ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) ...ตอนที่ ๑ ...มือสังหาร...(๒)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
===============================================
...หลังจากที่จัดการกับทหารยามโชคร้าย 2 นายที่หน้าห้องขังเสร็จสิ้น เสือลายพาดกลอนตัวมหึมาตัวนั้นก็ก้มๆ เงยๆ คุ้ยหาอะไรบางอย่างในตัวของทหารนายหนึ่ง...เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ติดมากับเขี้ยวโง้งขนาดใหญ่กว่านิ้วชี้ซี่นึงของมันก็คือพวงกุญแจเหล็กขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะโยนพวงกุญแจนั้นลอดผ่านซี่กรงเข้ามาให้พวกเขาราวกับรู้ภาษา...
" ส...สิงห์... " ไกรอดที่จะร้องเตือนอีกครั้งไม่ได้ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องขังของเขาเดินไปหยิบพวงกุญแจขึ้นมาค่อยๆ ปลดดาลปประตูออกช้าๆ
" เถอะน่า...อย่าได้กลัวไป...พวก นาง เป็นคนของข้าเอง " สิงห์หันมาพูดพลางกลั้วหัวเราะเพื่อความสบายใจ...แม้ว่าฟังแล้วไม่ได้สร้างความอุ่นใจมากขึ้นซักนิดเลยก็ตามที
ไกรค่อยๆ ทำตัวลีบๆ เลี่ยงเดินผ่านเสือโคร่งตัวเท่าลูกม้าที่แสดงท่าทีอยากรู้อยากเห็นในตัวเขาอย่างชัดเจน เดินก้มลงตรวจทหารยามที่นอนแน่นิ่ง 2 นายที่หน้าห้องกรงนั้น ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างจนแทบถลนอีกครั้ง เพราะอีกฝ่ายไร้ซึ่งชีพจรเสียแล้ว...แถมเมื่อเขาตรวจดูอย่างละเอียด เขาก็พบว่ากระดูกคอของทั้งสองคนแตกละเอียดยับเยินจนคอแทบจะหมุนได้รอบ!
" ข...เขาตายแล้ว... " ชายหนุ่มครางเบาๆ ก่อนที่เขาจะสติแตกพร้อมกับโวยวายลั่น " พวกเขาตายจริง !! สิงห์ ! เสือตัวนั้นพึ่งฆ่าเขาสดๆ ร้อนๆ !! "
" ...อ่า...ใช่...ข้าก็เห็นพร้อมๆ กับเจ้าแหละน่า...แต่มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้นี่...การตายของพวกเขาเป็นสิ่งจำเป็น "
" จำเป็น ?!! ...พูดห่าเหวอะไรไร้ความรับผิดชอบอย่างงี้วะ ! บ้านเมืองมันมีขื่อมีแปนะโว้ยยย !!! "
ผัวะ !!!!
" เลิกบ้าเสียที ! ไกร ! ...ควบคุมสติของเจ้าหน่อย!...เจ้าคิดจะถามหาขื่อหาแปในยุคนี้นี่นะ?! ...ยุคที่บ้านเมืองเป็นทุรยศ ข้าวยากหมากแพงเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้าเช่นนี้น่ะหรือ? ถ้าเจ้ายังละเมออยู่ก็ตื่นเสียที!! " หมัดอันหนักหน่วงของสิงห์นอกจากจะสร้างความมึนชาราวกับโดนทุบด้วยกระเบื้องแล้ว มันยังกระชากสติสัมปชัญญะของเขากับคืนมาพร้อมกับความคิดอันสุดโต่งที่สุดความคิดหนึ่ง ที่ถ้าในช่วงเวลาปกติแล้วเขาคงไม่เชื่อเลยว่าเขาจะคิดได้
" ม...ไม่จริงน่า...ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก!... " ไกรกุมขมับแทนที่จะกุมมุมปากข้างที่ถูกต่อยพร้อมกับพึมพำเบาๆ ไปมา ก่อนจะหันไปหาสิงห์พร้อมกับถามสั้นๆ
" ...ส...สิงห์...ขอฉันถามอะไรหน่อยได้ไหม? ...ปีที่เรากำลังอยู่ในปัจจุบันนี่...มันคือปีอะไรกัน? "
" หือ...นี้ข้าชกแรงไปจนเจ้ามึนขนาดนี้เลยเหรอ? ...ปี่นี้ปีเถาะไง... "
" ไม่ใช่ๆ ฉันหมายถึงว่า...ปีนี้มันปีพุทธศักราชอะไรน่ะ? "
" พุทธศักราช ? ...อะไรของเจ้า?...แต่ถ้าเจ้าหมายถึงจุลศักราชล่ะก็ ปีนี้ปีจุลศักราช ๑๑๒๑ ฉลูศกไง "
" จ.ศ. 1121...ถ้าจำไม่ผิดการแปลง จ.ศ. ให้เป็น พ.ศ. ต้องบวกด้วย 543 ...ท...เท่ากับ พ.ศ.2302 ...บ...บ้าน่า!? ...เป็นไปไม่ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ...น...นี่ตูกำลังอยู่ในอดีตย้อมไปสองร้อยห้าสิบกว่าปีงั้นเหรอ?!! "
" ฮ...เฮ้ยๆๆๆ ชักน่ากลัวแล้วสิ...นี่ข้าชกเจ้าแรงไปจริงๆ งั้นเหรอเนี่ย? " สิงห์ชักเห็นท่าไม่ดีจึงเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง แต่ไกรยกมือห้ามไว้
" แหวน!...ใช่แล้ว แหวนวงนั้นไง!! เราถูกส่งย้อนเวลากลับมาในคืนเดียวกับที่เราได้แหวนวงนั้น... "
" หือ?...ถึงข้าจะไม่รู้หรอกนะว่าแหวนวงนั้นมันสำคัญชนิดคอขาดบาดตายอะไรกับเจ้านักหนา...แต่ทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเชลยอย่างพวกเราทุกชิ้นจะถูกเก็บรวมไปไว้ในหีบกำปั่นที่อยู่ในกระโจมศึกของ มังจากะเล ...แม่ทัพของพวกทหารเหล่านี้...กระโจมศึกหลังนั้นปลูกอยู่กลางค่าย ล้อมรอบด้วยกองทหารเวรยามที่เข้มงวดที่สุดเชียวนะ... " สิงห์พูดเหมือนเป็นการเตือนกลายๆ ในขณะลูบแผงคอของเสือสมิงใต้อาณัติของเขาทั้ง 3 ตัวเล่น
ไกรเริ่มตั้งสติอีกครั้งพร้อมกับหันมามองตาสิงห์นิ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะเบาๆ
" อย่ามาบลั๊ฟ...หมายถึง อย่ามาหลอกกันซะให้ยากเลยน่า...สิงห์...ถึงจะทำท่าทีเหมือนไม่สนใจอะไร แต่ฉันก็รู้ดีว่าแกก็มีธุระกับเจ้า มัง...อะไรซักอย่างนั่นแหละ...ที่สำคัญไม่ต่างจากฉัน...ฉันคงเดาไม่ผิดใช่ไหมล่ะ? "
" ฮ่าๆๆๆๆๆ แม่นราวกับตาเห็นทีเดียวนะ...เจ้านี่มันเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสนุกดีจริงๆ ... " เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาของสิงห์ก็ส่องประกายวาวโรจน์ในความมืดอีกครั้ง " ...จริงอย่างที่เจ้าว่าทุกประการ...ไกร...ข้ามีการสำคัญกับมังจากะเลจริงๆ นั่นแหละ...
...ข้ามาที่นี่เพื่อจะสังหารมันไงล่ะ !! "
.......................................................
...ณ แนวชายป่าทึบ...ไกลจากอาณาเขตลาดตระเวนของกองทหารพม่าเล็กน้อย...
" ชีวา...มายา...และราตรี...เสือสมิง 3 ตัวของสิงห์ลอบเข้าไปในค่ายของพวกทหารพม่ารามัญเรียบร้อยแล้วค่ะ...ท่านอนาสตาเซีย " หญิงสาวบนหลังม้าที่อายุไล่เลี่ยกับทั้งสิงห์และไกรเอ่ยขึ้นเบาๆ ...เธอเป็นหญิงสาวที่เปล่งประกายแห่งความงามชนิดที่ทำเอาดวงดาราบนฟ้าหม่นแสงลงไปเลย...ผมยาวสยายสีดำขลับรับกับผิวขาวเนียนละเอียดราวกับแพรไหมและริมผีปากอวบอิ่มสีกลีบกุหลาบ เพียงแต่ดวงตาที่กลมโตของเธอกลับอัดแน่นไปด้วยความเย็นชาจนน่ากลัวราวกับดวงตาของคนตาย...เธอใช้หน้ากากรูปหน้ายักษ์ผ่าครึ่งปิดบังใบหน้าครึ่งขวาเอาไว้ เมื่อรวมกับดวงตายิ่งทำให้ดูน่ากลัวจนไม่น่าเข้าใกล้เลย...
" เฮ้อ...ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าอยากให้ท่านเรียกข้าว่า นาสตี้ อย่างที่คนอื่นๆ เขาเรียกกัน...เรียกซะเต็มยศอย่างนั้นฟังดูห่างเหินกินไปหน่อยว่าไหม? ...ศกุนตลา " ผู้ที่ตอบกลับมาเป็นหญิงสาวชาวต่างชาติบนหลังม้าอีกคน...ผมสีทองยาวถูกม้วนเป็นลอนไว้อย่างงดงามรับกับดวงตาสีฟ้าเจิดจรัส จมูกโด่งรั้นอย่างชาวฝรั่งมังค่ารับกับริมฝีปากบางที่แต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา...เธอพูดสำเนียงชาวอโยธยาได้เหมือนกับเป็นชาวอโยธยาโดยกำเนิดจริงๆ ซึ่งหาได้ยากยิ่งสำหรับชาวฝรั่งแขนยาวเช่นเธอ
" ข้าไม่บังอาจพอจะถือตัวตีสนิทกับบุตรีของผู้มีพระคุณสูงสุดของข้าได้หรอกค่ะ... " หญิงสาวที่นามไพเราะว่า ศกุนตลา ตอบกลับมาเรียบๆ ทำเอาอนาสตาเซียถอนหายใจเฮือกโคลงหัวไปมาก่อนจะพูดต่อเบาๆ
" ป่านนี้ มายา คงจะจัดการกับทหารยามและช่วยสิงห์ออกมาจากคุกคุมขังได้แล้วกระมัง...เฮ้อ...ข้าไม่ค่อยเข้าใจเขาเลย...เขามักจะใช้อุบายเดิมซ้ำๆ แถมยังลงมืออย่างโจ่งแจ้งจนแทบจะเรียกว่าเป็นการ ลอบสังหาร ไม่ได้ด้วยซ้ำ...เขาทำให้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายต้องพลอยถูกลูกหลงไปด้วยหลายต่อหลายครั้ง... "
" พวกมัน...พวกทหารพม่า...มิใช่ ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ค่ะ...พวกมันคือทัพหน้าของพระเจ้าอลองพญาแห่งอาณาจักรพุกาม ที่ปรารถนาจะมาสร้างกลียุคบนแผ่นดินอโยธยา "
" พูดอะไรของเจ้าน่ะ เจ้าก็เป็นคนพุกามเช่นพวกเขาไม่ใช่เหรอ? "
ดวงตาที่ไร้ประกายของศกุนตลาเปล่งรังสีอำมหิตวูบนึงก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับที่เธอหลับตาลงและตอบกลับมาเรียบๆ
" ข้าเป็นชาวหมู่บ้าน ยุคันตวาต ค่ะ...หาใช่ชาวเมืองใดไม่! "
" นั่นแหละที่บิดาข้าพยายามพร่ำสอนพวกท่านมาตลอด...ถึงพวกเขาจะเป็นทหารพม่า ...ทหารอโยธยา...เป็นเจ้าหรือทาส ล้วนแล้วแต่มีค่าไม่ต่างกันหรอก...พวกเราเป็น มือสังหาร ไม่ใช่ ฆาตกร เราทำในสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำเท่านั้น...และภารกิจของสิงห์ก็เป็นเพียงแค่การสังหารคนชั่วมังจากะเลคนเดียวเท่านั้น หาใช่หักค่ายทหารพม่าและฆ่าคนเป็นเบือไม่ "
ศกุนตลาหันมามองผู้เป็นเหมือนสหายชาวต่างชาติที่เธอเคารพนับถือด้วยแววตาที่อ่อนลงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะถอนหายใจเฮือก
" ถึงท่านจะพูดแบบนั้นก็เถอะ...แต่ถึงอย่างไรสิงห์ก็คงจะทำอย่างที่ท่านว่าทุกประการนั่นแหละ...ถึงเขาจะไม่ได้มีความแค้นลึกซึ้งอะไรกับคนพวกนั้น แต่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาก็สั่งให้เขาทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี "
" ฮ่ะๆๆๆ ใช่เช่นท่านว่าจริงๆ นั่นแหละ...แต่นั่นก็ทำให้เขาเป็นมือสังหารที่เก่งที่สุดในหมู่พวกเราไม่ใช่รึไง "
ศกุนตลาถอนหายใจเฮือกอีกครั้งก่อนพูดเบาๆ
" ในสายตาของข้า...เขาเป็นได้แค่สัตว์ป่าที่ไม่สามารถควบคุมสัญชาตดิบได้เท่านั้นแหละค่ะ... "
...................................................
" หา! ...ลองพูดใหม่อีกทีซิ?! แกว่าแกจะเข้าไปหาไอ้มังจา...อะไรซักอย่างนี่ แกจะเข้าไปหามันด้วยวิธีไหนนะ?!! "
" หือ...อะไรของเจ้า...หูหนวกตาบอดเป็นบ้าใบ้ไปแล้วรึไง...ก็ข้าบอกแผนไปแล้วไม่ใช่รึไง...แผนก็คือบุกเข้าไปตรงๆ ใครขวางก็ฆ่าให้เหี้ยน จนกระทั่งถึงกระโจมมังจากะเลไงล่ะ "
" นั่นมันเรียกว่าแผนได้ที่ไหนล่ะเฟ้ยยย!!! " ไกรโวยลั่นพร้อมกับพูดต่อ " มันก็แค่ใช้ลูกบ้าวิ่งฝ่าเข้าไปไม่ใช่รึไง?! แถมได้มีหวังโดนเสียบพรุนตั้งแต่ยังไม่พ้น 20 ก้าวเลยด้วยซ้ำ!! "
" อย่ากังวลไปเลยน่ะ... " สิงห์พูดพลางตบหน้าอกที่เปลือยเปล่าของตนเบาๆ " ...ทั้งตัวข้าและเสือสมิงใต้อาณัติของข้าต่างก็มีผิวหนังที่คงกระพันชาตรี ศาสตราธรรมดาที่ไม่ได้ลงอาคมกำกับไว้ทำอันตรายใดๆ กับพวกข้าไม่ได้หรอก...เจ้าก็แค่ระวังกายหลบอยู่ข้างหลังพวกข้าให้ดีๆ อย่าให้โดนลูกหลงก็แล้วกัน.....ถ้าดวงชะตาแข็งพอคงจะรอดไปได้กันทั้งหมดนี่แหละ "
" พ...พูดอะไรไร้ความรับผิดชอบอย่างงั้นฟะ!! ...อ...อีกอย่างนึงถ้าแกทำอย่างที่แกว่า มีหวังพวกทหารได้แห่กันมาหมดค่ายแน่ๆ ...แกจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?! "
" ถ้าเหตุการณ์มันลามปามจนถึงที่เจ้าว่าจริงๆ มันก็คนเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้...อะไรของเจ้าวะ? พวกมันกำลังจะมารุกรานกรุงอโยธยา แถมเป็นคนที่ฟาดเจ้าจนสลบและลากเจ้ามาขังที่นี่นะ...แล้วเจ้าจะยังสงสารพวกมันอีกงั้นรึ? "
" ร...เรื่องนั้นมันก็ส่วนเรื่องนั้น...ต...แต่แกก็เป็นคนบอกเองนี่ว่าพวกเขาเป็นชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ให้จากบ้านจากเมืองมา พวกเขามาเพราะจำเป็นนะ! ...แกมีความรู้สึกเห็นใจเพื่อนมนุษย์บ้างรึเปล่าเนี่ย?! "
" เห็นใจ?? ...อย่าพูดให้ข้าขำดีกว่าน่า...เจ้าเคยเห็นพยัคฆ์รู้สึกสำนึกเห็นใจฝูงเนื้อที่เป็นเหยื่อของพวกมันรึเปล่าล่ะ?...จริงอยู่ที่พวกมันมาเพราะความจำเป็น แต่ถ้าหากพวกมันเข้ามาขวางทางข้า...การตายของพวกมันก็คงเป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน!!...เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาโดยไม่จำเป็นอยู่นะ!...เอ้า...ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจะเอาด้วยกับแผนของข้าหรือไม่?! "
เสียงที่ชักแข็งกร้าวขึ้นระหว่างที่สิงห์กำลังเหน็บกริชรูปร่างแปลกตาไว้ที่ชายพกทำให้ไกรต้องหันซ้ายหันขวาพลางพยายามคิดหาวิธีอื่นที่พอจะทำให้มือของเขาสิงห์และเขาไม่ต้องมาเปื้อนเลือดของทหารทั้งค่าย...ก่อนที่วินาทีต่อมา สายตาของเขาจะไปหยุดนิ่งอยู่ที่ร่างอันไร้วิญญาณของทหารเวรยามโชคร้ายที่นอนแน่นิ่งอยู่...ความคิดบ้าๆ ความคิดหนึ่งที่พุ่งแล่นเข้าสู่สมองของเขาทำเอาชายหนุ่มชะงักกึก เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ก่ทนที่ริมฝีปากของเขาจะแสยะยิ้มบางๆ
" นี่...สิงห์...ขอฉันถามอะไรหน่อยสิ "
" หือ?...อะไรของเจ้าอีกล่ะ ไอ้เจ้าคนมากเรื่อง "
" ฉันอยากรู้ว่านายพูดภาษาพม่าอย่างทหารพวกนี้ได้ดีแค่ไหนกัน? "
สิงห์เลิกคิ้วก่อนจะหันกลับไปมองเสือสมิงของเขาทั้ง 3 ตัวเหมือนจะขอความเห็น...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีอะไรมาดลใจให้เขาถูกชะตากับชายหนุ่มตรงหน้านี้มากเป็นพิเศษจนกระทั่งเขาถึงกับยอมยืนต่อล้อต่อเถียงด้วยซึ่งไม่ใช่สันดานปกติของเขาแท้ๆ ...ผู้ใช้สัตว์สมิงหนุ่มกลอกตาโคลงหัวพร้อมกับตอบเบาๆ
" ข้าพูดภาษาพม่ารามัญได้ดีพอๆ กับที่ชาวพม่าพูดด้วยตนเอง...เจ้าถามทำไม? "
" หึๆๆๆๆ....เพราะฉันคิดว่าฉันมีแผนเด็ดที่จะทำให้นายไม่ต้องฆ่าคนตายเป็นผักเป็นปลาแบบไร้ประโยชน์ได้แล้วน่ะสิ... "
รอยแสยะยิ้มของไกรทำเอาสิงห์ต้องหันกลับมามองเสือสมิงทั้ง 3 ตัวของเขาอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือกยาวเหยียด
" ไม่รู้เพราะอะไรนะ...แต่ข้าเชื่อว่า แผนการ ที่เจ้าว่า ต้องเป็นแผนที่บ้าที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอมาแน่ๆ เลยทีเดียว... "
...ไม่กี่อึดใจต่อมา...บริเวณอาณาเขตที่เหล่าทหารพม่าใช้ในการปลูกค่ายพัก...
" ข้าขอถอนคำพูดที่ข่าพึ่งจะพูดไปนะ ไกร...นี่มันไม่ใช่แค่ บ้า ที่สุด...แต่นี่มันระดับ อภิมหา โค - ตะ - ระ บ้า ! ที่สุด เท่าที่ข้าเคยได้ยินมาแล้วนะโว้ยยยยยยย!!!!! " สิงห์ในชุดทหารพม่าชุดเดียวกับของทหารยามที่ถูกเสือสมิงของเขาตะปบตายไปขยับเกราะหนังหยาบๆ ที่เขาพึ่งถอดออกมาจากศพสดๆ ร้อนๆ ไปมา ก่อนจะหันมาโวยชายหนุ่มในชุดของทหารยามอีกคนลั่น
" ทำไม?...แกกำลังจะบอกว่ามันจะไม่ได้ผลงั้นเหรอ? " ไกรเลิกคิ้วถามเบาๆ พลางชักดาบที่ขัดอยู่กลางหลังออกมาดู พร้อมกับทดลองฟันอากาศเพื่อคะเนน้ำหนัก ก่อนจะเก็บดาบกลับเข้าฝักอีกครั้ง
" เปล่า! " สิงห์กระแทกเสียงอย่างเสียไม่ได้ " ข้าจะบอกว่ามันได้ผล...มันได้ผลแน่ๆ ด้วยล่ะ! เพราะคงจะไม่มีผู้ใดในแผ่นดินสุวรรณภูมิบ้าพอจะนึกฝันว่าพวกเราจะใช้เสื้อผ้าของศพตายโหงมาปลอมตัว เพื่อเข้าไปในค่ายของเป้าหมายแน่ๆ!! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสื้อผ้าพวกนี้จะทำให้ทั้งเจ้าและข้าซวยกะลุดกุดหม้อไปทั้งชาติแน่ๆ!! "
" โธ่เอ้ยยย!...กล้าพูดนะว่าเป็นเสื้อผ้าของผีตายโหง...ก็เจ้า...ไม่สิ...เสือสมิงของเจ้าเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนทำให้พวกเขากลายเป็นผีตายโหงไปน่ะ...อยาเชื่อโชคลางให้มันมากนักน่า แค่ใส่เสื้อคนตายแค่นี้มันจะอะไรกันนักกันหนา...อีกอย่าง การที่เราทำแบบนี้ก็เพื่อจะทำให้มือของนายไม่ต้องเปื้อนเลือดผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย...แกต้องขอบคุณฉันในเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วแน่ "
สิงห์หันมามองหน้าเขานิ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอย่างยอมแพ้
" ให้รากเลือดลงแดงสิ! เจ้าทำให้ข้านึกถึงตาเฒ่าหัวหน้าหมู่บ้านขึ้นมาทันควันเลย...เพราะคำพูดของเจ้าไม่ได้ต่างจาก ปรัชญามือสังหาร ที่ตาเฒ่านั่นพร่ำสอนพวกข้าไม่มีผิดเพี้ยน...แถมเรื่องนี้ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวข้าเองที่โง่พอทำตามแผนบ้าๆ ของเจ้า " สิงห์พึมพำเบาๆ ก่อนจะเลื่อนผ้าโพกหัวลงมาเพื่อปิดบังใบหน้าของตนอีกเล็กน้อย ในขณะที่ไกรหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตบไหล่สิงห์ดังป้าบ!
" ฉันจะพูดอีกครั้ง สิงห์...แล้วซักวันแกจะต้องขอบคุณฉัน "
สิงห์หันมามองอย่างขวางๆ อีกครั้ง...ถึงจะบอกว่าถูกชะตา แต่ประสบการณ์อันโหดร้ายในอดีตของเขาไม่ได้สอนเขาให้ไว้วางใจใครง่ายๆ ขนาดนั้น เขาจึงอดที่จะคลางแคลงใจในจุดประสงค์ที่ไม่แน่ชัดของอีกฝ่ายไม่ได้
" ไกร...ข้าขอถามเจ้าอย่างจริงจังเลยนะ...ทำไมเจ้าถึงต้องพยายามจนแทบล้มประดาตาย...ถึงกับยอมที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อสมบัติชิ้นเล็กๆ ชิ้นเดียว...แหวนวงนั้นมันสำคัญอะไรกับเจ้านักหนางั้นรึ? "
คำถามที่ตรงไปตรงมาของสิงห์ทำเอาไกรถึงกับชะงักกึก ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาหม่นแสงลงอย่างประหลาดเมื่อเขาหวนรำลึกถึงครูมืดผู้เป็นบิดา เพียงออน้องสาว...ไปจนถึงเหล่าเพื่อนๆ ของเขา...ก่อนที่เขาจะหลับตาและสะบัดหน้าเบาๆ พร้อมกับฝืนหันกลับมายิ้มให้บางๆ
" ...เพราะว่าแหวนวงนั้น...อาจจะเป็นหนทางเดียวที่ทำให้ฉันกลับไปสู่ บ้าน ของฉันได้ยังไงล่ะ... "
.................................................
...ต่อให้ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อล่ะนะ...ว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของสิงห์ที่ใช้วิธีการพรางตัวเพื่อลอบเข้ามาหาเป้าหมาย จากที่ปรกติเขาจะใช้กำลังลุ่นๆ หักหาญฝ่าเข้าไปหาเป้าหมายตรงๆ...และที่น่าประหลาดใจที่สุด คือการลอบพรางตัวอย่างที่เขาเคยปรามาสไว้ว่าเป็นวิธีการที่บ้าที่สุดกลับดำเนินไปได้อย่างราบรื่นที่สุดนี่สิ.....เพราะนอกจากกลุ่มทหารขี้เมารอบกองไฟที่ตะโกนชวนเขาไปดื่มเหล้ากับพวกมันแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่เสียเวลามาสนใจทั้งเขาและไกรเลย...พวกเขาเดินเข้ามาอย่างสะดวกง่ายดายที่สุดจนกระทั่งถึงหน้ากระโจมใหญ่ของแม่ทัพมังจากะเลเลยทีเดียว...
" หยุด !! ไอ้ทหารเลว !(ทหารที่ถูกเกณฑ์ ไม่ได้เป็นข้าราชการทหารแต่แรก) เจ้ามีธุระอันใด ถึงได้มาที่กระโจมท่านแม่ทัพในยามวิกาลเช่นนี้ ?! " หนึ่งในทหารยามสี่คนที่มีรูปร่างใหญ่โตราวกับหมีควายตะคอกใส่หน้าพวกเขาทันทีที่พวกเขาเดินมาถึงทางเข้าหน้ากระโจม พร้อมกับใช้หอกยาวกันเป็นประตูทางเข้ากระโจมไว้ ในขณะที่สิงห์เหลือบมามองไกรพร้อมๆ กับที่ไกรพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงให้เขาโต้ตอบไปตามที่ได้นัดแนะกันเอาไว้
" ข้านำสารจากพวกเสือหมอบแมวเซา (สายลับ) ที่ท่านแม่ทัพต้องการมาให้ "
" ท่านแม่ทัพไม่เห็นสั่งพวกข้าไว้เลยว่าจะมีสารมาส่งตอนที่ท่านกำลังนอนหลับเช่นนี้ !! "
" ข้าก็เห็นด้วยว่าท่านแม่ทัพคงจะไม่ได้บอกพวกเจ้าแน่...เพราะท่านคงไม่อยากจะให้ความลับที่สำคัญเช่นนี้ต้องมาแพร่งพรายออกไปเพราะปากพล่อยๆ ของพวกเจ้าน่ะสิ "
" เจ้า !!! " หนึ่งในทหารยามพวกนั้นตวาดลั่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ต้องหุบปากเงียบจนแทบจะหงอไปเลยทันทีเมื่อสบสายตาที่แข็งกร้าวจนน่ากลัวของสิงห์ พวกมันหันไปปรึกษากันเบาๆ ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาตะคอกใส่พวกเขาอีกครั้ง
" ก็ได้ ไอ้ทหารเลว! ส่งสารของพวกเสือหมอบแมวเซานั่นมา !! ข้าจะนำไปให้ท่านแม่ทัพเอง ! "
สิงห์เริ่มขมวดคิ้ว เพราะสิ่งที่พวกทหารยามพูด เริ่มจะไม่อยู่ในแผนการที่ไกรนัดแนะเอาไว้ เพราะจากที่ไกรบอก ตอนนี้พวกเขาควรจะได้เข้าไปในกระโจมอย่างสบายๆ แล้ว
" ข้าว่าข้าควรจะเป็นคนนำไปให้ท่านแม่ทัพกับมือเองดีกว่านะ...เพราะสารฉบับนี้สำคัญต่อกองทัพของเราเป็นอย่างมาก "
" สำคัญหรือไม่พวกข้าจะเป็นคนตัดสินเอง ! ...เอาล่ะ ส่งมา!!! "
สิงห์ชักเห็นท่าไม่ดี เพราะนอกจากเขาจะยังเข้าไปในกระโจมไม่ได้แล้ว พวกเขายังไม่ได้มีไอ้สารจากเสือหมอบแมวเซาบ้าบออะไรนั่นด้วย...เขาหันมามองไกรเล็กน้อย ก่อนจะหันมายิ้มให้พวกทหารยามพวกนั้น
" ขอเวลาข้าปรึกษากับสหายข้าสักครู่นะ " ก่อนที่สิงห์จะลากไกรออกมาในมุมที่ลับตาพวกทหารพร้อมทั้งกระซิบเบาๆ
" ไม่ได้ผล ไกร...พวกมันบอกว่าพวกมันจะเอาสารที่เราหลอกว่ามีไปให้มังจากะเลเอง "
" ว่าไงนะ? "
" ช่วยไม่ได้นะ...ข้าจะเป่าหวีดเพื่อเรียกเสือสมิงใต้อาณัติของข้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายในค่าย ก่อนข้าจะจัดการกับพวกทหารยามพวกนั้นและเข้าไปฆ่าไอ้มังจากะเลเอง...เจ้าก็ตามข้ามาให้ติดๆ ก็แล้วกัน " สิงห์พูดพลางขยับหวีดในมือ แต่ไกรกลับจับมือเพื่อห้ามเอาไว้ พร้อมกับเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิด
" อะไรของเจ้าอีกวะ...เรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว! "
" ก็เออสิฟะ...อุตส่าห์ทำได้ดีมาถึงตอนนี้แล้ว ถ้านายเรียกเสือสมิงของนายออกมา มันก็เข้าอีหรอกบเดิมที่แกต้องฆ่าคนเป็นผักปลาอีกสิฟะ!! "
" แล้วเจ้ามีแผนอะไรที่ทำให้พวกเราเข้าไปในกระโจมนั้นได้โดยไม่ต้องฆ่าพวกทหารยามพวกนั้นได้แล้วงั้นรึ? "
ไกรขมวดคิ้วอยู่เสี้ยววินาทีนึง ก่อนที่เขาจะค้นในย่ามและหยิบเศษผ้าเก่าๆ ชิ้นหนึ่งออกมาม้วนเป็นชิ้นเล็กๆ พร้อมกับยื่นให้สิงห์
" เอาล่ะ...ฟังแผนต่อไปนี้ให้ดีนะ...เพราะนายจะพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด... "
...เพียงไม่ถึงชั่วเคี้ยวหมากแหลก...พวกเขาก็มายืนอยู่ที่ตรงหน้าทางเข้ากระโจมใหญ่ที่มีเป้าหมายของสิงห์และแหวนของไกรอยู่ภายในอีกครั้ง...
" รู้อะไรไหม ไกร...ถ้าแผนนี่ใช้ไม่ได้ผล ข้าจะปล่อยให้พวกมันฆ่าแกเป็นศพแรกเลย... " สิงห์อดหันมากระซิบเขาเบาๆ ไม่ได้อีกครั้ง ในขณะที่ไกรหัวเราะเบาๆ
" ถ้ามันเป็นไปตามแผน ฉันรับประกันได้เลยว่าจะไม่มีใครต้องเจ็บตัวเลยด้วยซ้ำ "
" ก็หวังว่าจะเป็นเช่นเจ้าว่าล่ะกัน " สิงห์ครางเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเองพร้อมกับเดินเข้าไปเผชิญหน้ากับทหารยามพวกนั้นอีกครั้ง
" เอ้า...อย่าให้พวกข้าต้องเสียเวลา...ส่งสารสำคัญนั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ !! "
สิงห์หยิบเศษผ้าที่ถูกม้วนเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ไกรพึ่งจะส่งมาให้เขาสดๆ ร้อนๆ ยื่นให้อีกฝ่าย แต่พออีกฝ่ายยื่นมือมาหยิบ เขาก็ขืนไว้ไม่ยอปล่อยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
" พวกเจ้าทั้งหมดสี่คนชื่ออะไรกันบ้างล่ะเนี่ย? "
ทหารยามทั้งสี่หันไปมองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนจะตะคอกกลับมา
" แล้วมันเป็นกงการอะไรของเจ้าด้วย !! เจ้าทหารเลว !! "
" จะว่าเป็นกงการของพวกข้าก็ได้นะ...เพราะถ้าหากท่านแม่ทัพมังจากะเลมาถามข้าว่าท่านต้องประหารใครในความผิดที่ข้าไม่ได้เอาสารฉบับนี้เข้าไปให้ท่าน...ข้าจะได้บอกชื่อให้กับท่านถูกยังไงล่ะ! " คำพูดและรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมที่สุดของสิงห์ทำเอามือที่ยื่นมารับสารนั้นถึงกับหดหนีราวกับโดนไฟลน
" ย...อย่ามาขู่พวกข้าให้ยากเลย !! "
" หึๆๆๆ ข้าขู่หรือไม่ อีกไม่พ้นวันรุ่งพวกเจ้าก็คงจะได้รู้เอง...หลังจากที่หัวของพวกเจ้าหลุดจากบ่าแล้วล่ะนะ " สิงห์หันไปหัวเราะร่วนกับเพื่อนของเขาพร้อมกับยื่นเศษผ้านั้นให้ แต่อีกฝ่ายถอยหนีอย่างลนลาน
" ก...ก็ได้ๆๆๆๆ พวกเจ้าเข้าไปได้...ย...อย่าบอกเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพนะ !! " ทหารยามพวกนั้นรีบเลิกกระโจมก่อนจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไปทันที พร้อมกับกำชับไม่ให้เขาไปฟ้องแม่ทัพของพวกเขาเสียงดังลั่น
" โอ้...ขอบใจมากนะ...แล้วข้าจะขอให้ท่านแม่ทัพบำเหน็จความชอบให้พวกเจ้าทุกคนเลยนะ " สิงห์พูดทิ้งท้ายก่อนจะรีบเข้ากระโจมไปทันที...เมื่อกระโจมถูกปิดลง เขาถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่!
" เห็นไหมล่ะ...ฉันบอกแล้วว่าถ้าหากเป็นไปตามแผน จะไม่มีใครต้องเจ็บตัวเลย "
" ฟู่!...รู้อะไรไหม...แบบนี้มันเหนื่อยกว่าให้ข้าบุกฝ่าเขามาตรงๆ เสียอีก...ทำเอาใจข้าเต้นเร็วเป็นย่ำกลองเลย...ว่าแต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกทหารยามพวกนั้นจะให้พวกเราผ่านมาได้ ทั้งๆ ที่พวกมันยังไม่ได้เห็นสารที่ว่านั่นเลย "
คำถามของสิงห์ทำให้ไกรที่กำลังถอดผ้าโพกหัวออกหัวเราะเบาๆ
" จำไว้นะสิงห์...ความกลัวมีอำนาจมากกว่าคมดาบ ... " ก่อนที่เขาจะพูดต่อเบาๆ " เอาล่ะ เราเข้ามาในกระโจมของมัง...มังอะไรของแกแล้ว...เอ้า! แกจะเอาไงต่อ? "
สิงห์ชี้ไปที่หีบกำปั่นขนาดใหญ่หลายหีบที่กองอยู่ตรงมุมทางเข้ากระโจม
" สิ่งที่เจ้ากำลังหาอยู่น่าจะถูกเก็บรวมๆ ไว้ในหีบพวกนั้น...เจ้าลองไปหาดูเถอะ... " ก่อนที่เขาจะชักกริชที่พกอยู่ที่ชายพกออกมาลูบคมเบาๆ
" ส่วนข้าจะเข้าไปจัดการงานของข้าให้เสร็จเสียที !! "
.......................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ