ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.87K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

34) ตอนที่ ๘...นัยแห่งศรีรามเทพนคร...(๔)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

        ...ไกรยกจอกชาที่ทรงประทานมาให้กับพระหัตถ์ขึ้นดื่มช้าๆ โดยพยายามบังคับมือตัวเองไม่ให้สั่นด้วยความตื่นเต้นใจ ก่อนจะยื่นจอกชาเปล่าส่งคืน แต่เจ้าฟ้าเอกทัศน์กลับยกกาชาขึ้นมารินพระราชทานให้กับพระหัตถ์อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยตรัสขึ้นช้าๆ...

 

          " อย่าได้โกรธเคืองอะไรพระพี่นางของข้าเลยนะ ไกร...เรื่องที่พระพี่นาง...เอ่อ...หยาบคายกับเจ้าน่ะ "

 

          " ข้าพุทธเจ้าหาได้โกรธเคืองอันใดไม่พระพุทธเจ้าข้า...เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ว่าทั้งๆที่พึ่งได้เจอกันเท่านั้น...แต่ทำไมสมเด็จเจ้าฟ้าถึงได้...เอ่อ...เหม็นขี้หน้า ข้าพระพุทธเจ้านัก? "

 

          " ฮ่าๆๆๆ "  สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรสรวลดังลั่นกับคำถามของเขา ก่อนจะตรัสตอบเบาๆว่า  " เจ้าใช้ศัพท์ได้แปลกหูดีนัก...ไกร...เอาเถอะ...ข้าคงต้องตอบตามตรงว่า พระพี่นางไม่ได้ เหม็นหน้า เจ้าโดยตรงหรอก...แต่ที่พระนางเหม็นหน้าจริงๆน่ะ เป็นญาติผู้ใหญ่คนเดียวของเจ้าต่างหากล่ะ "

 

          " ท่านผู้เฒ่า---ท่านออกญาฯนอกราชการน่ะเหรอพระพุทธเจ้าข้า? "

 

          " ...ใช่ "  สมเด็จเจ้าฟ้ารับคำเบาๆ ก่อนจะยกพระสุธารสชาขึ้นจิบเสวยเล็กน้อย ก่อนจะมีกระแสรับสั่งต่อ   " เจ้าน่าจะรู้เรื่องของเจ้าฟ้ากุ้ง...พระเชษฐาต่างพระมารดาของพวกเราแล้วสินะ... "

 

            ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ...ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้าแย้มพระสรวลบางๆ ก่อนจะตรัสเล่าต่อ

 

          " ...ท่านผู้เฒ่าของเจ้าช่วยชีวิตผู้คนไว้จากโทษทัณฑ์นับไม่ถ้วน...แต่ครั้งที่เจ้าฟ้ากุ้งโดนราชทัณฑ์ที่มีโทษถึงประหารด้วยท่อนจัณฑ์ พวกข้าไปช่วยพูดกับพระราชบิดาไว้จนเหลือเพียงโทษโบย...และตกลงกันว่าให้พระพี่นางเป็นผู้ไปร้องขอให้ท่านออกญาฯมาช่วยพูดอีกแรง...ถึงเวลานั้นท่านออกญาฯจะอยู่นอกราชการแล้ว แต่ก็ยังมีอำนาจบารมีในกลุ่มข้าราชการและราชสำนักอยู่...หากท่านมาช่วยพูดอีกคน คงจะช่วยให้เจ้าวังหน้าผู้ต้องโทษทัณฑ์นั้นรอดตัวได้... "

 

          " ...แต่เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรก็ยังคงโดนโทษโบย จนเป็นเหตุให้ตรอมพระทัย จนถึงขั้นสวรรคตอยู่ดี "  

 

          " เป็นเช่นที่เจ้าพูด...ไกร...ข้าไม่รู้หรอกนะว่าในครานั้นพระพี่นางได้ค้นหาท่านผู้เฒ่าของเจ้าพบหรือไม่ และถ้าหากพบ...พระพี่นางพูดร้องขอกับท่านออกญาว่าอย่างไร...แต่ก็อย่างที่เจ้ารู้...ท่านออกญาไม่ได้มาในวันที่พระเชษฐาโดนโทษทัณฑ์...และในที่สุด เจ้าฟ้ากุ้งก็เสด็จสวรรคตลง "

 

            สมเด็จเจ้าฟ้าหนุ่มยกพระสุธารสชาขึ้นจิบอีกครั้ง พร้อมกับแววพระเนตรที่ส่องประกายบางอย่างออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหายไปพร้อมกับที่พระองค์เล่าต่อช้าๆอีกครั้ง

 

          " ...เหตุสวรรคตของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทำให้พ่ออยู่หัวบรมโกศ...พระบิดาของพวกเราทรงตรอมพระทัยและโทษตัวพระองค์เองว่าเป็นปฐมเหตุ...ในขณะที่พระพี่นางก็โทษท่านออกญาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ข้าและพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์...ต้องตกอยู่ในวังวนของราชสมบัติต้องสาปนี้... "

 

          " ร...ราชสมบัติต้องสาป? "

 

          " ข้ารู้ว่าข้าอาจจะใช้คำพูดที่ฟังดูฉกรรจ์...แต่ถ้าหากเทียบกันตามประวัติศาสตร์แล้ว ข้าว่าคำของข้ามันเหมาะดีทีเดียวล่ะ...แทบทุกครั้งที่มีการผลัดแผ่นดิน ก็ต้องมีการนองเลือดเป็นเนืองนิจ...ญาติพี่น้อง...ต้องมาฆ่ากันเอง...ส่วนเหล่าขุนนางนี่ไม่ต้องพูดถึง...คิดเอาเองว่าตลอดไม่ถึงร้อยสามสิบขวบปี มีการฆ่าล้างเหล่าขุนนางอย่างเททิ้งไปเสียถึง ๗ ครั้ง...ครั้งหลังสุดก็เป็นตอนที่พระราชบิดาของพวกข้า ชิงราชสมบัติมาจากเจ้าฟ้าอภัย...ครานั้นก็ยังทรงโปรดให้ประหารเจ้าฟ้านเรนทรและเจ้าฟ้าอภัย (พระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ-ซึ่งก็คือพระนัดดา(หลาน)ของพระองค์เอง ) รวมถึงฆ่ายกโคตรเหล่าขุนนางในพ่ออยู่หัวท้ายสระไปเกือบทั้งหมด...จะไม่ข้าเรียกว่า ราชสมบัติต้องสาป จะให้ข้าเรียกว่าอะไรกัน... "

 

            เหตุผลที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยของสมเด็จเจ้าฟ้าผู้ได้รับฉายาอันเริ่มจะไม่ยุติธรรมกับพระองค์ว่า ขุนหลวงหาวัด  ...ทำให้ไกรนิ่งเงียบไปอย่างไม่อาจจะกล่าววาจาอันใดเพื่อเถียงได้เลย...

 

        ...ถ้าถามไกรในตอนนี้ เขาคงจะต้องบอกว่าเขารู้เช่นเห็นชาติในเรื่องความฟอนเฟะและความอ่อนแอของกรุงศรีอยุธยา ในช่วงปลายยุคก่อนจะเสียกรุงดี...แต่ในช่วงเวลาที่เขาอ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนานั้น เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นเพียงแค่ประวัติศาสตร์...เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแสนนานแล้ว...ที่เขาสามารถอ่านได้อย่างเพลิดเพลิน(ถึงจะชวนหลับนิดหน่อยก็เถอะ) โดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก...แต่สำหรับในตอนนี้ มันคือชีวิตจริง...มันเป็นเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นจริง ที่มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น ที่รู้เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต...

 

 

         ...และที่น่าเศร้าที่สุด...คือเขาไม่สามารถบอกสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้า หรือกับใครได้เลย...ว่ากรุงอโยธยาที่ทุกคนรู้จัก...กำลังจะแตกสลายลง ...เหลืออยู่เพียงแค่ซากปรักหักพัง และในความทรงจำอันเลือนรางเท่านั้น...

 

 

          " ไกร? "  พระสุรเสียงนุ่มลึกของเจ้าฟ้าอุทุมพร ปลุกไกรให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ช้าๆ เขากระพริบตาถี่ๆ ก่อนที่จะยกชาขึ้นกระดกดื่มรวดเดียวหมดจอกและทูลตอบกลับไปเบาๆ

 

          " ขออภัยพระพุทธเจ้าข้า...ข้าพระพุทธเจ้าเพียงแค่คิดอะไรนิดหน่อย "

 

            สมเด็จเจ้าฟ้ายักพระอังสะ(ไหล่)เล็กน้อยราวกับจะบอกว่าไม่ติดพระทัยคิดจะซักถามอะไร...พระองค์รินพระสุธารสชาประทานให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มตรัสต่อเบาๆ

 

          " และแล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าและทุกคนรู้นั่นแหละ...หลังจากที่พ่ออยู่หัวในพระบรมโกศทรงสิ้นพระชนม์ ข้าก็ถวายราชสมบัติให้แก่พระเชษฐา พ่ออยู่หัวเอกทัศน์...แล้วก็ออกผนวชมาจนกระทั่งมาศึกในครานี้แหละ "

 

            หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าควบคุมบรรยากาศการสนทนาไปชั่วครู่...ในที่สุด ไกรก็รวบรวมความกล้าที่จะเอ่ยทูลถามออกมาช้าๆ ...และเป็นคำถามที่ทำให้สมเด็จเจ้าฟ้าผู้เคยครองราชสมบัติอโยธยาอยู่ได้ราวเดือนเศษ(บ้างก็ว่าอยู่ในราชสมบัติได้เพียง ๒๗ วัน) ถึงกับเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อยอย่างสนพระทัยทันที

 

          " ...ควรมิควร...แล้วแต่จะโปรดฯ...ขอทราบได้ไหมพระพุทธเจ้าข้า...ว่าเพราะอะไร? "

 

          " หืม? "

 

          " ทั้งๆที่พระองค์กำอโยธยาอยู่ในอุ้งพระหัตถ์แล้วแท้ๆ เพราะอะไรพระองค์ถึงได้ยอมขัดพระราชโองการสุดท้ายของพ่ออยู่หัวในพระบรมโกศ และยอมให้พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ขึ้นครองบัลลังก์แทนพระองค์ล่ะพระพุทธเจ้าข้า "

 

          " เจ้ารู้ตัวรึเปล่าว่าคำถามที่ไม่คิดหน้าคิดหลังของเจ้า กำลังทำให้เจ้าต้องราชทัณฑ์ ฟันคอริบเรือนน่ะ "  พระสุรเสียงที่เข้มขึ้นของสมเด็จเจ้าฟ้าเบื้องหน้า ที่กระแสของความเมตตาการุณกำลังถูกเปลี่ยนเป็นกระแสของสิทธิอำนาจ ...เหมือนเป็นการเตือนกลายๆว่าเขากำลังล้ำเส้นที่ถูกขีดไว้แล้ว  แต่ดวงตาของไกรกลับยังคงนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย

 

          " พระอาญามิพ้นเกล้า...หากคำพูดใดของข้าพระพุทธเจ้าทำให้ระคายเคืองพระยุคลบาท ข้าพุทธเจ้าต้องขอพระราชทานอภัยโทษด้วย...แต่คำถามของข้าพระพุทธเจ้า...ล้วนแล้วแต่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างถ้วนถี่ดีแล้วพระพุทธเจ้าข้า "

 

         " ฟังแล้วเหมือนเป็นคำรับรองสำหรับโทษประหารเลยนะ "  เจ้าฟ้าอุทุมพรตรัสขึ้นเรียบๆ พร้อมกับเพ่งลึกลงไปในดวงตาสีสนิมเหล็กของเด็กหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นเพียงแค่พรานป่าฝึกหัดตรงหน้าอย่างค้นหาความจริง...ปลอยให้ความเงียบไหลผ่านไปอย่างช้าๆอยู่เกือบ ๑ นาที...ก่อนที่ในที่สุด พระองค์จะสรวลในลำพระศอออกมาอย่างชอบพระทัย

 

 

        ...เด็กพิลึก!...

 

        ...ถึงพระองค์จะทราบแก่พระทัยดีว่าพระองค์ทรง ขู่ ได้ไม่เก่งเท่าพระพี่นางหรือพ่ออยู่หัวพระเชษฐา...แต่ความสงบนิ่งของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็ยังคงทำให้พระองค์อดประหลาดพระทัยไม่ได้อยู่ดี...

 

          ' ...ทั้งๆที่เป็นคำถามที่ออกจะจาบจ้วงด้วยซ้ำแท้ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยความเคารพนับถือในแววตา...ทั้งๆที่เป็นแค่พรานป่าฝึกหัดแท้ๆ แต่กลับพูดจาได้ฉลาดล้ำลึกยิ่งกว่าขุนนางระดับสูงที่ทำงานรับใช้ใกล้ชิดเหล่าราชนิกูลเสียอีก...และที่แน่แท้ที่สุด เด็กหนุ่มตรงหน้านี้มีพลังพิเศษบางอย่างที่ทำให้เขา และทุกๆคนที่ได้คุยด้วย อดคล้อยตามอย่างไม่รู้ตัว....เป็นเด็กหนุ่มที่พิลึกจริงๆ '

 

            ก่อนที่พระองค์จะยกพระหัตถ์ขึ้นลูบไปมาอย่างช้าๆ พร้อมกับตรัสขึ้นอีกครั้ง

 

          " ...เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ไกร...ว่ากรุงอโยธยามีชื่อเต็มๆว่าอะไร? "  เป็นพระดำรัสถามที่ทำให้ไกรต้องขมวดคิ้วอย่างเริ่มตามไม่ทัน ก่อนจะตอบไปตามที่เขาและทุกๆคนรู้

 

          " อโยธยา ศรีรามเทพนคร... "

 

          " ...ใช่แล้ว...อโยธยา หรืออยุธยา ศรีรามเทพนคร...ชื่อที่ตั้งตามตำนานกรุงอโยธยา...ที่เป็นนครของพระราม...นครที่ พระพรต  ผู้เป็นพระอนุชาของพระรามปฏิเสธที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์ก่อนพระเชษฐา แม้ว่าจะเป็นราชโองการของพระเอกาทศรถผู้เป็นพระราชบิดาก็ตาม... "

 

         " สมเด็จเจ้าฟ้า--- "

 

          " เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับราชโองการ...ไม่เกี่ยวกับมรดก...ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งนั้น...ไกร...มันคือ ความถูกต้อง ...ตั้งแต่อโยธยาเป็นราชธานีมา มีกษัตริย์ที่เป็นเชษฐา-อนุชาขึ้นครองบัลลังก์ติดต่อกันแล้วทั้งหมด ๔ คู่...และไม่เคยมีคู่ไหนเลย...ที่น้อง ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนพี่...อย่าว่าแต่ใครอื่นเลย...แม้แต่พ่ออยู่หัวบรมโกศ พระราชบิดาของข้าเอง ก็ยังยืนกรานไม่ขึ้นครองบัลลังก์ตัดหน้าพ่ออยู่หัวท้ายสระผู้เป็นพระเชษฐาเลย...แล้วข้าเป็นใครล่ะ ที่จะไปทำลาย ความถูกต้อง นี้ได้... "

 

          " ...ความ...ถูกต้อง.. "

 

          " และอีกอย่าง...เจ้ากำลังเข้าใจผิดอยู่อย่างนึง...ไกร "

 

          " พระพุทธเจ้าข้า? "

 

 

          " ...ราชบัลลังก์อโยธยา...หาใช่ ชิ้นปลามัน อันโอชะที่ควรมีไว้ในมือ...ไกร...สำหรับข้า...มันคือ เผือกร้อน ที่พร้อมจะลวกพองทุกมือที่พยายามจะรับมันต่างหากล่ะ!! "

 

 

 

 

 

 

.....................................................

 

 

 

 

 

 

        ...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่า หัวหน้าหมู่บ้ายุคันตวาต และอดีตเจ้าพระยาจักรี ศรีองครักษ์อีกครั้ง...ที่ใต้ร่มไทรใหญ่อันค่อนข้างจะลับตา ปลอดจากการรับรู้จากบุคคลที่สามเกือบจะโดยสิ้นเชิง...

 

         " เอาล่ะ อนาสตาเซีย คงจะเข้าใจคำสั่งและภารกิจใหม่ที่ข้ามอบหมายให้แล้วใช่ไหม? "  หลังจากพูดคุยกันอยู่นานสองนาน ในทีสุด ท่านผู้เฒ่าก็สรุปเข้าเรื่องอย่างช้าๆ ก่อนจะส่งห่อผ้าที่ห่อไว้ด้วยของเล็กๆบางอย่างให้กับอนาสตาเซีย...ในขณะที่ผู้เป็นบุตรสาวบุญธรรมรับห่อผ้านั้นไว้ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นเบาๆ

 

          " พ่อ... "

 

          " คงไม่คิดจะฝ่าฝืนคำสั่งข้าอีกกระมัง อนาสตาเซีย...ถึงเจ้าและศกุนตลาจะช่วยชีวิตข้ากับไกรไว้ก็จริง แต่ก็ยังไม่พ้นขัดคำสั่งเด็ดขาดของข้าอยู่ดี...อย่าคิดว่าการที่เจ้าเป็นหลานสาวคนเดียวของสหายรักของข้า และเป็นลูกบุญธรรมของข้า จะทำให้เจ้ามีอภิสิทธ์เหนือผู้อื่นได้นะ!... "  น้ำเสียงที่เริ่มเข้มขึ้นของผู้เป็นพ่อทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าและเงียบลง...ในขณะที่เสือสมิงสาวนามว่ามายาเหลือบมองหญิงสาวที่กำลังหน้าจ๋อยอยู่ ก่อนจะหันไปหาท่านผู้เฒ่าและพูดขึ้นเบาๆ

 

          " ...ท่านเป็นเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทร...เป็นเหมือนที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของทุกผู้ทุกคนในหมู่บ้านยุคันตวาต...หมู่บ้านที่รวบรวมมือสังหารที่มีฝีมือมากมายขนาดนั้นก็เป็นดั่งสำเภารบที่รวดเร็วและพรั่งพร้อมไปด้วยเขี้ยวเล็บที่บริบูรณ์ที่สุด...ที่มีท่านคนเดียวที่สามารถกุมพังงา(พวงมาลัยของเรือ) และบังคับหางเสือของสำเภารบลำนี้ได้... "

 

          " เจ้าต้องการจะพูดอะไร...มายา? "

 

          " ...มือสังหารแต่ละผู้แต่ละคนที่ท่านฝึกมา ล้วนแล้วแต่เก่งกาจจนเกินไป และมีเพียงท่านคนเดียวที่สามารถควบคุมพวกเขาทั้งหมดได้...หากท่านเกิดเป็นอะไรไป แม้แต่ท่านอนาสตาเซียที่ท่านตั้งขึ้นเป็นมือสังหารอันดับหนึ่ง หรือท่านเมืองที่เป็นมือสังหารที่อาวุโสที่สุด...ก็คงจะควบคุมเหล่ามือสังหารทั้งหมดนั้นไม่ได้...ยิ่งหากปะเหมาะเคราะห์ร้าย หมู่บ้านที่ท่านเพียงพยายามสร้างมา อาจถึงกาลล่มสลายไปเลยก็เป็นได้... "  คำพูดล้ำลึกที่เต็มไปด้วย สติปัญญา ของเสือสมิงสาวทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักกึก...อดนิยมชมเชยความฉลาดพูดของอีกฝ่ายที่ทั้งๆที่เคยเป็นแค่สัตว์เดรัจฉานไม่ได้ เพราะดีไม่ดี มายาผู้นี้อาจจะกล่าววาจาได้ฉลาดกว่าสิงห์ผู้เป็นนายด้วยซ้ำไป...เขาถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดอีกคั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเล็กน้อย

 

          " เอาเถอะ...ข้าเข้าใจความหวังดีของพวกเจ้า และข้าผิดเองที่ทำให้พวกเจ้าทั้งหมดเป็นกังวล...แต่เรื่องนี้สำคัญเกินกว่าที่ข้าจะปล่อยผ่าน หรือให้มือสังหารผู้อื่นมาทำการแทนได้...เอาเป็นว่าข้าให้สัญญาว่าแต่นี้ต่อไปข้าจะระวังระไวให้มากขึ้นก็แล้วกันนะ "

 

            อนาสตาเซียขยับปาก ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา...แต่หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านพูดจบ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ไกรที่ส่งสีหน้าประหลาดใจมาตั้งแต่ไกล เดินเข้ามาในวงสนทนาพอดี ทำให้เธอไม่มีช่องที่จะพูดขึ้นได้

 

          " ท่านผู้เฒ่า...ข้าไม่เห็นท่านที่เกวียนเลยตกใจเสียแทบแย่ ที่แท้ก็... "  ไกรหันไปมองที่สองสาวพร้อมกับค้อมหัวให้เล็กน้อยเหมือนกับเป็นการทักทาย

 

          " นาสตี้...แล้วก็...มายา? ...ขอบใจที่สุดสำหรับความช่วยเหลือนะ "

 

            มายายิ้มให้กับคำขอบคุณนั่นเล็กน้อย  ในขณะที่อนาสตาเซียทำท่าจะยิ้มให้เหมือนกัน แต่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ยังติดอยู่ในใจของเธอ ทำให้เธอทำได้แต่ขยับมุมปากขึ้นเล็กๆ และพยักหน้าให้เบาๆเท่านั้น

 

          " ไปจัดการตามที่สั่งได้แล้ว...อนาสตาเซีย ยิ่งช้ายิ่งเสียงาน "  ท่านผู้เฒ่าหันกลับไปพยักหน้าพร้อมกับพูดเหมือนเป็นเชิงไล่กลายๆ ด้วยน้ำเสียงที่กลับมามีอำนาจเด็ดขาดอีกครั้ง นั่นทำให้ทั้งสองสาวได้แต่พยักหน้าเบาๆ 

 

          " เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ...ท่านพ่อรักษาตัวด้วย "  ก่อนที่อนาสตาเซียจะเก็บห่อผ้าเล็กที่บิดาบุญธรรมของเธอยื่นให้ไว้ในกระเป๋าลับที่ด้านหลัง และหันกลับมามองไกรด้วยสีหน้าว่างเปล่าแบบสุดๆช้าๆ

 

          " หลังจากจบเรื่องนี้...เรามีเรื่องมากมายที่ต้องพูดคุยกัน...ฉะนั้น โปรดถนอมตัวไว้จนกว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง...อย่าเผลอตายไปซะก่อนเชียวล่ะ! "

 

 

         ...หลังจากที่หนึ่งมือสังหารและอีกหนึ่งเสือสมิงสาวพุ่งหายลับคลองสายตาไป ท่านผู้เฒ่าที่ปั้นหน้าเคร่งขรึมอยู่ก็กระตุกยิ้ม ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ

 

          " รักษาตัว...ถนอมตัว...อย่างนั้นรึ? "

 

          " ท่านผู้เฒ่า... "

 

          " เฮ้อ!...ในที่สุดลูกสาวสุดที่รักของข้าก็โตเป็นสาวเสียแล้ว...น่าใจหายเสียจริงจริ๊ง! "  

 

            ไกรเลี่ยงบทสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ด้วยการเสหัวเราะเบาๆ ก่อนจะถามขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นมันที

 

          " ท่านสั่งอะไรพวกเธออย่างนั้นหรือ? "

 

          " ...ข้าให้พวกนางกลับไปส่งข่าวเรื่องการเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันของพวกเรานี้กลับไปยังหมู่บ้าน ก่อนที่จะให้ไปสืบเกี่ยวกับตราสัญลักษณ์โลหะของไอ้มือสังหารนั่น "

 

            ไกรหันไปมองรอบๆ ...เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ เขาจึงกลับไปพูดในสำเนียงปกติของยุคปัจจุบันอีกครั้ง

 

          " แบ่งงานได้อย่างดีเลยนะครับ...แล้วตัวเองก็เข้าไปทำงานที่เสี่ยงที่สุด...สมเป็นหัวหน้าคนจริงๆ "

 

          " ข้าไม่รู้หรอกนะว่าที่เจ้าพูดมามันเป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ หรือเจ้าแค่ประชดแดกดันข้าเท่านั้น...แต่เอาเถอะ ตอนนี้ที่พวกเราต้องทำก็คือแฝงเข้าไปในวังหลวงแล้วก็รอเท่านั้น "

 

          " รอ? "

 

          " ใช่...รอ...เป้าหมายของพวกมือสังหารนอกรีตนี้คือพระเจ้าเอกทัศน์และเจ้าฟ้าอุทุมพร และมันยังคงกระทำการไม่สำเร็จ...ไม่ช้าก็เร็วมือสังหารกลุ่มนี้ก็ยังต้องมาสานงานต่อแน่ๆ ...ทั้งเราและกลุ่มของอนาสตาเซียซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำงานยากๆมานับไม่ถ้วนแยกกันสืบคนละทาง ...ไม่ช้าก็เร็วและไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พวกเราก็ต้องสืบถึงตัวมันได้ และข้าก็ไม่สนว่าจะได้มาด้วยทางใด "

 

            ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นเรียบๆ ก่อนที่เขาสองคนจะสะดุ้งสุดตัวทันที เมื่อเสียงๆหนึ่งดังขึ้นจากหลังเหลี่ยมไทรเรียบๆ พร้อมกับการปรากฏตัวของสตรีผู้ที่ไม่ควรจะอยู่ ณ ที่ตรงนี้มากที่สุดในโลก

 

          " อย่างนั้นท่านก็รับแล้วสินะ...ว่าท่านคิดไม่ซื่อกับพ่ออยู่หัวและเจ้าฟ้าอุทุมพรจริงๆ!! "

 

 

          " องค์หญิงพินทวดี?!! "

 

 

            ระหว่างที่ไกรกำลังตัวชาดิกอย่างตกตะลึง ท่านผู้เฒ่าก็หันหลังกลับมาพร้อมกับอุทานขึ้นเบาๆ...ในขณะที่สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีที่บัดนี้ไร้ซึ่งบัดนี้อยู่ตามลำพังโดยปราศจากเหล่าโขลนอารักขา เยื้องพระวรกายเข้ามาในวงสนทนาอย่างช้าๆ ...ก่อนที่จะมีใครทันว่าอะไร พระองค์ก็สะบัดหลังพระหัตถ์วูบ ตบเข้าเต็มๆแก้มด้านขวาของท่านผู้เฒ่าอย่างแรง จนหน้าของชายหนุ่มสะบัดเริ่ดไปตามแรงตบทันที

 

 

             เพี๊ยะ!! 

 

 

           " คงจะไม่มีคำแก้ตัวใดๆแล้วสินะ! "

 

           " พระองค์เข้ามาโดยที่ข้าไม่อาจจับสัมผัสใดๆได้อย่างไรกันเนี่ย? "

 

           " คงต้องขอบใจวิชาปิดกั้นจิตที่ท่านเคยสั่งสอนพวกเราพี่น้องมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อยไม่ประสาเสียละกระมัง! " 

 

           " โปรดฟังข้าก่อน...องค์หญิง--- "

 

 

             เพี๊ยะ!!!

 

 

           " ราชศักดฺิ์ของข้าคือสมเด็จพระพี่นาง!!...ข้าหาใช่องค์หญิงน้อยในกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้าไม่...และแน่นอนที่สุด! ข้าหาใช่ดรุณีน้อยที่ถูกท่านใช้คำหวานหลอกลวงจนเจ็บช้ำน้ำใจเจียนสิ้นลมคนนั้นอีกต่อไปแล้ว!! "

 

 

          ...คำบริภาษของสมเด็จเจ้าฟ้าตรงหน้า ทำให้ไกรที่บัดนี้ก้มลงคุกเข่าอยู่ถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับดวงตาเบิกกว้างจนแทบถลนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง!...

 

 

 

           ' จากโจทก์เก่า กลายเป็นกิ๊กเก่าเฉยเลย! เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ตาท่านผู้เฒ่ายังอยู่ในราชการกันแน่ฟะเนี่ย!! '

 

 

 

 

 

 

 

 

 ........................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา