ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  129.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

35) ...ตอนที่ ๙...ราชโองการแต่งตั้ง...(๑)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

      ...ท่านผู้เฒ่าใช้มือลูบเข้าที่แก้มข้างที่โดนตบแบบซ้ำรอยเดิมเป๊ะๆไปถึง ๒ ครั้ง ก่อนจะถึงกับต้องครางออกมาเบาๆ...ต่อให้ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่โดนทั้งฝ่ามือทั้งคำด่าแบบนี้มันก็ทำให้เข้ารู้สึกหน้าชาไปเป็นแถบๆเลยเหมือนกัน...ก่อนที่เขาจะปั้นหน้าเคร่งขรึมพร้อมกับหันมาที่ไกรและสั่งด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานทันที...

 

        " ไกร...เจ้าไปรอข้าที่เกวียนก่อนไป...ข้ามีเรื่องตอบกราบทูลกับองค์---สมเด็จพระพี่นางตามลำพัง "

 

          นี่อาจจะเป็นคำสั่งด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เป็นการเป็นงานมากที่สุดเท่าที่ไกรได้ยิน นับแต่ได้รู้จักกับท่านผู้เฒ่ามาเลยทีเดียว...ติดอยู่ที่รอยผื่นสีชมพูจางๆที่ขึ้นเป็นรูปฝ่ามือชัดๆดันทำเอาความเป็นการเป็นงานนี้หายไปหมดสิ้น ทำเอาไกรที่ขนาดยังมึนๆ อยู่ยังถึงกับต้องกัดริมฝีปากกลั้วหัวเราะจนแทบจะห้อเลือดเลยทีเดียว  ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่เห็นท่าทีของไกรก็ถลึงตาใส่ทันที

 

        " อุวะ! ไอ้นี่ ไปสิวะ! "  ก่อนจะต้องหดคอแยกเขี้ยววับทันทีเมื่อสมเด็จพระพี่นางที่ประทับยืนอยู่ด้านหลังตวัดพัดจีนลงฟาดกับฝ่าพระหัตถ์พร้อมกับตรัสแหวออกมาดังลั่น

 

        " ทำไมต้องไล่ไปด้วยเล่า! กลัวว่าญาติรุ่นหลานจอมปลอมของท่านจะเลิกเคารพนับถือท่านเพราะเรื่องของเราสองรึอย่างไร?!! "

 

          ท่านผู้เฒ่าหลับตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพูดขึ้นกับไกรเบาๆอีกครั้ง

 

        " ไปรอข้าที่เกวียน...ไกร ถือว่าข้าขอร้องล่ะ "

 

          ไกรเหลือบมองไปที่พระพี่นางผู้เป็นเชษฐภคิณีของจอมกษัตริย์ถึง ๒ พระองค์ที่ยังคงทำหน้ายักษ์อยู่ ก่อนจะพยักหน้าให้กับท่านผู้เฒ่าเบาๆ...ถึงจะไม่มีคำขอร้องของอีกฝ่าย เขาก็กะจะเฟตตัวออกไปอยู่แล้ว เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ยิ่งเขารู้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น แถมเขาก็ไม่มีงานอดิเรกที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าด้วย ถึงมันจะน่าอยู่รอดูแค่ไหนก็ตามที...

 

        " ขอรับ... "

 

          ท่านผู้เฒ่าลอบถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อยอย่างขอบคุณ ก่อนที่ไกรจะหันไปถวายบังคมให้กับพระพี่นาง และค่อยๆถอยออกมาช้าๆ ปล่อยให้สุดยอดหัวหน้ามือสังหารอยู่กับสมเด็จพระพี่นางปริศนาที่เหมือนจะรู้ อะไรๆ มากกว่าที่เขาคิดตามลำพัง...แต่พอเขาเดินออกมาได้เพียงลับเหลี่ยมต้นไม้ใหญ่อีกต้นนึงเท่านั้น ก็เกิดเรื่องต่อทันที

 

          พรึ่บ!

 

          โดยไม่ทันได้ตั้งตัว...ไกรถูกมืออันแข็งแรงปานคีมเหล็กของใครบางคนคว้าหมับเข้าที่คอ ก่อนจะกระชากวูบด้วยแรงผิดมนุษย์มนาจนร่างถึงกับลอยละลิ่วปลิวละล่องติดมือนั่นไปทันที

 

        " ฮ...เฮ้---อุ๊บ!! "  ก่อนที่จะทันได้ร้องอุทานอะไรออกมา มือนั้นก็พุ่งมาอุดปากเขาไว้...แต่พอได้เห็นผู้ที่โจมตีเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวชัดๆ ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างเข้าไปใหญ่

 

        " อ้าต-อี้...อมา-อา?! (นาสตี้-มายา) "  

 

        " ชู่ว...อย่าได้เอ็ดอึงไปสิ! ประเดี๋ยวท่านผู้เฒ่าก็รู้ตัวหรอก! "  

 

          ภาพที่เขากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้คือหนึ่งสุดยอดมือสังหารสาวสายเลือดตะวันตก ที่กำลังย่อตัวเอามือป้องหูทำท่าเหมือนคนกำลังแอบสืบข้อมูลลับของใครซักคนอยู่ไม่มีผิด ในขณะที่เสือสมิงสาวที่มีฤทธ์แก่กล้าสุดๆอย่างมายาที่พึ่งกระซิบเตือนเขาไปเมื่อครู่ ใช้ดวงตาเหลือบสีเหลืองอ่อนของเธอเขม้นมองที่เขา จนเมื่อเห็นว่าเขาคุมสติได้ดีพอจะไม่โหวกเหวกโวยวายอะไรแล้ว จึงค่อยๆปล่อยมือที่อุดปากชายหนุ่มออกอย่างช้าๆ

 

        " พวก...เธอ...ทำ บ้า อะไรอยู่ฟะเนี่ย?! "  เมื่อหลุดจากการถูกอุดปาก ไกรก็ร้องถามขึ้นทันที แต่ก็ถามไปด้วยเสียงเบาไม่เกินกระซิบเช่นเดียวกับอีกฝ่าย ในขณธที่เมื่อได้ยินคำถาม อนาสตาเซียก็หันกลับมาพร้อมกับกระซิบตอบทันที

 

        " ทำอะไร? ถามโง่ๆ ก็แอบฟังท่านผู้เฒ่ากับสตรีน่าสงสัยนั่นพูดคุยกันอยู่น่ะสิ "

 

        " ได้ยินที่ตัวเองพึ่งพูดออกมารึเปล่าเนี่ย?! พูดอย่างกับว่าที่พวกเธอทำนี่เป็นเรื่องที่สมควรอย่างนั้นแหละ...ให้ตายสิ! ข้านึกว่าพวกเธอออกไปไกลลิบแล้วนะเนี่ย "

 

        " ก็กะจะออกไปสมทบกับสิงห์และศกุนตลาอยู่หรอก แต่มายาบอกกับข้าว่านางจับสัมผัสของผู้บุกรุกได้ เลยกลับมาเตรียมคุ้มครองท่านพ่อ...แต่แบบนี้น่าจะไม่จำเป็นต้องคุ้มครองแล้วล่ะ...เจ้าก็คิดเหมือนกับข้าใช่ไหมไกร ว่านางอาจจะมีเบื้องหลัง อะไรๆ กับท่านพ่อก็เป็นได้ "  ประกายตาวิบวับๆของอนาสตาเซียตอนที่หันกลับมาตอบเขาทำให้ไกรแทบจะอ้าปากค้าง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก

 

     

      ...เบื้องหลัง อะไรๆ เนี่ยนะ?!...

 

 

      ...ผู้หญิง!...

 

       ...ไม่ว่าชาติไหน...ภาษาไหน...หรือยุคสมัยไหน ก็หนีไม่พ้นอยากรู้อยากเห็นสิน่า...ยิ่งเป็นเรื่องของผู้ที่อยู่เหนือบังคับบัญชาโดยตรงยิ่งแล้วใหญ่ ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าการสอดรู้สอดเห็นนี่อาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเองก็ตามที...

 

        " ทำหน้าเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร! อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังด่าข้าอยู่ในใจนะ "

 

        " เฮ้อ...ก็ไม่เชิงด่าหรอก แค่บ่นเบาๆอย่างหงุดหงิดใจเท่านั้น "

 

        " ก็ไม่ต่างจากด่าเลยไม่ใช่รึไง? "  มายาที่เหมือนจะรอตบมุกอยู่แล้วขัดขึ้นเบาๆ ทำเอาหญิงสาวอีกคนหันมาถลึงตาใส่พร้อมกับแยกเขี้ยววับทันที ก่อนจะหันกลับไปแอบมองพร้อมกับเงี่ยหูฟังต่อ

 

        " ข้าได้ยินว่าพ่อเรียกสตรีนางนั้นว่าองค์หญิง...ตกลงนางเป็นราชนิกูลเหรอ? "

 

          ไกรเหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง และเลือกตอบในคำถามที่เขาจะตอบได้

 

        " ไม่ใช่แค่ราชนิกูลธรรมดา แต่พระนางเป็นพระพี่นาง พี่สาวของพระเจ้าเอกทัศน์ "

 

        " พี่สาวของพระเจ้าแผ่นดินอโยธยา?! ตายๆๆๆๆ แล้วพ่อไปรู้จักมักจี่ได้ยังไงเนี่ย? "  หน้าตาอยากรู้อยากเห็นแบบปิดไม่มิดของอีกฝ่ายทำให้ไกรเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

 

        " นี่เธอที่เป็นบุตรบุญธรรมของท่านก็ไม่รู้เรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ? "

 

        " หน้าตาข้าเหมือนผู้วิเศษที่รู้ทุกเรื่องรึไง...ข้ารู้แต่ว่าท่านพ่อเคยรับราชการ แต่นั่นก็ก่อนข้าเกิดเสียอีก แล้วท่านพ่อก็ปากหนักไม่ได้เล่าเรื่องพรรค์นี้มากมายนักด้วย...เอ้า! อย่ามาชวนคุยสิ ประเดี๋ยวท่านพ่อรู้ตัวก็โดนเฉ่งกันถ้วนหน้าพอดี "

 

        " ถ้าไม่อยากให้โดนจับได้ก็อย่ามาทำท่าลับๆล่อๆแอบดูตั้งแต่แรกสิเฟ้ย! "

 

 

 

 

 

....................................................

 

 

 

 

 

 

       ...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่าผู้เป็นอดีตเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ และสมเด็จพระพี่นางพินทวดี...ผู้ที่อาจจะมีเบื้องหลัง อะไรๆ ต่อกัน...

 

       ...ท่านผู้เฒ่าที่ยังคงยืนนิ่งลอบเหลือบหันกลับไปมองที่พระพี่นางผู้ที่เขารู้จักมาตั้งแต่ดำรงยศเป็นแค่องค์หญิงแห่งวังหน้า เหมือนกับจะรอให้อีกฝ่ายพูดก่อน แต่จนแล้วจนรอดพระพี่นางพินทวดีก็ยังคงประทับยืนนิ่งมั่นประดุจดั่งหินผาและใช้สายพระเนตรทิ่มแทงมาที่เขา จนกระทั่งเขาทนแรกกดดันไม่ไหวและเป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาก่อนว่า

 

        " ด้วยความเคารพ...องค์หญิ----สมเด็จพระพี่นาง ที่ข้าพุทธเจ้าบอกพระองค์ได้คือ ข้ามิได้มีจิตคิดร้ายต่อพ่ออยูหัว พระบรมวงศานุวงศ์ และราชบัลลังก์แน่..." 

 

        " จะให้ข้าเชื่อคำพูดของคนที่ทิ้งให้สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรสิ้นพระชนม์โดยไม่ยอมมาเหลียวแลช่วยเหลือ ...จะให้ข้าเชื่อคำพูดคนที่ทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าด้วยการทูลปฎิเสธการเษกสมรสของเราสองน่ะเหรอ?! "

 

         ดวงตาของท่านผู้เฒ่าส่องประกายวูบราวกับนึกถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนจะหลับตาลงพรอ้มกับถอนหายใจเฮือกยาวเหยียด

 

        " เราไม่ควรพูดถึงเรื่องในครานั้นในที่ๆไม่ใช่ที่รโหฐานเช่นนี้ "

 

        " ท่านไม่อยากจะพูดถึงมันเลยต่างหาก! เจ้าคนขี้ขลาด!! "

 

        " พระองค์ก็ทรงทราบแน่แก่พระทัยดีว่าที่พระชนกของพระองค์ที่ดำรงศักดิ์วังหน้า มีราชโองการโปรดเกล้าฯยกพระองค์ให้กับข้าพุทธเจ้าก็เพื่อหวังผลทางการเมือง! ...หวังผูกข้าพุทธเจ้าที่เวลานั้นเป็นที่เคารพนับถือของเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนเกือบทั้งหมดไว้ เพื่อเป็นอำนาจต่อรองในคราที่หากพ่ออยู่หัวพระเจ้าท้ายสระสิ้นพระชนม์ ที่อาจจะเกิดความวุ่นวายในการชิงราชบัลลังก์ขึ้น...อีกทั้งในหน้าประวัติศาสตร์สืบมา ก็ไม่เคยมีครั้งใดเลยที่ราชนิกูลชั้นสูงอย่างพระองค์ต้องเษกสมรสกับสามัญชนอย่างข้า...หากต้องเษกสมรสกันจริงๆ ท่านก็จำต้องลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ลงมาเป็นเสมอเพียงหนึ่งสามัญชนธรรมดา ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดอย่างที่สุด...ทำให้ต่อให้เป็นโองการเด็ดขาดของกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า ข้าก็จำเป็นต้องขอปฎิเสธ! ต่อให้ต้องโดนราชทัณฑ์ก็ตามที!! "

 

        " เวลานั้นข้ายังคงเป็นเพียงดรุณีน้อย! ...ดรุณีน้อยไม่ประสาที่เห็นท่านเป็นทั้งอาจารย์ ทั้งพี่ชาย และเป็นชายที่ข้ารักหมดหัวใจ!...บุรุษเช่นท่านก็เป็นเช่นนี้เสมอ...ถือเอาความคิดของตัวเป็นใหญ่ หาได้ฟังความคิดของเหล่าสตรีที่เป็นดั่งเช่นผู้มิมีปากจะกล่าวอะไรได้ไม่! "

 

        " ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ตัดสินใจปฏิเสธความด้วยความคิดของข้าฝ่ายเดียว แต่เป็นความถูกต้องที่แม้แต่ท่านก็ไม่อาจปฏิเสธทัดทานได้ " 

 

        " แล้วท่านได้เห็นผลที่ตามมาหรือไม่?! หลังพ่ออยู่หัวท้ายสระสวรรคต ข้าราชการทั้งปวงต่างก็แบ่งเป็นสองฝักฝ่าย จนต้องเกิดศึกภายในขึ้นอย่างยาวนาน! ไพร่ฟ้าหน้าใสต้องมาพลอยเดือดร้อนได้ยากเพราะความเห็นแก่ตัวของท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น!...แต่นั่นยังมิกระไรนัก ท่านทำให้ข้าเจ็บช้ำน้ำใจที่สุดก็ครั้งเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรต้องราชทัณฑ์...ข้าอุตส่าห์แหกกฎมณเฑียรบาลทุกข้อ...บุกป่าฝ่าดงไปหาท่านถึงหมู่บ้าน แต่ท่านกลับวางตัวอุเบกขานิ่งเฉยเสีย ทั้งๆที่ออกปากมาแค่คำเดียว ราชทัณฑ์โบยนั้นก็คงจะได้รับการผ่อนปรนอภัยโทษแล้วแท้ๆ...แล้วท่านดูผลที่ตามมาสิ!! ...น้องของข้าสองคนต้องตกอยู่ในวังวนของการช่วงชิงราชสมบัติ ต้องประทับอยู่ท่ามกลางฝูงแร้งกาหมาไน ที่จะแว้งกัดเอาเมื่อไหร่ก็ได้...ทั้งหใดทั้งมวลนี้เป็นความผิดของท่านเพียงผู้เดียว!!! "

 

        " องค์หญิง--- "

 

        " องค์หญิงพินทวดีสิ้นพระชนม์ไปพร้อมๆกับที่น้องข้าขึ้นครองราชย์แล้ว...นางอ่อนแอ...อ่อนต่อโลกเกินไป...นามของข้าคือสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี! "

 

       ...คำตรัสบริภาษและกล่าวโทษอันดุดันและเจ็บแสบของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับหน้าชาอีกครั้ง ...เขาขบกรามจนนูนเป็นสัน ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ก่อนที่สีหน้าเจ็บปวดนั้นจะหายไปอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับต่อเบาๆ

 

        " ...พระองค์ทรงจดจำคำที่ข้าพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ตั้งแต่ยังคงเป็นพระราชกุมารีได้หรือไม่? "

 

        " ท่านสั่งสอนข้า และน้องของข้าไว้มากมายนัก ที่บางครั้งแม้แต่ท่านเองก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! "

 

          เพียงชั่วพริบตาเดียวที่พระพี่นางตรัสจบ กรงเล็บที่เกร็งแข็งและแหลมคมราวกับกรงเล็บเหยี่ยวของท่านผู้เฒ่าออกญาจักรีนอกราชการก็พุ่งวูบอย่างรวดเร็วเข้าใส่สตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างประสงค์ร้าย ชนิดให้ถึงขั้นตกพระโลหิตทันที!

 

          แต่สิ่งที่ไม่อาจคาดคิดได้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะสมเด็จพระพี่นาง ที่เป็นราชนิกูลฝ่ายในชั้นสูง ที่มิควรจะเคยจับศาสตราหรือเคยได้ฝึกฝนสิ่งใดเลย กลับมีพระเนตรเปล่งประกายวูบ ก่อนที่พัดจีนในมือของพระองค์จะหุบลงและทิ่มเข้าที่กลางฝ่ามืออันเป็นจุดอ่อนของท่านผู้เฒ่าอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน...เมื่อกรงเล็บถูกสยบจนสิ้นพิษสง พัดจีนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อในพระหัตถ์ของพระนางก็พลิกวูบเปลี่ยนมาอยู่ในพระหัตถ์อีกด้าน...ประกายรังสีฆ่าฟันพุ่งวูบพร้อมๆกับที่พัดจีนเล่มนั้นพุ่งราวกับอสรพิษเข้าใส่จุดสำคัญของออกญาที่มีอดีตหลายต่อหลายอย่างร่วมกันตรงหน้าทันที!

 

          เพี๊ยะ !!

 

          ถึงจะเป็นการโจมตีที่รวดเร็วถึงขนาดแทบจะมองไม่ทัน แต่ก็เป็นการโจมตีที่ตรงไปตรงมา ชนิดที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ มีเพียงแค่จิตสังหารที่น่าหวาดหวั่นเป็นเหมือนคำขู่เท่านั้น  ทำให้ท่านผู้เฒ่าที่เจนศึกด้วยเป็นถึงหัวหน้าหมู่บ้านมือสังหารทั้งปวง แถมยังอยู่มาหลายร้อยปีแล้วถึงกับกระตุกยิ้มบางๆ พร้อมกับใช้มืออีกด้าน ปัดบริเวณด้านข้างพัดที่เป็นจุดอ่อนของการจู่โจมนี้จนพัดที่พุ่งราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่งถึงกับเฉออกไป...

 

          ด้วยโอกาสที่ดีที่สุด...มือท่านผู้เฒ่าก็พุ่งเข้าจับข้อพระหัตถ์ทั้งสองของสตรีผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าไว้ พริบตาเดียวร่างบางของสมเด็จพระพี่นางตรงหน้าก็อยู่ในการเกาะกุม ในอ้อมแขนของท่านผู้เฒ่าจนไม่อาจจะกระดิกระเดี้ยใดๆได้เลย

 

        " ปล่อย...ข้า! "  เจ้าฟ้าพินทวดีพระพักตร์แดงก่ำด้วยอารมณ์ทั้งพิโรธทั้งอับอายปนเปนกันไป แต่ก็จนใจที่พระวรกายทุกส่วนของพระองค์ถูกคร่ากุมไว้ด้วยมือที่อ่อนนุ่มทว่าแข็งปานคีมเหล็กของอีกฝ่าย จึงได้แต่ทำพระเนตรวาวถลึงใส่อีกฝ่าย...ซึ่งก็ทำได้แค่เพียงทำให้ออกญาจักรีนอกราชการคนนี้หัวเราะออกมาเบาๆเท่านั้น

 

        " พระองค์ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม...ถึงจะเยี่ยมยุทธด้วยกระบวนท่า แต่ก็ยังขาดซึ่งความพลิกแพลง...เถรตรง อ่านออกได้ง่ายนัก...ไม่ผิดกับองค์หญิงน้อยที่ข้าฝึกดาบจับทวนให้เมื่อครั้งนั้นเลยแม้แต่น้อย "

 

        " ...บังอาจ---จาบจ้วง---กล้า...ดียังไง!! "  

 

        " เจ้าฟ้าพินทวดี...ข้าพุทธเจ้าขอถามอีกครั้ง...พระองค์ยังทรงระลึกถึงคำสอนสุดท้ายของข้าพระพุทธเจ้า ก่อนที่ข้าพระพุทธเจ้าจะทูลขอลาออกจากราชการ และปลีกวิเวกกลับไปยังหมู่บ้านได้หรือไม่? "  คราวนี้ท่านผู้เฒ่าก้มหน้าลงมาและกระซิบเบาๆข้างพระกรรณ (หู) ของสตรีผู้สูงด้วยยศศักดิ์ตรงหน้า...สมหายใจอุ่นๆที่ออกมาพร้อมเสียงกระซิบนั้นทำเอาพระโลมา (ขน) หลังพระศอขาวเนียนของอีกฝ่ายถึงกับลุกชูชัน พร้อมๆกับที่พระนางทรงดิ้นรนอีกครั้งอย่างขัดพระทัย แต่ก็จนใจเพราะอีกฝ่ายแข็งแรงกว่าทั้งร่างกายและเชิงกระบวนท่า  จึงได้แต่ประทับนิ่งเพื่อรอฟังอีกฝ่ายอย่างเดียว

 

        " ข้า...ขอสั่งให้ท่าน---!! "

 

        " ต่อให้พระองค์จะอยู่ในฐานะเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน...หรือเป็นเพียงข้าทาส ...ต่อให้เป็นพระบรมราชโองการของผู้ที่อยู่เหนือกว่าโดยสิ้นเชิง...ใจของพระองค์ก็จะเป็นของพระองค์เพียงคนเดียวเท่านั้น...ไม่มีใครมาบังคับฝืนใจพระองค์ได้ หากพระองค์ไม่ยินยอม... "

 

         " หลายครั้งข้าก็อยากใช้มีดผ่าอกท่านดู ด้วยอยากรู้เหลือเกินว่าใจท่านมันทำด้วยอะไร...ท่านออกญา...เพราะมันช่างทมิฬหินชาติเหลือเกิน!! "

 

        " ฮ่ะๆ พระองค์ไม่จำเป็นต้องผ่าดูหรอก เพราะข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าใจข้าเป็นอย่างไร "

 

        " ... "

 

        " ตั้งแต่เวลานั้น....จนถึงเวลานี้...ใจของข้าก็ยังคงเป็นของท่านเสมอ...และมันจะเป็นไปตลอดกาล... "

 

 

       ...ระหว่างที่สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดียังทรงประทับแข็งค้าง ตกตะลึงอย่างไม่เชื่อพระกรรณตัวเองอยู่นั้น ท่านผู้เฒ่าอดีตเจ้าพระยาจักรีก็ค่อยๆปล่อยมือที่คร่ากุมลิดรอนอิสระของเจ้าฟ้าตรงหน้าออกอย่างสุภาพและทนุถนอม...ภาพในอดีตไหลย้อนเข้ามาในหัวของทั้งคู่ราวกับสายน้ำที่ทะลักทลาย...ก่อนที่พระพี่นางจะรู้สึกพระองค์อีกทีเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าค่อยๆคุกเข่าลงตรงหน้าของพระองค์ช้าๆ

 

        " ...ข้าพุทธเจ้ามาที่อโยธยาครั้งนี้ ก็หมายจะมาช่วยเหลือพ่ออยู่หัว...เจ้าฟ้าอุทุมพร และท่าน...ไถ่โทษให้แก่ในทุกๆความผิดที่ข้าได้กระทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และนี่ถือเป็นสัตย์สาบานจากข้าฯ...ข้าฯจะปกป้องพระองค์และพระอนุชาทั้งสองของพระองค์อย่างสุดกำลังความสามารถ...เช่นเดียวกับที่ข้าฯเคยกระทำมาก่อน...และจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่! "

 

          พระพี่นางพินทวดีกระพริบพระเนตรถี่รัว อย่างยังไม่สร่างตะลึงดี...พระองค์ค่อยๆก้มยื่นพระหัตถ์ออกไปตรงหน้าอีกฝ่าย แต่ก็หยุดชะงักก่อนจะถึงชายหนุ่มตรงหน้าเพียงชั่วฝ่ามือเดียว...ก่อนที่พระหัตถ์ที่สั่นเทิ้มน้อยๆนั้นจะค่อยๆหดกลับไป ...เจ้าฟ้าหญิงกางพัดจีนขึ้นพร้อมกับเชิดพระพักตร์เล็กน้อยและตรัสขึ้นเรียบๆว่า

 

        " แล้วเราจะได้เห็นกัน ว่าท่านจะสามารถรักษาสัตย์สัญญา ที่ท่านออกปากกล่าวสาบานให้กับเรา โดยมีเทพยาดาฟ้าดินใต้ร่มไทรนี้เป็นพยานได้หรือไม่...ท่านออกญาฯ "

 

          ก่อนที่พระองค์จะหันหลังกลับ และเตรียมจะพระราชดำเนินกลับไปยังสถานที่ๆพระองค์ควรอยู่...แต่พระองค์ก็ชะงัก หยุดพระบาทของพระองค์อีกครั้ง...ราชนิกูลสตรีผู้สูงศักดิ์ผินพระพักตร์กลับมาหาชายหนุ่มที่มีอดีตร่วมกันช้าๆด้วยแววพระเนตรที่อ่อนแสงลง ก่อนจะตัดสินพระทัยดำรัสขึ้นช้าๆอีกครั้ง

 

        " ท่านรู้ไหม...ท่านออกญาฯ "

 

        " พุทธเจ้าข้า? "

 

        " ย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น...ช่วงเวลาที่พระราชบิดาของข้าออกโอษฐ์ยกข้าให้แก่ท่าน...เวลานั้นขอแค่ท่านพูดออกมาคำเดียว ว่าจะขอรับข้าเป็นภรรยา...ร่วมเรียงเคียงหมอนกันสืบไป...ข้าก็พร้อมจะลาออกจากทุกๆฐานันดรศักดิ์ที่มี...เป็นเพียงอำแดง(๑)นันทวดี...ยอมติดตามท่านไปทุกหนทุกแห่ง...ข้าพร้อมยอมสละทุกๆอย่าง ขอแค่เพื่อให้ได้ยืนอยู่เคียงข้าท่าน...ก็พอ... "

 

 

 

 

 

..................................................

 

 

 

 

 

      ...ไม่กี่นาทีต่อมา...ที่เกวียนไม้มีประทุนของท่านผู้เฒ่าและไกร...

 

       " อ้าว? กลับมาแล้วเหรอครับ? "  ไกรที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ที่มุมหนึ่งของเกวียนเอ่ยทักขึ้นทันทีที่เห็นอีกฝ่ายค่อยๆเลิกผ้าม่านเข้ามานั่งในเกวียนช้าๆ...โดยที่ท่านผู้เฒ่าหันกลับมามองเขาเล็กน้อยด้วยสายตาที่ว่างเปล่าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา จนไกรต้องพูดขึ้นก่อนอีกครั้ง

 

        " เป็นยังไงบ้างครับ? "

 

          และคำถามนี้ก็ได้ผลเกินคาด เพราะอีกฝ่ายหันควั่บมามองพร้อมกับแยกเขี้ยวถลึงตาใส่ทันที

 

        " เป็นอย่างไร?! นี่เจ้าถามโดยประสงค์คำตอบจากข้าจริงๆ หรือแค่ต้องการจะกวนโทสะข้ากันแน่ฮะ?! ...คิดเรอะว่าข้าไม่รู้ ว่าเจ้ากับลูกสาวตัวดีของข้า รวมถึงยัยสมิงมายาแอบลอบมองลอบฟังอยู่ที่เหลี่ยมมุมไม้ใกล้ๆนั่นน่ะ! "

 

          โดนจับได้แบบคาหนังคาเขาแบบนี้ ไกรจีงได้แต่ทำหน้ากะเรี่ยกะราดพร้อมกับยกมือยอมแพ้ทันที

 

        " ไม่ได้อยากจะแก้ตัวเลยนะ...แต่ลูกสาวตัวดีของคุณณนั่นแหละ ที่ทำผมตกกระไดพลอยโจน ต้องคอยซุ่มโป่งดูคุณแบบนั้น ทั้งๆที่ใจไม่ได้อยากเล้ยยยย...ว่าแต่คุณเถอะ เก่งโคตรๆจนต้องยกนิ้วให้เลยนะ...สามารถพูดจนพระพี่นางที่ท่าทางอย่างกับครูไหวใจร้ายนั่นอ่อนลงได้...นี่ถ่านไฟเก่าคงไม่คุขึ้นมาหรอกใช่ไหม? "

 

        " ถ่านไฟเก่า? "

 

        " หมายถึงคนรักเก่าที่เลิกลากันไปนานแล้ว กลับมารักกันใหม่อีกครั้งน่ะครับ "

 

        " ทะลึ่ง!...พระนางเป็นถึงสมเด็จพระพี่นาง เชษฐภคินีของพ่ออยู่หัวนะ...ประเดี๋ยวขี้กลากก็ขึ้นหัวเข้าซักวัน "

 

        " เฮ้อ...แล้วมาด่าผมเรื่ององค์หญิงสิริจันทร...คิดบ้างไมว่ามันเข้าตัวเองล้วนๆเลยเนี่ย "

 

          ท่านผู้เฒ่าเหล่ตามองพร้อมกับขยับเท้า แต่ไกรก็นกรู้รีบย้ายก้นพ้นรัศมีมือเท้าของเขาเสียก่อน...จะด่าก็จนใจเพราะกลัวเด็กหนุ่มตรงหน้าจะย้อนเกล็ดถอนหงอกเข้าให้อีก จึงได้แต่หลับตาถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดเบาๆ

 

        " ข้ากับเจ้ามันต่างกัน...ข้าเคยอุ้มชู ถ่ายทอดสรรพวิทยาต่างๆมาตั้งแต่พระนางยังคงเป็นราชกุมารีน้อยๆในพระราชวังบวรฯวังหน้า...ความผูกพันธ์จึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นจิตปฏิพัทธ์...หาเหมือนเจ้ากับองค์หญิงไม่ "

 

        " แบบนี้มันเลี้ยงต้อยไว้สอยตอนโตชัดๆเลยไม่ใช่รึไง? "

 

        " เลี้ยงต้อย? แปลว่าอะไรอีกล่ะเนี่ย? " 

 

         ไกรใช้เวลาตรึกตรองอยู่เสี้ยววินาที ก่อนจะรู้ทันทีว่าถ้าหากให้อีกฝ่ายรู้ความหมายที่แท้จริง งานนี้คงได้โดนมากกว่าด่าแน่ จึงได้แต่เสหัวเราะกลบเกลื่อนไปโดยไม่พูดอะไรออกมา

 

         ถึงท่านผู้เฒ่าจะขมวดคิ้วอย่างติดใจในความหมายของอีกฝ่าย...แต่เพราะประจวบเหมาะกับเสียงแตรสัญญาณ บ่งบอกว่ากระบวนเสด็จเริ่มเคลื่อนขบวนแล้วดังขึ้นพอดี จึงทำให้เขาไม่สบช่องที่จะคาดคั้นถามต่อ...ท่านผู้เฒ่าขยับตัวไปด้านหน้าเกวียนเพื่อเตรียมบังคับวัวที่เทียมเกวียนอยู่ให้ตามกระบวนเสด็จไป ก่อนจะเลิกคิ้วและหันกลับมาหาไกรอีกครั้ง

 

        " หากเจ้ากำลังมีความคิดอยากจะถอนตัว...นี่ก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ...ไกร "

 

          ซึ่งไกรก็ยักคิ้วพร้อมกับยิ้มอย่างกวนโทสะ ก่อนตอบกลับมาโดยทันที

 

        " ก็บอกแล้ว ว่าผมเป็นคนช่วยคุณ คุณขาดผมไม่ได้หรอก...อย่ามาขู่เสียให้ยากเลย "

 

        " ดี...อย่างนั้นก็เตรียมใจไว้ได้เลย...ไกรเอ๋ย...เรากำลังจะเข้ารับราชการ...สู่วังวนการเมืองในราชสำนักกันแล้ว!! "

 

        

 

 

 

 ..................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

       

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา