ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
29) ตอนที่ ๘...นัยแห่งศรีรามเทพนคร...(๓)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" ...ท่านไกร " ออกพระเพชรพิไชย...จอมทหารเฒ่าเอ่ยเรียกไกรเหมือนเป็นการเตือนอีกครั้งเหมือนกับจะเร่งให้เขารีบไปเข้าเฝ้าตามพระบัญชากลายๆ ทำให้ไกรได้แต่หลับตาลงและถอนหายใจเฮือก ...เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะหลบลี้หนีไปไหนได้อยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าเบาๆให้กับอีกฝายเหมือนกับบอกว่าให้อีกฝ่ายนำไปได้เลย
" ไกร... " แต่ก่อนที่เขาจะเดินตามออกไป ท่านผู้เฒ่าก็จับไหล่เขาไว้เสียก่อน
" ขอรับ? "
" ข้าไม่ได้ล้อเล่นเรื่องเกี่ยวกับพระพี่นางฯ...ขอให้เจ้าระวังคำพูดคำจาให้จงหนัก...พระนางไม่ได้พระทัยดี หรือมีพระกรุณาเยือกเย็นอยู่เป็นพื้นเหมือนกับพ่ออยู่หัว ที่จะยอมให้เจ้าทำเรื่องเสียมารยาทแล้วปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ... " คำเตือนที่ไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิง ที่มาพร้อมกับสีหน้าที่ซีเรียสจริงจังของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรถึงกับต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง
' อะไรกันฟะ?...ไอ้บรรยากาศที่ดูเหมือนกำลังถูกเรียกเข้าห้องปกครองแบบนี้ ' เขาได้แต่คิดในใจพร้อมกับยิ้มแหยๆ ก่อนจะถามกลับไปเบาๆทันที
" แล้วนี่ใจคอจะไม่ไปด้วยกันเลยหรือขอรับ? "
และอีกฝ่ายก็แยกเขี้ยววับพร้อมกับตอบกลับมาโดยทันทีอย่่างไม่มีเยื่อใยเช่นกันว่า
" เรื่องอะไรข้าจะต้องไปเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับเจ้าด้วยล่ะ? คนที่ได้รับราชโองการมันเฉพาะเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้าซักหน่อย "
" ท...ทิ้งกันเห็นๆเลยไม่ใช่รึไงเนี่ย?! "
" เฮ้อ...มันจะเป็นผลดีกับเจ้ามากกว่าถ้าเจ้าไปเฝ้าตามลำพัง เชื่อข้าเถอะน่า " ท่านผู้เฒ่าขยายความการตัดสินใจของเขาเรียบๆ พร้อมกับทำสีหน้าลำบากใจจนไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างผิดสังเกต...อดถามขึ้นเบาๆไม่ได้
" โจทก์เก่า---ข้าหมายถึงท่านเคยไปมีเรื่องบาดหมางกับสมเด็จเจ้าฟ้าท่านนี้อย่างนั้นหรือ? "
" จะว่าใชก็ใช่ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่... "
" ช่วยพูดอะไรให้มันเข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยได้ไหมขอรับท่าน? "
" ...เอาเป็นว่าพระนางทรงกล่าวโทษข้าว่า...เป็นความผิดของข้าที่ทำให้ราชสำนัก ตกอยู่ในภาวะระส่ำระสายที่สุดเช่นนี้น่ะสิ !! "
...เพียงชั่วครู่เดียว พระเพชรพิไชยก็เดินนำไกรมาถึงกระบวนเสด็จที่อยู่ห่างออกมาไม่ไกลนัก...ที่นอกจากจะมีสิวิกากาญจน์ (เสลี่ยงทองที่มีม่านกั้น) อันงดงามเพิ่มขึ้นอีก ๑ คัน นอกจากสิวิกาประจำพระองค์ของพระเจ้าเอกทัศน์แล้ว...ความเข้มงวดของเหล่าทหารล้อมวังและเหล่าจ่าโขลนที่ทำการอารักขากระบวนเสด็จนี้ก็ดูเหมือนจะเพื่มขึ้นนับ ๒-๓ เท่าตัว...แถมเท่าที่ไกรสังเกต สีหน้าของแต่ละคนก็แห้งแล้งและซีดจนแทบจะไม่เหลือสีเลือดกันเลยทีเดียว...ทั้งๆที่พึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษ รอดพ้นจากทัณฑ์ตัดหัว ๗ ชั่วโคตรกันทั้งหมดแท้ๆ...
' ทั้งๆที่เมื่อไม่นานมานี้ก็ยังดีๆกันอยู่เลยแท้ๆนี่หว่า? ' ด้วยความสงสัย ไกรจึงอดหันไปถามเจ้ากรมทหารล้อมวังเฒ่าตรงหน้าไม่ได้...ในขณะที่เมื่อได้ฟังคำถาม หัวหน้าทหารล้อมวังเฒ่าก็ถึงกับหน้าซีดเผือดราวกับโดนผีหลอกทันที
" ...ก...ก็ หลังจากที่สมเด็จเจ้าฟ้าท่านเสด็จมาถึง และได้ทรงทราบเรื่องทั้งหมด...พระองค์ท่านก็ทรงเรียกผู้ที่ควรรับผิดชอบเรื่องนี้มาทั้งหมดทั้งนายไพร่ ก่อนจะตรัสบริภาษเสียไม่มีชิ้นดี...ขนาดสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพรออกหน้ามาพูดช่วยว่า มือสังหารนั่นแฝงตัวอยู่ในอาราม จนใจที่พวกข้าจะถวายการอารักขาได้ ก็ยังโดนหางเลขไปด้วยอีกพระองค์...นี่ถ้าหากพ่ออยู่หัวไม่ได้ออกพระโอษฐ์พระราชทานอภัยโทษด้วยพระองค์แล้วล่ะก็ พวกข้ามีหวังได้ถูกฝังกันอยู่ที่นี่เสียทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วแน่ๆ "
...คำตอบของทหารเฒ่าเบื้องหน้าทำเอาไกรถึงกับชะงักเท้ากึก...นึกอยากจะกลับหลังหันเสียมันให้รู้แล้วรู้รอด ...ยิ่งโดยเฉพาะกับเขาที่ถึงแม้จะมีความดีความชอบอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีชนักด้ามใหญ่ที่ชื่อว่า องค์หญิงสิริจันทร ติดอยู่เต็มกลางหลัง...ด้วยอารมณ์ของคนที่มีความผิดติดตัว มันทำให้เขาอดคิดไปต่างๆนานาไม่ได้...และไอ้ความคิดที่ว่านี่ ๙ ใน ๑๐ ก็เป็นในทางร้ายเสียทั้งสิ้น...
" ท่านไกร? " เสียงของพระพรพิไชยปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ความคิด ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม...ในขณะที่อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือกเล็กน้อย ก่อนจะผายมือออกเหมือนกับเชื้อเชิญไปที่สิวิกากาญจน์ลำใหม่ที่เพิมเข้ามาในกองกระบวนเสด็จช้าๆ
" จากนี้ไปจะเป็นสิทธิเฉพาะผู้ที่ได้รับโองการให้เข้าเฝ้าเท่านั้น...ซึ่งแม้แต่ข้าที่เป็นหัวหน้าองครักษ์ทหารล้อมวังก็ไม่อาจจะละเมิดได้...เชิญท่านไกร "
' ถ้าพูดออกมาเลยว่า ส่งแค่นี้นะ จะเข้าใจกันง่ายกว่าไหมเนี่ย? ' ไกรได้แต่คิดในใจ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างนึกขึ้นได้ พร้อมกับเอ่ยถามออกพระอาวุโสตรงหน้าเบาๆว่า
" ...ท่านออกพระฯ ...เรื่องที่ท่านผู้---ท่านออกญาฯพูด ท่านพอจะทราบเรื่องราวไหมขอรับ? "
จางวางหัวหน้าทหารราชองครักษ์เฒ่าเลิกคิ้วที่เริ่มขาวโพลนของเขาขึ้นอย่างงุนงงกับคำถามของอีกฝ่าย ก่อนจะเอามือลูบคางและเอ่ยตอบคำถามอย่างช้าๆว่า
" ...อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้รู้ชัดดั่งตาเห็นนักหรอกนะ เพราะข้าเองก็ไม่ได้เข้าในราชสำนักฝ่ายในบ่อยๆ...แต่เหตุการณ์ทั้งหมด...น่าจะมีเหตุการลงทัณฑ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร กรมพระราชวังบวรมหาเสนาพิทักษ์ จนเป็นเหตุให้พระองค์ท่านถึงกับสวรรคตเป็นปฐมน่ะขอรับ... "
" เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร?...คุ้นๆชื่อแฮะ... " ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลืมตาโพลงอย่างนึกออกในที่สุด " เจ้าฟ้ากุ้ง?!(๑) ...ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ กาพย์เห่เรือ น่ะเหรอ?! "
พระเพชรพิไชยเลิกคิ้วเล็กน้อยกับความรอบรู้ที่ออกจะเกิน ฐานะพรานป่าฝึกหัด ของอีกฝ่าย ก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ
" ขอรับ...ถึงเวลานั้นท่านออกญาฯจะทูลลาออกจากราชการแล้ว แต่ท่านก็ยังมีอิทธิพลมากพอจนแม้แต่พ่ออยู่หัวบรมโกศยังไม่ทรงกล้าใช้พระบัญชาเด็ดขาดกับท่าน...ท่านออกญาฯได้ขอพระราชทานอภัยโทษ ช่วยผู้คนจากทัณฑ์ประหารชีวิตไว้นับไม่ถ้วน...แต่--- "
" แต่ท่านออกญาฯกลับมิได้ออกปากขอพระราชทานอภัยโทษให้กับเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร...อย่างนั้นหรือขอรับ? "
" ขอรับ...ถึงจะเป็นแค่โทษเฆี่ยนโบย มิได้เป็นโทษประหารชีวิตโดยตรง แต่ก็เป็นเหตุให้พระองค์ซึ่งเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลวังหน้า(พระมหาอุปราช) และเป็นพระราชโอรสองค์เดียวในสมเด็จพระพันวสาใหญ่ ตรอมพระทัยจนถึงกับเสด็จสวรรคตในเวลาต่อมา...ทำให้ราชสมบัติตกสู่พระเจ้าอุทุมพร และพ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาในปัจจุบัน... "
" แต่ว่านั่นก็ทำให้พระอนุชาของพระพี่นางขึ้นเป็นกษัตริย์ถึง ๒ พระองค์เลยนี่...ถึงจะฟังดูไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าพระองค์ก็ไม่น่าจะถือโทษโกรถท่านออกญาเลยนี่ขอรับ "
" ...ใช่ว่าพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์จะอยากได้ในราชสมบัตินะขอรับ...ท่านไกร " จอมทหารเฒ่าพูดทิ้งท้ายพร้อมกับยิ้มอย่างผู้ที่ผ่านโลก...ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆมามากต่อมาก ก่อนที่จะผายมือเชิญเขาให้รีบไปเข้าเฝ้าอีกครั้งเหมือนเป็นการจบบทสนทนา และกระตุ้นให้ไกรเร่งไปเข้าเฝ้า เพราะเลยเวลาอันควรมามากแล้ว...ด้วยท่าทีนี้ ถึงไกรจะยังคงมีเรื่องที่อยากจะถามต่อ ก็ต้องจนใจเก็บไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทไปมากกว่านี้
...ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกอย่างเตรียมใจ ก่อนจะก้มลงสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองและจัดเสื้อแสงให้ดูสุภาพเรียบร้อยอีกครั้ง...และหลังจากทำใจอยู่เกือบนาที...ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจก้าวตรงไปที่สิวิกากาญจน์ลำนั้น...
" ...จะหมู่รึจ่า ก็ตัดสินกันคราวนี้แหละ... "
.................................................
...ห่างออกไปเพียงไม่ไกลนัก...ณ ข้างตลาดใหญ่ ที่บัดนี้เต็มไปด้วยเหล่าชาวบ้านที่ต่างพากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันเกี่ยวกับเหตุการณ์คอขาดบาดตายที่พึ่งเกิดขึ้น จนพ่อค้าแม่ค้าที่ตั้งแผงอยู่เต็มตลาดแทบไม่เป็นอันต้องทำมาหากินกัน...อนาสตาเซียที่บัดนี้ใช้ผ้าสีทึบๆม้วนคลุมเปิดบังอำพรางโฉมหน้าไว้ ใช้ดวงตาสีฟ้าจรัสของเธอ เพ่งมองไปที่กลุ่มกระบวนเสด็จที่อยู่ไกลออกไปตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะต้องถอนหายใจเฮือกออกมา...
' ไม่ไหว...นี่เป็นจุดที่ใกล้ที่สุดที่พวกเราจะเข้าใกล้ได้ โดยไม่เป็นที่สะดุดตาหรือโดนจับได้แล้ว ' เธอยอมรับในใจเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้กับหญิงสาวทรงโตที่ยืนอยู่ข้างๆเธอเบาๆ เป็นสัญญาณให้ถอยกลับได้...ในขณะที่หญิงสาวผู้นี้ที่ถ้าสังเกตดีๆจะมีดวงตาเหลือบสีเหลืองอ่อนที่ไร้ประกาย และมีอุณาโลมสีแดงเลือดประดับหน้าผากอยู่ เอาผ้าที่มีลักษณะเดียวกับของอนาสตาเซียขึ้นบังแสงแดดไว้พร้อมกับถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างแรงและพูดขึ้นเบาๆว่า
" ...ท่านอนาสตาเซีย...ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เวลาเหมาะที่จะพูดเรื่องนี้...แต่ช่วยตอบคำถามข้าให้กระจ่างทีเถอะ ว่าเหตุใดถึงเป็นข้า ที่ต้องมาที่นี่กับท่าน...แทนที่จะเป็นนายท่านสิงห์หรือนายหญิงศกุนตลาน่ะเจ้าคะ?...ท่านก็รู้นี่ว่าข้าเกลียดการอยู่ในที่ๆมีผู้คนเยอะๆเช่นนี้ "
" พูดอะไรของเจ้า มายา...เจ้าก็เห็นอยู่นี่ว่าศกุนตลาทำท่าจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่อย่างนั้น...แถมหน้ากากที่ปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของนางก็สะดุดตาเกินกว่าจะแฝงตัวเข้ามาเช่นนี้ได้...ส่วนสิงห์ นายท่านสุดที่รักของเจ้าก็ดันมาทำเรื่องที่อโยธยาไว้เสียจนเละแทบไม่เหลือชิ้นดี...แม้แต่พวกทหารเลวก็คงจะจำหน้าและประกาศจับของเขาได้ขึ้นใจแล้วแน่ๆ ขืนมาเดินในตลาดนี่ก็รังแต่จะสร้างความวุ่นวายโดยไม่จำเป็นเปล่าๆ...แล้วอีกอย่าง เจ้าในตอนนี้ก็อยู่ในรูปโฉมของมนุษย์ จะกลัวอะไรกับการอยู่ท่ามกลางพวกเดียวกันเช่นนี้ "
" ท่านเข้าใจผิดแล้ว ท่านอนาสตาเซีย...ถึงจะมีอักขระอุณาโลม ชีพมนุษา แต่ข้าก็ยังคงเป็นสมิง...ลองนึกสภาพที่ท่านต้องเดินอยู่ท่ามกลางอาหารอันโอชารสนับไม่ถ้วน แต่ท่านไม่สามารถกินมันได้ดูสิ...ท่านจะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน "
อนาสตาเซียหันไปมองผู้คนรอบๆ ก่อนจะทำหน้าผอืดผะอมกับคำพูดของอีกฝ่ายทันที
" ข้าว่าฟังอย่างไรมันก็ฟังดูน่าสยดสยองมากกว่าน่าสงสารนะ...เฮ้อ...ที่ข้าจะพูดก็คือข้ามากับเจ้ามันดูกลมกลืนที่สุดแล้วน่ะ "
" กลมกลืน? พูดอย่างกับว่าชาวฝรั่งแขนลายอย่างท่านไม่เป็นจุดเด่นเลยอย่างนั้นแหละเจ้าค่ะ "
" ถึงอโยธยาจะมีนโยบายปิดกั้นชาวตะวันตกในด้านการฑูต แต่ก็มิได้ปิดกั้นไปถึงการค้าขาย ทำให้มีพ่อค้าวาณิชย์ชาววิลาศ(อังกฤษ) และวิลันดา(ฮอลันดา หรือฮอลแลนด์) ชักสำเภาเข้ามาค้าขายอยู่เนืองๆ ลูกสาวนายสำเภาวิลันดากับนางทาสี(ทาสผู้หญิง) อย่างข้ากับเจ้าไม่เป็นที่สะดุดตาใครๆนักหรอก " คำตอบของอีกฝ่ายแม้ว่าจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่ก็ยังทำให้เสือสมิงในร่างมนุษย์อย่างมายาถอนหายใจเฮือกอย่างไม่ค่อยศรัทธานักอยู่ดี
" หาใช่ว่านี่เป็นแค่การเอาคืนเรื่องในคืนนั้นหรอกนะเจ้าคะ... " คำขัดที่อดพูดออกมาไม่ได้ของเธอทำให้อนาสตาเซียหัวเราะออกมาเบาๆ แถมยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธอีกต่างหาก เพียงแค่หันหลังกลับและเอ่ยเหมือนกับสั่งเบาๆว่า
" เอ้า...ไปกันเถอะ อย่างไรเสียเราก็รู้แน่แล้วว่าท่านผู้เฒ่าพ่อของข้า คงจะจับพลัดจับผลู ต้องตามกระบวนเสด็จเข้าเมืองหลวงแน่ๆ...เราเร่งไปเจอกับพวกสิงห์กันเถอะ แล้วค่อยหารือกันอีกที--- "
" หารือ?...นี่อย่าบอกนะว่าเจ้าจะทำการอุกอาจและสิ้นคิด ถึงขนาดตามข้าเข้าเมืองหลวงดัวยน่ะ ...เจ้าจะกล้ามากเกินงามเสียแล้วนะ อนาสตาเซีย! " คำพูดเรียบๆแฝงแววตำหนิอย่างชัดเจนที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยที่ด้านหลังทำเอาทั้งสองสาวถึงกับสะดุ้งสุดตัว
" ท่านพ่อ?! /ท่านผู้เฒ่า!! "
................................................
...เลวร้ายกว่าที่คิดไว้บานตะเกียงเลยนะเนี่ย!...
...นี่เป็นคำจำกัดแรกและคำจำกัดความเดียวที่เขาคิดออกมาได้ แถมยังคิดได้ตั้งแต่นาทีแรกที่เขาหมอบกราบสมเด็จพระพี่นางตรงแล้วอีกต่างหาก...
...สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้าพินทวดี เป็นสตรีวัยกลางคนที่งดงามคนนึ่ง ที่อายุ คะเนจากหน้าตาน่าจะประมาณ ๔๐ ต้นๆ ...พระเนตรสีน้ำตาลเข้มคมปลาบและหางพระขนงที่ชี้ขึ้นของพระองค์ เมื่อรวมกับพระโอษฐ์บางเฉียบที่ไร้ซึ่งรอยแย้มพระสรวลเลย ทำให้พระองค์ดูเป็นคนดุไปโดยปริยาย ...พระองค์ทรงประทับนั่งอยู่บนสิวิกาอย่างเรียบร้อยและดู สูงส่ง ทั้งพระจริยวัตรและการวางตัว ...เมื่อรวมเข้าด้วยกันกับที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ทำให้มองเพียงปราดแรกก็รู้ได้เลยว่าสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นี้ รับมือได้ยากยิ่งกว่าเจ้าหญิงสิริจันทร หรือแม้กระทั่งพระเจ้าเอกทัศน์และพระเจ้าอุทุมพรรวมกันเสียอีก...
" นี่น่ะหรือ...เด็กหนุ่มที่พระองค์บอกว่าได้ช่วยชีวิตพระองค์และพ่ออยู่หัวไว้...จากมือสังหารนั่น " พระสุรเสียงที่เรียบเฉยของพระพี่นางพินทวดี ทรงไว้ซึ่งอำนาจบางอย่าง ที่แม้แต่เจ้าฟ้าอุทุมพรที่ลาสิกขาบทจากสมณะศักดิ์ กลับสู่พระอิสริยยศเดิม ที่ประทับอยู่บนเสลี่ยงที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งยังต้องหลบพระเนตร พร้อมกับตรัสตอบราวกับครางออกมาเบาๆว่า
" เป็นเช่นนั้น พระพี่นาง "
" ทั้งยังเป็นผู้ติดตามใกล้ชิดของเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์นอกราชการ ที่ประจวบเหมาะมาเยี่ยมเยียนพระองค์ในวันนี้พอดี...ใช่หรือไม่? " ประโยคต่อมาที่เจ้าฟ้าหญิงผู้มีศักดิ์เป็นถึงเชษฐภัคนีของพระมหากษัตริย์ถึง ๒ พระองค์เอ่ยออกมาเรียบๆ แต่ก็ยังจับกระแสของความโกรธเคืองและความไม่พอพระทัยได้อย่างจางๆ ...แถมยังเป็นคำถามที่ทำให้เจ้าฟ้าอุทุมพรถึงกับเบือนพระพักตร์หลบสายพระเนตรที่คมปลาบนั้นทันที
" ก็แปลว่าใช่... " เมื่อเห็นอากัปกริยาท่าทางของผู้เป็นพระอนุชา เจ้าฟ้าพินทวดีก็เดาได้ทันที...ก่อนที่พระองค์จะหันสายพระเนตรกลับมามองที่ไกรที่ยังคงหมอบอยู่ พร้อมกับยกพัดจีนอย่างดีในพระหัตถ์ขึ้นมากางปิดพระโอษฐ์ไว้ ซึ่งเป็นการขับให้พระเนตรที่เต็มไปด้วยแววสำรวจและจับผิดที่จ้องมายังไกรนั้น เด่นชัดยิ่งขึ้นไปอีก...จนขนาดไกรเองยังถึงกับแทบจะหลุดปากครางออกมาเบาๆอย่างทนแรงกดดันไม่ไหวอยู่รอมร่อแล้ว
" พระพี่นาง...ท่านกำลังทำให้เขากลัวนะ... " เจ้าฟ้าอุทุมพรที่ทอดพระเนตรอยู่ อดสงสารไกรที่กำลังถูกพระพี่นางของพระองค์กดดันจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว จึงนึกอดสงสารจนต้องออกพระโอษฐ์ช่วยไม่ได้ ...๙ึ่งก็ได้ผลชะงัด เพราะถึงจะช่วยไกรไว้ได้ แต่ก็ทำให้พระเนตรคมปลาบนั้นเบนเป้ามามองที่พระองค์แทนซะอย่างนั้น
" ก็เพราะพระองค์ทรงไว้พระทัยคนแปลกหน้าง่ายๆเช่นนี้อย่างไรล่ะ ถึงได้ถูกลอบปลงพระชนม์ จนเกือบจะสวรรคตพร้อมกันกับพ่ออยู่หัวเยี่ยงนี้! " พระพี่นางตรัสกระแทกเสียงอย่างตำหนิพร้อมกับสับพัดจีนใส่ฝ่าพระหัตถ์อีกข้างจนเกิดเสียงดังลั่นทันที จนเจ้าฟ้าอุทุมพรถึงกับต้องครางออกมาเบาๆ
" จนได้...กูเอ๋ย... "
หลังจากส่งสายพระเนตรไปมองพระอนุชาอย่างคาดโทษเสร็จสิ้น พระองค์ก็หันกลับมาที่ไกร พร้อมกับกางพัดจีนขึ้นบังพระโอษฐ์อีกครั้ง
" สำหรับความดีความชอบที่ปูนบำเหน็จใดก็ไม่อาจเพียงพอของเจ้านั้น...ข้าต้องขอขอบน้ำใจเจ้านัก...แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น หากมองข้ามเรื่องนี้ไป มันก็ช่วยไม่ได้ที่ข้าจะเห็นชัดว่าเจ้ากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง ไม่ให้พ่ออยู่หัวและเจ้าฟ้าอุทุมพร ...ข้าพูดถูกหรือไม่? "
' ถูกอย่างกับตาเห็นเลยขอรับ...เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน!! ...ไอ้บรรยากาศที่เหมือนกับเป็นเด็กที่พึ่งทำผิดมา แล้วต้องมาอยู่ในห้องปกครอง ตรงหน้าครูไหวใจร้ายแบบวินเทจย้อนยุคนี่มันอะไรฟะเนี่ย?!! ' ไกรได้แต่คิดในใจอย่างลนลาน แถมยังใจไม่นิ่งพอที่จะทูลตอบกลบเกลื่อนไปอีกต่างหาก ทำให้เขาได้แต่หมอบกราบนิ่งเงียบไว้ โดยหวังว่าอีกฝ่ายจะไม่ติดใจเอาความอะไรในเรื่องนี้ และเริ่มประโยคใหม่แทน
แต่สมเด็จเจ้าฟ้าพินทวดีกลับมีพระทัยที่เยือกเย็นจนเกินคาด เพราะพระองค์เองก็นิ่งเงียบไม่ยอมดำรัสอะไรต่อ ใช้สายพระเนตรที่ราวกับเครื่องจับเท็จนั้นจ้องมองกดดันไปเรื่อยๆ เหมือนกับจะรอคำตอบของไกร...หรือไม่ก็รอให้ไกรถูกกดดันให้ขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตาไปเลย อย่างใดอย่างหนึ่ง...และดูท่าแล้วพระองค์ต้องได้ซักอย่าง โดยไม่สนว่าเป็นอย่างไหนด้วย!
เพล้ง !!
ก่อนที่เสียงจอกชาในพระหัตถ์ของเจ้าฟ้าอุทุมพรทีบัดนี้ตกลงไปแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆบนพื้นดิน จะทำลายม่านแรงกดดันบางๆที่พระองค์สร้างขึ้นเสียจนไม่มีชิ้นดีในพริบตา ทำให้ผู้เป็นพระเชศฐภคินีถึงกับต้องปัสสาสะ(ถอนหายใจ) เฮือกยาวเหยียด เพราะจะให้สร้างแรงกดดันนั้นใหม่อีกครั้งก็คงจะเปล่าประโยชน์เสียแล้ว ...พระองค์จึงได้แต่หันพระเนตรคมปลาบมาที่ผู้เป็นพระอนุชาเหมือนกับจะต่อว่าช้าๆ พร้อมกับตรัสเบาๆว่า
" จำไม่ได้ว่าพระองค์เป็นพวกมือไม้อ่อน ชนิดที่ถึงกับประคองถ้วยชาถ้วยเล็กๆไว้ไม่อยู่เช่นนี้ ...สมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร... "
" อุปัทวเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ...พระพี่นาง " เจ้าฟ้าอุทุมพรทูลตอบกลับไปพร้อมกับแย้มพระสรวลเล็กน้อยอย่างไม่รู้สึกผิดใดๆทั้งสิ้น ทำให้ผู้เป็นเชษฐภคินีได้แต่ปัสสาสะเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะหันมาที่เป้าหมายเดิมของพระะองค์อย่างไกรต่อ ด้วยแววพระเนตรที่อ่อนลงเล็กน้อย
" เอาเถอะ...ถ้าเจ้าลำบากใจที่จะตอบ ข้าก็ไม่คิดจะคาดคั้นอะไร " พระองค์ตรัสขึ้นเหมือนกับจะยอมผ่อนคันเบ็ด ปล่อยให้ปลาน้อยนามว่าไกรหลุดไป ทั้งๆที่จะฉุดให้ปากฉีกอีกก็ยังทำได้ ...ก่อนทีพระองค์จะลุกยืนขึ้น ในขณะที่เจ้าฟ้าอุทุมพรเมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกก็ทำท่าจะลุกตามทันที แต่เจ้าฟ้าพินทวดียกพระหัตถ์ขึ้นห้ามไว้เสียก่อน
" พระพี่นาง? "
" ข้าเพียงแค่จะไปดูพระอาการของพ่ออยู่หัวอีกครั้งเท่านั้น...พระองค์คุยธุระของพระองค์ไปเถอะ...พระองค์ทรงโชคดียิ่งนัก ที่มีเจ้าอยู่ข้างๆในเวลาเช่นนี้...มิเช่นนั้นต่อให้เป็นเหล่าหมอหลวงที่อยู่ในราชสำนักก็คงจะช่วยไว้ไม่ได้แน่ๆ "
" ...แค่ดวงพระชะตาของพ่ออยู่หัวยังแข็งอยู่เท่านั้นแหละ พระพี่นาง...หาใช่เพราะข้าไม่ "
" พระองค์ก็ยังคงเป็นพระองค์สินะ...ถ่อมพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง " พระพี่นางตรัสพร้อมกับแย้มพระสรวลบางๆ ทำให้ได้รู้ว่าพระองค์ก็เป็นอิสตรีที่งดงามเมื่อประดับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน ก่อนที่พระนางจะหันพระพักตร์กลับมาหาไกรอีกครั้ง
"...ครานี้ก็ถือซะว่าข้าเรียกเจ้ามาขอบใจก็แล้วกัน...และถ้าท่านออกญามีชื่อนั่นไม่ผิดคำพูด ที่ว่าจะกลับเข้ารับราชการอีกครั้ง...ข้าเชื่อว่าข้าคงจะได้พบกับเจ้าบ่อยครั้งขึ้นในวังหลวง...เจ้า? "
" ก...ไกร พระพุทธเจ้าข้า "
" อืม...ไกร...ก่อนจะไป ข้าขอถามเจ้าซักหน่อยเถอะนะ เจ้าไปรู้จักมักจี่กับคนประหลาดๆอย่างออกญานั่นได้อย่างไรกัน "
ไกรใช้เวลาคิดชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะทูลตอบกลับไปเบาๆว่า
" ท่าน...ท่านเป็นญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่ข้าเหลืออยู่น่ะพระพุทธเจ้าข้า...คราวที่บิดามารดาข้าเสีย ก็ได้ท่านนี่แหละ ที่คอยช่วยเหลือไว้ "
ถึงจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะคิดได้ แต่เขาก็ยังเห็นแววไม่พอพระทัยวูบหนึ่งในสายพระเนตรของสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงผู้เป็นเชษฐภคินีของพระเจ้าอยู่หัว ก่อนที่พระองค์จะหลับพระเนตรลงพร้อมกับดำรัสเบาๆราวกับรำพึงอีกครั้ง
" ดีเสียจริงนะ...ช่วยเหลือผู้คนร้อยพ่อพันแม่ไปทั่วทั้งร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ...แต่กลับไม่มี ปัญญา ช่วยคนที่ควรจะช่วยไว้ที่สุด... "
" พระพี่นาง... "
" ข้าไปล่ะ " ก่อนที่เจ้าฟ้าอุทุมพรจะได้ทันพูดอะไร เจ้าฟ้าหญิงพินทวดีก็ดำรัสตัดบทเรียบๆ ก่อนจะพระราชดำเนินพร้อมกับเหล่านางกำนัลออกไป...ปล่อยให้ไกรและเจ้าฟ้าอุทุมพรอยู่ด้วยกันตามลำพัง...ซึ่งทันทีที่พระพี่นางไปไกลพอจนไม่อาจได้ยินบทสนทนาใดๆระหงว่างพวกเขาสองคนได้ เจ้าฟ้าอุทุมพรก็ทรงหลับพระเนตรและปัสสาสะยาว ก่อนจะแย้มพระสรวลบางๆ
" ...นั่นแหละ...พี่สาวของข้า "
ไกรได้แต่ปาดเหงื่อที่ซึมชื้นเต็มหน้าผากพร้อมกับยิ้มแหยๆ ก่อนจะทำใจดีสู้เสือ เอ่ยถามไปเบาๆว่า
" ขอข้าพุทธเจ้าเสียมารยาทถามได้หรือไม่พระพุทธเจ้าข้า...เพราะเหตุใดสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงพินทวดี เชษฐภคินีของพระองค์ถึงได้ดูจะจงเกลียดจงชังท่านผู้---ท่านออกญานักล่ะพระพุทธเจ้าข้า "
" หืม? ดูออกด้วยอย่างนั้นหรือ? " เจ้าฟ้าอุทุมพรตรัสพร้อมกับเลิกพระขนงบางๆ ก่อนที่พระองค์จะรินชาใส่จอกใบใหม่และยื่นส่งให้ไกร ๑ จอก พร้อมกับรินให้พระองค์เองอีก ๑ จอก...เจ้าฟ้าผู้ทรงได้รับพระสมัญญานามในปัจจุบันว่า ขุนหลวงหาวัด ยกจอกพระสุธารสชาขึ้นเสวยช้าๆ ก่อนจะตรัสขึ้นเรียบๆกับไกรอีกครั้ง
" นั่งในท่าที่เจ้าสบายเถอะ ไกร...ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก แล้วข้าจะเล่าให้ฟังเอง... "
" เล่า? "
" ใช่แล้ว เล่าให้ฟัง...ถึงเรื่องราวทุกๆอย่าง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เริ่มตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของสมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร...เหตุที่พ่ออยู่หัวบรมโกศตัดสินใจเลือกข้าเป็นวังหน้าแทนพระเชษฐา...เหตุที่ข้าถวายราชสมบัติของข้าให้แก่พระเจ้าเอกทัศน์...และเหตุที่ข้าต้องมาบวชอยู่ที่นี่ "
" ล...เล่าให้ฟังอย่างนั้นหรือพระพุทธเจ้าข้า?! " ไกรทวนคำอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ...ทำให้อีกฝ่ายถึงกับแย้มพระสรวลบางๆอีกครั้ง
" ใช่...เล่าทุกอย่างโดยไม่ปิดบังใดๆทั้งสิ้น...แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าเหตุใดพระพี่นางถึงได้จงเกลียดจงชังท่านออกญาและท่านผู้เฒ่าได้ถึงขนาดนี้ ไกรเอ๊ย! "
....................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ