ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)

9.4

เขียนโดย PingJa

วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.

  152 ตอน
  11 วิจารณ์
  132.14K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

30) ...ตอนที่ ๗...ราชวงศ์ที่ต้องคำสาป...(๓)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

 

 

================================================

 

 

 

 

       ...ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนในพระอุโบสถ เมื่อท่านผู้เฒ่าผู้รั้งตำแหน่งออกญาจักรีฯนอกราชการประกาศนามที่แท้จริงของดาบที่เขาถืออยู่ เสียงฟ้าที่ครางต่ำๆมาตั้งแต่ที่เขาจับดาบก็คำรามลั่นจนทุกคนต้องก้มตัวลงและเอามืออุดหูทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าไม่ยอมรอช้าเสียเวลาอีกต่อไป พริบตานั้นเอง ดาบอาถรรพ์ที่มีนามที่ทุกคนต้องรู้จักอย่าง ฟ้าฟื้น ก็ถูกปักลงพื้นทันที!

 

        " จงเผยตัวตนของเจ้า! "

 

          ทันทีที่ประกาศ สายอสุนีบาตสีขาวก็ขึ้นปรากฎบนใบดาบ และลงสู่พื้น วิ่งพล่านไปทั่วทั้งพระอุโบสถทันที แต่สายฟ้าเหล่านั้นกลับไม่ทำอันตรายใดๆกับพวกเขาและหรือเหล่าโขลนที่คุ้มกันคนที่ไกรได้ยินแว่วๆว่าเป็นเจ้าหญิงเลยราวกับมันแยกแยะมิตรศัตรูออก พริบตาเดียวหลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียง ...อั่ค !!! ...เบาๆ ก่อนที่มือสังหารผู้นั้นจะปรากฎตรงหน้า ห่างจากพระพักต์ของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์เพียงไม่ถึง ๒ ก้าวเท่านั้น!

 

        " ไกร! "

 

          ถึงท่านผู้เฒ่าจะไม่ตะโกนสั่ง สัญชาตญาณของเขาก็สั่งร่างกายให้โต้ตอบไปแล้ว...ชายหนุ่มขยับดาบในมือแน่นพร้อมดวงตาที่ส่องประกายวาววับ...พริบตาเดียวที่อีกฝ่ายปรากฎตัวขึ้นและกำลังถูกตรึงด้วยกระแสไฟฟ้า ดาบของเขาก็วาดพรึ่บทันที!

 

        " อ๊ากกก!!! "

 

          เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินเสียงร้องอันเจ็บปวดที่แสดงถึงการมีความรูสึกอย่างมนุษย์ของมือสังหารนินจาผู้นี้ แต่นั่นก็เกิดขึ้นเมื่อเวลาที่มือข้างที่ถือมีดสั้นอยู่ของเขา ถูกตัดฉับจนขาดกระเด็น โลหิตพุ่งกระจายออกเป็นสายเสียแล้ว!

 

        " หยุดมือ! "

 

          พระสุรเสียงที่เหนื่อยอ่อนทว่าดังก้องของพระเจ้าเอกทัศน์ ทำให้ไกรที่กำลังวาดดาบเตรียมลงมือครั้งสุดท้ายชะงักกึก เปลี่ยนเป็นใช้เท้าถีบยันอีกฝ่ายให้ล้มกลิ้งลงไปแทน...ก่อนที่ทุกคนจะหันกลับมาสบพระเนตรของพ่ออยู่หัวเหมือนกับเป็นเชิงถามเบาๆทันที

 

        " ข้า...ข้าต้องการรู้ว่าใครเป็นคนส่งมันมา "  พระเจ้าเอกทัศน์ยังคงแสดงถึงพระสติที่เยือกเย็นและหลักแหลมขัดต่อทุกๆพงศาวดารอีกครั้ง ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าระบายลมหายใจยาวเหยียด ก่อนจะรีบเก็บดาบลงฝักทันทีด้วยสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าดาบนั่นดูดพลังกายของเขาไปเสียแทบหมดสิ้น ก่อนที่จะหันมาเตะมือข้างที่ถูกตัดขาดกระเด็นออกไป เมื่อมือนั้นผ่านเส้นที่ควรจะเป็นปริมณฑลมนต์ดำแล้วไม่เกิดไฟลุก สีหน้าของเขาก็ปรากฎความโล่งใจชั่วแวบนึง เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าทุกคนไม่ได้ติดอยู่ในคุกที่มองไม่เห็นนี่อีกแล้ว 

 

        " อาณาเขตถูกทำลายแล้ว "

 

          ทันทีที่ได้ยินคำประกาศของออกญาจักรีฯนอกราชการ องค์หญิงสิริจันทรก็รีบพุ่งเข้าไปหาผู้เป็นพระราชบิดาของเธอทันที

 

        " พ่อ...พระราชบิดาต้องการหมอโดยเร็วที่สุด...พระ...พระวรกายของพระองค์ "  นางตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงสั่นเครือเมื่อเห็นพระอาการของพระเจ้าเอกทัศน์ที่หนักหนากว่าที่เธอคิดไว้มากมายนัก  แต่พระดอกเดื่อที่นั่งอยู่ด้านข้างพูดขึ้นเบาๆโดยไม่มีอาการของความตื่นตระหนกใดๆอยู่เลย

 

        " บพิตร(สรรพนามที่พระภิกษุใช้เรียกขานพระราชวงศ์)สิริจันทร...อาตมาภาพขอวานใช้พระองค์เสียหน่อยเถอะนะ... "

 

        " พระปิตุลา? "

 

        " ไปที่หลังพระประธาน ที่นั่นพระองค์จะพบกับล่วมยาส่วนตัวของอาตมาภาพ พระองค์ช่วยไปหยิบมาให้ทีเถอะ...พระองค์ไม่จำเป็นต้องกังวลพระทัยใดๆทั้งสิ้น... "

 

        " ต...แต่ว่า "

 

        " ...ถึงจะฟังแล้วไร้ความถ่อมตนไปบ้าง แต่อย่าห่วงเลย... "  รอยยิ้มอย่างอ่อนโยนของพระภิกษุอันเป็นพระปิตุลาผู้ลาออกจากฐานันดรศักดิ์ของพระองค์ทำให้พระองค์ต้องเบิกพระเนตรกว้างอย่างงงๆ

 

        " ...หมอที่เก่งที่สุดในแผ่นดินสุวรรณภูมิอยู่ตรงหน้าพระองค์แล้ว "

 

 

 

       ...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่าและไกรที่บัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้ามือสังหารนินจาผู้นั้น...ไกรหันไปสบตาท่านผู้เฒ่าพร้อมกับเครื่องหมายคำถามแวบนึง ก่อนจะจะตัดสินใจหยุดข้อสงสัยของตัวเองที่มีต่อชายหนุ่มผู้มากปริศนาตรงหน้าไว้ก่อน และหันกลับไปหาโจทก์ตรงหน้าต่อ...และเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่กำลังใช้มืออีกด้านกดเข้าที่ใต้รักแร้ด้านที่มือถูกตัดขาด  เขาก็ถึงกับต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ...

 

        " มันกำลังทำอะไรของมัน? "

 

        " กดเส้นเลือดใหญ่ที่อยู่ตรงรักแร้เพื่อห้ามเลือดน่ะครับ---ขอรับ "  ไกรตอบข้อสงสัยของท่านผู้เฒ่าเบาๆ  " ...ชายผู้นี้...หรือไม่ก็ที่ๆเขาถูกฝึกมา รู้เรื่องเกี่ยวกับกายวิภาคเป็นอย่างดีเลยทีเดียว "

 

        " ...วิทยาการทางการแพทย์ของชาวตะวันตกอย่างนั้นรึ? ...แต่เจ้านี่น่าจะใช้วิชาของชาวญี่ปุ่นที่กำลังดำเนินนโยบายโดดเดี่ยว ทั้งยังต่อต้านชาวตะวันตกอยู่ไม่ใช่หรือ? "

 

        " ถามข้าแล้วข้าจะมีคำตอบให้ไหมล่ะเนี่ย?  แล้วนั่นอีก...ข้าว่านั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาอำพรางกายได้...ใช่ไหม? "  ไกรชี้ไปที่เศษใบไม้ที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นใบพลู ที่ทัดอยู่ที่หูอีกฝ่ายอยู่ ...เมื่อท่านผู้เฒ่ามองตาม เขาก็เลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มบางๆอย่างถูกใจความช่างสังเกตของอีกฝ่ายทันที

 

        " ตาไวดีมาก...ไกร...การใช้ใบพลูทัดหู(๑) นี่เป็นมนต์พรางกายแบบฉบับของชาวพื้นเพสุวรรณภูมิแน่...แต่นั่นยิ่งทำให้เรื่องยุ่งไปใหญ่ ...เท่ากับว่ามันสามารถใช้วิชาของทั้งสามสายที่ต่างกันที่สุดได้... "

 

        " หืม...มือสังหารจากที่ๆเป็นแหล่งรวมของวิทยาการความรู้จากทั่วทุกมุมโลก...ฮ่าๆๆๆ ที่พูดมานี่คุ้นๆไหมเนี่ย ท่านผู้เฒ่า "  ไกรอดเอ่ยออกมาอย่างยั่วเย้าไม่ได้  ทำให้ท่านผู้เฒ่าเหลือบหันมามองก่อนจะถอนหายใจเฮือก

 

        " เอาไว้ว่ากันทีหลัง...เอาล่ะ...มือสังหาร บอกเรามาว่าเจ้าทำงานให้กับผู้ใด...ผู้ใดส่งเจ้ามา...แล้วข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างรวดเร็วและไม่เจ็บปวด...ไปมากกว่านี้ "  คำพูดที่ใช้น้ำเสียงราบเรียบทว่าเต็มไปด้วยแรงกดดันราวกับจะกดให้อีกฝ่ายขาดใจตายได้ของท่านผู้เฒ่า ทำให้มือสังหารผู้นั้นคลานถอยหลังกลับไป แววตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างชัดเจน

 

        " ^$&%$$*)&)&%&$ !! "  

 

        " คราวนี้ภาษาจีนอย่างนั้นรึ? ...เจ้ายิ่งทำให้ข้าประหลาดใจมากขึ้นทุกที... "  ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นเรียบๆ ก่อนจะใช้มือกุมด้ามดาบฟ้าฟื้น...สุดยอดดาบในตำนานไว้ และหันเหลือบมาสั่งไกรเรียบๆ

 

        " ไกร...เตรียมพร้อมไว้...มันพึ่งจะพูดว่า ภารกิจไม่สำเร็จ  และ  เริ่มการถอนตัว ช่วยด้วย!  อาจจะมีใครมาช่วยเหลือมัน เราจะจับมาเค้นให้หมด...เข้าใจไหม? "

 

        " น้อมรับคำสั่ง... "  ไกรรับคำเบาๆ พร้อมกับถอยหลังไปคุมเชิงและเปลือยดาบออกมาทันที แต่คราวนี้เขาเลือกที่จะใช้ดาบมือเดียวแทน ม่านตาเบิกกว้างอย่างเตรียมพร้อมเต็มที่

 

 

       ...แต่จนแล้วจนรอดทีมช่วยเหลือและถอนตัวตามที่อีกฝ่ายว่าก็ไม่เห็นจะโผล่ออกมาซะที พวกเขายืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเกือบ ๓ นาที ก่อนที่ในที่สุด ไกรก็อดกระแอมเบาๆขึ้นไม่ได้

 

        " ...ท่านผู้เฒ่า ข้าไม่ได้สงสัยอะไรหรอกนะ แต่ท่านคิดบ้างไหมว่ามันแค่พูดเพื่อบลั๊ฟ---หมายถึงหลอกให้เราสับสนเล่นน่ะ "  

 

          ท่านผู้เฒ่าเหือบหันมามองชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังแกล้งหยอกเขาเล่น และท่าทีลนลานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไปของมือสังหารที่กลายสภาพเป็นเดชไอ้ด้วนนี่ก็บ่งบอกว่ามันไม่ได้โกหกหรือแกล้งล้อเล่นแน่ แต่มีอะไรบางอย่างทำให้แผนของมันไม่เป็นไปตามแผนต่างหาก

 

        " เอาล่ะ...เรามาพูดเรื่องที่ค้างไว้กันต่อดีไหม? "  ท่านผู้เฒ่าพูดขึ้นเรียบๆอีกครั้ง แต่คราวนี้มือของเขากลับเพิ่มมีดเล่มเล็กๆที่มีรูปร่างน่าหวาดเสียวเล่มนึงมาด้วย ...เป็นเครื่องหมายสากลในทุกยุคทุกสมัยว่า ...ถ้าไม่พูด...ก็เตรียมตัวเจ็บเจียนตายได้เลย...

 

        " ก...แก! "

 

        " ท่านผู้เฒ่า! อย่าพึ่ง! "

 

          ไกรที่ยืนอยู่วงนอกรีบร้องขึ้น เพราะเขาเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าท่านผู้เฒ่าทำพลาดไปบางอย่าง...นั่นคือการไล่ต้อนอีกฝ่ายจนกระทั่งจนตรอก...และหมาจนตรอก...ทำได้ทุกอย่างเสมอ!...

 

          มือสังหารผู้นี้ตวาดก้องพร้อมกับปล่อยมือออกจากการห้ามเลือดที่รักแร้ ทำให้เลือดสีแดงฉานไหลกระฉูดออกมาจากบาดแผลทันที แต่ดวงตาที่เหมือนกับสัตว์ร้ายของอีกฝ่ายเหมือนกับบ่งบอกว่ามันไม่สนใจบาดแผลอีกต่อไป

 

 

        " ถ้าจะตายก็มาตายด้วยกันหมดนี่แหละ !! "

 

 

          มือสังหารผู้นั้นกระชากเสื้อนินจาสีดำสนิทของตัวเองออก เผยให้เห็นร่างที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นเต็มไปทั่วทั้งตัว...แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือร่างเล็กๆทั้งร่างนี้ถูกทาเต็มไปด้วยผงสีดำสนิทที่ส่งกลิ่นฉุนคล้ายกับดินปืนหรือดินประสิวอย่างดีที่สุด และเสียง ตุ้บ! หนักๆของเสื้อที่ถูกทิ้งลงพื้นบ่งบอกให้ทราบว่าในเสื้อนั้นบรรจุเต็มไปด้วยดินดำในปริมาณที่มากพอจะถล่มพระอุโบสถหลังนี้ให้เป็นเศษซากได้ในพริบตา    ในขณะที่ไกรยังคงตกตะลึงอยู่ ท่านผู้เฒ่าที่ก็ถึงกับหน้าถอดสีทันที!

 

        " ท่าน--- "

 

        " อย่า! "  หัวหน้าหมู่บ้านยุคันตวาตตวาดลั่นทันทีก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดว่า ท่านผู้เฒ่า เสียอีก...ดวงตาสีเข้มของเขาสอดส่ายสายตาไปทั่วทั้งพระอุโบสถอย่างประเมินสถานการณ์ในชั่วพริบตา

 

       ...ไม่ไหว ! ...ในชั่วแว้บแรก ในหัวของเขากลับมีแต่คำที่สิ้นหวังคำนี้...พระอุโบสถที่สร้างมาตั้งแต่ต้นกรุงอโยธยาไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทนต่อแรงระเบิดของดินดำปริมาณระดับที่สามารถจุดปืนใหญ่ได้ ๒-๓ กระบอกแบบนี้ได้...ถ้าหากเกิดประกายไฟขึ้นแม้แต่เพียงนิดเดียว แรงระเบิดจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในพระอุโบสถนี้ทันที...แม้แต่เขาที่มีอำนาจวิเศษบางอย่างคุ้มหัวอยู่ บวกกับมีดาบวิเศษอย่างดาบฟ้าฟื้นคอยปกป้องก็คงจะไม่แคล้วถูกแรงระเบิดที่อยู่แทบจะประชิดหน้าแบบนี้ฉีกกระชากร่างจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกฝังอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังนี้อยู่ดี!...  

 

       ...แม้ว่าท่านผู้เฒ่าจะสามารถประเมินสถานการณ์ทั้งหมดได้ในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่สมองของเขาก็ยังสั่งร่างกายช้าเกินไปอยู่ดี...เสี้ยววินาทีที่เขาเริ่มขยับตัว ตะบันไฟที่อยู่ในมือ(ข้างที่ยังไม่ด้วน)ของมือสังหารผู้นั้นก็เริ่มขยับเพื่อจุดประกายไฟขึ้นมาแล้ว!...

 

          ชั่วเสี้ยววินาทีที่ท่านผู้เฒ่ารู้ตัวว่าสายเกินไปแล้วที่เขาจะทำอะไรก็ตาม  เขาหันกลับมามองที่ไกรที่เป็นผู้เดียวที่อยู่ผิดยุคผิดสมัยและเหมือนกับเป็นผู้ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด แต่ในเวลาเช่นนี้ แม้แต่คำขอโทษ...เขาก็ไม่อาจจะพูดได้ทัน

 

 

          เฟี้ยววววววววววววววววว!!!!!

 

 

          พริบตาก่อนที่ลูกตะบันไฟจะดันเข้าสู่กระบอกจนเกิดสะเก็ดไฟเพียงเศษเสี้ยววินาที เกิดเสียงหวีดแหลมเล็กคล้ายกับกระสุนปืนที่เสียดสีผ่านอากาศอย่างรุนแรง เสียงนั่นทำให้มือสังหารที่เตรียมจะระเบิดตัวเองชะงักกึก ก่อนที่ดวงตาที่เบิกกว้างของมันจะกลายเป็นเหลือกโพลงแทบถลนออกมาทันที

 

 

          พรวด!

 

 

        " เฮ้ย!! "  ท่านผู้เฒ่าที่ถึงเมื่อครู่นี้ยังคงยืนตัวชาดิกด้วยความตกตะลึงอยู่ถึงกับต้องร้องลั่นออกมาทันที เพราะมีกระสุนปืนทีพุ่งเข้ามาจากหน้าต่างที่เพียงแค่เปิดแง้มอยู่บางๆ ก่อนจะพุ่งเข้าเจาะตัดกระดูกสันหลังและทะลุออกหน้าอกของอีกฝ่าย ตัดระบบประสาทสั่งการส่วนกลางและดับชีวิตของมือสังหารผู้นี้ฉับพลันโดยที่เขาไม่อาจทำได้แม้แต่กระพริบตาด้วยซ้ำ!

      

          ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ายังคงตกตะลึง ไกรใช้เวลาชั่วเสี้ยววินาทีในการตัดสินใจพุ่งเข้ารวบตัว...หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ ศพ ของมือสังหารผู้นั้นไว้ ่กอนจะใช้มืออีกด้านหนึ่งปัดตะบันไฟในมือของอีกฝ่ายทิ้งทันทีชนิดที่ถ้าในยามปกติเขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้รึเปล่าด้วยซ้ำ  ก่อนที่จะเป่าลมหายใจออกจากปากฟู่อย่างแรง

 

        " ร...รอดแล้ว "

 

        " ...รอดแล้ว "  ท่านผู้เฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะเข่าอ่อนจนต้องทรุดลงนั่งลงกับพื้นทันที

 

        " ทานโทษนะ ท่านผู้เฒ่า...ก็ไม่ได้อยากจะสงสัยท่านนะ แต่ตะกี๊เหมือนกับข้าได้เห็นแววตาเหมือนกับจะสั่งเสียของท่านเลย...บอกทีว่าเมื่อครู่ท่านมีแผนเพื่อให้พวกเรารอดตายอยู่แล้ว "

 

        " อ...เอ่อ... "

 

        " เฮ้ยๆๆๆๆ แปลว่าไอ้สายตาตะกี๊เป็นของจริง แล้วพวกเราทั้งหมดนอกจากท่านเกือบจะตายกันจริงๆน่ะสิ!! "  ไกรโวยลั่นทันทีที่เห็นสีหน้าและท่าทีอึกอักของอีกฝ่าย ในขณะที่ท่านผู้เฒ่ากระแอมเบาๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองพระดอกเดื่อและองค์หญิงที่กำลังคุกเข่าถวายการรักษาพระเจ้าเอกทัศน์โดยที่คงจะยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้ว พวกเขาทั้งหมดเกือบจะถูกฝังไว้ใต้พระอารามนี้ไปแล้ว

 

        " ห...ให้ตายสิ...ทั้งๆที่พร่ำสอนตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์แท้ๆว่าให้ระวังพระองค์ "

 

          ระหว่างที่ท่านผู้เฒ่ากำลังบ่นอยู่ ไกรก็ลุกขึ้นและเดินเข้าไปที่ศพของมือสังหารผู้นั้น ก่อนจะครางออกมาเบาๆอย่างสยดสยองกับบาดแผลที่ปลิดชีวิตอีกฝ่าย เพราะแผลกระสุนปืนคาบศิลานั่นมันพุ่งเข้าจากด้านหลัง ตัดกระดูกสันหลังได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง ก่อนที่กระสุนจะหมุนคว้างและแตกออก คว้านหัวใจ ปอด และอวัยวะภายในจนแหลกกระจุยแทบไม่มีชิ้นดี ชนิดที่กระสุนปืนคาบศิลาธรรมดาๆในยุคสมัยนี้ไม่มีทางทำได้แน่ๆ ...ก่อนที่ไกรจะมองไปทางที่วิถีกระสุนเข้ามาพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจอีกครั้ง เพราะทางเข้านั่นเป็นเพียงหน้าต่างพระอุโบสถที่ถูกแง้มไว้กว้างเพียงไม่ถึงคืบเท่านั้น

 

        ' เป็นการยิงที่เฉียบขาดอะไรอย่างนี้เนี่ย? ...ต่อให้เป็นปืนไรเฟิลติดกล้องขยายอย่างดีที่สุดในยุคปัจจุบันที่เขาเคยดูในอินเตอร์เน็ตยังไม่แน่ว่าจะยิงผ่านช่องเล็กๆแบบนี้มาได้ด้วยซ้ำ! '  ไกรคิดในใจก่อนจะหันกลับไปถามท่านผู้เฒ่าที่เดินตามมาสมทบเบาๆ

 

        " ท่านพอจะทราบไหมว่าเจ้าของกระสุนผู้ช่วยชีวิตเราทั้งคู่...ไม่สิ...เจ้าของกระสุนผู้ช่วยอโยธยาทั้งราชอาณาจักรนี้เป็นของใครกัน? "

 

          ท่านผู้เฒ่าก้มลงมองบาดแผลเพียงชั่วครู่เดียว ก่อนที่ท่านจะหลับตาลงและถอนหายใจเฮือกทันที

 

        " ...รู้สิ...รู้ดีเลยล่ะ...มีเพียงคนเดียวในอโยธยานี้...ไม่สิ เพียงคนเดียวในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้เลยล่ะที่สามารถปลิดชีพคนจากระยะที่ไกลเกินกว่าสำนึกใดๆจะหยั่งถึงได้...เจ้าเองก็น่าจะรู้จักนางดีเลยด้วยซ้ำนะ...เพราะเจ้าเป็นคนที่มอบ ความเงียบ ซึ่งเป็นสิ่งที่กลบจุดอ่อนสุดท้ายของปืนนางให้นางเองกับมือ "

 

        " ความเงียบ?...นาง?...อย่าบอกนะว่า?  ...ศกุนตลา?! "

 

 

 

 

 

.............................................

 

 

 

 

 

      ...ไกลออกไปเกือบ ๒๐ เส้น(ประมาณ ๘๐๐ เมตร) ...

 

        " ฟู่... "  อนาสตาเซียพ่นลมหายใจยาวออกมาราวกับพึ่งได้ผ่อนคลายประสาทที่ตึงเครียดของตนลง ดวงตาสีฟ้าจรัสที่มองผ่านกล้องส่องทางไกลทองเหลืองอย่างดีที่สุดวิทยาการของชาวตะวันตกทำให้เธอได้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างได้ แม้ว่าจะไม่ถึงกับชัดเจนเท่าไหร่นักก็ตาม

 

        " ฝีมือของเจ้ายังคงเชื่อถือได้เสมอ...แม้ในสถานการณ์ที่ปุบปับและเร่งด่วนเช่นนี้...และข้าต้องขอขอบใจเจ้าจริงๆ ศกุนตลา...เจ้าพึ่งจะช่วยชีวิตท่านพ่อของข้าไว้ ชนิดอย่างฉิวเฉียดที่สุดทีเดียว "

 

          ศกุนตลาไม่มีปฏิกริยาใดๆกับคำชมเชยและคำขอบคุณของเพื่อนสาวผู้สูงศักดิ์กว่าเลย...หลังจากที่เห็นกับตาว่ากระสุนของเธอสัมฤทธิ์ผลแล้ว เธอก็ทิ้ง ศรพลายวาต อันเป็นศาสตราประจำกายลงอย่างหมดแรงจนกระทั่ง กล้องเก็บเสียง ที่ติดอยู่ที่ปลายกระบอกหลุดออกและแตกเป็นชิ้นๆ พังลงคาตาทันที  ในขณะที่สิงห์ที่รอท่าอยู่ก่อนแล้วรีบพุ่งเข้าไปเพื่อรับร่างที่ไม่อาจจะยืนติดได้ทันทีก่อนที่ร่างนั้นจะลงกระทบกับพื้น

 

        " เป็นอะไรไหม? ศกุนตลา " 

 

        " น...หน้า...กาก "  นั่นคือสิ่งแรกที่หญิงสาวเค้นคำพูดครางออกมาได้อย่างยากลำบาก ในขณะที่สิงห์ไม่ได้มีท่าทีแปลกใจกับคำๆนี้เลย...เขารีบหยิบหน้ากากรูปหน้ายักษ์แสยะเขี้ยวที่เคยปิดบังครึ่งหน้าด้านขวาของศกุนตลา สวมกลับเข้าที่เดิมอย่างที่มันควรจะเป็น ตามคำร้องขอของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและมองไปรอบๆอีกครั้ง

 

        " ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าไอ้พวกนี้เป็นกองกำลังเสริมที่มีเผื่อไว้ช่วยไอ้เวรนั่นจริงๆสินะ? ...อ๊ะ! เฮ้ย! มายา...อย่าได้กินเนื้อนั่นเป็นเด็ดขาดเชียวนะ ประเดี๋ยวท้องร่วงขึ้นมาจะหาว่าข้าไม่เตือนเชียว "

 

          นอกจากต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นที่ช่วยพรางกายพวกเขาได้เป็นอย่างดีแล้ว ที่นี่ยังคงเต็มไปด้วยศพของชายฉกรรจ์ในชุดนินจาสีดำเช่นเดียวกับมือสังหารในวัดประดู่นั่นอย่างไม่มีผิดเพี้ยนอีกนับ ๑๐ ร่าง...ที่สภาพศพเละเทะจนแทบจะแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร  โดยหลังจากสิ้นเสียงดุของสิงห์...เสือโคร่งสมิงตัวเท่าลูกม้านามว่ามายาก็รีบคายชิ้นส่วนที่น่าจะเป็นท่อนแขนของใครซักคนออกมาจากปากของเธอ พร้อมกับครางต่ำๆออกมาทันที

 

        " เออๆ ข้ารู้ว่ามันยากที่จะหักใจไม่ให้ทำตามสัญชาตญาณของเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าอยากให้ทุกคนยอมรับเจ้าเยี่ยงผู้มีอารยะ เจ้าก็ต้องทำตัวอย่างผู้มีอารยะ...ซึ่งผู้มีอารยะก็ไม่กินเนื้อมนุษย์ด้วย "

 

        " ผู้มีอารยะก็ไม่ฆ่าใครด้วยวิธีการที่ชวนขยอกของเก่าเช่นนี้เหมือนกันล่ะน่า "  อนาสตาเซียที่ดวงตายังคงจ้องมองผ่านกล้องส่องทางไกลอดเอ่ยขัดเบาๆเมื่อเห็นท่าทีปั้นหน้าสั่งสอนเสือสมิงของอีกฝ่ายไม่ได้ จนกระทั่งสิงห์ทำปากส่งเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจ ก่อนจะหันไปพูดกับอีกฝ่ายพร้อมยื่นมือไปหาทันที

 

        " เอ้า! ถึงข้าจะเป็นผู้ใช้สัตว์สมิงเช่นเดียวกับศกุนตลา แต่ข้าก็ไม่ได้มี ดวงตา นั่นเช่นนางนะ เอากล้องของข้าคืนมาได้แล้วให้ข้าได้เห็นบ้างสิ "

 

        " ...เจ้ามีหน้าที่คุ้มครอง...ถ้าหากเอาตามาส่องกล้องแล้วเจ้าจะคุ้มครองข้ากับศกุนตลาที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงแล้วได้อย่างไรกันล่ะ? "

 

        " ไม่ยุติธรรมเลย...ทั้งๆที่กล้องนั่นก็เป็นของข้าแท้ๆ ทั้งยังเป็นกล้องที่ดีที่สุดที่ข้าใช้อัฐก้อนใหญ่ซื้อมาเองโดยที่ไม่ได้ปล้นชิงมาเชียวนะ! "

 

        " รับรองว่าข้าไม่ทำให้บุบสลายแน่ ฉะนั้น วางใจได้เลย "

 

        " พูดตามตรงนะ พูดเช่นนี้ทีไร ข้าไม่เห็นได้ตามที่เจ้าพูดซักทีเลย! "

 

 

 

 

 

 

................................................

 

 

 

 

 

 

       ...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่าและไกร...

 

        " ---ให้พระเจ้าสาปสิ! พวกนั้นไม่เข้าใจคำว่า ไม่ต้องตามมา เลยรึอย่างไรกันนะ! อุตส่าห์ย้ำนักย้ำหนาขนาดนั้นแล้วแท้ๆ! "  คำบ่นที่บ่นเป็นหมีกินผึ้งมาตั้งแต่ที่ท่านผู้เฒ่ารู้ว่าเป็นนี่ฝีมือของสุดยอดมือสังหารในอาณัติของเขาเองทำให้ไกรได้แต่ขมวดคิ้วบางๆ นึกสงสัยอยู่ว่าอีกฝ่ายรู้หรือไม่ว่า ถ้าหากศกุนตลา(และน่าจะรวมคนอื่นด้วย)ไม่ยอมขัดคำสั่งท่านผู้เฒ่าและแอบติดตามมาแบบนี้ พวกเขาทั้งหมดในตอนนี้จะตกอยู่ในสภาพไหนกัน...แต่ระหว่างที่เขาค้นไปที่กระเป๋าลับของมือสังหารผู้นี้ บางสิ่งที่อยู่ในกระเป๋านั่นก็ต้องทำให้ขมวดคิ้ว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือชัดๆ

 

        " ท่านผู้เฒ่า...ท่านต้องมาดูนี่... " 

 

        " หืม? อะไร? "  ท่านผู้เฒ่าก้มหน้าลงมาดูช้าๆ แต่สิ่งที่อยู่ในมือของไกรทำให้เขาต้องเบิกตากว้างราวกับกำลังโดนผีหลอกไม่มีผิด!

 

       ...มันคือตราสัญลักษณ์ของชุมนุมมือสังหาร...เป็นตราโลหะที่มีลักษณะรูปร่างคล้ายกับตราประจำหมู่บ้านยุคันตวาตไม่มีผิดเพี้ยน...เพียงแต่ตรานั้นเป็นสีดำสนิทตลอดทั้งตราเท่านั้น!!...

 

        " ...ท่านไกร "

 

          เสียงของหญิงสาวที่เขาจำได้ว่าเป็นของสิริจันทรเอ่ยขึ้นเบาๆที่ด้านหลังของพวกเขา ทำเอาสองหนุ่มถึงกับสะดุ้งโหยงข้นพร้อมกัน ก่อนที่ไกรจะแอบโยนตรานั่นให้กับท่านผู้เฒ่าพร้อมกับหันหลังกลับไปหาอีกฝ่ายทันที

 

        " สิริจันทร? "  ไกรเรียกนามอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะถูกกระชากบ่าอย่างแรงจนแทบล้มโดยท่านผู้เฒ่าทันควัน   

 

        " สมเด็จเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี! "

 

        " อ...อะไรนะ? เดี๋ยวก่อน! นี่ท่านกำลังจะบอกว่าเธอเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเข้าเอกทัศน์อย่างนั่นเหรอ?! "  ไกรร้องออกมาทันที แต่ก่อนที่เขาหรือท่านผู้เฒ่าจะได้ทันว่าอะไรต่อไป  โดยที่ไม่มีใครคาดคิด หญิงสาวผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ก็เดินเข้ามาและสวมกอดไกรไว้ทันที!

 

        " ขอบพระคุณท่านจริงๆนะ...หากไม่ได้ท่าน ทั้งพระราชบิดาและพระปิตุลาของข้าก็คงจะสิ้นพระชนม์ไปแล้วเป็นแน่...ท่านทำตามที่ท่านได้ให้คำสัตย์ไว้จริงๆ ว่าจะช่วยข้าเสมอ...ขอบพระคุณท่านจริงๆ "  พระเนตรที่หลับพริ้มและพระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ เมื่อรวมกับพระวรกายที่ส่งกลิ่นหอมหวลทำเอาไกรถึงกับยืนตัวแข็งเป็นหิน ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวเมื่อไหล่ของเขาถูกกระชากอย่างแรงโดยท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง

 

        " ไกร! เรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรก ของรายการสนทนาที่เราจะต้องคุยกัน!! "

 

 

 

 

 

............................................

 

 

 

 

 

      ...ไกลออกไป ณ จุดที่อนาสตาเซียและพรรคพวกซุ่มดูเหตุการณ์อยู่...

 

 

          แกร๊ก !  กร๊อบบบ !!!

 

 

        " เฮ้ย! "  สิงห์ถึงกับร้องลั่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะกล้องส่องทางไกลชั้นดีที่เขาอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบใช้อัฐซื้อมาโดยสุจริต บัดนี้บิดเบี้ยวและถูกหักเป็น ๒ ท่อนด้วยน้ำมือของเพื่อนผู้สูงศักดิ์กว่าแบบต่อหน้าต่อตา  แต่อนาสตาเซียผู้เป็นคนพังกล้องทั้งๆที่สัญญาไว้แล้วแท้ๆว่าจะใช้อย่างถนอมๆแทบจะไม่ฟังคำประท้วงของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ...เธอหันไปหาศกุนตลาที่ยังคงนอนพักอยู่ ก่อนจะถามขึ้นเรียบๆทันที

 

        " ศกุนตลา...อีกกี่มื้อกี่เพลาเจ้าถึงจะสามารถเดินเหินได้ตามปกติ? "

 

          ฝ่ายที่ถูกถามลืมตาพร้อมกับผงกหัวขึ้นมามองอย่างงงๆ ก่อนจะตอบขึ้เบาๆว่า

 

        " ถ...ถ้าจะให้แค่เดินเหินได้...แค่ชั่วยามเดียวก็น่าจะพอแล้วล่ะ "

 

        " ให้แค่ครึ่งชั่วยาม ส่วนเจ้า...สิงห์รีบกำจัดศพแล้วก็เก็บของรอท่าไว้เสีย...อีกครึ่งชั่วยามเราจะไปสมทบกับท่านพ่อของข้ากัน!! "

 

 

 

 

 

 

..........................................................

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา