ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
32) ตอนที่ ๘...นัยแห่งศรีรามเทพนคร...(๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
...ไกลออกไป...ณ ถ้ำขนาดใหญ่อันมืดมิดที่ไม่ปรากฎบนแผนที่ภูมิศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น...
เหยี่ยวสีน้ำตาลขนาดใหญ่ค่อยๆสยายปีกร่อนลงมาภายในถ้ำ ก่อนจะเกาะลงบนไหล่ของชายหนุ่มคนหนึ่งที่พันหน้าพันตาไว้จนเหลือโผล่มาเพียงแค่ดวงตาเช่นเดียวกับมือสังหารนินจาที่พึ่งสิ้นชีวิตไปไม่มีผิดเพี้ยน...ชายหนุ่มผู้นั้นเลิกคิ้วเล็กน้อยกับสารเล็กๆที่ผูกติดกับขาซ้ายของเหยี่ยวตัวนี้มาอย่างลวกๆ ก่อนจะค่อยๆแกะม้วนสารนั้นออกมาคลี่อ่านช้าๆ...
" ขอรายงาน...ภารกิจลอบสังหารที่ท่านมอบหมายให้แก่นากามูระ...ล้มเหลว...ถูกขัดขวางและยับยั้ง นากามูระและกลุ่มช่วยเหลือทั้งหมดเสียชีวิตในภารกิจขอรับ " เขาประกาศออกมาพร้อมกับหันไปมองโดยรอบทันที
...ในความมืดสนิท...เงาดำที่มีลักษณะคล้ายกับเงาของมนุษย์หลายสิบร่างเริ่มขยับอย่างอึดอัด ก่อนที่เสียงอันทรงสิทธิอำนาจของชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ
" ความน่าเชื่อถือของข่าวนี้ล่ะ? "
" เต็มสิบส่วนขอรับ... "
" ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลกใจ... " ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยเรียบๆอีกครั้งโดยไร้ซึ่งน้ำเสียงประหลาดใจอย่างที่พูดไว้เลย " นากามูระเป็นผู้ที่ข้าฝึกฝนมาเองกับมือ...นอกจากความสามารถในวิถีนินจาที่เป็นเอกอุแล้ว มันยังมีความสามารถด้านไสยเวทย์มนต์ดำในระดับสูงที่หาตัวจับไม่ได้ง่ายๆ...มันไม่ควรจะต้องถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของกรมขุนอนุรักษ์มนตรี(พระเจ้าเอกทัศน์) ที่จะตายมิตายแหล่เช่นนี้นี่ "
" ...จะว่าไป... " ชายผู้ถือสารนั้นขัดขึ้นเบาๆ " ...ในสารนี้แจ้งมาว่าภารกิจเป็นไปด้วยดีจนกระทั่งถูกขัดขวางด้วยชายหนุ่มสองคน...คนแรกเป็นผู้มีกระบวนดาบคู่ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน...ในขณะที่อีกคน---ข้าไม่แน่ใจว่าสารนี่เขียนมาผิดเพี้ยนรึเปล่า แต่มันเขียนว่า ครอบครองดาบวิเศษที่ควบคุมอัสนีบาต กับ ไม่สามารถฆ่าให้ตายได้ ขอรับ "
เงาของร่างหลายสิบร่างขยับเหมือนกับหันไปมองหน้ากันเองอย่างไม่เชื่อถือและเห็นว่าสิ่งที่ชายผู้นั้นบอกเป็นเรื่องตลก...มีเพียงชายคนแรกที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าใหญ่สุดเท่านั้นที่ขมวดคิ้วและถอนหายใจเฮือก
" เป็นคราวซวยของนากามูระ--ไม่สิ เป็นคราวซวยของพวกเราแท้ๆ...ที่ต้องไปเจอกับ มัน ! "
" มัน? "
" พวกเจ้าทุกตัวคนจงฟังคำข้า!...อีกไม่ช้าก็เร็วหมู่บ้านลับที่ข้าจากมาก็จะรับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเราแล้ว...ซึ่งก่อนจะถึงเวลานั้น...พวกเราเหล่า บรรลัยกัลป์ (ไฟล้างโลกเมื่อสิ้นยุค) จะเปิดศึกกับราชวงศ์บ้านพลูหลวงเต็มรูปแบบ!!...นี่เป็นคำสั่งจากข้า! "
" น้อมรับคำสั่งท่านผู้เฒ่า!! "
................................................
" ท่านผู้เฒ่า! " หลังจากสร่างตะลึง ไกรรีบพูดขึ้นออกมาทันที เพราะตำแหน่งและฐานะที่แท้จริงของชายหนุ่ม(ที่คงจะหนุ่มอยู่ตลอดกาล) ที่เป็นถึงหัวหน้ามือสังหารทั้งหมดทั้งมวล(ที่ล้วนแล้วแต่ติดคดีและมีค่าหัวทั้งสิ้น)อย่างท่านผู้เฒ่า ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะรับราชการใดๆได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายพลเรือนหรือกลาโหมก็ตาม แต่ท่านผู้เฒ่ายกมือห้ามไว้พร้อมกับพูดขึ้นเรียบๆ
" ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว...เราจะไม่เถียงกันในเรื่องนี้อีก... "
" ไม่เถียงได้ยังไงเล่า! ที่ท่านพูดออกมานี่ท่านได้ตรองดูแล้วรึยัง?! ...ด้วยระดับฐานะของท่าน ท่านไม่อาจจะ--- "
" ฐานะ? " พระดอกเดื่อทวนคำเบาๆ แต่ก่อนจะได้ทันว่าอะไร ท่านผู้เฒ่าก็ชิงพูดต่อเสียก่อนทันที
" ไกร! เจ้าชักจะมากเกินไปแล้วนะ "
" ข้า--- "
" ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าจะเป็นห่วงฐานะพรานป่าของข้าและตัวเจ้าเองไปทำไมกัน! ไกร พวกเรากำลังเข้าสู่สงครามและในฐานะญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวของเจ้า ข้าขอสั่งให้เจ้าไปกับข้าด้วย! " ท่านผู้เฒ่าหันกลับมาตวาดใส่เขาเบาๆ แต่คำบางคำในประโยคกลับทำให้ไกรชะงักกึก
' ฐานะพรานป่า?...ญาติผู้ใหญ่? ...รึว่า? ' ไกรขมวดคิ้วและคิดในใจอย่างรวดเร็วเพื่อมองหาความเป็นไปได้ในทุกๆทาง...ยิ่งได้เห็นสัญญาณลอบขยิบตาให้ของท่านผู้เฒ่ายิ่งทำให้ไกรแน่ใจมากขึ้นไปใหญ่
' ด้นสดแบบไม่นัดกันเลยนี่หว่า? แถมยังแสดงสดได้เนียนยิ่งกว่านักแสดงมืออาชีพในยุคเราซะอีก ' ชายหนุ่มอดนับถือความฉับไวในการตัดสินใจและความเด็ดเดี่ยวในการลงมือในทันทีของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะนี่เป็นความสามารถของผู้นำโดยแท้จริง.....และก่อนที่จะเกิด dead air หรือช่องว่างของการสนทนาอันจะจับพิรุธได้...เขาก็แกล้งทำเป็นถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพูดต่อทันที
" ข้าแค่เตือนท่านด้วยความหวังดีเท่านั้น ท่านผู้เฒ่า...ด้วยฐานะพรานป่าฝึกหัดข้าไม่สามารถคัดค้านอะไรท่านได้อยู่แล้วนี่ "
' ฉลาดมาก...ไกร ' ท่านผู้เฒ่าอดชมเชยอีกฝ่ายในใจไม่ได้ ก่อนจะปั้นหน้าขึงขังพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ และหันกลับมาหาพระเจ้าเอกทัศน์อีกครั้ง
" ข้าขออนุญาตพา หลาน ของข้าติดตามเข้าสู่พระราชวังด้วย...นอกจากข้าพุทธเจ้า มันก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว...คงจะโปรดประทานพระราชานุญาตนะพระพุทธเจ้าข้า "
" แน่นอนอยู่แล้ว...ข้าต้องบอกว่าข้าออกจะยินดีด้วยซ้ำที่ไกรมาด้วย...ใช่หรือไม่? สิริจันทร? " ประโยคหลังพระเจ้าเอกทัศน์หันกลับไปถามสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาของตนเองด้วยพระสุรเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงอย่างหยอกล้อ ทำเอาเจ้าหญิงสิริจันทรถึงกับพระพักตร์แดงวูบก่อนจะหลบพระเนตร ในขณะที่ไกรถึงกับหัวใจหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม เสียวหลังคอแว๊บทันที...ถึงจะใจชื้นขึ้นเล็กน้อยที่พระสุรเสียงของพระเจ้าเอกทัศน์ไม่ได้จริงจังหรือจับผิดอะไรนัก แต่ก็เป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนแล้วว่า...พระองค์ทรงระแคะระคายอะไรบางอย่างแล้วแน่ๆ...
' ย...อยากกับบ้านแล้วอ่า ' ภายใต้ใบหน้าที่ยังคงเรียบเฉย ไกรแทบจะอยากร้องไห้ออกมาดังๆ อยากจะวิ่งหนีกลับหมู่บ้านยุคันตวาตเสียตอนนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ติดตรงที่ท่านผู้เฒ่าคงไม่ยอมให้เขาทำอย่างนั้นแน่
" เรื่องแต่งตั้งข้าพุทธเจ้าอย่างเป็นทางการเอาไว้ว่ากันทีหลัง...เวลานี้ขอทูลเชิญพระองค์ทั้ง ๓ เสด็จกลับสู่พระราชฐานฝ่ายในโดยทันทีพระพุทธเจ้าข้า...เพื่อความปลอดภัยของพระองค์เอง " หลังจากตกลงกันได้เสร็จสิ้นท่านผู้เฒ่าเริ่มออกคำสั่งทันทีด้วยความเคยชิน ทำเอาเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรที่ไม่คุ้นชินกับการถูกออกคำสั่งถึงกับต้องขมวดพระขนง ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์และพระเจ้าอุทุมพรหันพระพักตร์ไปสบพระเนตรกันเอง ก่อนจะหลุดสรวลออกมาพร้อมกันดังลั่นอย่างยาวนานจนทุกคนต้องหันไปมองด้วยความแปลกใจ
" ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ...ท่านก็คิดเหมือนข้าเลยสินะท่านดอกเดื่อ...เหมือนเราทั้งคู่กลับไปเป็นกุมารไม่มีผิดเพี้ยนเลย ! "
...หลังจากมีการถ่ายทอดคำสั่ง...เหล่าทหาร จ่าโขลน และนางกำนัลทั้งมวลก็รีบจัดกระบวนเสด็จเพื่อคืนกลับกรุงอโยธยาอย่างเร่งรีบ...ถึงทุกคนจะส่งสายตามามองท่านผู้เฒ่าและไกรที่อยู่ในที่ๆไม่ควรอยู่อย่างสงสัยใคร่รู้ แต่เพราะเรื่องมือสังหารผู้เล็ดรอดการคุ้มกันเข้ามาและเกือบจะลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัวของพวกเขาได้สำเร็จ ยังเป็นเหมือนรอยแผลที่เหวอะหวะยับเยินติดสันหลังของทุกคนอยู่ ทำให้ทุกคนได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำตามพระราชบัญชาไม่กล้าพูดอะไรมาก ...เพราะลำพังแค่พ่ออยู่หัวของพวกเขาทรงพระกรุณาไม่ลงโทษทัณฑ์ที่หนักหนาถึงประหาร ๗ ชั่วโคตร ก็เป็นบุญท่วมหัวของพวกเขาแล้ว! ...เพราะเหตุนี้จึงทำให้ท่านผู้เฒ่าสบช่องหาจังหวะที่ปลอดจากการรู้เห็นของบุคคลที่ ๓ เข้าถึงตัวไกรและพูดขึ้นเบาๆ
" เก่งมากนะไกร ที่สามารถรับลูกได้โดยไม่สร้างพิรุธ เก่งจริงๆ...ท่าทางในยุคของเจ้า เจ้าคงโกหกเป็นน้ำเลยสินะ "
" ข้าว่านั่นไม่ใช่คำชมนะ ท่านผู้เฒ่า... " ไกรขัดขึ้นจนท่านผู้เฒ่าต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะโอบไหล่เขาอย่างถือสนิทและกระซิบเบาๆอีกครั้ง
" ทำไม? เจ้าคิดว่าข้าจะเลือดรักชาติพลุ่งพล่านจนกระโดดกลับไปรับราชการโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือภาระหน้าที่ที่ข้าแบกอยู่บนบ่าเลยอย่างนั้นหรือ? "
" เอ่อ... "
" พุธโธ่เอ้ย...ถึงจะเห็นข้าอย่างนี้แต่ข้าก็อายุอานามปาเข้าไปร้อยกว่าขวบปีแล้วนะ ความคิดความอ่านของข้าไม่ใช่เด็กน้อยเลือดร้อนที่เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ "
" แปลว่าถ้าเป็นปกติก็คงจะแก่ชราจนลงโลงได้แล้วสิ---แอ๊ก! "
หลังจากตุ๊ยท้องไกรเข้าไปเต็มแรง ท่านผู้เฒ่าก็กระแอมไอเบาๆอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานว่า
" ข้าติดใจเรื่องตราสัญลักษณ์สีดำที่เจ้าค้นเจอจากร่างมือสังหารนั่น...เมื่อรวมกับฝีไม้ลายมือที่พอจะเป็นมือสังหารระดับต้นๆของหมู่บ้านเราได้อย่างสบายๆ...ถึงแนวทางจะต่างกันกับพวกเราอย่างสุดขั้วก็เถอะ...ถ้าหากเรายังคงติดตามพ่ออยู่หัวที่ยังคงเป็นเป้าหมายของพวกมันอยู่อย่างนี้...เราจะสามารถสาวเข้าถึงตัวกลุ่มมือสังหารเหล่านี้ได้ "
" เฮ้อ...ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเตี๊ยม---หมายถึงน่าจะบอกกันล่วงหน้าก่อนซักนิด "
" มันคิดได้ตอนฉุกละหุก ช่วยไม่ได้นี่...ก็อุตส่าห์ชมเชยแล้วอย่างไรว่าฉลาดที่ตามน้ำมาได้ "
ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถานหายใจเฮือกและถามต่อว่า
" แล้วทำไมมันถึงได้พุ่งเป้ามาที่พระเจ้าเอกทัศน์และพระเจ้าอุทุม---ข้าหมายถึงพระดอกเดื่อล่ะ? "
" ข้าไม่รู้... " ท่านผู้เฒ๋าส่ายหน้าอย่างยอมรับ " ...ไม่ใช่เพราะไม่รู้แรงจูงใจหรอกนะ แต่แรงจูงใจมันมากเสียจนข้าไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหนก๊กไหนต่างหากล่ะ...ถึงเจ้าจะตัดทัพพระเจ้าอลองพญาออกไป ก็ช่วยแค่ลดผู้ปองร้ายพ่ออยู่หัวลงไปได้หนึ่งเท่านั้น...ราชวงศ์บ้านพลูหลวงนั้น พระเพทราชาผู้เป็นปฐมราชวงศ์เดิมทีก็เป็นเพียงแค่สามัญชนเทานั้น...ซ้ำยังมีข่าวลือว่าตัวพระเพทราชาเองนี่แหละที่เป็นต้นชนวนความวุ่นวายภายในราชสำนักทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัย...พ่อ--- " ถึงตอนนี้ท่านผู้เฒ่าชะงักไปวูบนึง...แม้ว่าจะเป็นเศษเสี้ยวของวินาที แต่ก็ยังสังเกตเห็นได้ชัดเจนในสายตาของไกร ก่อนที่เขาจะพูดต่ออีกครั้งราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น " สมเด็จพระนารายณ์อีกด้วย...ทั้งตลอด ๔-๕ รัชกาลที่ผ่านมา ก็มีเรื่องวุ่นวายไม่เว้นแต่ละปี...ฆ่าล้างบางเหล่าขุนนางเกือบทั้งสำนักไปถึง ๓-๔ ครา...ถ้าถามถึงผู้ที่อาฆาตมาดร้าย ข้าก็ต้องบอกว่ามีอยู่เป็นพะเรอเกวียนเลยทีเดียวล่ะ "
" ...ความขัดแย้งภายในสินะ " ไกรครางออกมาเบาๆ...นี่เองที่อาจจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาถึงกาลล่มสลายก็เป็นได้
" ว่าแต่เรื่องของเจ้าเถอะ...ให้นรกสาปสิ! ข้าควรจะด่าเจ้าในเรื่องไหนก่อนดีนะ...ฮึ่ม เอาเป็นเรื่องที่สำคัญและคอขาดบาดตายที่สุดก่อนเลยล่ะกันนะ! ...คนอย่างเจ้าน่าจะฉลาดและช่างสังเกตพอจะสังเกตเห็นได้แล้วสินะ ว่าพระเจ้าเอกทัศน์เองก็ทรงระแคะระคายเรื่องความสัมพันธ์อัน...เอ่อ...ล่อแหลม ระหว่างเจ้ากับองค์หญิงราชธิดาของพระองค์แล้ว...ใช่ไหม? "
" ...ค...ครับ " ไกรได้แต่รับคำ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" เฮ้อ...อันที่จริงข้าค่อนข้างจะประหลาดใจด้วยซ้ำที่คอเจ้ายังติดกับบ่าอยู่รอดปลอดภัยดี...แต่ก็อย่างว่า พระเจ้าเอกทัศน์เองก็ทรงมีพระกรุณาอยู่เป็นพื้นมาตั้งแต่ยังทรงเป็นพระกุมารแล้ว...เรื่องของเรื่องก็คือ แต่นี้ต่อไปข้าอยากให้เจ้าระมัดระวังความสัมพันธ์ไม่ให้ใกล้ชิด หรือทำการใดให้องค์หญิงท่านเข้าพระทัยผิดอีก...ถึงข้าจะไม่โทษเจ้าในเรื่องนี้เพราะเจ้าเองก็ยังไม่คุ้นชินกับวิถีชีวิตของคนในยุคนี้...แต่คราวหน้าคราวหลังคิดจะทำอะไรก็ขอให้ระลึกไว้เสมอว่าเจ้ายังอยู่ในยุคนี้ เพราะถ้าหากเกิดไปทำอะไรถลำลึกให้องหญิงหลงหัวปักหัวปำขึ้นมา งานนี้หัวของเจ้าได้ไปเสียบอยู่บนขื่อประตูผีแน่ๆ! "
" ข...เข้าใจแล้วครับ "
" เฮ้อ ทำไมไม่รู้นะ แต่ข้าสังหรณ์ใจว่าถึงจะรับคำอย่างแข็งขัน แต่อีกไม่ช้าไม่นานเจ้าก็คงจะต้องซวยด้วยเรื่องนี้อยู่ดี " ท่านผู้เฒ่าเหลือบมามองพร้อมกับบ่นเบาๆอย่างไม่ศรัทธาในคำพูดของไกรนัก...ซึ่งก็แทงใจดำจนเขาถึงกับออกอาการ เพราะแม้แต่ตัวเอง ไกรเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะทำได้หรือเปล่าเลยด้วยซ้ำ...
" แล้วก็อีกเรื่องนะไกร...เรื่องกระบวนดาบคู่ของเจ้า... "
" ??? "
" ถือซะว่านี่เป็นคำสั่งจากข้าเลยนะ...ถ้าหากไม่จำเป็นถึงขั้นขั้นถึงเลือดถึงเนื้อถึงชีวิตจริงๆ ...ห้ามใช้กระบวนดาบนั้นอีกเป็นอันขาด ! "
" อ...อ้าว? ทำไมล่ะ? " คราวนี้ไกรร้องถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ทำเอาท่านผู้เฒ่าถึงกับขมวดคิ้วทันที
' ...ก็แปลว่าจำช่วงที่ตัวเองถูกกระแสของกระบวนดาบครอบงำจนคลุ้มคลั่งไม่ได้เลยสินะ ' ท่านผู้เฒ่าคิดในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตัดสินใจเก็บไว้โดยยังไม่ได้บอกอะไร เพียงแต่กำชับกลับไปเบาๆอีกครั้งว่า
" ไม่จำเป็นต้องถาม...แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ...ลำพังแค่กระบวนดาบมือเดียวของเจ้าก็เพียงพอจะเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆได้แล้ว "
ไกรขมวดคิ้วอย่างฉงนสงสัย แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันว่าอะไรกันต่อไป หญิงชราผู้ถือศักดิ์คุณท้าวศรีสัจจาเจ้ากรมจ่าโขลนก็เดินตรงมาหาพวกเขา ก่อนจะค้อมหัวคำนับท่านผู้เฒ่า(ที่เคยมีอดีตอันหวานชื่นต่อกัน)เล็กน้อยและพูดขึ้นด้วยกระแสเจือด้วยความเคารพเบาๆ แม้จะส่งสายตาคมปลาบมาให้ไกรเป็นระยะๆก็ตามว่า
" ท่านออกญาฯ...ท่านไกร ...พวกเราเตรียมกระบวนเสด็จพร้อมแล้วเจ้าค่ะ "
' คิดไปเองรึเปล่าหว่า? ที่ว่าตอนคุณท้าวเรียกชื่อเรา กระแสน้ำเสียงมันต่างจากเรียกท่านผู้เฒ่าโดยสิ้นเชิงแบบนี้ ' ไกรได้แต่คิดในใจอย่างเหงื่อตก...แต่จนปัญญาอย่างผู้ที่มีชนักปักหลัง ที่พูดอะไรออกมาไม่ได้ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็คงจะจับสังเกตได้เหมือนกันจึงหัวเราะออกมาเบาๆ
" งั้นก็อย่ารอช้าอยู่เลยคุณท้าว...ส่งอาณัติสัญญาณให้ออกพระเพชรพิไชยเคลื่อนกระบวนเสด็จทันที...เรารั้งอยู่ที่นี่มานานเกินสมควรแล้ว "
" น้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ "
หลังจากที่นางรับคำและถอยออกไป ไกรก็ได้แต่กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้
" หืม? อะไรของเจ้า อยู่ๆก็หัวเราะออกมา ทำตัวราวกับคนบ้าใบ้ไปได้ หัวเราะอะไรของเจ้ากัน? "
" ก็หัวเราะท่านนั่นแหละ ท่านผู้เฒ่า...ทั้งๆที่แค่บอกว่าจะกลับเข้ารับราชการ ยังไม่ทันได้กินยศกินตำแหน่งอะไรเลยแท้ๆ ...แต่ทุกผู้ทุกคนกลับให้ความเคารพท่านยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก "
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่เพียงครู่เดียวเขาก็หยุดหัวเราะลง ก่อนจะหันมาหาไกรและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังที่สุดว่า
" ไกร...ข้าขอพูดไว้ ณ ที่นี้เลยนะ...ที่พวกนี้เคารพนับถือข้า เป็นเพราะพวกนี้เป็นคนเก่าคนแก่ ที่เคยร่วมรับราชการใกล้ชิดพ่ออยู่หัวท้ายสระ...และพ่ออยู่หัวบรมโกศมาก่อน...ต่างก็รู้เช่นเห็นชาติกันทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์และนิสัยใจคอเป็นอย่างดี...แต่เหตุการณ์นั้นก็ล่วงมาได้กว่า ๒๐-๓๐ ขวบปีแล้ว... "
" ??? "
" ...แต่บรรดาขุนนางรุ่นใหม่ที่รับราชการอยู่ภายในพระบรมหาราชวังไม่ได้เป็นแบบพวกนี้ทั้งหมด...ส่วนใหญ่จะไม่รู้จักข้าในฐานะอดีตออกญาจักรีศรีองครักษ์ด้วยซ้ำ...ข้าพนันได้เลยว่าการที่เราสองคนเข้าวังในฐานะคนสนิทของพ่ออยู่หัวคงจะไม่ได้ทำให้คนพวกนี้ชอบขี้หน้าเราแน่ๆ "
" หมายความว่า? " ไกรที่เริ่มเข้าใจสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพยายามจะบอกได้อย่างลางๆถึงกับครางออกมาเบาๆ ซึ่งท่านผู้เฒ่าก็พยักหน้าพร้อมกับฝืนยิ้มบางๆ
" ใช่...แต่นี้ต่อไปเราจะไม่ได้เจอแค่มือสังหารอีกแล้ว...แต่จะกลายเป็นวังวนของสงครามการเมือง การแก่งแย่งชิงดีและการแทงข้างหลัง ที่แม้แต่ความเป็นอมตะของข้าก็ไม่อาจช่วยอะไรได้อีกทั้งสิ้น! ...พวกมันอาจจะเข้ามาหาเจ้าพร้อมกับรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าเจ้ามีประโยชน์ และเมื่อสูบเจ้าจนหมดประโยชน์ มันก็พร้อมจะถีบหัวส่งเจ้าทันทีที่มีโอกาสเช่นกัน...ซึ่งข้าก็ไม่แน่ใจว่า...ข้าจะปกป้องเจ้าจากพวกมันได้หรือไม่...พูดตามสัตย์จริง...หากเจ้าต้องการจะถอนตัวและกลับหมู่บ้านไปพร้อมกับพวกอนาสตาเซียและศกุนตลาที่ข้าไล่กลับไปแน่ ข้าก็ไม่ถือโทษโกรธเจ้านะ... "
ท่านผู้เฒ่าพูดด้วยน้ำเสียงซีเรียสจริงจัง แสดงออกถึงความหนักใจอย่างที่สุด แต่ไกรกลับตอบสนองความซีเรียสนี้ด้วยรอยยิ้มได้อย่างน่าหมั่นไส่้ที่สุด ก่อนจะตอบกลับมาเบาๆ
" นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวของคนที่มาจากอนาคตอย่างข้าก็ได้ ที่จะได้เห็นทุกๆอย่างด้วยตาของตัวเอง...โดยไม่ต้องผ่านหนังสือประวัติศาสตร์ใดๆทั้งสิ้น...และอีกอย่างนึงนะท่านผู้เฒ่า... "
" หืม? "
" ...เท่าที่ข้าจำได้ ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วยท่าน...ท่านต่างหากที่ขาดข้าไม่ได้ "
" พรืด! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ...โอ๊ย! เจ้าทำให้ข้าขำจนท้องแข็งอีกจนได้ เออ! อยากจะไปลงนรกด้วยกันก็ตามใจเจ้า...แต่ก่อนอื่น... " ท่านผู้เฒ่าเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากอาการขำค้าง ก่อนจะครางออกมาเบาๆ จนไกรถึงกับต้องขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกต
" ก่อนอื่น? "
" ...ก่อนอื่น...เจ้าไปจัดการกับเรื่องที่เจ้าก่อไว้ก่อนดีกว่านะ...ถ้ารอดกลับมาได้ เราค่อยคุยกันเรื่องนี้อีกทีก็ได้ "
" เรื่องที่ข้า...ก่อไว้? " ไกรทวนคำเบาๆ ก่อนจะเสียวสันหลังวูบและรีบกลับหลังหันทันที...พร้อมกับภาวนาว่าไม่ใช่ที่เขาคิด ...น่าเสียดาย...ที่ความซวยที่กำลังเดินมาทักทายเขาอย่างรัวๆไม่เคนปราณีเขาเลยแม้แต่น้อย
" ท่านไกร... "
" อ...องค์หญิงสิริจันทร? " ไกรได้แต่ครางออกมาเบาๆ ...เพราะหญิงสาวผู้สูงศักดิ์อย่างสมเด็จเจ้าฟ้าสิริจันทรเทวี บัดนี้ได้มาประทับอยู่เบื้องหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว
เจ้าหญิงสิริจันทรกระพริบพระเนตรเล็กน้อยให้กับท่าทางที่เหมือนกับทำตัวไม่ถูกของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะหลับพระเนตรที่เป็นประกายนั้นลงพร้อมกับปัสสาสะ(ถอนหายใจ)เฮือก...พระหัตถ์เรียวบางปานจะหักได้ยกขึ้นมาลูบกำไลหินธิเบตที่ชายหนุ่มตรงหน้าซื้อให้เป็นของกำนัลอย่างเหม่อลอย ก่อนที่ในที่สุดจะตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดและตรัสขึ้นอย่างช้าๆ
" ท่านไกร...พอจะมีเวลา...เจรจาความกับข้าซักชั่วครู่หรือไม่? "
" อ...เอ่อ...กระหม่อมคิดว่า--- "
" อย่าได้เอ่ยตัดรอนปฏิเสธเลยนะ...เจ้าคะ...ท่านไกร "
ประโยคหลังทำเอาท่านผู้เฒ่าที่ยืนดูห่างๆถึงกับต้องครางออกมาเบาๆทันที
" คราวนี้ถ้าเจ้ารอดชีวิตไปได้ถึงกำแพงกรุงอโยธยา...ข้าแนะนำให้เจ้ารีบทำบุญใหญ่เลย เพราะเจ้าคงจะใช้โชคดีของทั้งชีวิตหมดไปกับงานนี้แล้วล่ะ...ไกรเอ๊ย! "
...............................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ