ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ...ตอนที่ ๒ ...กลับบ้าน...(๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
=====================================================
...ณ ทัพหน้าของกองทัพหลวงพม่า...ที่ตั้งค่ายอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากด่านสิงขร(บริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบัน)...
นกพิราบสื่อสารสีหม่นตัวเล็กๆตัวนึงที่ส่งมาจากด้านทิศเหนือทำให้ทหารเฝ้ากรงนกขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเวลานี้ยังไม่ถึงเวลาปกติที่ค่ายของมังจากะเลจะส่งรายงานทัพมา เขาคว้านกพิราบตัวนั้นก่อนจะค่อยๆแกะกระบอกใส่สารที่ขาของมันเพื่อนำสารผ้าออกมาคลี่ดูช้าๆ แต่ยิ่งอ่าน ดวงตาของเขาก็ยิ่งเบิกโพลงจนดวงตาแทบถลนออกนอกเบ้า!
" ชิบหายแล้ว... " นายทหารคนนั้นพึมพำเบาๆพร้อมกับอ่านสารทวนใหม่อีก 2 รอบเพื่อให้แน่ใจว่าเขาตาไม่ฝาด...และมันซวยตรงที่เขาดันตาไม่ฝาดจริงๆ
" ชิบหายแล้ว!...ชิบหายแล้วๆๆๆๆๆ....พวกมึง! เตรียมม้าฝีเท้าดีที่สุดให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้! ข้าต้องนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพ่ออยู่หัวที่ทัพหลวงโดยเร็วที่สุด!! "
...เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สารเล็กๆที่นำข่าวอันสามารถสะท้านสะเทือนไปทั้งค่ายก็ตรงมาถึงพระหัตถ์ของจอมปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์คองบอง...พระหัตถ์ของเพราะเจ้าอลองพญา...
พระเจ้าอลองพญาผู้ซึ่งก้าวจากอาชีพพรานป่าขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัวของเหล่าพม่าทั้งปวงคลี่สารเล็กๆ ในมือออกอย่างช้าๆ พร้อมใช้พระเนตรที่คมกริบเขม้นมองสารโดยละเอียด ชนิดที่ไม่ยอมให้ตัวอักษรใดตกหล่นไปได้...ก่อนที่พระโอษฐ์ของพระองค์จะขยับแย้มพระสรวลเหยียดเล็กน้อย พร้อมกับส่งสารนั้นไปให้พระราชโอรสหนุ่มคนรองของพระองค์ ผู้ซึ่งติดตามพระองค์ร่วมรบทุกสมรในฐานะขุนศึกคนสำคัญ...เจ้าชายมังระ
" ดูเหมือนว่า...โจรป่าที่เจ้าขอพระราชทานอภัยโทษในครั้งนั้น...จะลงหลุมไปเสียแล้ว...มังระ "
เจ้าชายมังระรับสารของพระราชบิดามาดู ก่อนที่พระเนตรอันคมกริบจะตวัดขวับไปมองเจ้าทัพหน้าผู้นำสารมาถวายราวกับคาดโทษจนกระทั่งเจ้าทัพหน้าผู้นั้นต้องก้มศรีษะลงไม่อาจสบตาโดยตรงได้...เจ้าชายหนุ่มอ่านสารในมือลวกๆ ก่อนจะส่งเวียนไปให้นายทัพคนอื่นอ่านต่อ
" นี่...เป็นข่าวจริงแน่หรือ?... " เจ้าชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเรียบๆ
" พระ...พระเจ้าข้า...นกพิราบตัวที่ส่งสารมาเป็นนกประจำค่ายของมังจากะเลแน่นอน...ข่าวนี่เป็นข่าวจริงแน่แท้พระพุทธเจ้าข้า "
" หึๆๆ ข้าชอบสีหน้าเจ้าตอนนี้นัก...เอ้า! เจ้าคิดว่ายังไง? " พระเจ้าอลองพญาสรวลเบาๆราวกับไม่เดือดดาลพระทัยอะไรนัก พร้อมกับหันไปถามบุตรคนรองของตนอีกครั้ง
" ไม่น่าจะเป็นไปได้ขอรับ...ต่อให้เป็นเพียงแค่กองทัพลวงที่มีทหารเพียงไม่กี่พัน แต่กองทหารภายใต้การนำทัพของมังจากะเลก็ผ่านสมรภูมิหนักๆมาไม่ถ้วน...ต่อให้เป็นทัพอโยธยาที่ตั้งรับอยูที่กาณจนบุรีมาเอง ก็ไม่อาจจะหักค่ายเข้าไปสังหารแม่ทัพภายในราตรีเดียวแบบนี้...อีกทั้งสันดารโจรป่าเก่าอย่างมันย่อมไม่ไว้ใจอะไรทั้งสิ้น...มันคงส่งทหารเวรยามนับสิบนับร้อยรอบ ไม่มีทางที่มันจะโดนสังหารแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้แน่ " เจ้าชายมังระวิเคราะห์สถานการณ์เรียบๆอย่างเจนสมรภูมิ
" ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าแม้จะเก่งกาจ แต่มันก็โง่เง่าตามประสาโจรถ่อย...มันคงจะโดนอุปนิกขิต(สายลับ)ของฝั่งอโยธยาลอบสังหารเป็นแน่แท้ "
' อุปนิกขิตของอโยธยา...อโยธยาที่อ่อนแอราวกับเสือเฒ่าที่หมดกำลังเขี้ยวเล็บแล้วเนี่ยนะ? ' เจ้าชายมังระดำริในพระหทัยเงียบๆ ก่อนที่จะกราบทูลต่อไปเบาๆว่า
" แล้วพระองค์จะทำเช่นไรต่อไป? รึเราควรชลอการยาตราทัพครั้งนี้ไปก่อน? "
" นี่เป็นคำถามที่เจ้าเพียงแกล้งลองถามข้าเล่น หรือเจ้าปรารถนาคำตอบจริงๆ...มังระ...เศวตฉัตรกรุงศรีอโยธยาอยู่เพียงแค่เอื้อมมือของข้าเท่านั้น...แล้วจะจะบอกให้ข้าถอยทัพกลับเพราะกองอาทมาท(กองทหารที่เป็นเหมือนหน่วยกล้าตาย)เล็กๆแตกพ่ายอย่างนั้นรึ? " น้ำเสียงที่เข้มขึ้นของพระเจ้าอลองพญาทำให้เจ้าชายมังระหลบพระเนตรก่อนจะยกพระหัตถ์ทูลขอพระราชทานอภัยโทษเบาๆ
" ดี!...พวกเจ้าทั้งหมดจงฟัง! ข้าจะไม่ยอมให้การตายของมังจากะเลสูญเปล่าเด็ดขาด พวกเราจะเร่งเดินทัพให้เร็วขึ้นไปอีก! ให้เร็วราวกับสายลมพัด!!...ข้าปรารถนาจะเหยียบกำแพงเมืองอโยธยาให้เร็วที่สุด!! "
คำบัญชาของเจ้าเหนือหัวถูกตอบรับด้วยเสียงโห่ร้องของเหล่าแม่ทัพและทแกล้วทหารทั้งกองทัพจนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งทัพหลวง!...มีเพียงเจ้าชายมังระผู้เดียวเท่านั้นที่ยังคงมีพระพักตร์ที่เคร่งขรึมราวกับติดใจในการตายของมังจากะเล...
...พระองค์ติดตามพระบิดาออกรบมาตั้งแต่ที่พระบิดาของพระองค์ยังคงเป็นพรานป่า ไม่ได้ขึ้นผ่านแผ่นดินพม่า...พระองค์รู้ดีว่าอุปนิสัยของพระบิดาเป็นคนใจใหญ่ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น...นั่นทำให้พระองค์สามารถเป็นเจ้าเหนือหัวของพวกเขามาได้ถึงปัจจุบันนี้...แต่คราวนี้มันต่างออกไปเล็กน้อย...มันมีอะไรบางอย่างสะกิดพระทัยของพระองค์จนพระองค์ไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปได้...
' ขอให้ผิดทีเถอะ...ขอให้ลางสังหรณ์ของข้าผิดทีเถอะ... ' ท่ามกลางเสียงโห่ร้องอันสะเทือนเลื่อนลั่น เจ้าชายหนุ่มได้แต่คิดในใจอย่างเงียบๆ เพียงคนเดียว
....................................................
...ย้อนกลับมาที่กลุ่มของไกรและสิงห์...
" อ...อือ " ไกรครางออกมาเบาๆ พร้อมกับที่แพขนตาหนาของเขาค่อยๆลืมขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะหรี่ลงอีกครั้งอย่างไม่ชินกับแสงสว่าง เขาขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะต้องครางออกมาเบาๆอีกครั้ง เพราะกล้ามเนื้อทุกส่วนของเขาลั่นเปรี๊ยะอย่างเจ็บปวดราวกับเขาพึ่งเข้าแข่งวิ่งมาราธอนแบบไม่ได้เตรียมร่างกายมาก่อน แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วกับสิ่งผิดปกติอีกอย่างนึงที่เขาพึ่งรู้สึก...
...แขนและขาทั้งสองข้างของเขาถูกผูกติดกันด้วยอะไรบางอย่างที่แน่นและเหนียวเกินกว่าที่เขาจะกระชากออกให้เป็นอิสระได้...
" อ้าว? ตื่นแล้วรึ? ไกร "
" สิงห์?! อ้าวเฮ้ย! นี่ตูยังไม่ได้กลับสู่โลกปัจจุบันอีกเหรอวะเนี่ย?! "
" ขอโทษด้วยที่ข้าต้องมัดเจ้าไว้แบบนี้นะ ไกร...แต่ข้าต้องแน่ใจเสียก่อนว่าเจ้าจะไม่...เอ่อ ทำอะไรน่ากลัวๆแบบที่เจ้าจัดการกับมังจากะเลนั่นกับพวกเรา " สิงห์ที่บัดนี้นั่งเอกเขนกอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งพูดเรียบๆ เขามีผ้าพันแผลพันรอบสีข้างด้านขวาจนแน่น แต่ท่าทางของเขากลับดูสบายๆราวกับแผลซี่โครงแหลกมันเล็กน้อยเหมือนแผลกระดาษบาดซะอย่างนั้น
" ทำห่าอะไรของแกวะเนี่ย?! ปล่อยตู๊!!! "
" เจ้าทำได้ยังไง...ไกร...เจ้าฝ่าทหารที่ล้อมเจ้าอยู่ แล้วพุ่งเข้าไปสังหารมังจากะเลได้ยังไงโดยที่ทั้งข้าทั้งมังจากะเลไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย " สิงห์ไม่สนใจคำพูดและท่าทีของไกรที่กำลังดิ้นเป็นไส้เดือนโดนขี้เถ้าพลางถามขึ้นเรียบๆอีกครั้ง
" หา?! พูดเรื่องอะไรของเอ็ง? "
" หือ...นี่เจ้าจำเหตุการณ์เมื่อคืนนั้นไม่ได้งั้นรึ?...งั้นเอาอย่างนี้...เจ้าลองบอกเหตุการณ์สุดท้ายที่เจ้าจำได้ในราตรีนั้นมาให้ข้าฟังหน่อยซิ "
" ทำไมตูต้องเล่าด้วยฟะ?! ปล่อยตูได้--- " ไกรยังพูดได้ไม่ทันจบประโยคดีเขาก็ต้องชะงักกึก ตัวแข็งเป็นหินเพราะอยู่ๆเสือโคร่งตัวขนาดมหึมาที่เขาจำได้ว่าเป็นหนึ่งในสัตว์สมิงใต้อาณัติของสิงห์ก็โผล่ออกมาจากจุดอับสายตา แล้วแยกเขี้ยวที่ขาวราวกับงาช้างใส่หน้าเขา ชนิดที่เขี้ยวแทบจะชนปลายจมูก ก่อนจะคำรามลั่นจนผมปลิวไปด้านหลัง...ดูยังไงนี่ก็ไม่ใช่คำทักทายแบบฉันท์มิตรแน่ๆ
" เจ้าอาจจะยังไม่รู้ถึงความตึงเครียดของคำพูดของข้านะ...ไกร...เพราะฉะนั้นข้าขออธิบายให้เจ้าเข้าใจชัดแจ้ง...ฐานะของเจ้าตอนนี้ทำได้เพียงตอบคำถามของข้าเท่านั้น...และขอบอกเลยว่าคำตอบของเจ้ามีผลกับสวัสดิภาพชีวิตเจ้าอย่างมาก...เพราะงั้นคิดดีๆ ก่อนตอบล่ะ...เอ้า! ช่วยตอบคำถามของข้าด้วย...ความทรงจำสุดท้ายของเจ้าในคืนนั้นคือตอนไหน? "
คำขู่ชนิดไรแววล้อเล่นและเสือสมิงตัวเขื่องในอาณัติของสิงห์ไม่ใช่สิ่งที่ไกรจะกล้าลองเสี่ยง เขาจึงได้แต่เล่าเหตุการณ์ไปตรงๆว่าความทรงจำสุดท้ายของเขา...เมื่อเขาเล่าจบ สิงห์ก็ถึงกับขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบผูกติดกันเป็นเงื่อนตายอยู่แล้ว
" แปลว่าเหตุการณ์สุดท้ายที่เจ้าจำได้คือตอนที่ข้าบอกให้เจ้าหนีไป...นี่เจ้าไม่ได้ปดข้าใช่ไหม? "
" โห...เอ็งลองมาโดนเสือตัวเท่าลูกม้าแยกเขี้ยวขู่อยู่ตรงหน้าแบบ ไฮเดฟฯ แบบตูมั่งไหมล่ะ แล้วมาดูกันว่าเอ็งจะกล้าพูดโกหกไหม? "
" ไฮ...เดบ? ...เอาเถอะ ข้าเดาเอาว่ามันไม่ใช่สาระสำคัญ และข้าเชื่อว่าเจ้ากำลังพูดความจริงอยู่... "
" เออเด้! ตูจะไปโกหกเอ็งทำถ้วยทำโล่อะไรล่ะ แค่ไม่ได้กลับเวลาปัจจุบันตูก็เครียดจนจะเป็นกรดไหลย้อนอยู่แล้วเนี่ย! ทำไมมันไม่ได้ผลวะ!...เออ! ก่อนอื่นเลยนะ บอกให้เสือแกเอาเขี้ยวออกจากหน้าฉันซะทีเด้! มันเสียวจนฉี่จะราดอยู่แล้วเฟ้ยยย!!! "
" มายา แก้เชือกที่มัดเขาอยู่ซะ แล้วก็ถอยออกไปได้แล้ว...เอ้า! พวกเธอพอใจแล้วใช่ไหม? " ประโยคหลังมือสังหารหนุ่มหันกลับไปพูดกับหญิงสาวสองคนที่โผล่เดินออกมาจากมุมต้นไม้ด้านหลังสิงห์เหมือนเงาผี พร้อมๆกับที่หญิงสาวคนแรกที่เป็นชาวตะวันตกจะถอนหายใจเฮือกและพูดขึ้นเบาๆด้วยภาษาไทยที่เธออาจจะใช้ได้ดีกว่าสิงห์ด้วยซ้ำว่า
" อย่าได้ลำพองใจไป...ถึงเขาจะพูดจริง มันก็แค่ยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอุปนิกขิตของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดีว่าว่าเขาสังหารเป้าหมายของเจ้าได้อย่างไร...หรือทำไมเขาถึงได้มีแหวนที่สร้างจากโลหะแปลกๆ ที่มีตราสัญลักษณ์ประจำหมู่บ้านของเราเด่นหราอยู่แบบนี้ "
" แหวน? " ไกรทวนคำอย่างงงๆ ก่อนที่ดวงตาเขาจะเบิกโพลงพร้อมกับร้องลั่นเมื่อเขาเห็นแหวนทองคำขาวของเขาอยู่ในมือของเธอ
" เฮ้ย! นั่นมันแหวนของผมนี่! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้นะ!! "
เขาตะโกนโดยใช้น้ำเสียงกระด้างแบบที่เคยใช้ขู่ทุกคนได้ผลมาแล้วขู่อีกฝ่าย น่าเสียดายตรงที่ระหว่างที่ใช้น้ำเสียงนี้ เขาดันยังคงถูกมัดดิ้นกระแด่วๆเป็นปลาเกยตื้นอยู่นี่สิ คำขู่ของเขาจึงทำได้แค่ทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนจะสวมแหวนวงนั้นกับนิ้วโป้งขวาของตัวเองและตอบกลับมาเรียบๆว่า
" แหวนวงนี้จะอยู่ในความครอบครองของข้าจนกว่าข้าจะรู้แน่ชัดว่าเจ้าเป็นอะไรกับหมู่บ้านของพวกเรากันแน่...อืมมมม...ใจจริงแล้วข้าต้องบอกว่าข้าชักจะชอบแหวนสวยๆวงนี้ซะแล้วสิ...ถ้าหากเจ้าเกิดพลาดพลั้งตายขึ้นมา...ไม่ว่าจะเพราะสาเหตุใดก็ตาม แหวนวงนี้ถือว่าข้าขอได้ไหม? " คำพูดอันน่าขนลุกด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงของเธอทำเอาทุกคนยกเว้นไกรที่กลืนน้ำลายฝืดๆ ต้องหัวเราะเบาๆ ไม่เว้นแม้แต่หญิงสาวอีกคนที่ท่าทางเย็นชาเป็นน้ำแข็งก็ยังปิดปากหัวเราะกึกๆ ก่อนที่หญิงสาวคนนั้นจะหันไปหาสิงห์พร้อมกับพูดกับสิงห์เรียบๆว่า
" อย่าได้ยิ้มดีไป สิงห์...ความรับผิดในฐานนายประกันของเจ้ายังคงอยู่ตราบเท่าที่เขาจะพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่เป็นอันตรายต่อหมู่บ้านจริง "
" โธ่เอ้ย...เชื่อสัญชาตญาณของข้าซักครั้งจะเป็นไรไป เราเองก็รู้จักกันมาตั้งนมนานแล้ว ข้าเคยมองคนพลาดบ้างรึยังล่ะ? "
" ไม่เคยพลาดก็ใช่ว่าจะไม่มีวันมีครั้งแรก... "
" จ้าๆ ยอมแพ้แล้วๆ ...เออ ไกร...ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จักนะ นี่อนาสตาเซีย กับ ศกุนตลา เพื่อนของข้า...ส่วนพวกเธอ...นี่ไกร คนที่สังหารมังจากะเลและเป็นผู้ช่วยชีวิตข้าไว้อย่างไงล่ะ "
ไกรที่บัดนี้ถูกปลดจากพันธนาการด้วยความช่วยเหลือจากเสือสมิงของสิงห์ ลูบรอยบาดเล็กของเชือกที่บาดข้อมือเขาเล็กน้อย ก่อนจะประคองตัวเองให้นั่งพิงต้นไม้ด้านหลังและได้โอกาสสำรวจเหล่า เพื่อนๆ ของสิงห์ด้วยสายตาอย่างละเอียดอีกครั้ง
สำหรับหญิงสาวคนแรก...อนาสตาเซีย...ถ้าไม่นับว่าเธอเป็นชาวต่างชาติที่พูดภาษาไทยได้ดีพอๆกับอาจารย์สอนภาษาไทย หญิงสาวคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่น่าจะสามารถเป็นเพื่อนกับสิงห์ได้อย่างที่สุด...บุคลิกที่ดู สง่างาม และ สูงส่ง ของเธอมันต่างกับบุคลิก เถื่อน และ ดิบ ของสิงห์โดยสิ้นเชิง...เธอดูเหมือนเป็นลูกสาวของขุนนางระดับสูงของฝั่งฝรั่งเศสหรือรัสเซียมากกว่าจะมาประกอบสัมมาอาชีพเป็นมือสังหารอย่างสิงห์แบบนี้...
ในขณะที่หญิงสาวอีกคน...ศกุนตลา ก็แปลกไปในอีกความหมายนึง เพราะเธอมีความขัดแย้งหลายอย่างอยู่ในรูปลักษณ์อันงดงามของเธอ...หญิงสาวคนนี้แม้มองเพียงหางตาก็รู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูด แต่เมื่อมองชัดๆเขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสรัศมีบางอย่างที่น่าอึดอัด เพราะมันเหมือนมีพลังอันน่าขนลุกบางอย่างคอยหนุนหลังเธออยู่...นี่ยังไม่นับเครื่องแต่งกายที่ดำสนิทราวกับพึ่งกลับมาจากงานศพบวกกับครึ่งหน้าด้านขวาที่ถูกปิดไว้ด้วยหน้ากากรูปยักษ์แสยะเขี้ยวอีก มันทำให้เธอผู้นี้ดูน่ากลัวจนไม่น่าเข้าใกล้เลยทีเดียว
ก่อนที่ไกรจะได้ทันทักทายหรือว่ากล่าวอะไร สิงห์ก็ยกมือห้ามวูบพร้อมกับเขม้นมองไปที่ทิศตะวันออกของพวกเขาก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย
" หืม? อะไรงั้นหรือ สิงห์? " อนาสตาเซียเห็นท่าทางแปลกๆของสิงห์ก็เลยถามขึ้นในขณะที่ศกุนตลาก็เงี่ยหูฟังเสียงนกที่ลอยมาตามสายลมก่อนจะเลิกคิ้วช้าๆและเป็นฝ่ายตอบแทนเบาๆ
" กองทหาร มีทั้งพลเดินเท้าและทหารม้า...ไม่ใช่น้อยๆด้วยสิ สงสัยจะเป็นทัพที่จะลงไปเสริมทัพที่กรุงอโยธยา "
" ไม่ใช่หรอก... " สิงห์ลงทุนลงไปนอนเอาหูแนบพื้นเพื่อฟังก่อนจะถอนหายใจเฮือกและส่ายหน้าช้าๆ และพูดต่อ
" ถึงจะถูกที่เป็นทัพแต่จำนวนก็น้อยเกินกว่าจะเป็นทัพหนุนของเมืองๆนึง ต่อให้เป็นเมืองน้อยก็เถอะ...ทั้งยังไม่ได้เดินทางอย่างเป็นระเบียบแบบการเดินทัพในตำราพิชัยสงคราม ข้าคิดว่าน่าจะเป็นกลุ่มชาวบ้านหรือไม่ก็เป็นกองโจรมากกว่า "
เมื่อสิงห์พูดจบ เขาก็ต้องขยับตัวอย่างอึดอัดกับสายตาของทุกคนที่หันมามองเขาอย่างแปลกๆ จนกระทั่งเขาอดรนทนไม่ได้และคำรามออกมาดังๆ
" อะไรล่ะ! มองแบบนี้มันเหมือนหาเรื่องกันนะ! ใช่ว่าข้าจะหลับทุกครั้งที่ท่านผู้เฒ่าสอนเสียหน่อย! "
" เฮ้อ...เอาเถอะ...จะทำอะไรก็รีบทำเข้าดีกว่า...พวกนั้นใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว " อนาสตาเซียตัดบทเบาๆพร้อมกับถามความเห็น แต่ความเห็นแรกที่มาจากศกุนตลาก็ทำให้เธอต้องกุมขมับทันที
" ทำไมเราไม่หลบออกจากด่าน(เส้นทางเดินในป่า)นี่เสียล่ะคะ? "
" ที่พูดมานี่คิดก่อนรึเปล่าเนี่ย? ก็เห็นอยู่ว่าสิงห์นั่งหมดสภาพอยู่อย่างนี้ ต่อให้เป็นผู้ใช้สัตว์อสูรอัจฉริยะ แต่ถ้าให้วิ่งหรือขี่ม้าแบบที่พวกเราทำกันตอนปรกติมีหวังเขาได้ช้ำในหรือกระดูกซี่โครงทิ่มปอดตายแน่ๆ เธอคิดจะฆ่าเขารึไง?! "
" อ๊ะ...ข้าขออภัย " เป็นคำขอโทษที่ไร้วี่แววของความเสียใจเลยแม้แต่ซักเสี้ยวเดียวในความคิดของไกร จึงไม่แปลกเลยที่เขาจะเห็นสิงห์กลืนน้ำลายฝืดๆ
" งั้นก็ต้องใช้วิธีเก่าๆโง่ๆเหมือนเดิม...พวกเธอหลบไป ส่วนฉันจะแกล้งทำเป็นชาวบ้านตาดำๆ " สิงห์พูดขึ้นอย่างแกนๆ ราวกับไม่ค่อยอยากจะใช้วิธีนี้นัก ก่อนที่ทุกคนจะหันมามองที่ไกรอีกครั้ง
" อ...อะไร? " ไกรที่เห็นท่าไม่ดีรีบถามขึ้นอย่างระแวง
" ไม่อยากพูดเลยว่ะไกร...แต่งานนี้ข้าต้องให้เจ้าช่วยแล้วล่ะ " สิงห์พูดพลางเอี้ยวตัวไปหยิบอะไรบางอย่างที่ย่ามด้านหลัง ก่อนจะหันกลับมาและปาเสื้อคอกลมเนื้อหยาบๆกับผ้าโจงกระเบนสีทีบๆมาให้และพูดต่อ
" เปลี่ยนเสื้อแสงของเจ้าเสีย...เครื่องแต่งกายของเจ้ามันแปลกและสะดุดตาเกินไป "
" เฮ้ยๆๆๆ เดี๋ยวเด้! ทีแรกบอกไม่ไว้ใจฉัน แล้วไหงตอนนี้ถึงจะให้ฉันออกหน้าล่ะฟะ! "
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนหันไปมองหน้ากันเองอีกครั้ง ก่อนที่อนาสตาเซียจะถอนหายใจเฮือกเพราะเหมือนทุกคนจะพูดกันไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ เลยยกหน้าที่ให้เธออธิบายแทน
" ฟังนะ ไกร...ที่พวกเราต้องให้เจ้าเป็นคนออกหน้า หาใช่เพราะพวกเราไว้ใจเจ้า...แต่เจ้าลองมองข้ากับสกุนตลาดูสิ...เจ้าจะคิดยังไงหากเจ้ามาเจอกลุ่มเดินทางที่ประกอบด้วยชาวฝรั่งแขนยาวอย่างฉัน กับหญิงสาวที่แต่งตัวราวกับคนบ้าอย่างศกุนตลาแบบนี้ " (หลังจากการก่อกบฏในปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ชาวชาติตะวันตกก็แทบไม่ได้มาติดต่อค้าขายกับอยุธยาเลย)
" ท่านอนาสตาเซีย... "
" อ๊ะ! อภัยให้กับความปากพล่อยของข้าด้วย ประเด็นก็คือถ้าหากพวกเราต้องการจะช่วยไม่ให้สิงห์ต้องช้ำในตายและความเรื่องที่เราเป็นชาวหมู่บ้านยุคันตวาตแตก เราก็ต้องพึ่งเจ้าแล้ว "
" อ...เอาจริงดิ? "
" คิดอะไรมากมายวะ? เจ้าช่วยข้ามาแล้วหนนึง...แล้วครานี้ทำไมจะช่วยอีกไม่ได้ล่ะ เอ้า! พวกเธอก็หลบไปได้แล้ว เดี๋ยวพวกมันมาเห็นเข้าจะยุ่งกันเสียเปล่าๆ " สิงห์สำทับมาอีกคนจนไกรถึงกับต้องอ้าปากค้าง
" ร...ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดีจริงๆ "
...เพียงไม่ถึงอึดใจหลังจากที่ไกรเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้กลายเป็นเหมือนชาวบ้านธรรมดาๆ เสร็จสิ้น ทั้งเขาและสิงห์ที่นั่งแบ่บอยู่ก็ถูกล้อมด้วยเหล่าชายหญิงวัยฉกรรจ์เกือบครึ่งร้อยทั้งบนหลังม้าและพวกเดินเท้าพร้อมกับอาวุธครบมือ...แต่อาจจะเป็นเพราะแถวนี้เป็นพื้นที่ปลอดภัย หรือไม่ก็เพราะพวกเขาดูภายนอกไม่เป็นพิษเป็นภัยเลยก็แล้วแต่ ชาวบ้านติดอาวุธเหล่านั้นจึงไม่มีใครชักดาบออกมา หรือมีท่าทีประสงค์ร้ายต่อเขาสองคนเลย...
" ...พวกเจ้าดูไม่เหมือนนักเดินทาง " ในที่สุดชายที่่ดูเป็นเหมือนผู้นำของคนกลุ่มนี้ก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ ...เขาเป็นชายฉกรรจ์ที่ไว้ผมทรงมหาดไทยและไว้หนวดดกเฟิ้ม ผิวสีน้ำผึ้งของเขาเป็นมัดกล้ามสวยงาม ทุกครั้งที่เขาพูดมันดูเหมือนเขาขู่คำรามแต่ก็ยังไม่ได้แฝงความคุกคามใดๆ...มันเป็นเหมือนการพูดคุยกันแบบปกติยังไงยังงั้น
" ทำไมถึงคิดว่าผม...เอ่อ...พวกข้าดูไม่เหมือนนักเดินทางล่ะ " ไกรย้อนถามโดยรีบเปลี่ยนสรรพนามใหม่เพื่อให้เขาดูเหมือนเป็นคนของยุคนี้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ชายหนุ่มคนนั้นเลิกคิ้วที่ดกหนาขึ้นเล็กน้อย ดูเขาจะไม่ติดใจอะไรเกี่ยวกับสรรพนามแปลกๆที่โผล่มาในตอนแรกนัก
" ก็ไม่มีนักเดินทางที่ไหนโง่พอจะเดินทางกันแค่สองคนในช่วงเวลาแบบนี้น่ะสิ พวกเจ้าเป็นคนที่ใดกันรึ? "
ไกรหันกลับไปมองหน้าสิงห์ในขณะที่สิงห์พยักหน้ารับเบาๆเป็นเชิองให้พูดไปตามที่นัดแนะกันไว้
" พวกข้าเป็นคนแถวชานเมืองทางเหนือ ความจริงพวกเราก็มากันเป็นหมู่คณะอยู่หรอก แต่ข้าสองคนพลัดหลงกับคณะน่ะ "
ชายหนุ่มบนหลังม้าคนนั้นเพ่งมองทั้งเขาและสิงห์ที่เห็นๆว่านอนบาดเจ็บอยู่อย่างพินิจ ก่อนที่ริมฝีปากที่ประดับด้วยหนวดดกหนานั้นจะสแยะเป็นรอยยิ้มช้าๆ
" ดูเจ้า...ไม่ได้หวาดกลัวข้า หรือคนของข้าเลยนะ? "
ไกรเหลือบไปมองรอบๆ ก่อนจะอดยักไหล่ของตัวเองเบาๆและหัวเราะออกมาไม่ได้...เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับสิงห์ที่สามารถแปลงร่างเป็นสัตว์เดรจฉานได้แทบทุกตัว หรือแม้กระทั่งถอดกระดูกขากรรไกรตัวเองออกมาแบบงูได้ หรือเทียบกับศกุนตลาที่แผ่รัศมีอันน่าขนลุกมาตลอดเวลา เหล่าชาวบ้านที่มีอาวุธเพียงแค่ดาบเก่าๆหรือไม่ก็เป็นเครื่องมือประกอบสัมมาอาชีพอย่างเคียวหรือคราดพวกนี้มันดูน่ารักน่าชังจนไม่เหลือความน่ากลัวใดๆเลย
ดูเหมือนสิงห์จะรู้ความคิดของเขา เขาจึงรีบกระแอมไอออกมาเพื่อเตือนสติทันที
" ก็พวกเจ้า ไม่ได้มีท่าทีขู่ข้าให้หวาดกลัวนี่ "
" ฮ่าๆๆๆๆๆ ข้าชอบพวกเจ้านะ พวกเจ้ากล้าหาญชาญชัยเกินกว่าจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา...เห็นแก่ความรู้สึกของข้าที่คงจะเสียดายไม่น้อยหากพวกเจ้าจะตายไปอย่างไร้ค่า...ข้าจะขอเตือนพวกเจ้าไว้อย่างนึง... " เสี้ยววินาทีนั้นดวงตาสีเหล็กของชายหนุ่มไหววูบอย่างประหลาดด้วยหลากหลายอารมณ์ ก่อนจะสงบนิ่งอีกครั้งพร้อมกับพูดต่อ
" ล้มเลิกความคิดที่จะไปเข้ากับกรุงศรีฯเสียเถอะ...อโยธยาน่ะ...มันล่มสลายไปเรียบร้อยแล้ว... " เขาพูดพร้อมกับชักม้ากลับ เป็นสัญญาณให้ทุกคนที่ติดตามเขามาออกเดินทางกันต่อ แม้จะยังไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาทั้งหมดจะไปสิ้นสุดลง ณ ที่ใดก็ตามที...
" โชคดี...สหาย หวังว่าเราจะยังคงได้เจอกันอีกในเร็ววันนี้...ถ้าไม่ตายจากกันไปเสียก่อน " เป็นคำบอกลาที่แปลกประหลาดจนแม้แต่สิงห์ยังต้องหัวเราะออกมาเบาๆกับตลกร้ายแบบแปลกๆของอีกฝ่าย ในขณะที่ไกรขมวดคิ้วอย่างสะกิดใจอะไรบางอย่าง...เขารู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้อย่างประหลาด...คุ้นหน้า...จนกระทั่งเขาอดพูดขึ้นดังๆไม่ได้
" เดี๋ยวก่อน! "
" ไกร?! " สิงห์ถึงกับร้องเสียงหลงในขณะที่ชายคนนั้นชักม้าหันกลับมาพร้อมกับเลิกคิ้วอย่างงงๆ
" ? "
" ถ้าหาก...ถ้าหากเราได้เจอกันในครั้งหน้า...พวกข้าควรจะเรียกท่านว่าอะไร? "
" หือ? นั่นเป็นประโยคที่ใช้ถามชื่อกันงั้นหรือ?...ฮ่าๆๆๆๆ เอาเถอะ... " ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ถือสา ก่อนจะชักม้าหันกลับไปและพูดขึ้นดังๆ
" ชื่อของข้าคือ จัน ....คนพวกนี้เรียกข้าว่า จันหนวดเขี้ยว! "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ