ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  127.83K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

31) ...ตอนที่ ๗...ราชวงศ์ที่ต้องคำสาป...(๔)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


 

 

================================================

 

 

 

 

 

      ...หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที...ที่ลับมุมด้านหลังพระอุโบสถวัดประดู่ทรงธรรม...

 

        " ก...ไกร! ไกรๆๆๆๆๆ!!  นี่...นี่เจ้าทำบ้าอะไรลงไปเนี่ยๆๆๆๆๆ!! "  หลังจากที่หาช่องพาไกรปลีกตัวออกมาได้ ท่านผู้เฒ่าก็ขยุ้มไหล่ของชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับร้องถามเสียงดังลั่นชนิดที่ไม่เหลือมาดอันสุขุมนุ่มลึกของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ไกรเองก็มีม่าทีตกใจกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นไปสดๆร้อนๆนี่ไม่แพ้กัน มันทำให้เขาแทบจะลืมอารมณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจากไอ้มือสังหารนินจานั่นไปเสียสิ้น เพราะถ้าหากให้พูดตรงๆ ...งานนี้อาจจะอยู่ในขั้นเสี่ยงคอขาดที่สุดนับตั้งแต่เขาย้อนอดีตกลับมาแล้วก็เป็นได้

 

         " ป...แป๊ปนึงนะท่านผู้เฒ่า...ข...ขอเวลานอกเรียบเรียงเหตุการณ์แป๊ป "  เขาพูดเบาๆพร้อมกับทรุดลงไปนั่งที่พื้น ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ลงนั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกระแทกดาบฟ้าฟื้นของท่านลงกับตักอย่างแรง และพูดตอบเรียบๆ

 

         " เล่า...มา! "

 

           ท่าทีที่ไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิงของอีกฝ่ายทำให้ไกรไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะบิดพลิ้วได้อีกต่อไป เขาได้แต่หลับตาลงอย่างระลึกเหตุการณ์ก่อนจะเริ่มต้นเล่าช้าๆโดยไม่ปิดบังอำพรางใดๆทั้งสิ้น

 

           หลังจากที่ไกรเล่าจบ เขาลืมตาขึ้นช้าๆ และพบว่าท่านผู้เฒ่าใช้ดวงตาที่บัดนี้ว่างเปล่าอ่านไม่ออกจ้องมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว...ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา หวัดข้างที่ไม่ได้ถือดาบอยู่ของท่านผู้เฒ่าก็ชกผัวะเข้าเต็มโหนกแก้มของเขา ถึงจะไม่ใช่หมัดที่รุนแรงอะไรนักเพราะไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด แต่นั่นก็ทำให้ไกรเซแท่ดๆๆ จนแทบล้มทั้งๆที่ยังนั่งอยู่ได้เลยทีเดียว

 

         " ท...ทำบ้าอะไรของท่านฟะ!! ...อยู่ๆมาชกข้าทำไมเนี่ย?! "

 

         " หลังจากที่ทำเรื่องวุ่นวายถึงขนาดนี้ แค่ข้าชกเจ้าก็ถือว่าบุญหัวเจ้าแล้ว! ....ให้นรกสาปสิ! ถ้าเจ้าเป็นลูกเป็นหลานของข้าล่ะก็ข้าทุบเจ้าไม่เลี้ยงแน่! "

 

         " โหดไปแล้วเฟ้ย! ในเวลานั้นข้าแต่ต้องการจะช่วยนางเท่านั้น "

 

         " ช่วยนาง? ...ข้าถามจริงๆเถอะ เจ้าจะช่วยนางหรือเจ้าจะช่วยสนองตัณหาตัวเจ้าเองกันแน่! เจ้าไม่รู้เลยจริงๆหรือว่าเจ้าไม่ควรจะถูกเนื้อต้องตัวสตรีที่เจ้าพึ่งจะเห็นหน้าค่าตาเป็นครั้งแรกน่ะ...ต่อให้เป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาๆ ถ้าบิดาของพวกนางรู้เข้าก็คงจะตามมาเอาเลือดหัวเจ้าออกแล้ว! แต่นี่เรากำลังพูดถึงสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชธิดาของพ่ออยู่หัวนะ...ทั้งยังเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวที่ประสูติแต่พระอัครมเหสีอีก...แบบนี้โทษประหาร ๙ ชั่วโคตรยังเบาบางและการุณไปเลยด้วยซ้ำ! ...แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่... "

 

         " ไม่เท่าไหร่?! "  ไกรถึงกับร้องเสียงหลง...ตอนนี้หัวของเขากำลังเสี่ยงหลุดจากบ่ามากที่สุดในชีวิต ท่านผู้เฒ่ายังบอกว่าไม่เท่าไหร่อีกเนี่ยนะ?   

 

         " เออ! "  ท่านผู้เฒ่ากระแทกเสียงหนักๆพลางส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้กับไกรอีกครั้ง  " ...ไอ้เรื่องโทษประหารน่ะ ตัวข้ามีเส้นสายมากพอจะของพระราชทานอภัยโทษทั้งหมดให้แก่เจ้าได้อยู่หรอก...แต่เรื่องที่ข้าหนักใจที่สุดก็คือ...กำไลหินสีที่เจ้า บังเอิญ ทำอัฐที่ตกหาย ซื้อเป็นกำนัลให้พระองค์นี่สิ "

 

         " เอ๋? "

 

         " ยังจะทำหน้าสงสัยอีก!  อัฐจำนวน ๒ บาทนี่เจ้าไม่ใช่คนหาเองเจ้าไม่รู้หรอกว่ามันมีค่ามากมายแค่ไหน...แต่เรื่องราคาค่างวดน่ะช่างมันเถอะ ที่สำคัญที่สุดคือเจ้าคิดอย่างไรกัน ถึงได้ซื้อของกำนัลราคาแพงเช่นนั้นไปมอบให้กับสตรีแปลกหน้าที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อนนางนึงเช่นนี้ฮะ!... "

 

         " ข...ข้าไม่ขอตอบคำถามนี้ได้ไหม? "

 

         " หา? "

 

         " ก...ก็ถ้าขืนตอบไปแล้วคำตอบมันไม่ถูกใจท่าน ท่านก็มีหวังได้ต่อยข้าอีกน่ะสิ "

 

           ท่านผู้เฒ่ามองหน้าไกรด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนที่หมัดข้างที่ไม่ได้ถือดาบไว้ก็ชกพรวดเข้าซ้ำแผลเดิมที่โหนกแก้มไกรอีกครั้งจนเจ้าตัวถึงกับร้องเสียงหลง ก่อนจะเอามือกุมแผลโดนชกป้อยทันที

 

         " ท...ทำบ้าอะไรของท่านฟะ?! คราวนี้ข้ายังไม่ได้ทันพูดอะไรเลยนะเฟ้ย!! "

 

         " ก็ในเมื่อเจ้าโดนต่อยไปแล้ว อย่างนั้นก็บอกมาได้แล้วใช่ไหมว่าเจ้าซื้อกำไลนั่นให้นางเพื่ออะไรใช่ไหม? "

 

         " ตรรกะวิบัติแบบโคตรป่วยอะไรพรรค์นี้ฟะ! เฮ้ยๆๆๆๆ อย่าพึ่่งง้างหมัดๆ ...คือ...ถ...ถ้าให้ตอบจริงๆ ก็ต้องบอกว่า...เพราะนาง... "

 

         " เพราะนาง? "

 

         " ...เพราะนางทำท่าอยากได้อย่างบริสุทธ์ยังไงล่ะ "

 

         " อืม...ข้าขอต่อยเจ้าอีกครั้งได้ไหม? ไกร "  ท่านผู้เฒ่าพูดพร้อมกับบีบมือกร๊อบๆ จนไกรต้องถอยกรูดไปทันที

 

         " ป...แปลว่าข้าไม่ควรซื้อให้งั้นเหรอ?! "

 

         " ...เฮ้อ...ถ้าที่เจ้าพูดเป็นความสัตย์จริงข้าเองก็คงโทษเจ้าไม่ได้ เดาว่าในยุคสมัยที่เจ้าจากมานั้นการซื้อของให้กันคงเป็นเรื่องปกติสินะ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าในยุคสมัยนี้มันหมายความว่าอย่างไร? "

 

         " อ...เอ่อ "

 

         " ...มันแปลว่าเจ้ามีจิตพิศมัย ปฏิพัทธ์รักใคร่นางจนมิอาจห้ามใจได้ ถึงขั้นต้องให้ของแทนใจ...หรือในกรณีที่แย่ที่สุด พระนางอาจจะคิดว่านี่เป็น ของหมั้น เลยก็เป็นได้!!... "  คำเฉลยเรียบๆของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรถึงกับต้องอ้าปากค้าง ก่อนที่เขาจะนึกอะไรบางอย่างได้พร้อมกับรีบแก้ต่างออกมาทันที

 

         " ถ...ถ้าอย่างนั้นข้าก็ผิดแค่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะคิดว่าเราแค่จะมาแจ้งข่าวแล้วก็เดินทางกลับหมู่บ้านเลย และคงจะไม่ได้เจอกับนางอีกแน่ๆ ...และถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่าจริง นางก็ควรจะปฏิเสธของกำนัลจากข้าสิ! ยิ่งโดยเฉพาะนางเป็นถึงราชธิดา...นางก็ควรจะคิดว่า...ว่าข้าเป็นพวกชายเจ้าชู้ที่ควรหลีกห่างให้พ้นด้วยซ้ำก็ได้นี่! "

 

           ท่านผู้เฒ่าหันสายตาเขียวปัดมามองเขาอีกครั้ง ก่อนจะถอหายใจเฮือกและฝืนแสยะยิ้มออกมาช้าๆ

 

         " ใช่แล้ว...เรื่องมันหักมุมตรงที่นางยอมรับ ของกำนัล ของเจ้าด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งนี่สิ! เมื่อรวมกับการพุ่งเข้ามาสวมกอดเจ้าที่ทั้งๆที่ผิดราชมณเฑียรบาลแต่กลับเต็มไปด้วยความบริสุทธ์ใจเมื่อครู่นี้ มันก็แปลได้อย่างเดียว...อยากให้ข้าเฉลยให้ไหมว่ามันแปลว่าอะไร? "

 

         " ม...ไม่อยากเท่าไหร่เลย... "

 

         " ...ข้าทายว่าพระนางคงจะมีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่เจ้าตั้งแต่แรกพบแล้วเช่นกันน่ะสิ "

 

           คำตอบที่ไกรพอจะเดาได้อยู่รางๆแล้วของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรถึงกับหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด....เพราะไม่นึกเลยว่าการปฏิบัติตัวอย่างสุภาพบุรุษที่เขาเคยทำอยู่เป็นประจำในยุคปัจจุบัน เมื่อเอามาปฏิบัติในยุคสมัยอยุธยากลับสามารถสร้างความเข้าใจผิดที่เพี้ยนไปได้ถึงเพียงนี้ แถมยังผ่าไปสร้างความเข้าใจผิดให้กับหญิงสาวที่เขาไม่ควรไปข้องเกี่ยวที่สุดในแผ่นดินนี้ที่สุดอย่างสมเด็จเจ้าฟ้าหญิง...ราชธิดาในพระเจ้าเอกทัศน์ จอมกษัตริย์ผู้ตัดสินเป็นตายทุกชีวิตอีกต่างหากนี่สิ!

 

         " อะไรฟะ?! นี่ขนาดยังไม่เข้าช่วงเบญจเพสเลยแท้ๆนะ ทำไมชีวิตคนบทมันจะซวยมันถึงซวยได้มากมายขนาดนี้ฟะเนี่ย! "

 

         " ฉลาดดีนี่ว่า...โทษความซวย ...ทั้งๆที่ในสายตาของข้า เรื่องทั้งหมดทั้งมวลนี่มันเกิดจากการทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของเจ้าแท้ๆ "

 

         " ร...เรื่องด่ากันเอาไว้ทีหลังเถอะ...พวกเรารีบชิ่งกันดีกว่านะขอรับท่านผู้เฒ่า ก่อนที่เรื่องมันจะบานปลายไปมากกว่านี้...ไหนๆเราก็แจ้งข่าวไปเรียบร้อยแล้วนี่ "

 

         " ข้าว่าคงไม่ทันแล้วล่ะ... "

 

         " หา? "  ไกรร้องอย่างงงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วก็เข้าใจความหมายของสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าพูดทันที เพราะตอนนี้พวกเขาถูกล้อมไว้ด้วยเหล่าทหารราชองครักษ์และเหล่ากองจ่าโขลนนับครึ่งร้อยที่ส่งสายตาถมึงทึงมาที่พวกเขา...หรือให้เฉพาะเจาะจริงๆคือจ้องไกรโดยเฉพาะด้วยสายตาแทบจะกินเลือดกินเนื้อ อันบ่งบอกได้เลยว่า...ข่าวที่พระราชธิดาของพ่ออยู่หัววิ่งเข้ามาสวมกอดเขาคงจะแพร่ไปทั่วราวกับไฟลามทุ่งเรียบร้อยแล้ว

 

           ก่อนที่ไกรจะได้ทันแก้ตัวอะไร หญิงชรากล้ามล่ำบึ้กที่มีศักดิ์เป็นถึงคุณท้าวศรีสัจจา เจ้ากรมจ่าโขลนทั้งมวลก็ออกมายืนตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่พร้อมจะหักคอคนได้ทุกเมื่อ ก่อนจะพูดอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ว่า

 

         " พ่ออยู่หัวมีพระบัญชาให้ท่านสองคน...โดยเฉพาะ ท่านไกร ...ไปเข้าเฝ้า...เป็นพระบัญชาที่ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธเจ้าค่ะ!! "

 

         " ท...ท่านผู้เฒ่า...ช...ช่วบด้วย! "

 

         " สู่สุขคติเถอะนะ ไกร...ข้าจะไม่ลืมเจ้าเลย " 

 

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

 

        ...เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นให้เลือกหนีไปไหนได้แล้ว...ไกรและท่านผู้เฒ่าจำต้องเดินตามคุณท้าวศรีสัจจาและกลุ่มจ่าโขลนไปโดยมีกลุ่มทหารราชองครักษ์ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในความคิดของไกร มันไม่ต่างจากการถูกคุมตัวพร้อมเครื่องตะแลงแกง เพื่อไปสู่ลานประหารแบบไม่มีผิดเพี้ยน...ยังโชคดีที่ท่านผู้เฒ่าที่เห็นท่าทีของไกรก็แตะบ่าเขาเบาๆพร้อมกับกระซิบพูดปลอบใจว่า

 

         " อย่าห่วงไปเลยน่า...ถ้าหากคิดจะฆ่าจะแกงกันจริงๆ ป่านนี้หัวของเจ้าหลุดจากบ่าไปแล้ว "

 

         " คิดบ้างไหมเนี่ยว่าคำปลอบใจของท่านมันไม่ได้ช่วยสถานการณ์ตรงหน้านี่ดีขึ้นเลยน่ะ "  ไกรหันไปบ่นใส่เบาๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก พลางคิดในแง่ดีว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...แถมถึงจะปฏิเสธเพียงใดก็ตามแต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าทั้งหมดทั้งมวลนี่ก็เป็นเพราะการทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังของเขาจริงๆนั่นแหละ

 

           พวกเขาถูกพากลับมาที่หน้าพระอุโบสถที่บัดนี้ถูกดัดแปลงให้เป็นที่ประทับรักษาพระวรกายของพระเจ้าเอกทัศน์ โดยพระองค์กำลังประทับนอนอยู่บนสิวิกากาญจน์ที่ถูกดัดแปลงให้เป็นเหมือนเปลพยาบาล โดยมีพระดอกเดื่อยังคงนั่งเก็บหยูกยาต่างๆของตนเองเข้าล่วมอยู่ข้างๆ และอีกด้านหนึ่งก็ประทับจับจองด้วยเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี ที่ยังคงแสดงพระพักตร์กังวลกับพระวรกายของผู้เป็นพระราชบิดาอยู่ไม่คลาย แต่เมื่อได้เห็นไกรที่กำลังเดินเข้ามา รอยแย้มพระสรวลก็ปรากฏขึ้นเล็กน้อยบนพระพักตร์ของพระนางทันที

 

         " ท่านไกร...ท่านออกญาฯ...ดีจริง พระราชบิดาและพระปิตุลากำลังกังวลพระทัยว่าพวกท่านจะหลบลี้หนีหายไปแล้วเสียอีก "  คำพูดที่เหมือนกับจะไม่มีอะไรของนางกลับทำให้พระดอกเดื่อเบิกตากว้างเล็กน้อย เพราะโดยปกติแล้วการเรียกขานควรจะเรียกออกญาที่อาวุโสกว่าก่อน ไม่ใช่เรียกผู้ติดตามก่อนเช่นนี้...แต่ท่านก็ส่ายหน้าเล็กน้อยโดยไม่คิดจะถามอะไร

 

         " ...พ่ออยู่หัวมีการอันใดหรือพระพุทธเจ้าค่า...ถึงยังได้เรียกหาพวกข้าสองคนเช่นนี้? "  ท่านผู้เฒ่ารีบเข้าเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นทางการและรวดเร็วที่สุด เพราะถ้าขืนช้ากว่านี้ ไกรคงมีหวังได้หัวหลุดจากบ่าจริงๆแน่


           พระเจ้าเอกทัศน์ขยับพระวรกายุกขึ้นนั่งเอกเขนก ก่อนจะใช้พระหัตถ์ขยับหน้ากากอันใหม่ที่นำมาแทนอันเก่าที่เปรอะเปื้อนพระโลหิตของพระองค์เองให้เข้าที่ ก่อนจะหันพระพักตร์ไปรอบๆและมีพระบัญชากับเหล่าทหารราชองครักษ์ที่แวดล้อมอยู่อย่างหนาแน่นว่า


         " เว้นแต่ท่านดอกเดื่อและสิริจันทร...พวกเจ้าทั้งหมด ออกไปให้หมด...ข้ามีการจะเจรจากับออกญาและผู้ติดตามคนกล้านี้ตามลำพัง "

 

           พวกเหล่าทหารราชองครักษ์หันไปมองหน้ากันเอง ก่อนที่พระเพชรพิไชยผู้เป็นเจ้ากรมทหารล้อมวังจะถวายบังคมและกราบทูลขึ้นด้วยนำ้เสียงยำเกรงว่า

 

         " ขอเดชะ...พระอาญามิพ้นเกล้า--- "

 

         " เจ้าเข้าใจคำว่า พระอาญามิพ้นเกล้าหรือเปล่า? เพราะมันหมายความว่าเจ้าข้าสามารถลงโทษทัณฑ์อาญาเจ้าได้ทุกเมื่อ...โดยเฉพาะอยางยิ่ง เมื่อหลังจากความผิดที่ทำให้ข้าและท่านดอกเดื่อผู้เป็นพระอนุชาต้องตกอยู่ในอันตรายถึงขั้นแทบจะสิ้นพระชนม์ทั้งคู่เช่นนี้ ...อย่าให้ข้าต้องเอ่ยซ้ำสอง...ออกพระเพชรพิไชย... "  แม้จะถูกเอ่ยมาด้วยพระสุรเสียงที่เหนื่อยอ่อนและราบเรียบ แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วย ศักดิ์ และ สิทธิ์ สูงสุดที่จอมราชันย์พระองค์หนึ่งจะพึงมีได้  นั่นทำให้พระเพชรพิไชยรีบหมอบกราบลงติดพื้นด้วยความเกรงพระราชอาญา ก่อนจะสั่งให้ทหารในอาณัติของตนทั้งหมดถอยออกไปจนกระทั่งพ้นกำแพงวัดทันที

 

         " พระราชบิดาน่าจะสั่งลงโทษทัณฑ์พวกมันเสียทั้งนายบ่าว...ค่าที่ทำให้พระองค์และพระปิตุลาต้องเสี่ยงราชภัยเยี่ยงนี้ "  เจ้าหญิงสิริจันทรกราบทูลขึ้นเบาๆทันทีที่เหล่าทหารพวกนั้นออกไปหมดสิ้น...แต่พระเจ้าเอกทัศน์กลับพระสรวลออกมาอย่างเบาบาง และใช้พระหัตถ์ที่พันไว้ด้วยผ้าขาวอย่างแน่นหนาลูบเกศาผู้เป็นพระราชธิดาเบาๆ

 

         " พระองค์ควรจะระลึกไว้เสมอว่า...การเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ผู้อยู่เหนือทุกผู้ทุกปวงนั้น...แค่ พระเดช ให้คนยำเกรงน่ะยังไม่พอหรอก...พระองค์ยังต้องมี พระคุณ ให้คนเคารพนับถือบูชาควบคู่ไปด้วย...กษัตริย์น่ะ จะอยู่ได้ก็ด้วยความรัก ความภักดีของขุนนางและประชาชนทั้งปวง...หากพระองค์ต้องประหารขุนนางทุกครั้งที่มีโทษทัณฑ์ ซักวันก็จะไม่มีขุนนางที่คอยค้ำจุนพระองค์อีกต่อไป "

 

           คำสั่งสอนที่เต็มไปด้วยความหลักแหลมที่เอ่ยด้วยพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความอารีย์ของผู้เป็นพระราชบิดา ทำให้องค์หญิงอับจนต่อถ้อยคำจนมิอาจจะเอ่ยคำใดได้ และทำให้ไกรถึงกับต้องสะอึกกับสิ่งที่ยังคงตรงกันข้ามกับพระราชพงศาวดารทุกเล่มอีกครั้ง...

 

           เมื่อครั้งแรกที่ได้อ่านเรื่องราวของกษัตริย์พระองค์นี้...ความย้อนแย้งที่มีในพระราชพงศาวดารก็ทำให้เขาอดนึกสงสัยเล็กๆอยู่แล้วว่า ถ้าหากพระองค์ทรงไร้ซึ่งพระปรีชาสามารถจริง เหตุใดพระองค์ถึงได้บัญชากองทัพที่เต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง ให้ต้านกองทัพอันเกรียงไกรของพระเจ้ามังระที่เหนือกว่าทั้งปริมาณและคุณภาพได้นานถึง ๘ เดือน...แต่เมื่อเขาได้มีโอกาสอย่างที่ผู้อื่นไมมี ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าเอกทัศน์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้มันทำให้เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ...ถ้าด้วยพระปรีชาสามารถและความคิดอ่านที่ลึกซึ้งเช่นนี้...อย่าว่าแต่ ๘ เดือนเลย...ถ้าหากไม่มีไส้ศีกหรือผู้ทรยศ อโยธยาก็คงจะไม่ถึงกาลพินาศแตกดับด้วยซ้ำ!

 

           พระดอกเดื่อหรืออีกนัยหนึ่งคือพระเจ้าอุทุมพรหัวเราะในลำคอเบาๆขณะจ้องมาที่ชายหนุ่มผู้เคยมีศักดิ์เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เจ้าพระยาจักรีฯ ก่อนจะเริ่มต้นเอ่ยขึ้นเบาๆ

 

         " ทีแรกอาตมาเองก็จะทักโยมอยู่แล้ว ว่าเหตุใดรูปโฉมของโยมถึงได้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อ ๒๐ กว่าขวบปีก่อนเลยแม้แต่น้อย...บัดนี้อาตมาได้รู้กระจ่างแล้ว...ว่าอย่าว่าแต่วันเวลา เลย แม้แต่พญามัจจุราชคงไม่อาจจะทำอันตรายใดๆแก่ท่านได้เลยสินะ...ท่านเป็นผู้ที่ถือครอง ความเป็นอมตะ อย่างที่พ่ออยู่หัวในพระบรมโกศ พระราชบิดาของพวกเราว่าไว้จริงๆ "

 

         " ...เสียงลือเสียงเล่าอ้างน่ะขอรับ ...ความเป็นอมตะที่แท้จริงโดยไม่จำเป็นต้องแลกด้วยสิ่งใดเลยน่ะไม่มีอยู่จริงหรอก...ตัวของข้าเอง...ถ้าหากจะให้คำนิยามจริงๆ ก็คงเป็นได้แค่ตัวประหลาดที่ไม่รู้จักความชราและความตาย...ต้องอยู่ชดใช้หนี้กรรมไปตราบสิ้นอสงไขยเท่านั้น "  คำตอบที่ราบเรียบและเต็มไปด้วยนัยยะอันไม่อาจทราบความหมายได้ของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรหันไปมองเล็กน้อย...ก่อนจะเก็บข้อสงสัยของตัวเองไว้อย่างเงียบๆ

 

         " เฮ้อ...โยมก็ยังคงกล่าววาจาที่เต็มไปด้วยเลศนัยและท่าทีที่ไม่อาจจะอ่านออกเช่นเดิม...เอาเถอะ...เรื่องมือสังหาร คุณโยมพอจะทราบแล้วหรือยังว่ามันเป็นใคร หรือผู้ใดส่งมันมากัน? "

 

           ท่านผู้เฒ่าหันมาลอบสบตากับไกรชั่วเสี้ยววินาทีนึง พร้อมกับนึกถึงเครื่องรางโลหะที่ถูกตีขึ้นเป็นรูปสัญลักษณ์ของหมู่บ้านยุคันตวาตของเขา แต่กลับเป็นสีดำแทนที่จะเป็นสีเทา ที่พวกเขาค้นเจอในตัวมือสังหารผู้นั้นขึ้นโดยมิได้นัดหมาย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหันกลับไปพร้อมกับถวายบังคมกราบทูลทันทีโดยไม่ส่อให้เห็นพิรุธใดๆทั้งสิ้นว่า

 

         " โชคร้ายที่มือสังหารผู้นั้นต้องกระสุนปืนปริศนา ชิงสิ้นชีพไปเสียก่อน จึงมิอาจทำการสอบสวนเอาความสัตย์อันใดได้เลยพระพุทธเจ้าข้า "  ท่านผู้เฒ่าเลือกที่จะไม่กราบทูลว่า ถ้าไม่ได้โชคช่วยที่มือสังหารผู้นั้นถูกยิงเด็ดชีพไปเสียก่อน...ทั้งเขาและไกร รวมถึงพระเจ้าเอกทัศน์ องค์หญิงสิริจันทร และพระดอกเดื่อ ก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกฝังอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังจากฤทธิ์ระเบิดแบบ ตายตกไปตามกัน ของมือสังหารผู้นี้ไปแล้ว ...เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องวิตกไปมากกว่านี้  ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์และพระดอกเดื่อเมื่อได้ยินคำตอบก็ได้แต่ลูบพระหนุ(คาง) อย่างครุ่นคิด ในขณะที่เจ้าหญิงสิริจันทรก็มีพระดำรัสขึ้นทันที

 

         " แปลว่าทั้งหมดนี่...สูญเปล่าจับมือใครดมไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ? "

 

         " ก็ไม่เชิงนักหรอกพระพุทธเจ้าข้า... "  ไกรที่นิ่งเงียบอยู่นานก็ได้โอกาสกราบทูลขึ้น ท่ามกลางความประหลาดใจของท่านผู้เฒ่าและจอมกษัตริย์ทั้งสอง ในขณะที่องค์หญิงสิริจันทรก็มีพระดำรัสต่อทันที

 

         " ท่านมีสิ่งใดจะแจ้งแก่พวกเราอย่างนั้นหรือ? ท่านไกร? "

 

         " ท่านไกร? "  คราวนี้พระเจ้าเอกทัศน์เป็นฝ่ายเอียงพระศอและทวนพระดำรัสขึ้นเบาๆอย่างผิดสังเกต  ในขณะที่ไกรรีบกราบทูลต่อจนลิ้นแทบพันกันเพื่อเรียกความสนใจของทุกคนและกลบเกลื่อน ความผิด ของเขาทันที

 

         " ที่ข้าจะกราบทูลก็คือ มือสังหารผู้นี้มิได้เป็นมือสังหารของทัพพม่ารามัญของพระเจ้าอลองพญาแน่พระพุทธเจ้าข้า "

 

         " เหตุใดโยมถึงคิดเช่นนั้นเล่า? โยมไกร "

 

         " ข้าพุทธเจ้ามิได้คิดเองเออเอง แต่อิงตามหลักความจริง...หลักความจริงที่ว่าทัพพระเจ้าอลองพญาเป็นทัพกษัตริย์ ถึงจะเป็นปฐมราชวงศ์ที่เกิดขึ้นใหม่ แต่ก็ยังคงดำรงศักดิ์ในฐานะกษัตริย์...ไม่ต่างจากพระองค์--- "

 

         " ไกร !! "  ท่านผู้เฒ่ารีบปรามด้วยน้ำเสียงเข้มเป็นเชิงตำหนิทันที เพราะเด็กหนุ่มคนนี้กำลังกล่าวหมิ่นพระบรมเดชานุภาพองค์กษัตริย์ที่อยู่เบื้องหน้า แต่ก็ต้องชะงักเมื่อพระเจ้าเอกทัศน์โบกมือช้าๆ พร้อมกับพยักพระพักตร์เป็นเชิงให้ไกรพูดต่อ ด้วยแววตาที่เป็นประกายสนพระทัย ชนิดที่แทบจะลืมสังขารพระวรกายของพระองค์เองไปเสียสิ้น

 

         " ว่าต่อไปเถอะ ไกร "

 

         " พระ...พระอาญามิพ้นเกล้า...คนอย่างพระเจ้าอลองพญาอย่างไรก็มีศักดิ์ศรีในฐานะจอมกษัตริย์ถึงจะกรีฑาทัพเข้ามาหมายจะรุกราย แต่ก็คงจะไม่ยอมกระทำการอย่างหยาบช้าและไร้ซึ่งเกียรติอย่างการส่งมือสังหารมาลอบปลงพระชนม์พระองค์แน่ มันก็แปลได้อย่างเดียว...คือต้องเป็นฝีมือจ้างวานของ...เอ่อ... "

 

         " ...คนใน! "  ท่านผู้เฒ่าพูดต่อด้วยดวงตาที่เบิกโพลงอย่างเข้าใจทุกอย่าง ตามที่ไกรได้นำทางมาหมดสิ้น  ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์และพระดอกเดื่อหรือพระเจ้าอุทุมพรหันไปสบพระเนตรกันราวกับกำลังสื่อสารอะไรบางอย่างโดยที่รู้กันแค่สองพระองค์ ในขณะที่เจ้าหญิงสิริจันทรมีดำรัสขึ้นอีกครั้ง

 

         " แล้วท่านมีความคิดเห็นว่าจะแก้สถานการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้นเช่นนี้ประการใดอย่างนั้นหรือ ท่านไกร? "

 

         ' ...เหมือนโดนแย่งบทเด่น จนกลายเป็นหัวหลักหัวตออย่างไรก็ไม่รู้แฮะกู '  ท่านผู้เฒ่าได้แต่คิดในใจพร้อมกับลอบฝืนยิ้มแห้งๆ ในขณะที่ไกรเองก็เหมือนจะรู้ตัว เพราะเขามีท่าทีรีรอและเหลือบมองมาที่ท่านผู้เฒ่าเป็นระยะๆ เหมือนกับจะให้ท่านผู้เฒ่าเป็ฝ่ายตอบแทน จนเขาต้องหัวเราะและเอ่ยอนุญาตไปเบาๆว่า

 

         " กราบทูลองค์หญิงไปเถอะ เพราะข้าเองก็จนปัญญาเหมือนกัน "  ถึงอย่างไรเสีย ผู้ที่เหมือนกับจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่แล้วอย่างเด็กหนุ่มคนนี้ ก็น่าจะให้คำแนะนำที่ดีกว่าเขาผู้ซึ่งไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลยแน่ๆ ...ในขณะที่ไกรเมื่อได้ยินเช่นนั้นรีบระลึกถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในหน้าของประวัติศาสตร์ ก่อนจะถวายบังคมทูลตอบไปทันที

 

         " ข้า---กระหม่อมเห็นควรให้พระองค์และพ่ออยู่หัวเอกทัศน์...รวมถึงท่านพระดอกเดื่อ เสด็จกลับคืนสู่พระราชฐานชั้นในโดยทันที...ถึงจะยังไม่รู้ว่าผู้ที่คิดทุรยศ พยายามหมายพระชนม์ชีพพ่ออยู่หัวและหลวงพี่ดอกเดื่อจะเป็นใคร แต่ดีร้ายอย่างไรเสียพระราชฐานชั้นในนั่นก็ยังเป็นเหมือนถิ่นของพ่ออยู่หัว...เปรียบเสมือนพยัคฆ์ที่ยั้งอยู่ในคูหา อีกฝ่ายคงจะกระทำการใดได้ไม่ถนัดนัก "

 

         " ประเดี๋ยวก่อนคุณโยม... "  พระดอกเดื่อเอ่ยขัดขึ้นทันที  " หาใช่ข้ามิเห็นดีเห็นงามด้วยกับแผนของโยม อันที่จริงข้าต้องขอชมว่าคำตอบของโยมหลักแหลมและ่าฟังด้วยซ้ำ...แต่เหตุใดคุณโยมถึงเห็นควรให้อาตมากลับเข้าไปในพระราชฐานชั้นในด้วยเล่า? "

 

         ' ก็เพราะในสงครามพระเจ้าอลองพญา ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าอุทุมพรต้องลาสิกขาบถมาช่วยราชการศึกครั้งนี้น่ะสิ '  ไกรคิดในใจ แต่เพราะตอบในสิ่งที่เขาคิดไม่ได้ จึงมีท่าทีอึกอั่กจนท่านผู้เฒ่าต้องรีบเข้ามาพูดช่วยเพื่อกลบพิรุธทันทีว่า

 

         " ก็เพราะหลังจากที่มือสังหารนั่นจัดการ...เอ่อ...สังหารข้าเรียบร้อยแล้ว...พระท่านพอจะจำได้หรือไม่ว่าไอ้มือสังหารนั่นพูดว่าอะไร?...มันพูดว่า เสร็จไป ๑ เหลืออีก ๓ ...นั่นก็แปลว่าพระท่านเองก็ถูกกาหัวไว้ว่าต้องถูกมันสังหารเช่นเดียวกับพ่ออยู่หัวแน่นอน...หากพระท่านยังคงคิดจะจำพรรษาอยู่ ณ ที่วัดประดู่นี่ ก็คงไม่แคล้วถูกมือสังหารคนอื่นจัดการเป็นแน่ "

 

         " อืม...ข้าเห็นด้วยกับคำท่านออกญาฯและไกรนะ...เสียดายนัก...หากร่างกายข้าไม่อยู่ในสภาพทุเรศทุรังเช่นนี้ ข้าคง--- "  ประโยคหลังพระเจ้าเอกทัศน์มีพระราชดำรัสเหมือนกับตรัสกับตนเองพร้มกับพระหัตถ์ที่กำแน่นอย่างขัดพระทัย ก่อนจะก้มลงและทรงพระกาสะ(ไอ)อย่างรุนแรงจนพระวรกายสั่นคลอน  ในขณะที่พระดอกเดื่อผู้ถวายการรักษารีบเข้ามาดูพระอาการทันที

 

         " มหาบพิตรอย่าได้ทรงเคลื่อนไหวพระองค์โดยปัจจุบันทันด่วนนักสิ...ถึงอาตมาจะช่วยถอนพิษให้มหาบพิตรพ้นขีดอันตรายได้ แต่มหาบพิตรก็ยังทรงอ่อนกำลังกว่าปกตอยู่ดี "

 

         " หึๆๆๆ เมื่ออยู่ในการดูแลของหมอชีวกโกมารภัจจ์กลับชาติมาเกิดเช่นท่าน ข้าคงไม่ต้องห่วงอะไรหรอก "  พระเจ้าเอกทัศน์ตรัสเป็นเชิงหยอกล้อพระอนุชาของพระองค์ ก่อนจะค่อยๆเอนพระวรกายกลับลงไปบนแท่นที่เหมือนกับเปลพยาบาลนั้นอีกครั้ง  ปัสสาสะ(ถอนหายใจ)ยาวเหยียด และหันพระองค์กลับมาหาท่านผู้เฒ่าช้าๆ

 

         " ท่านออกญาฯ...ท่านยังจำเหตุการณ์ในยุคสมัยที่ท่านยังคงรับราชการเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ของพระเจ้าท้ายสระ...ในสมัยที่พระบิดาของข้า พ่ออยู่หัวในพระบรมโกศยังคงเป็นวังหน้า และข้ายังคงเป็น กรมขุนอนุรักษ์มนตรี  เจ้าชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์อยู่ได้หรือไม่? "

 

           คำถามที่ทรงถามขึ้นกับท่านผู้เฒ่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้ท่านผู้เฒ่าชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือถวายบังคมพร้อมกับกราบทูลตอบกลับไปเบาๆ

 

         " ข้าพุทธเจ้ายังคงจำได้เสมอ...ไม่มีเหตุการณ์ใดที่ข้าจะลืมเลือนไปเลยแม้แต่ซักวันเวลาเดียว ...พระองค์เป็นเจ้าชายหนุ่มรูปงามและเข้มแข็งหามีผู้ใดเสมอเหมือน... "

 

         " ...ข้าเคยถูกยกย่องจากทุกผู้ทุกคนว่าเป็นเอตทัคคะ(ผู้เป็นหนึ่ง)ในเชิงดาบ เป็นอัจฉริยะภาพในการต่อสู้ที่มิมีผู้ใดเสมอเหมือน... ยิ่งวันที่ข้า ได้ประลองดาบและมีชัยเหนือท่านผู้ซึงไม่มีผู้ใดในราชสำนักเอาชนะได้ ต่อหน้าเหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งปวง...ข้ามีความรู้สึกว่า ข้าจะอายุยืนและเกรียงไกรไปถึงร้อยปี...แต่ตอนนี้ ข้ารู้ดีว่าคงจะมีอายุได้ไม่ถึง ๔๐ ด้วยซ้ำ... "

 

           พระราชดำรัสที่ราบเรียบเหมือนกับทำพระทัยยอมรับอยู่แล้วของกษัตริย์ภายใต้หน้ากากขาว เหมือนกับเป็นมีดที่กรีดลึกเข้าไปในหัวใจ แม้แต่กับบุคคลภายนอกอย่างไกรที่ถึงกับต้องกัดกรามแน่น สีหน้าและแววตาหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด...ไม่ต้องถามถึงพระดอกเดื่อและองค์หญิงสิริจันทรที่ถึงกับเม้มริมฝีปากแน่นและพระอัสสุชลคลอพระเนตรอย่างพยายามอดกลั้นอารมณ์ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ารีบกราบทูลทันที

 

         " พระองค์อย่าทรงกล่าวเช่นนั้น! "  

 

         " หึๆ ข้ารู้กำลังของข้าดี...ท่านออกญาฯ...และข้าก็ยอมรับในโชคชะตาที่ถูกลิขิตมาของข้าแล้ว...ห่วงก็แต่เหล่าประชาชน ที่ต้องมาเดือดร้อนเพราะความอ่อนแอของข้า... "

 

           พระราชดำรัสที่ทรงตรัสออกมาจากพระทัยจริงของพระเจ้าเอกทัศน์ ที่เห็นแก่อาณาประชาราษฏร์ของพระองค์อยู่เสมอทำให้ท่านู้เฒ่ากัดฟันกรอด...เลือดของทหารและขุนนางเก่าแก่ที่ไหลเวียนอยู่ในกายของเขาอย่างเข้มข้นทำให้เขาไม่อาจจะทำใจแข็ง นิ่งเฉยโดยสำคัญว่าธุระไม่ใช่ได้อีกต่อไป...เขายกมือถวายบังคมช้าๆราวกับตัดสินใจเด็ดขาด พร้อมทั้งเอ่ยกราบทูลขึ้นอย่างแน่วแน่ว่า

 

         " พระอาญามิพ้นเกล้า...พ่ออยู่หัวจะทรงคิดเห็นประการใด...หากข้าพุทธเจ้าจะขอสมัคร...กลับเข้ารับราชการอีกครั้งหนึ่ง! "

 

       

 

 

 

........................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา