่ด้วยอำนาจและเส้นสายของท่านครุฑไม่? "
" ...ทานจะโกรธเคืองข้าก็ได้นะ...ท่านไกร...แต่ที่ท่านพูดเป็นความจริงทุกประการ...ข้ารู้ดีว่าท่านพ่อเป็นคนที่ดี เป็นผู้ที่เอาข้าวแดงแกงร้อนราดหัวข้าให้เติบโตมาเป็นเช่นนี้ สำหรับข้าแล้ว ท่านพ่อเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของข้า...แต่เรื่องนี้มันต่างกรรมต่างวาระกัน... "
" ... "
ถึงเวลานี้ ดวงตาของสินก็ส่องประกายวาววับด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า พร้อมกับเสมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไป...ในที่สุดชายหนุ่มก็พูดออกมาเรียบๆอีกครั้ง
" ...ถ้าหากมันเป็นก้าวหนึ่งที่จะทำให้ข้าออกจากเงาของท่านพ่อได้เร็วขึ้น...ต่อให้ต้องเอาชนะท่านหรือปิศาจตนใด ข้าก็พร้อมจะทำ! "
ไกรหันกลับมามองเด็กหนุ่มผู้มีจิตอันแน่วแน่และแรงกล้านี้ตรงๆ ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือก...ชายหนุ่มผู้เวลานี้มีศักดิ์สูงกว่าอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิงเข้ามาใกล้เด็กหนุ่มคู่สนทนาพร้อมกับเอามือวางไว้บนไหล่อันกำยำของสิน และพูดขึ้นเรียบๆว่า
" สิน...นี่ถือเป็นคำแนะนำจากข้าผู้อยากเป็นสหายกับเจ้าก็แล้วกันนะ... "
" หืม?...ข...ขอรับ? "
" เรื่องบางเรื่อง เวลา ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดนะ...สิน...ในบางครั้ง หากเจ้าเลิกวิ่งไล่ตามอย่างมัวเมาราวกับโคถึก...และยอมอดทนรออย่างสงบ และใจเย็นอย่างนักปราชญ์...เจ้าอาจจะได้ในสิ่งที่เจ้าปรารถนา...หรือดีไม่ดี...สิ่งที่เวลาจะให้เจ้าได้...อาจเป็นสิ่งที่เกินกว่าที่เจ้าปรารถนาอย่างที่สุดเลยก็ได้... "
" ... "
" ...ใช่แล้ว...สิ่งที่ยิ่งใหญ่ มีไว้ให้แก่ผู้ที่รอคอยอย่างอดทนเสมอ... "
" แล้ว...แล้วข้าจะต้องรออีกนานเท่าไหร่กันเล่า ท่านไกร?! "
คำถามของเด็กหนุ่มผู้เวลานี้ดำรงตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมืองตากทำให้ไกรยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับตบไหล่สินเบาๆ
" ด้วยความสามารถของเจ้า...คงอีกมินานเกินการรอคอยของเจ้าหรอก...เจ้าเชื่อคำพูดของข้าได้เลย...สิน... "
...ใช่แล้ว...ไกรรู้ดี...และเขาอาจจะเป็นผู้เดียวที่รู้แน่แก่ใจ...ว่าอีกไม่นานเกินรอหรอก...ร่มเงาของเด็กหนุ่มนามว่าสินผู้นี้...จะแผ่ขยายไปมากเกินกว่าเขา...มากเกินกว่าเจ้าพระยาจักรี(ครุฑ)...มากเกินกว่าเจ้าพระยามหาเสนา(บุนนาค)...มาก...เกินกว่าทุกผู้ทุกคนในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้เสียอีก...
...ร่มพระบรมโพธิสมภาร แห่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ศรีมหาสมุทร อย่างไรล่ะ...
............................................
...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่า...ชายผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านของเหล่ามือสังหารที่เก่งกาจที่สด...
...ท่านผู้เฒ่าชักม้าและควบให้วิ่งเหยาะๆ ไปบนถนนที่ถูกปูไว้ด้วยอิฐแดงซึ่งเป็นถนนเส้นหลักที่ทอดยาวและแตกแขนงไปอย่างไม่รู้จบ...ผ่านซอกซอยต่างๆไปราวกับเขารู้จักเส้นทางเหล่านี้ดีดั่งรู้ลายมือตัวเอง...จนในที่สุด...เมื่อแดดเริ่มแรงกล้าขึ้นในช่วงสาย...เขาและม้าตัวพ่วงพีนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงวัดเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออกมาจากกำแพงพระนครและแม่น้ำที่ล้อมรอบพระนครอยู่นัก...
ชายหนุ่มหัวหน้ามือสังหารผู้เป็นอมตะผู้นี้ค่อยๆลงจากหลังม้า และกวาดสายตาอันคมกริบมองไปรอบๆอาณาเขตของวัดเล็กๆแห่งนี้...เพราะเป็นเวลาสายแล้ว ทำให้ภายในวัดมีเพียงสามเณรองค์น้อยๆรูปหนึ่งที่กำลังกวาดลานวัดอย่างขยันขันแข็ง และพระภิกษุที่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณเพียงรูปหนึ่ง ที่กำลังเข้าฌาณสมาธิอยู่ใต้ร่มโพธิ์ใหญ่เท่านั้น...
ท่านผู้เฒ่าค่อยๆเดินเข้าไปหาพระรูปนั้นอย่างเงียบกริบราวกับพยัคฆ์ย่องเข้าหาเหยื่อ ก่อนจะมาหยุดอยู่ด้านหลังของพระที่กำลังทำสมาธิรูปนั้น...ดวงตาของเขาหม่นแสงลงเล็กน้อยทำให้เขาดูชราขึ้นอย่างประหลาด...ก่อนที่ในที่สุด เขาจะค่อยๆคุกเข่าลง และกราบพระรูปนั้นแบบเบญจางคประดิษฐ์ช้าๆ
" โยม... " ทันทีที่ท่านผู้เฒ่ากราบครบ ๓ ครั้ง พระภิกษุผู้กำลังหลับตาเข้าฌาณทำสมาธิอยู่นั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ...โดยไม่ได้ลืมตาขึ้นหรือหันกลับมามองด้วยซ้ำ...ทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรราวกับเขาเดาไว้แล้วว่าอีกฝ่ายต้องทักมาแบบนี้
" พระคุณเจ้า... "
" เหตุใดโยมถึงไหว้พระจากทางด้านหลังล่ะ? "
" เพราะข้ากับพระคุณเจ้าอยู่คนละโลกแล้วอย่างไรล่ะ...พระคุณเจ้าอยู่ในโลกแห่งร่มกาสาวพัสตร์ที่กำลังจะเข้าสู่วิถีแห่งการหลุดพ้น...ในขณะที่ข้านั้นยิ่งจมลึกอยู่ในวังวนแห่งการเข่นฆ่าและความพยาบาท...พระคุณเจ้าไม่ควรจะต้องมาเห็นหน้าข้าให้เสื่อมเสียศีลที่รักษาอยู่ไป "
" แต่อาตมาก็ยังไม่มีวันลืมเลือนว่าคุณโยมเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดของอาตมาอยู่ดีนะ...คุณโยมท่านผู้เฒ่า...มีกิจอันใดให้อาตมาช่วยเหลือก็ว่ามาเถิด...อาตมายินดีช่วยคุณโยมเสมอ...หรือว่า...จะเป็นเรื่องของเด็กหนุ่มที่ติดสอยห้อยตามคุณโยมมา...เด็กหนุ่มผู้บัดนี้ได้เป็นเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีผู้นั้น? "
" หึๆ ...ทั้งๆที่ไกรพึ่งได้รับราชโองการแต่งตั้งได้เพียงวันเดียวแท้ๆ ...ต่อให้อยู่ใต้รมกาสาวพัสตร์ ก็ยังคงไม่ทิ้งนิสัยสอดรู้สอดเห็นของหัวหน้ามือสังหารแห่งหมู่บ้ายุคันตวาตสินะ...ท่านน่ะ "
" ถ้าเป็นไปได้...อาตมาอยากให้ใช้คำว่าติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอดีกว่านะ...แต่ว่า...พูดอย่างปลอดอคติ...เด็กหนุ่มผู้นั้นออกจะคล้ายกับท่านอยู่ไม่น้อย...ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ? "
" เฮ้อ...มันคงรู้สึกงงงวยพิลึกที่ตัวมันไพล่ไปคล้ายกับผู้คนได้หลายผู้หลายคนเช่นนี้...แต่ข้าไม่เหมือนกับมันเลยแม้แต่น้อย...อยากให้พระคุณเจ้าเข้าใจเสียใหม่ด้วยเถอะนะ " ท่านผู้เฒ่าเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับพูดขึ้นพร้อมกับกลั้วหัวเราะเบาๆ...แต่คำพูดของพระภิกษุรูปนี้ที่ตอกกลับมาทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักกึก และตัวแข็งทื่อเป็นหินทันที
" ...แหวนนี้ท่านได้แต่ ใดมา
เจ้าพิภพโลกา ท่านให้
ทำชอบใดนา วานบอก
เราแต่งโคลงถวายไท้ ท่านให้ รางวัล... "
" เจ้า! " ท่านผู้เฒ่าลุกพรวดขึ้นยืนทันที ในขณะที่พระภิกษุผู้กำลังก้าวเข้าสู่วัยชรารูปนั้นหันหน้ากลับมาหาอีกฝ่ายช้าๆพร้อมด้วยรอยยิ้มรู้ทันอันน่ากวนโมโหที่สุด
" เหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มคนนั้นได้รับพระราชทานธำมรงค์จากพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์...มันไม่ต่างจากเหตุการณ์ที่ท่านได้รับพระราชทาธำมรงค์จากพระหัตถ์ของพ่ออยู่หัวนารายณ์เลยไม่ใช่รึอย่างไร? ...จะหาว่าอาตมาสอดก็ได้นะ...เส้นทางของคุณโยมกับเด็กหนุ่มผูนั้นน่ะ มันเหมือนกันราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกันทีเดียวล่ะ "
" ก็ไม่เชิงสอดหรอก...ท่านเพียงแค่รู้มาก...และพูดมากเกินไปแล้วต่างหากล่ะ... "
" ฮ่ะๆๆ ท่านก็รู้นิสัยข้าดีอยู่แล้วนี่ นิสัยเช่นนี้มันเปลี่ยนกันไม่ได้หรอกนะ...ท่านศรีปราชญ์! "
...............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ