ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
33) ตอนที่ ๘...นัยแห่งศรีรามเทพนคร...(๒)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...เมื่อไร้ซึ่งหนทางที่จะบ่ายเบี่ยงได้อีก ไกรได้แต่หลับตาลงอย่างตัดสินใจ ก่อนจะหันมาเหลือบมองท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง...ซึ่งถึงจะยังเต็มไปด้วยความเป็นกังวล ท่านผู้เฒ่าก็รู้มารยาทพอจะโค้งคำนับพร้อมกับถอยไปอย่างช้าๆ...ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรก็หันพระพักตร์ไปมองโดยรอบ...ก่อนจะย้อมพระสรวลออกมาเล็กน้อย เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่รโหฐานที่จะทำให้การสนทนาระหว่างเธอกับชายหนุ่มตรงหน้าผิดราชประเพณ๊ แต่ก็เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะปลอดคน ปลอดจากการสอดรู้สอดเห็นของบุคคลภายนอกอย่างสิ้นเชิง...มันทำให้พระนางสามารถตรัสในสิ่งที่อยู่ในพระฤทัยของพระนางออกมาได้อย่างไม่จำเป็นต้องปิดบังอำพรางใดๆทั้งสิ้น...
" ...ท่านไกร "
" สมเด็จเจ้าฟ้า... "
คำตอบรับด้วยการเรียกขานราชศักดิ์ที่แท้จริงและน้ำเสียงที่เป็นทางการจนฟังดูแล้วห่างเหินอย่างที่สุดของไกร ทำให้องค์หญิงถึงกับสะดุ้งพระทัย...พระวรกายผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบตรัสมาโดยทันที
" ร...เรื่องที่ตลาด...ข้าขออภัยที่ข้าโกหก ปิดบังอำพรางฐานะที่แท้จริงของข้า "
" ด้วยฐานะของพระองค์...พระองค์ไม่ควร และไม่จำเป็นต้องขออภัยใดๆทั้งสิ้น...ตัวข้าพุทธเจ้าเองต่างหาก ที่ต้องขอพระราชทานอภัยโทษ...ที่บังอาจกล่าววาจาและทำกริยาที่ไม่เหมาะไม่ควรกับท่าน... "
" ...ท่านไกร...ได้โปรด...พูดกับข้าในฐานะเดิมที่เราทั้งคู่พบกันครั้งแรก...ครั้งที่ท่านยังคงเป็นชายผู้อ่อนโยน และข้ายังคงเป็นนางกำนัลน้อย ผู้อยากรู้อยากเห็นโลกภายนอกได้หรือไม่? "
" ทั้งๆที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้อยู่เต็มอก ว่าฐานะที่แท้จริงของท่านคือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงราชธิดาของพ่ออยู่หัว...และฐานะที่แท้จริงของข้าเป็นแค่พรานป่าผู้ต่ำต้อยแท่านั้นน่ะหรือ... " ไกรย้อนถามเรียบๆโดยยังไม่ยอมสบตาของอีกฝ่าย...ไม่ใช่เพราะเขาเกลียด หรือโกรธอีกฝ่ายที่ปิดบังฐานะที่แท้จริงมาตลอด...แต่เพราะว่าเขากลัวว่าหากเผลอไปสบกับพระเนตรของอีกฝ่ายเข้า เขาคงจะอดใจอ่อนให้กับพระเนตรที่งดงามและบริสุทธ์คู่นั้นไม่ได้แน่ๆ
...ทางที่ดีที่สุดคือรีบชิงตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมดีกว่า...ก่อนที่เงื่อนที่เขาเผลอผูกขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจจะขมวดเกลียวและคล้องมัดคอของเขาเข้าไปมากกว่านี้...
เจ้าหญิงสิริจันทรปัสสาสะ(ถอนหายใจ)เฮือกให้กับความดื้อรั้นและหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีของชายหนุ่มตรงหน้า...หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ผินพระพักตร์ไปทางด้านทิศตะวันตก ที่ดวงตะวันกำลังเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ช่วงเวลาบ่าย ก่อนจะตรัสขึ้นอยางเนิบช้าอีกครั้ง
" ท่านรู้ไหม?...ณ โลกตะวันตก สิ่งที่กั้นอยู่ระหว่างคนสองคน...มีเพียงแค่แสงสว่างเท่านั้น... "
" ท่าน--- "
" ...หาใช่ชาติกำเนิด...หาใช่ฐานันดรศักดิ์ใดๆทั้งสิ้นไม่ ฉะนั้น...ท่านไกร ระหว่างเราสองคนหาได้มีสิ่งใดต่างกันไม่...เราทั้งคู่...ต่างเท่าเทียม "
" แต่พระองค์ก็ทราบแน่แก่พระทัยดีว่าที่แห่งนี้หาใช่โลกเสรีที่บุรุษและสตรีสามารถพูดหรือทำในสิ่งที่ใจหรือพระทัยคิดได้...ยิ่งโดยเฉพาะกับสตรีที่มีฐานะอยู่บนจุดสูงสุดของสังคมอย่างท่านด้วยแล้ว ...กรอบแห่งประเพณีและมณเฑียรบาลมันแบ่งแยกพระองค์และข้าเอาไว้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว "
คำพูดของชายหนุ่มสร้างแววลึกลับบางอย่างในสายพระเนตรขององค์หญิงวูบหนึ่ง ก่อนที่จะสลายไปพร้อมกับที่พระนางสรวลออกมาเบาๆ
" พระราชมารดาของข้าสั่งสอนข้ามาโดยตลอด...ว่าสตรีในฐานะข้ามีอยู่สองหน้าเสมอ...หน้าด้านหนึ่งที่มีไว้เพื่อชาติ หน้าของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี ...ส่วนอีกหน้าหนึ่ง...มีไว้เพื่อตัวเอง...กับผู้ที่ข้าพึงใจ...กับท่าน ข้าอยากจะขอเป็นเพียงแค่ สิริจันทร... "
" ... "
" ท่านกลัวที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาข้าอย่างนั้นหรือ? ...ท่านไกร "
" ...ทั้งใช่...และไม่ใช่ " หลังจากเงียบไปเล็กน้อย ไกรก็ได้แต่ยอมรับไปตามความจริง เพราะถึงตอนนี้เขายังไม่ค่อยแน่แท้แก่ใจของตัวเองเลยด้วยซ้ำ...คำตอบที่กำกวมของชายหนุ่มทำให้หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าถึงกับหลุดสรวลออกมาเบาๆอีกครั้ง
" ..ถ้าอย่างนั้น ท่านไกร...ขอเพียงแค่ท่านมองกำไลหินวงนี้...กำไลหินที่ท่านมอบเป็นของกำนัลให้ข้าวงนี้...แล้วให้สัตย์สาบานกับข้าสิ ว่าท่านจะมอบกำไลวงนี้ให้กับสตรีทุกนางที่ท่านยืนเจรจาด้วยในเวลานั้น...ไม่ว่าสตรีนางนั้นจะเป็นข้าหรือไม่ก็ตาม "
" ...อึ่ก! " ไกรนึกไม่ถึงจริงๆว่าหญิงสาวผู้สูงด้วยศักดิ์ตรงหน้าจะใช้ไม้นี้ ทั้งพึ่งสังเกตเห็นด้วยซ้ำว่าองค์หญิงสิริจันทรถึงกับสวมกำไลหินธิเบตนั่นแทนที่กำไลทองรัตนา(ทองประดับเพชร)อันเป็นเครื่องทรงราชธิดากษัตริย์ที่มีค่าต่างกันจนไม่อาจเทียบได้เช่นนี้...ก่อนที่ดวงตาเจ้ากรรมจะเผลอเหลือบสูงขึ้นไปพบกับพระเนตรอันอ่อนแสงที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้วจนได้
...พระเนตรที่เต็มไปด้วยความคาดหวังและกระแสเว้าวอนนั่นมันเหมือนกับดูดเอาความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปฏิเสธความสัมพันธ์อันล่อแหลมระหว่างเขากับองค์หญิงสิริจันทรไปเสียจนหมดสิ้น...แววพระเนตรที่ทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกที่ได้สบกัน...ว่าเขาคงจะทำใจยักษ์ทำร้ายพระทัยของอีกฝายไม่ได้อีกตอไปแล้ว...
...ถึงจะผิดในฐานะของผู้ที่ต้องการจะแฝงตัวและไม่เป็นจุดสนใจ...แต่ในฐานะของลูกผูชายคนหนึ่ง เขาอาจจะไม่มีสิทธิ์เปฏิเสธความรับผิดชอบนี้แต่แรกแล้วก็ได้...
" ...ท่านกำลังทำให้ข้า เสี่ยงต้องอาญากุดหัวเจ็ดชั่วโคตร...ที่ซักวัน ไม่ช้าก็เร็วข้าต้องโดนแน่ๆ ค่าที่ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำที่สุด ที่กล้าถือสนิทเจรจากับท่านเช่นนี้ ...ท่านสิริจันทร... "
หลังจากสบตานิ่งเงียบกันไปเกือบ ๒ นาที ในที่สุด ไกรก็ตอบกลับหญิงสาวตรงหน้าไปช้าๆอย่าตัดสินใจเด็ดขาด...เป็นคำตอบที่ทำให้องค์หญิงสิริจันทรสยายแย้มพระสรวลกว้างอย่างสมพระทัย...ถึงแม้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะยังคงใช้สรรพนามของพระองค์ว่า ท่าน แทนที่จะเป็น เธอ เหมือนกับครั้งแรกที่พบกันที่เขายังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของพระนาง แต่รูปแบบของประโยคกึ่งๆหยอกล้อที่ใช้พูดกับ ผู้ที่ฐานะใกล้เคียงกัน ของไกร แค่นี้ก็ทำให้พระนางพอพระทัยอย่างที่สุดแล้ว
องค์หญิงสิริจันทรดำเนินเข้าใกล้ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะยกพระหัตถ์เรียวบางของพระองค์ขึ้นสวมกอดอีกฝ่ายช้าๆ ...ในขณะที่คราวนี้ไกรเองก็ยกมือขึ้นโอบตอบหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ในอ้อมกอดเช่นกัน แต่เป็นการโอบกอดอย่างสุภาพและเคารพเทิดทูนที่สุด โดยไม่มีกระแสของการล่วงเกินใดๆเลยแม้แต่น้อย...
" ...ท่านไกร "
" ขอรับ? "
" ...ชั่วชีวิตของข้า...มีทั้งผู้ที่สูงศักดิ์กว่า อย่างเช่นพระราชบิดา...มีทั้งผู้ที่ต่ำศักดิ์กว่า อย่างเหล่าข้าทาสทั้งปวง...มีพี่น้องและมิตรสหายมากมาย...แต่ความสัมพันธ์เหล่านั้นกลับไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยที่ใกล้เคียงกับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่...ท่านไกร...ช่วยบอกให้ข้ากระจ่างใจที่เถอะ...เราทั้งคู่เป็นอะไรกัน?? ... "
' เราทั้งคู่ เป็นอะไรกัน? '
ไกรอึ้งไปเล็กน้อยกับคำถามที่เขาไม่คาดคิดที่เหมือนจะดังก้อง สะท้อนกังวานอยู่ในหัวเขาไปหลายวินาที...ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาไหววูบอย่างแสวงหาคำตอบอยู่เสี้ยววินาที ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหลับตาพร้อมกับก้มลงกระซิบกับสมเด็จเจ้าฟ้าภายใต้อ้อมแขนของตนอย่างช้าๆ
" ...ยังไม่มีคำจำกัดความ สำหรับความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่...ท่านสิริจันทร...และข้าเชื่อว่ามันไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัดความก็ได้...โลกจะเป็นผู้ตัดสินเราทั้งคู่เอง...โลกเป็นผู้ตัดสินอย่างยุติธรรมเสมอ... "
" ท่านไกร... "
" ข้าขอเพียงแค่ให้ท่านวางใจในคำมั่นของข้า ที่ข้ามอบไว้ให้ท่านเมื่อกล่าวลา...ว่าถ้าหากท่านยังคงหาเรื่องใส่ตัวตลอดอย่างเช่นคราวนี้...ข้าก็จะคอยปกป้องท่านไปตลอดเช่นกัน...และโปรดเชื่อข้าเถอะ...ท่านมีเวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์มัน... "
" หากมันเป็นคำมั่นของท่าน...แค่นี้ก็สมใจข้าที่สุดแล้ว...ท่านไกร "
.............................................
...หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที...ที่เกวียนของท่านผู้เฒ่าและไกร...
" ล...แล้วหลังจากนั้น...จ...เจ้าก็แยกออกมากลับมาที่เกวียนนี่ แล้วพระนางก็กลับคืนสิวิกาของพระนาง...เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้เนี่ยนะ?! " ในที่สุด...ท่านผู้เฒ่าที่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบๆก็เอ่ยขึ้นเหมือนกับครางออกมาเบาๆ ในขณะที่ไกรก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
" ครับ " เพราะอยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาจึงกลับไปพูดในสำเนียงและภาษาที่เขาใช้อยู่ในโลกปัจจุบันที่เขาจากมาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะยกแขนขึ้นตั้งการ์ดทันทีเพื่อกันหมัดที่ไม่รู้จะมาอีกเมื่อไหร่ของท่านผู้เฒ่าทันที
" ทำท่าอะไรของเจ้าวะนั่น? "
" อ...อ้าว? คราวนี้ไม่ยักกะต่อยแฮะ "
ท่านผู้เฒ่าพยายามมองข้ามไอ้ท่าทีกวนโทสะของอีกฝ่ายไป ก่อนจะเอามือลูบคางด้วยท่าทีครุ่นคิด ...ท่าทีที่ทำให้คนที่มีชนักขนาดเขื่องปักหลังอยู่อย่างไกรถึงกับต้องร้อนๆหนาวๆ จนในที่สุดก็ทนต่อความเงียบอันน่าอึดอัดของชายหนุ่มตรงหน้าไม่ไหวและพูดออกมาเบาๆ
" ท่านผู้เฒ่า--- " แต่ก็ยังพูดออกมาได้ไม่จบประโยค ท่านผู้เฒ่าก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อนว่า
" ...ไอ้เหตุการณ์ที่เจ้าพึ่งกระทำไปนั่นน่ะ...ข้าถามจริงๆเถอะนะ ว่าเจ้าเตรียมการพูดมาเป็นแรมเดือน หรือพึ่งด้นสดเอาประเดี๋ยวนั้นน่ะ? "
" ใครมันจะไปคิดฝึกซ้อมเป็นแรมเดือนเพื่อเตรียมรับสถานการณ์บ้าๆพรรค์นี้กันฟะครับ!? " ไกรตอบกลับเบาๆ ก่อนจะยกแขนขึ้นตั้งการ์ดอีกครั้งอย่างห้ามไม่อยู่ ทำเอาอีกฝ่ายมองตาเขียวปัดทันที
" ...ถ้ายังขืนทำท่ากวนโมโหข้าอีก...ไกรเอ๋ย คราวหน้าเจ้าโดนดาบฟ้าฟื้นจริงๆแน่! ...เพราะตัวดาบเองก็เขม่นขี้หน้าเจ้าเป็นทุนอยู่แล้วด้วย ให้นรกสาปสิเอ้า! " คำขู่ที่ฟังไม่ออกว่าล้อเล่นหรือจริงจังของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรรีบหดมือกลับมาแทบไม่ทัน ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆทันที
" ถ...ถ้ายังไงเต็มที่ก็เอาแค่ด่าพอนะ...อย่าถึงกับลงไม้ลงมือเลย "
" ประเดี๋ยวนะ เจ้าเห็นข้าเป็นคนชอบลงไม้ลงมือไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! ...แล้วอีกอย่าง เจ้าทำได้เกินกว่าที่ข้าเองจะสามารถคาดเดาได้เสียอีกแช่นนี้ ข้าจะดุด่าเจ้าไปทำไมเล่า! "
" อ้าว?! "
" นี่ก็แปลว่าเจ้าทำไปด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาเลยใช่ไหมเนี่ย? "
" เอ่อ... "
" เฮ้อ...แต่คราวนี้ข้ากลับด่าเจ้าไม่ได้เลยจริงๆ ...พูดตามตรง...ตอนที่ข้าถอยออกมา ข้าคิดแทบจะเต็มสิบส่วนเลยว่ายังไงๆเจ้าก็คงไม่รอดแน่ๆ เพราะถึงเจ้าจะปฏิเสธหรือตอบรับความรู้สึกขององค์หญิง เจ้าก็คงไม่แคล้วโดนกุดหัวอยู่ดี ...คิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเอาชีวิตรอดมาได้ด้วยวิธีการที่พิศดารและได้ผลได้ถึงเพียงนี้ "
" หา? " ท่าทีงงงวยแบบจริงจังของชายหนุ่มตรงหน้า ทำเอาท่านผู้เฒ่าคันไม้คันมืออยากจะสาวไปซักหมัดจริงๆ ติดแต่ตรงเขาดันพูดไปแล้วว่าจะไม่ทำอะไร จึงทำให้ท่านผู้เฒ่าได้แต่ถอนหายใจเฮือกก่อนจะเริ่มต้นอธิบายช้าๆ
" ถ้านี่เป็นการด้นสด ข้าก็เดาไม่ออกจริงๆว่าเจ้ามันฉลาดลึกและเชี่ยวชาญที่สุด หรือเจ้าแค่โชคดีแบบโคตรๆเฉยๆกันแน่...เพราะเจ้าสามารถรักษาความสัมพันธ์และความรู้สึกของพระนางไว้ได้โดยที่หัวเจ้ายังคงติดอยู่กับตัว ...ทั้งยังเกี้ยวพาพระนางไว้เป็นมหาพันธมิตรที่จะช่วยเรายามคับขันได้อีกต่างหาก...ถึงไม่อยากจะพูดเลยก็เถอะ แต่ขนาดข้าที่อยู่มาเป็นร้อยกว่าขวบปี ข้ายังต้องบอกว่าข้าคงหาทางออกไหนที่ดีกว่าที่เจ้าทำไม่ได้อีกแล้ว... "
" แต่ก็ยังหนีไม่พ้นความจริง...ความจริงที่ว่าผมพึ่งหลอกเธอไป...และกำลังหลอกเธออยู่ตลอดแม้แต่ในตอนนี้...ถึงมันจะเป็นความรู้สึกที่มาจากอารมณ์ที่แท้จริงของผม แต่ผมก็ไม่แน่ใจอยู่ดี...ว่าผมทำถูกรึเปล่า "
คราวนี้ท่านผู้เฒ่า หันกลับมามองเด็กหนุ่มผู้มาจากโลกอนาคตตรงหน้าด้วยแววตาที่อ่อนลง เพราะเขาตระหนักถึงความเสี่ยง และความรับผิดชอบที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังแบกรับอยู่ และเขาเองก็ไม่สามารถช่วยแบ่งเบาอะไรได้เลย...นอกจากคำพูด ที่เป็นเหมือนคำแนะนำของผู้อาวุโสเท่านั้น...
" ก็อย่างที่เจ้าบอกนั่นแหละ ไกร... "
" ??? "
" ...เจ้าไม่มีวันรู้หรอก ว่าสิ่งที่เจ้าทำไปมันผิดหรือถูก...แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์พอจะตัดสินการกระทำของเจ้าได้ด้วยซ้ำ...แต่เป็นโลกนี้ต่างหาก...โลก จะตัดสินเจ้าเอง "
คำพูดของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย จนเขาสามารถยิ้มออกมาได้บางๆ แม้ว่าแววตาจะยังคงเต็มไปด้วยกระแสของความครุ่นคิดอยู่ก็ตาม ในขณะที่เมื่อเห็นรอยยิ้มของไกร ท่านผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆตอบกลับ...ก่อนที่ภายนอกเกวียนของเขาจะเกิดเสียงดังขึ้นเหมือนเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ ทำให้ทั้งคู่หยุดพูดคุยกันในทันที
" ท่านผู้เฒ่า... " ไกรกระซิบเรียบๆพร้อมกับที่มือด้านหนึ่งเอื้อมแตะด้ามดาบช้าๆอย่างหวาดระแวง แต่ท่านผู้เฒ่ายกมือขึ้นห้ามเอาไว้พร้อมกับกระซิบตอบกลับมาเบาๆ
" ช้าไว้ " ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะกระเถิบออกไปและแหวกม่านที่กั้นระหว่างภายในกับภายนอกเกวียนออกช้าๆ...เมื่อเห็นชัดว่าผู้ที่ยืนอยู่ภายนอกเป็นใคร เขาก็เลิกคิ้วขึ้นบางๆอย่างประหลาดใจ
" ...ออกพระเพชรพิไชย? " เขาเอ่ยทักขุนทหารเฒ่าเจ้ากรมทหารล้อมวังที่ยืนอยู่หน้าเกวียนเล็กน้อย ในขณะที่พระเพชรพิไชยค้อมหัวลงคำนับท่านผู้เฒ่าอดีตออกญาจักรีตรงหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสำเนียงเหมือนรายงานเบาๆ
" ท่านออกญาฯ...กระบวนเสด็จของพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์และเจ้าฟ้าอุทุมพร พร้อมแล้วขอรับ "
" เฮ้อ...เรื่องนี้ท่านที่เป็นผูดูแลกระบวนอารักขาและกระบวนเสด็จไม่จำเป็นต้องมารายงานกับข้าเลยแท้ๆ ...นี่อย่าบอกนะว่าพระเจ้าเอกทัศน์กลัวข้าจะหนีจนต้องส่งเจ้ามาคอยคุมแจเช่นนี้เนี่ย? " ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกพร้อมกับเอ่ยดักคอเบาๆ ...ในขณะที่ไกรที่แหวกม่านออกมายืนภายนอกเกวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างจับสังเกตความผิดปกติในคำรายงานนี้ได้ จนเขาต้องถามทหารเฒ่าตรงหน้าออกไปว่า
" ...เมื่อกี๊---เมื่อครู่ท่านกล่าวว่า เจ้าฟ้าอุทุมพร อย่างนั้นหรือ? ...ท่านออกพระ "
พระเพชรพิไชยหันมามองไกรเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
" ท่านเข้าใจถูกแล้วล่ะ ท่านไกร "
' ท...ท่านไกร??? ' ไกรและท่านผู้เฒ่าหันไปมองหน้ากันเองด้วยเครื่องหมายคำถามเกี่ยวกับคำนำหน้าชื่อของเขาเต็มใบหน้า แต่ก่อนจะได้ทันถามอะไร พระเพชรพิไชยก็ตอบเกี่ยวกับพระเจ้าอุทุมพรเสียก่อนว่า
" ...สมเด็จฯท่านเกรงว่าจะวางพระองค์ในราชวังลำบาก หากพระองค์ยังคงถือครองเพศบรรพชิตอยู่ จึงตัดสินพระทัยลาสิกขาบทเสีย ในขณะที่พ่ออยู่หัวก็พระราชทานพระอิสริยยศเดิมกลับคืนให้ ทำให้บัดนี้พระดอกเดื่อได้กลับคืนสู่พระอิสริยยศ พระอิสริยศักดิ์ดั้งเดิมของพระองค์ท่าน...เป็น เจ้าฟ้าอุทุมพร กรมขุนพรพินิจ เรียบร้อยแล้วน่ะขอรับ "
' ถึงจะต่างกันในต้นเหตุ...แต่ทุกอย่างกำลังเข้าสู่สิ่งที่บันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์แล้วสินะ? ...ประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าอุทุมพรต้องลาสิกขาบทมาช่วยราชการศึกพม่าน่ะ ' ไกรเอามือลูบคางพร้อมกับคิดในใจเงียบๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้ทันว่าอะไรต่อไป ออกพระเพชรพิไชยก็เดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
" ...แล้วอีกอย่างนึง...เจ้าฟ้าอุทุมพรและ สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดี มีรับสั่งให้ท่านไกรเข้าเฝ้าโดยด่วนที่สุดขอรับ "
ระหว่างที่ไกรยังคงขมวดคิ้วอย่างงงๆ ให้กับรับสั่งให้เข้าเฝ้าโดยปัจจุบันทันด่วนของพระเจ้าอุทุมพร...ท่านผู้เฒ่าที่ยืนฟังอยู่เงียบๆก็ถึงกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจทันที
" สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดี?...ประเดี๋ยวนะ ท่านออกพระ...สมเด็จท่านเสด็จมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?! "
พระเพชรพิไชยเลิกคิ้วเล็กน้อยให้กับท่าทีของท่านออกญาจักรีศรีองครักษ์นอกราชการตรงหน้า ก่อนจะตอบไปตามความจริงว่า
" สมเด็จท่านพึ่งเสด็จตามมาทีหลัง คิดว่าคงจะนัดหมายมาพบกับพ่ออยู่หัวเพื่อมาเยี่ยมเยียนพระดอกเดื่ออย่างเช่นที่เคยเสด็จมาเป็นประจำน่ะขอรับ...พระองค์ท่านพึ่งจะทราบถึงเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งหมดประเดี๋ยวนี้เอง เลยมีพระดำรัสพร้อมกับเจ้าฟ้าอุทุมพรให้ท่านไกรเข้าเฝ้าโดยทันที...ข้าว่าทางที่ดีท่านรีบมากับข้าเถอะ...จะเป็นการมิบังควรถ้าท่านปล่อยให้สมเด็จท่านทั้งสองประทับรอนานไปมากกว่านี้... "
" สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดี? " ไกรทวนคำอย่างงงๆ ขนาดเขามีความรู้ด้านประวัติศาสตร์ถึงขนาดสามารถพูดได้ว่าเป็นผู้รู้คนหนึ่ง เขายังพึ่งเคยได้ยินชื่อของสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ก็ในคราวนี้เป็นครั้งแรก...ทำให้เขาต้องหันกลับไปถามท่านผู้เฒ่าที่เหมือนจะรู้จักสมเด็จเจ้าฟ้าผู้นี้ดีกว่าเขาเบาๆว่า " ใครกันหรือขอรับ? "
ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะได้แต่ตอบกลับมาเรียบๆว่า
" เจ้าอาจจะไม่ยินดีที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าให้เข้าเฝ้าก็เป็นได้นะ ไกรเอ๋ย!...เจ้าฟ้าพินทวดีมีพระอิสริยยศเต็มว่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี ...พระเชษฐภคินี(พี่สาว) ในสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์และสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรอย่างไรล่ะ! ...และข้าก็ขอบอกไว้เลยนะ...พระองค์ไม่พระทัยดีเช่นเดียวกับพระราชอนุชาทั้งสองพระองค์ที่เจ้าได้พบมาแล้วแน่ๆ!! "
" ง...ไหงขู่กันอย่างงี้ล่ะเฟ้ย!! "
...................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ