ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) ...ตอนที่ ๒ ...กลับบ้าน...(๔)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
=================================================
...คำถามเชิงข่มขู่ที่ไร้แววล้อเล่นโดยสิ้นเชิงของสิงห์แฝงกระแสกลิ่นอายอำมหิตบางอย่างตามออกมาด้วย นั่นทำให้ไกรอดกลืนน้ำลายฝืดๆไม่ได้...มันเป็นคำถามที่เขาไม่อาจหาญพอที่จะเสี่ยงโกหกแน่นอน...
" ...พูดไป...นายก็คงจะไม่เชื่อฉันหรอก...นี่ไม่ใช่ประโยคเพื่อบ่ายเบี่ยงนะ แต่ฉันหมายความตามที่พูดทุกคำจริงๆ " ในที่สุดไกรก็หลับตาลงและพูดขึ้นเบาๆ
" ก็เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยซักคำ เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะไม่เชื่อเจ้า " สิงห์พูดสวนมาทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาหนีเลย
ไกรถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง ก่อนจะฝืนยิ้มบางๆ
" แล้วอย่าหาว่าฉันบ้าก็แล้วกัน... "
เขาพูดพร้อมตั้งท่าจะเริ่มต้นเล่าความจริงอย่างไม่ปิดบัง แต่เพียงแค่เขาจะเอ่ยปากเท่านั้น ร่างกายเขาก็สั่นสะท้านอย่างเจ็บปวดและรุนแรงราวกับมีกระแสไฟฟ้าแรงสูงไหลผ่านทั่วทั้งร่าง!
...นี่คือผล หรือบทลงโทษของการพยายามเปลี่ยนแปลงกฏของกาลเวลา...
ท่าทางของไกรทำให้สิงห์ถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกในขณะที่สองสาวในชุดกระโจมอกที่พร้อมจะลงอาบน้ำพุ่งพรวดกลับมาทันทีพร้อมอาวุธครบมือ!
" เกิดอะไรขึ้น สิงห์!!! "
" ข...ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! ข้าก็แค่ถามคำถามอะไรบางอย่าง แล้วอยู่ๆเขาก็ร้องขึ้นมาแบบนี้! " สิงห์รีบแก้ตัวทันที ในขณะที่อนาสตาเซียพุ่งเข้ามาประคองไกรที่บัดนี้ยังคงสั่นกระตุกอยู่อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ไว้พร้อมกับคลำชีพจรที่ต้นคอของเขาทันที
" ช...ชีพจรเต้นรัวเป็นย่ำกลองเลย...ข้าไม่เคยพบใครที่ชีพจรเต้นเร็วขนาดนี้มาก่อน ...แถม...ไม่รู้ข้าตาฝาดรึเปล่า แต่ราวกับว่าตัวเขาเหมือนจะโปร่งแสงเล็กน้อยราวกับจะหายไปด้วย...ศกุนตลา ไปหยิบล่วมยาของข้ามาที " เธอออกคำสั่งอย่างรวดเร็วจนลิ้นแทบจะพันกัน แต่ก่อที่ศกุนตลาจะวิ่งไปทำตามคำสั่ง ไกรที่ดิ้นรนอย่างเจ็บปวดก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เหลือเพียงแต่ลมหายใจที่ยังคงหอบถี่ราวกับพึ่งออกกำลังอย่างหนักมาไม่มีผิดเท่านั้น
" แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก... " ระหว่างที่เขากำลังหอบหายใจอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่นั้น อนาสตาเซียก็คว้าผ้าหมาดๆที่ศกุนตลาส่งมาให้เช็ดหน้าเขาเบาๆ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงซีเรียสจริงจังอีกครั้ง
" เป็นอย่างไรบ้าง ไกร? "
ไกรรวบรวมสติสัมปชัญญะของตัวเองที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดให้กลับมารวมกันอีกครั้ง แม้ว่าจะยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทางดีก็ตาม ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายถามซ้ำอย่างคาดคั้นอีกครั้ง เขาจึงได้แต่ตอบสิ่งแรกที่เข้ามาในหัวเขาออกไปทันที
" ...ข...ขาว... "
โครมมม !!!
จากสภาพประคองอยู่ดีๆ หญิงสาวก็ทิ้งเขาลงพื้นอย่างแรงจนเขาต้องร้อง อั่ค! ก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นปิดเนินอกขาวผ่องที่โผล่พ้นกระโจมอกของเธอด้วยสีหน้าที่แดงก่ำราวกับลูกตำลึงสุกไมมีผิด!
" เจ้า!! "
" ห...หือ...น...นี่ตูพูดอะไรออกไปนะ? " หลังจากเรียกสติสตังกลับมาได้ครบถ้วน ไกรก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับขมวดคิ้วพร้อมกับหันไปถามหญิงสิงห์เบาๆ แต่สิงห์ยังไม่ทันจะได้ตั้งท่าตอบ อนาสตาเซียก็ตอบคำถามให้แทนทั้งหมดเรียบร้อย
ฉาดดด!!!
...แม้ว่าคำตอบนั้นจะมาพร้อมกับฝ่ามือเรียวงามที่บรรจงประทับเข้าที่แก้มซีกซ้ายของเขาก็ตามที...
" จ...เจ้าคนฉวยโอกาส!! นี่เป็นการเสแสร้งแกล้งทำที่ชั่วร้ายอย่างที่สุด นี่เจ้าแสร้งทำเสียงเอะอะเรียกร้องความสนใจเพื่อจะให้ข้ากับศกุนตลาในสภาพเปลือยเปล่าตื่นตกใจรีบวิ่งมาดูงั้นรึ?!! " ระหว่างที่ไกรกำลังอ้าปากหวอเอามือถูใบหน้าซีกซ้ายที่กำลังชาดิกไปทั้งแถบ อนาสตาเซียก็ชี้หน้าด่าเขาอย่างเกรี้ยวกราด ขณะที่ศกุนตลาเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ แต่หลังจากที่เธอก้มลงสำรวจร่างกายของตัวเองที่มีสิ่งปกปิดแค่ผ้ากระโจมอกบางๆผืนเดียว แววตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นอำมหิตราวกับฆาตกรอีกครั้ง
" ด...เดี๋ยวก่อนๆๆๆ ตะกี๊ไม่นับๆ สมองฉันมันยังไม่เข้าที่เลยพูดสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร "
" มีเรื่องจะสั่งเสียแค่นี้ใช่หรือไม่? " คำตอบของอนาสตาเซียบ่งบอกเป็นอย่าดีเลยว่าเธอไม่ยอมรับฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นอีกแล้ว หญิงสาวบีบมือกร๊อบๆ พร้อมกับย่างสามขุมเข้ามา จนไกรมีสภาพไม่ต่างอะไรจากหนูติดจั่นที่กำลังพยายามหาทางรอดอย่างเต็มที่...จะให้บอกเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาในอนาคตของตัวเองก็ไม่ได้เพราะเขาเองก็ไม่อยากถูกไฟช๊อตอะไรแบบนั้นอีกแล้ว แต่เมื่อเขาหันกลับไปมองสิงห์ อารมณ์เขาก็ยิ่งปรี๊ดขึ้นไปอีกเพราะสิงห์กำลังแอบยกนิ้วโป้งพร้อมยิ้มอย่างลามกมาให้เขา...จะว่าไปงานนี้ก็มีมันคนเดียวที่ได้ประโยชน์แบบเต็มๆก็ว่าได้
" ท...ที่ฉันต้องทำอย่างนี้เพราะสิงห์สั่งให้ทำ! " ด้วยแรงโมโห ทำให้ไกรกล้าทำในสิ่งที่เลือดเย็นที่สุด...นี่เป็นการโยนความผิดกันแบบหน้าด้านๆเลยทีเดียว...
จากสภาพจำเลยสังคมแปรเปลี่ยนเป็นพยานปากเอกทันทีแทบจะในพริบตา เพราะจิตสังหารของสองสาวที่กำลังจะขยี้เขาให้แหลกอยู่รอมร่อหันกลับไปกดดันชายหนุ่มอีกคนทันที ยิ่งพอทั้งสองสาวได้เห็นสิงห์ที่กำลังทำท่ายิ้มลามกพร้อมกับยกนิ้วค้างอยู่ยิ่งแทบไม่ต้องทำการสืบสวนต่อเลย
" ฮ...เฮ้ยยยย ประเดี๋ยวๆๆๆๆ " สิงห์พยายามจะแก้ตัว แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรความน่าเชื่อถือของเขาดูเหมือนจะต่ำเหลือเกิน
" ก็กะแล้วว่าคนที่มีฐานะเหมือนเชลยกลายๆอย่างไกรมันจะกล้าทำเรื่องน่าบัดสีแบบนี้ได้อย่างไร...อ้อ...ที่แท้เป็นแผนการของเจ้าเองงั้นหรอกรึ...ช่างเป็นแผนที่เหนือเมฆดีแท้ๆ " ศกุนตลาชมเชยเบาๆ แต่ดันเป็นคำชมเชยที่มาพร้อมกับจิตสังหารที่ไม่น่าพิศมัยนี่สิ นั่นทำให้สิงห์ต้องส่ายหน้าเร็วปรื๋อ
" เฮ้ยๆๆๆ อย่านะเว้ยๆๆๆ เห็นๆอยู่ก็ว่าข้ากำลังเจ็บเจียนตายแบบนี้ น้ำใจพวกเจ้าจะทำข้าลงจริงๆเหรอ?! " แถมยังซวยตรงที่เขารีบพูดประโยคแบบนี้ขึ้น เพราะในความคิดของสองสาว ประโยคแบบนี้มันไม่ต่างจากประโยคแก้ตัวแบบเอาสีข้างเข้าถูที่ฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลย
ศกุนตลาเผยอยิ้มเห็นไรฟันอย่างสวยงามซึ่งเป็นรอยยิ้มที่งามราวกับนางอัปสรในเทพนิยายไม่มีผิด แต่ในสายตาของสิงห์ รอยยิ้มของหญิงสาวตรงหน้าไม่ต่างกับรอยยิ้มของเพชรฆาตที่กำลังเตรียมลงดาบใส่เขาเลยแม้แต่น้อย
หญิงสาวลูบแก้มสิงห์ที่กำลังสั่นเทิ้มอยู่เบาๆ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหู
" ...ไม่ต้องเป็นกังวลไปนะสิงห์...เพราะฝีมือระดับพวกข้าแล้ว ข้ารับรองได้เลยว่าจะไม่ให้กระเทือนถึงแผลซี่โครงเจ้าซักนิด...ไม่ดีรึไง งานนี้จะได้รักษาทีเดียวทั้งร่างไปเลย... "
" ฮะฮ่า ๆ ๆ ๆ ตอนนี้เจ้าพูดได้น่ารักดีแท้ๆรู้ไหม...ทำไมตอนปกติเจ้าไม่พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้บ้างนะ จะพูดก็แต่เฉพาะเวลาจะสังหารใครซัก--- " พอพูดท้ายประโยคปุ๊ปเขาถึงกับอ้าปากค้างปั๊ป เพราะมันเหมือนอนุมัติสร้างหลุมศพให้ตัวเองไม่มีผิด
" รู้ตัวก็ดีแล้วนี่... " รอยยิ้มของศกุนตลาแสยะกว้างขึ้นจนบัดนี้กลายเป็นรอยยิ้มของฆาตกรโรคจิตไปเรียบร้อยแล้ว
" ฮ...เฮ้ย! อย่า!! อ อ๊ากกกกกกกกกกกกกก ...ก ไกร! เอ็งกับข้ามีเรื่องต้องคุย ...ด เดี๋ยว ตรงนั้นมัน อ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!! "
ไกรได้แต่ยกมือไหว้ขออโหสิกรรมพร้อมกับอยากจะน้ำตาไหลพราก...การเสียสละของนายจะไม่สูญเปล่าเลย...สิงห์...
.................................................
...หลังจากที่อาบน้ำเสร็จสิ้น สองสาวตัดสินใจว่าพวกเธอจะเดินทางกันต่อเลย โดยไม่รอให้ชายหนุ่มสองคนซึ่งคนนึงเป็นเหมือนเชลยของพวกเธอ ในขณะที่อีกคนนึงสภาพบัดนี้ไม่ต่างจากจำเลยของสังคมปฏิเสธหรือทัดทานอะไรทั้งสิ้น นันทำให้ทั้งสิงห์และไกรจำใจต้องเดินทางต่อโดยที่ยังไม่ทันได้อาบน้ำอาบท่ากันเลยด้วยซ้ำ...แต่ก็อย่างว่า...สภาพที่ยังมีความผิดเป็นตราบาปติดตัวอยู่แบบนี้จะพูดอะไรมากก็คงไม่ได้เสียด้วยสิ...
ไกรในตอนนี้พยายามอย่างยิ่งที่จะเลี่ยงไม่สบตาของสิงห์ ถึงจะเหลือตาอยู่ข้างเดียวที่ลืมขึ้นเพราะอีกตาบวมปูดจนปิดไปแล้วก็ตาม แต่ตาข้างนั้นก็เต็มไปด้วยความอาฆาตชนิดสุดๆ ปากที่ตอนนี้เจ่อเป็นครุฑขมุบขมิบอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์ราวกับกำลังสาปแช่งเขาไม่มีผิด...ส่วนเสือสมิงสามตัวที่สิงห์เรียกมาเพื่อแบกสัมภาระเมื่อเห็นสภาพของสิงห์ที่ถ้าเป็นกระท้อนก็คงจะหวานเจี๊ยบเพราะน่วมเต็มที่ก็ถึงกับตกใจและพยายามจะมาเลียบาดแผลบนใบหน้าของอีกฝ่าย แต่เพราะลิ้นของเสือมันสากยิ่งกว่ากระดาษทรายเบอร์ศูนย์ เมื่อเลียเข้าเต็มแผลมันทำให้สิงห์ถึงกับต้องร้องเสียงหลงราวกับหมูถูกเชือด
" ก...ไกร...บอกไว้เลยนะ ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้จากไอ้มังจากะเล ป่านนี้ข้าฝังเจ้าไว้กลางป่าไปแล้ว! ...แต่ความอัปยศครั้งนี้เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าจะลืมเลือนเป็นเด็ดขาด...เผลอเมื่อไหร่ตูคิดบัญชีกับเอ็งชนิดทบต้นทบดอกแน่!! " สิงห์ล๊อคคอกระซิบกระซาบใส่เขาอย่างอาฆาตมาดร้ายในขณะที่ไกรได้แต่กลั้นหัวเราะกึกๆ เพราะใจนึงก็สงสารแต่ใจนึงพอเห็นสภาพของสิงห์ตอนนี้มันก็อดหัวเราะเยาะไม่ได้จริงๆ
" อ...เออ ฉันขอโทษจริงๆ...เหตุการณ์มันฉุกละหุกฉันก็ต้องหาทางออกบ้าๆไปแบบนั้น "
" แล้วเรื่องที่ข้าถามเจ้าล่ะ? ตกลงว่ายังไง? "
เมื่อสิงห์ย้อนกลับไปเรื่องที่เขาพูดค้างไว้ ดวงตาของไกรก็หรุบต่ำลง เขาเรียนรู้ถึงเรื่องที่อะไรควรพูดหรืออะไรไม่่ควรพูดแล้ว...และเขาก็ไม่อยากจะพลาดโดน ลงโทษ อะไรแบบนั้นอีก...
" เอาเป็นว่า...ฉันมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกล และฉันก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะกลับไปดินแดนนั้นให้ได้...ส่วนเรื่องที่ข้าอาจจะเป็นสาย---อุปนิกขิตอะไรนั่นเลิกคิดไปได้เลย เพราะฉันเองก็คงจะเป็นเหมือนกับพวกนาย...เป็นคนที่ไม่สนใจการรบรากันของพม่ากับอยุธยาเหมือนกัน "
" แค่ลมปากใครจะพูดก็พูดได้...เจ้าเล่นไม่ให้ความชัดเจนอะไรซักนิดเลยนี่หว่า? "
" เออ...จริงอย่างที่นายว่านั่นแหละ แค่ลมปากใครจะพูดก็พูดได้...แต่การกระทำของฉันจะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง "
สิงห์สบตาอีกฝ่ายอย่างชั่งใจ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก
" ในฐานะที่เป็นเสมือนนายประกันของเจ้า ข้ามีหน้าที่ต้องจับตาดูเจ้าอยู่แล้วโดยไม่จำเป็นให้เจ้าต้องคอยเตือนหรอก "
เพราะไม่จำเป็นต้องคอยห่วงว่าไกรจะจำทางได้อีกต่อไปเพราะตอนนี้ก็ใกล้จะถึงที่หมายเต็มที ไกรเลยไม่จำเป็นต้องโดนผูกผ้าปิดตาหรือถูกน๊อคด้วยการทุบท้ายทอยอีก เขาเดินตามทั้งสองสาวที่กำลังแหวกทางไปเรื่อยๆ ในขณะที่สิงห์ที่แรกก็จะอวดเก่งเดินตามเหมือนกัน แต่พอเดินไปได้ไม่ถึง 300 เมตรเขาก็ต้องทรุดลงกุมสีข้างที่ระบมอยู่จนไม่อาจเดินต่อไปได้ จึงต้องลำบากไกรช่วยแบกไปนั่งบนหลังเสือตัวที่ว่างอีก เพราะความผิดที่เขาถูกโยนมาแบบไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้แค่ไม่โดนสองสาวทิ้งไว้กลางป่าก็ถือเป็นบุญท่วมหัวแล้ว ไม่ต้องหวังว่าอีกฝ่ายจะมาช่วยเหลืออะไรเลย
ไกรมองทิวทัศน์ที่ต้องพูดว่า คืบก็เป็นป่า ศอกก็เป็นป่า ก่อนจะเกาหัวแกรกๆและมองสองสาวที่เดินนำอยู่อย่างฉงนสนเท่ห์ว่าทั้งสองใช้อะไรมาเป็นเครื่องมือนำทางในที่ๆเหมือนกันไปหมดแบบนี้ เพราะบางทีหญิงสาวก็เดินบนทางด่านสัตว์ ซักพักก็เลี้ยวเข้าพงเข้ารกชนิดที่ต้องใช้ดาบถางป่าเพื่อให้เดินสะดวก แถมบางครั้งศกุนตลาก็ต้องกลับมาซุบซิบถามอะไรบางอย่างกับเสือสมิงที่แบกของอยู่เบาๆ ก่อนจะกลับไปเดินนำต่ออีกต่างหาก จนอนาสตาเซียที่เห็นท่าทีของไกรเธอจึงชลอฝีเท้าลงมาเดินคู่กับเขาพร้อมกับขมวดคิ้วถามเบาๆ
" เจ้านี่มันท่าทางน่าสงสัยสิ้นดีเลยเจ้ารู้ตัวไหม? "
" โธ่...นี่ยังไม่เลิกระแวงผมอีกงั้นเหรอเนี่ย? ...ผมก็แค่สงสัยว่าพวกเธอเอาอะไรมาเป็นตัวช่วยนำทางเท่านั้น เข็มทิศรึก็ไม่ได้ใช้ "
" โธ่เอ้ย...พวกข้าเดินป่าแถวนี้มาตั้งแต่ยังแบเบาะ อย่าว่าแต่ตอนช่วงกลางวันแบบนี้เลย ต่อให้เป็นเวลากลางคืนแถมยังผูกผ้าปิดตาพวกข้าก็ยังเดินกันได้เลยด้วยซ้ำ...ว่าแต่เจ้าเถอะ... " อนาสตาเซียหันมาสบตากับไกรก่อนที่เธอจะหน้าแดงวูบจนต้องเสไปมองทางอื่นอีกครั้งและพูดต่อเบาๆ
" ...คือ...เมื่อเช้านี้...เจ้าเห็น...ง่า...เห็น เห็นอะไรบ้าง? " คำถามที่ตะกุกตะกักของหญิงสาวทำให้ไกรหันควับกลับมามอง เกือบจะหลุดขำอยู่รอมร่อ ถ้าไม่ใช่เพราะรอยแผลบนใบหน้าของสิงห์คอยเตือนสติเขาอยู่ เขามีหวังได้หัวเราะออกไปแล้วแน่ๆ
เขามองหน้าหญิงสาวที่ยังคงแดงก่ำอีกครั้งก่อนจะยิ้มบางและคิดอะไรบางอย่างออกไปอย่างช่วยไม่ได้...
' นี่ถ้าเผลอตอบไปว่าเห็นหมดทุกส่วน มีหวังได้กินของเผ็ดไม่ได้อีกเป็นเดือนแหงๆ '
" จะให้ฉันเห็นอะไรล่ะ ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันเจ็บแทบเป็นบ้าตายขนาดนั้น ใครมันจะไปมีเวลาคิดเรื่องลามกจกเปรตกัน "
หญิงสาวมองมาที่เขาอย่างค้นหาความจริงอยู่ครู่นึง ก่อนที่เธอจะลอบถอนหายใจเฮือกจนไกรต้องกลั้นหัวเราะกึกๆ หลังจากนั้นเธอก็ถามเขาอีกครั้ง
" แล้วตกลงร่างกายเจ้าตอนนี้? "
ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะทดลองขยับแขนขาไปมาเร็วๆ ...เขายักไหล่ก่อนจะตอบเธอกลับไปอีกครั้ง
" คิดว่า...คงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว...ผมหวังว่างั้นนะ "
" หวังว่า...งั้นเหรอ? "
" ใช่ คนเราอยู่ได้ด้วยความหวังเสมอไม่ใช่รึไง? "
" คิกๆ ถึงคำพูดของเจ้าจะเต็มไปด้วยสำเนียงและศัพท์แปลกๆก็เถอะ แต่คุยกับเจ้าแล้วก็สนุกอย่างที่สิงห์บอกจริงๆ "
ทั้งคู่เดินคุยกันไปอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนที่ศกุนตลาจะเดินย้อนกลับมาหาพวกเขาและพูดขึ้นเบาๆ
" พวกเราถึงหมู่บ้านแล้วค่ะ "
อนาสตาเซียพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เบาๆ ในขณะที่ไกรก้าวเท้าเดินไปในจุดที่ศกุนตลาเดินออกมาทันที คงเป็นเพราะคำบอกเล่าทั้งหลายแหล่เกี่ยวกับหมู่บ้านของพวกเธอซึ่งถูกเรียกว่า หมู๋บ้านยุคันตวาต มันทำให้เขาอดที่จะอยากเห็นหมู่บ้านนี้ด้วยตาตัวเองโดยเร็วไม่ได้ แต่เมื่อเขาแหวกแนวป่าออกมาเท่านั้น ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เพราะสิ่งที่ปรากฏบนคลองสายตาของเขามันช่างแตกต่างจากคำว่า หมู่บ้าน โดยสิ้นเชิง!
ป้อมปราการ!!
แถมยังไม่ใช่ป้อมปราการสมัยเก่าอย่างกำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาที่สร้างด้วยอิฐแดงอีกต่างหาก เพราะป้อมปราการนี้เป็นป้อมปราการที่ถูกสร้างหรือแกะสลักมาจากหินแข็งทั้งแท่งราวกับป้อมของชาติตะวันตกสมัยยุคอัศวินไม่มีผิด มีเชิงเทินสูงกันหน้าประตูใหญ่ชนิดที่ต่อให้กองทัพเรือนหมื่นมาบุกก็ไม่แน่ว่าจะบุกเข้ามาได้ด้วยซ้ำ ที่หน้าประตูใหญ่และธงทิวที่ประดับตามเชิงเทินรอบป้อมปราการถูกวาดไว้ด้วยสัญลักษณ์ดำที่มีลักษณะเดียวกับสัญลักษณ์บนหัวแหวนของเขาไม่มีผิดเพี้ยน!!
" ป...ป้อมปราการตะวันตกกลางป่าลึก...อ...เอาจริงดิวะเนี่ย?!! "
ระหว่างที่ไกรกำลังอ้าปากค้างพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ศกุนตลาและอนาสตาเซียก็เดินตามมาจนถึง เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนกับโดนผีหลอกของเขา ทั้งคู่ก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
" ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านยุคันตวาต...บ้านและปราการที่ชุบเลี้ยงสุดยอด มือสังหาร แห่งยุคนะ...ไกร... "
.........................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ