ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
28) ...ตอนที่ ๗...ราชวงศ์ที่ต้องคำสาป...(๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" ...ท่านออกญาฯ " หลังจากนิ่งค้างกันไปอย่างตกตะลึงอยู่เกือบนาที...ในที่สุด สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ก็ได้พระสติเป็นองค์แรก ดวงตาสีเข้มที่เป็นอย่างเดียวที่ไม่ถูกหน้ากากสีขาวปิดบังอยู่ไหววูบเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด...เขาผินพระพักตร์กลับไปสบตากับพระดอกเดื่อเล็กน้อย ก่อนจะตรัสขึ้นเรียบๆอีกครั้ง
" ข่าวนี่...สิ่งที่ท่านพึ่งจะพูดออกมานี่...ท่านแน่แท้แก่ใจว่ามันไม่ใช่ข่าวลวงแน่หรือ...ท่านแน่ใจกี่ส่วนกัน? "
ท่านผู้เฒ่าหันมาสบตากับไกรแว๊บนึงเหมือนกับจะยืนยันให้แน่ใจอีกครั้งจากตัวต้นเรื่องของข่าวอันเหลือจะเชื่อนี่ ว่าไกรไม่ได้ล้อเล่นแน่ใช่ไหม? ...เมื่อเห็นว่าไกรพยักหน้าตอบกลับมาเบาๆ เขาจึงหันกลับไปทูลตอบอย่างหนักแน่นว่า
" พุทธเจ้าข้า...เรื่องนี้ข้ารู้แน่แก่ใจเต็มสิบส่วน "
...ท่าทีเพียงเล็กน้อยของท่านผู้เฒ่าผู้เคยรั้งตำแหน่งออกญาจักรีศรีองครักษ์ไม่อาจจะรอดพ้นสายพระเนตรและสายตาอันคมกริบของพระเจ้าเอกทัศน์และหลวงพีดอกเดื่อไปได้ จอมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์หันไปมองเด็กหนุ่มนามว่าไกรอีกครั้งอย่างประเมินค่าเสียใหม่ เพราะท่าทีของออกญาจักรีฯนอกราชการ ทำให้ทั้งสองพระองค์ทราบทันทีว่าผู้เป็นเจ้าของข่าวๆนี้ ไม่ใช่ออกญามีชื่อตรงหน้า...แต่เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาใสอย่างกับก้นทารกนี่ต่างหาก...
" ...ท่านดอกเดื่อ...ท่านพอจะมีแผนที่ที่ใหญ่พอจะแสดงยุทธศาสตร์ได้อย่างชัดเจนบ้างหรือไม่? " พระเจ้าเอกทัศน์หันไปตรัสถามผู้เป็นอนุชาร่วมสายโลหิตซึ่งบัดนี้อยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ช้าๆ ในขณะที่พระดอกเดื่อเองก็พยักหน้ารับเบาๆ
" ...เจริญพร มหาบพิตร...เอ่อ คุณโยม...ไกร...ใช่หรือไม่? "
" พ...พระพุทธ---เอ๊ย! ขอรับ " ไกรรีบยกมือไหว้ทันทีอย่างตกใจ แถมยังสับสนเรื่องราชาศัพท์กับศัพท์ที่ใช้กับพระภิกษุอีกต่างหาก แต่พระดอกเดื่อก็หัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่ถือสา ก่อนจะชี้ไปที่กองสุมตำราและม้วนคัมภีร์ต่างๆ และพูดขึ้นเบาๆอีกครั้ง
" อาตมาขอวานโยมหน่อยสิ...ช่วยไปค้นที่กองตำราตรงนั้น แผนที่จะอยู่บริเวณล่างๆ เป็นม้วนหนังที่ใหญ่ที่สุดน่ะ ...หยิบมาให้ทีสิ "
ไกรพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะค่อยๆคลานเข่าเข้าไปและหยิบม้วนแผนที่หนังที่มีลักษณะที่พระดอกเดื่อว่าออกมากางออกตรงหน้าพวกเขาทั้ง ๔ คนช้าๆ ...ทันทีที่แผนที่ถูกกางเรียบร้อย พระดอกเดื่อก็ก้มลงมาเพ่งมองรายละเอียดของแผนที่ที่ถูกวาดออกมาได้อย่างละเอียดและถูกต้องนี้อย่างพินิจ ก่อนจะหันไปถามพ่ออยู่หัวผู้เป็นพระเชษฐาเรียบๆทันที
" มหาบพิตร...พอจะบอกอาตมาให้ทราบได้หรือไม่ว่ากองทัพที่มหาบพิตรส่งออกไปขัดตาทัพพม่า บัดนี้ตั้งค่ายอยู่ ณ ที่ใด? "
" หืม...ข้าก็ส่งไปตามที่พระท่านแนะนำนั่นแหละ... ๕ หมื่นนายส่งไปตั้งค่ายอยู่ ณ เมืองกาญจนบุรี...อีก ๕ หมื่นนายป่านนี้ก็น่าจะตั้งค่ายที่ด่านแม่ละเมา (บริเวณอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ในปัจจุบัน) เสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง? " พระเจ้าเอกทัศน์พูดเบาๆพลางชี้จุดที่เขาบอกให้พระดอกเดื่อดู ...แถมรูปแบบการสนทนายังฟังดูสนิทกันยิ่งกว่าที่ไกรคิดเสียอีก ...ในขณะที่พระดอกเดื่อยกถ้วยชาที่ยังคงมีควันกรุ่นๆขึ้นจิบพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
" อ้าวๆ? กล่าวเช่นนี้ก็เหมือนกับมหาบพิตรโทษอาตมาน่ะสิ...ก็จากข้อมูลที่มหาบพิตรให้มาในครานั้น มหาบพิตรก็บอกเองว่าพบเห็นทัพพม่าที่ด่านเจดีย์สามองค์แล้วมิใช่หรือ? "
" ก็ออกญามหาเสนารายงานมาเช่นนี้จริงๆนี่ท่าน และจะให้ข้ากล่าวเช่นไรกัน โธ่... "
" หืม?...กองทัพที่ว่านั่น...อย่าบอกนะว่าเป็นกองทัพของมังจากะเล...ถ้าเป็นกองทัพของเจ้านั่นล่ะก็ป่านนี้มิแตกพ่ายออกไปแล้วรึ...ก็มังจากะเลมันก็ตายตกไปร่วม ๗ ราตรีแล้วนี่ " ท่านผู้เฒ่าที่ได้ฟังคำหารือของจอมกษัตริย์ทั้งสอง ก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับพูดขัดออกมา แต่นั่นกลับทำให้ทั้งพระเจ้าเอกทัศน์และพระดอกเดื่อหันขวับมาที่พวกเขาทันที ...ในขณะที่เมื่อพูดจบ ท่านผู้เฒ่าก็ชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะครางออกมาเบาๆทันที
" โถ ...ปากกู ... "
" ...ท่านออกญา? ...เรื่องที่สำคัญขนาดนี้ท่านทราบได้อย่างไร? ...ก็ไหนท่านบอกว่าท่านลาออกไปประกอบสัมมาอาชีพเป็นแค่พรานป่าอย่างไรล่ะ? "
" อ...เอ่อ... "
" เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้แล้วนะ " ไกรกระซิบเบาๆ พร้อมกับกระเถิบออกห่างทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าหันมามองอย่างเคืองๆ ก่อนจะถอนหายใจเฮือก และเลือกตอบเท่าที่เขาจะตอบได้ว่า
" ...ไอ้เรื่องทราบได้อย่างไรข้าขอไม่เล่าล่ะกันนะ เพราะมันจะเสียเวลาโดยใช่เหตุ...แต่ที่ข้าบอกได้คือกองทัพที่ว่านั่นเป็นเพียงกองทัพลวง เป็นแค่พวกกองอาทมาท(พวกหน่วยกล้าตาย) เท่านั้น...ซึ่งเรื่องที่ว่าแม่ทัพมังจากะเลของกองทัพนั่นสิ้นชีวิตแล้วเรื่องนี้ข้ารับรองได้ว่าเป็นเรื่องจริงแน่... "
" รึว่า...ท่านออกญาฯ "
" เรื่องที่ว่าข้าทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ข้าขอข้ามไปก็แล้วกันนะพระพุทธเจ้าข้า "
" ปิดบังกันแบบเห็นคาตาเลยไม่ใช่รึอย่างไรเนี่ย?! ...ท่านก็รู้สึกเช่นข้าใช่หรือไม่? ท่านดอกเดื่อ " พระสุรเสียงที่เข้มขึ้นของอย่างตำหนืและจับผิดของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้ท่านผู้เฒ่าก้มหน้าลง ในขณะที่พระดอกเดื่อผู้ที่ถูกพาดพิงเหมือนกันกลับหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่ถือสาท่าทีปิดบังอำพรางของท่านผู้เฒ่า ทั้งยังพูดแก้ต่างให้ด้วยว่า
" อาตมาเห็นว่ามหาบพิตรสมควรที่จะพินิจเหตุการณ์ที่สำคัญกว่าเป็นปฐมนะ ...เรื่องปลีกย่อยน่ะข้ามไปเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาว่ากันก็ยังไม่สายนะมหาบพิตร "
แววพระเนตรที่ส่องผ่านหน้ากากของพระเจ้าเอกทัศน์สาดหมือนกับจะตำหนิพระภิกษุผู้เป็นพระอนุชาของพระองค์ แต่ก็อ่อนแสงลงด้วยพร้อมกับปัสสาสะ(ถอนหายใจ)เฮือก และทรงผินพระพักตร์หันกลับมามองแผนที่ตรงเบื้องหน้าพระองค์ต่อ
" ย่ำแย่เสียแล้ว...ถ้าหากที่ท่านออกญาฯพูดเป็นความจริง...อีกมิกี่มื้อกี่เพลาทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญาก็จะรุกข้ามเทือกเขาตะนาวศรีมาได้ ...ถ้าหากทัพของพวกพม่าสามารถข้ามมาตั้งมั่นอยู่ ณ ที่นั้นได้...พวกเราก็จะตีหักเอาได้ยากยิ่ง...ไอ้ครั้นจะมีใบบอกให้ทัพทั้งสองยกพลกลับมา ...เหล่าไพร่พลช้างม้าก็จะเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าจะไปต่อตีกับทัพพม่าได้ หากฝืนส่งออกไปอีกก็คงจะแตกพ่ายเป็นแน่...รึพระท่านคิดเห็นเป็นประการใด? "
...ท่าทีครุ่นคิดและพระราชดำรัสที่เต็มไปด้วยความสุขุมเยือกเย็นอยู่เป็นพื้นของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้ไกรที่หมอบนั่งฟังอยู่เงียบๆถึงกับต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง...เพราะแม้ว่าจะยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระโฉมที่แท้จริงที่อยู่ภายใต้หน้ากากสีขาวนั้น แต่เพียงเวลาแค่ไม่ถึงชั่วโมงมานี่ มันทำให้ความคิดและอคติที่เขาเคยมีต่อกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชอาณาจักรอโยธยา เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง...
...เกิดอะไรขึ้นกับคำพูดที่ถูกระบุไว้ในพระราชพงศาวดาร(๑) อย่างชัดแจ้งว่า...กรมขุนอนุรักษ์มนตรี (พระนามและตำแหน่งเดิมของพระเจ้าเอกทัศน์)นั้นโฉดเขลา หาสติปัญญาแลความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานุศักดิ์มหาอุปราชสำเร็จราชกิจกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองก็จะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย และมีพระราชดำรัสสั่งให้กรมขุนอนุรักษ์มนตรีออกผนวชเสียเพื่อไม่ให้กีดขวางเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (พระนามและตำแหน่งเดิมของพระเจ้าอุทุมพร) ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ...กันแน่...
...ในขณะเดียวกัน พระดอกเดื่อที่ในพระราชพงศาวดารและหนังสือประวัติศาสตร์ทุกฉบับต่างก็ระบุไว้ตรงกันว่า ถูกพระเชษฐา ปล้น ราชสมบัติที่พระราชบิดาของพระองค์อย่างพ่ออยู่หัวพระเจ้าบรมโกศมอบไว้ให้ จนต้องหนีราชภัยมาผนวช กลับไม่มีท่าทีโกรธเคืองพระเจ้าเอกทัศน์ผู้อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม พระท่านกลับให้คำปรึกษาการศึกแก่จอมกษัตริย์ตรงหน้า ทั้งยังช่วยแนะนำสิ่งที่พระเจ้าเอกทัศน์ทรงขาดตกบกพร่องไปอีกอย่างไม่ปิดบังอำพราง ในขณะที่พระเจ้าเอกทัศน์เองก็ทรงรับฟังอย่างสงบและตั้งพระทัยอีกต่างหาก...เสียงพระสรวลและเสียงหัวเราะที่มีขึ้นบางครั้งบางคราวระหว่างการหารือราชการศึกอันเคร่งเครียดของจอมกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ สร้างบรรยากาศบางๆ ที่ไกรคุ้นเคยอย่างที่สุดขึ้น...บรรยากาศที่เกิดขึ้นเสมอๆ เมื่อเขากลับถึงบ้านและพบกับครูมืดและเพียงออ...
...บรรยากาศ ...ของครอบครัว...
...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่า ตลอดเวลาที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์กำลังสนทนาเกี่ยวกับการศึกและหารือกันอย่างเคร่งเครียด...ท่านผู้เฒ่ากลับเอาแต่ลอบมองไกรอยู่ตลอดเวลาโดยที่พยายามไม่ให้ไกรมีโอกาสสังเกตเห็นท่าทีของเขา...
...เขาเป็นเพียงคนเดียวในยุคสมัยนี้...ที่รู้ว่าชายหนุ่มที่หมอบอยู่ด้านข้างเขาเป็นผู้ที่มาจากอนาคต นั่นทำให้เขาอดสงสัยในท่าทีที่แปลกประหลาดของไกรตลอดเวลาที่เขาเข้ามาภายในวัดประดู่นี่ไม่ได้...มันทำให้เขาอดนึกไม่ได้...ทั้งๆที่เพียรพยายามบอกกับตัวเองว่าจะไม่ก้าวก่ายหรือสอดรู้สอดเห็นแล้ว...แต่เขาก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี...
...ว่าอนาคตเขียนช่วงเวลาและรัชสมัยของพ่ออยู่หัวพระองค์นี้ไว้อย่างไรกันแน่?...
" ไกร... "
" ข...ขอรับ? " ไกรสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนกับพึ่งตื่นจากภวังค์เพราะการเรียกชื่อของท่านผู้เฒ่า ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วและตอบรับกลับมาเบาๆ
" ข้ารู้ว่าถึงตอนนี้ คนที่สามารถตอบข้อสงสัยของพ่ออยู่หัวและหลวงพี่ดอกเดื่อได้ดีที่สุดก็มีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น...ซึ่งอีกไม่ช้าก็เร็วทั้งสองพระองค์ก็จะทรงถามแน่...ข้าเพียงอยากจะเตือนไว้ว่าคำตอบของเจ้าจะยังผลไปถึงเส้นทางที่ทอดยาวไปถึงอนาคตของเจ้า...ฉะนั้น จงไตร่ตรองให้จงหนักในทุกๆคำตอบของ--- " ท่านผู้เฒ่ายังกระซิบพูดได้ไม่ทันจบดี ทุกอย่่างก็เป็นไปตามที่พูดไว้จริงๆ เพราะสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ผินพระพักตร์มาหาพวกเขาอีกครั้ง ก่อนจะยกพระหัตถ์ขึ้นกวักเรียกช้าๆ โดยเจตนามาที่ไกรโดยเฉพาะ
ไกรเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างงงงวยที่พระเจ้าเอกทัศน์เลือกที่จะเรียกเขาเข้าไป แทนที่จะเรียกท่านผู้เฒ่า ก่อนเขาจะค่อยๆคลานเข่าเข้าไปโดยพยายามเลียนแบบให้เหมือนภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ที่เขาเคยดูที่สุด และประนมมือถวายบังคมอีกครั้งเมื่อมาถึง
" ในเวลาเช่นนี้มิต้องมากพิธีหรอก...ไกร... " จอมกษัตริย์ตรัสออกมาช้าๆอย่างไม่ถือพระองค์...ซึ่งไม่ได้ช่วยให้เขาลดความประหม่าลงเลยแม้แต่น้อย " เอ้า...ไกร...เจ้ามีความเห็นเป็นประการใด? "
ดวงตาของไกรฉายแววฉงนสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะประนมมือตอบกลับไปเบาๆว่า
" อาญามิพ้นเกล้า...กระหม่อมเป็นเพียงผู้ติดตามของ...ท่านออกญาฯเท่านั้น...หาได้มีความรู้ความสามารถมากพอที่จะเสนอแนะสิ่งใดที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกสำคัญเช่นนี้ได้หรอกพระพุทธเจ้าข้า "
" ...สำหรับฐานะผู้ติดตามและพรานป่าฝึกหัดที่มิควรจะเคยเข้าเขตราชวังเลยแม้แต่เฉียดกราย...ข้าอดประหลาดใจในความสามารถด้านราชาศัพท์และความฉลาดในการพูดจาเอาตัวรอดของเจ้ามิได้นะ ไกร......อีกทั้งข้าก็ยังอดนึกนิยมความกล้าของเจ้ามิได้ ที่เจ้ากล้าปดข้าต่อหน้าต่อตาข้าเลยเช่นนี้... " พระราชดำรัสที่แช่มช้าเยือกเย็นอยู่เป็นพื้น เต็มไปด้วยแววเท่าทันแต่กลับไร้ซึ่งกระแสเสียงตำหนิติเตียนเลยแม้แต่น้อย เมื่อรวมกับแววพระเนตรที่เต็มไปด้วยความกรุณาปราณีเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ที่กำลังหยอกล้อเด็กของพระเจ้าเอกทัศน์ ทำให้ไกรต้องหลบสายตาด้วยความละอายแก่ใจอย่างหนักจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลย ในขณะที่หลวงพี่พระดอกเดื่อเองก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะขยายความให้กระจ่างขึ้นว่า
" โยมไกร...ทั้งอาตมาและพ่ออยู่หัวเองต่างก็รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณโยมเป็นเจ้าของข่าวใหญ่ข่าวนี้...อีกทั้งพ่ออยู่หัวยังทรงทราบก่อนอาตมาอีกด้วยซ้ำ ว่าคุณโยมเองนี่แหละที่เป็นปฐมเหตุให้ทัพลวงของพระเจ้าอลองพญาที่ท่านออกญาฯกล่าวถึง...ต้องแตกพ่ายล่าถอยกลับไป...ถึงอาตมาและพ่ออยู่หัวเองจะไม่ทราบว่าทำได้อย่างไรก็เถอะ ...โยมไกร...ตัวอาตมาเองก็ไม่ได้อยากจะบังคับใจใคร เหมือนประหนึ่งข่มเขาโคขืนให้กลืนหญ้าเช่นนี้ แต่เหตุมันร้ายแรงจนเกี่ยวพันถึงเอกราชของบ้านของเมือง ...เห็นแก่อาณาประชาราษฎร์ที่จะต้องมาเดือดร้อนกับศึกสงครามใหญ่ครานี้ ...โปรด...อย่าได้ปิดบังเราเลย... "
ประโยคที่พระดอกเดื่อพูดออกมานั้นทำให้ไกรถึงกับนิ้งอึ้งไปอย่างสังเกตเห็นได้ชัด...ดวงตาสีสนิมเหล็กของเขาหม่นแสงลงในขณะที่เขาคิดในใจอย่างรวดเร็ว...
...ในฐานะผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยามาอย่างมากมาย ถึงเขาจะจำรายละเอียดปลีกย่อยได้ไม่ครบ แต่เหตุการณ์สำคัญๆที่ส่งผลให้กรุงศรีอยุธยาต้องแตกพ่ายถึงกับสิ้นเมืองในกาลต่อมาก็อยู่ในหัวเขาอยู่ตลอด...ในเวลาที่เหมาะสมที่สุดเช่นนี้...คำแนะนำสั้นๆเพียงคำเดียวที่มาจากผู้มาจากอนาคตที่ตอนนี้เหมือนกับทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าอยู่แล้วอย่างเขา อาจจะทำให้กองทัพอยุธยาไม่มีวันพ่ายแพ้เลยก็เป็นได้ และนั่นจะทำให้เขาช่วยชีวิตชาวบ้านตาดำๆผู้บริสุทธิ์ได้อีกนับไม่ถ้วน!...
...แต่ถ้าหากเขาทำเช่นนั้น แล้วเกิดทำให้กรุงศรีอยุธยารอดพ้นจากการพินาศสิ้นเมืองไปได้ ...ประวัติศาสตร์ที่เขาเคยรู้จักมาจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง!!...ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะมีเขาเป็นต้นเหตุทั้งสิ้น...และเขาไม่แน่ใจว่าเขาเข้มแข็งพอจะแบกรับตราบาปที่จะติดตัวเขาไปจนวันตายนี้ได้...
...ไกรรู้ดีว่าถ้าเขาให้การช่วยเหลือกรุงศรีอยุทธยา .......ก็จะไม่มีวีรกรรมของชาวบ้านบางระจัน ....จะไม่มีการกู้เอกราชของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ...จะไม่มีการสถาปนากรุงธนบุรี ศรีมหาสมุทร ...และที่แน่นอนที่สุด ...จะไม่มีกรุงเทพมหานครอีกต่อไป !!...
" ย...โยมไกร?...นี่คุณโยม...ร้องไห้อย่างนั้นหรือ?!! "
คำอุทานอย่างตกอกตกใจของหลวงพี่พระดอกเดื่อ ทำให้ไกรสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์ความคิด...กลับสู่ห้วงปัจจุบัน (ที่ยังคงเป็นอดีตสำหรับเขา) อีกครั้ง...ไกรกระพริบตาเล็กน้อยอย่างรู้สึกตัวและเอามือแตะที่แก้มตัวเองเบาๆ ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง เพราะแก้มที่เปียกชื้นของเขาพึ่งจะบอกว่าเขากำลังร้องไห้ออกมาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ!
" ไกร?! " ท่านผู้เฒ่าร้องออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ไกรรีบใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาของตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบประนมมือเตรียมกราบทูลโดยเจตนาเพื่อกลบเกลื่อนพิรุธครั้งนี้อีกครั้ง
" ข...ข้า--- "
แต่ก่อนที่ไกรจะได้ทันพูดแก้ตัวอะไรออกมา อยู่ๆ ของบางสิ่งที่อยู่ในชายพกของทั้งเขาและท่านผู้เฒ่าก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงถึงขนาดเข้ารู้สึกได้ ก่อนที่ทุกคนจะได้ยินเสียงของบางอย่างแตกออกดัง เปรี๊ยะ !! เบาๆ
...ท่ามกลางความฉงนสงสัยของทุกคน ท่านผู้เฒ่าค่อยๆล้วงเอาของบางอย่างที่แตกออกในชายพกของเขาขึ้นมาดูช้าๆ ก่อนที่ดวงตาอันสุขุมของเขาจะเบิกกว้างขึ้นจนแทบถลนออกมานอกเบ้า เพราะสิ่งที่ปรากฎในมือของเขา คือเศษชิ้นส่วนของหอยเบี้ยสีขาวสะอาด ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยปรอทเหลวสีเงินยวงที่บัดนี้หมองคล้ำไปอย่างสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน!!...
" บ...เบี้ยแก้ของสิงห์...แตกกระจาย?! ย...อย่าบอกนะว่า?!! " ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะหันมาที่ทั้ง ๓ คนที่นั่งล้อมรอบแผนที่อยู่พร้อมกับตวาดดังลั่น!
" หนีไป !! "
คำตวาดยังไม่สิ้นเสียงกังวานดี ดวงตาที่ขยายกว้างของท่านผู้เฒ่าก็กลับกลายเป็นเเหลือกโพลงขึ้น พร้อมๆกับที่บริเวณหน้าอกของท่านผู้เฒ่าจะถูกแทงทะลุออกมาด้วยดาบที่มีลักษณะคล้ายกับดาบคาตานะสีดำสนิท เลือดสีคล้ำกระอักออกจากปากเป็นลิ่มๆทันที!! ในขณะที่พวกเขาทั้งหมดพึ่งจะเห็นชายร่างเล็กในชุดที่มีลักษณะคล้ายกับชุดนินจาสีดำสนิทผู้ลงมือ ใช้เท้ายันกระชากดาบออกจากอกของท่านผู้เฒ่า ก่อนจะชี้ดาบที่ยังคงเปรอะเต็มไปด้วยเลือดของท่านผู้เฒ่ามาที่พวกเขาอย่างประสงค์ร้ายทันที!
" เป้าหมายถูกกำจัดแล้ว ๑ ...เหลืออีก ๓ ... "
ระหว่างที่พระเจ้าเอกทัศน์และไกรกำลังนิ่งค้างอย่างตกตะลึงอยู่ พระดอกเดื่อเป็นผู้เดียวที่สามารถเรียกสติกลับคืนมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันและเลวร้ายที่สุดนี้ได้...ท่านลุกขึ้นยืนและกระทืบเท้าใส่แผ่นไม้ที่ตนนั่งทับอยู่ทันที...ส่งผลให้แผ่นไม้ที่ปูเป็นพื้นแผ่นนั้นแตกหักลงทันทีราวกับว่าเป็นแผ่นไม้ที่ถูกออกแบบมาให้แตกหักง่ายแบบนี้อยู่แล้ว ก่อนที่ท่านจะล้วงมือเข้าไปใต้ช่องที่ทะลุลงไปนั้น พริบตาเดียวก็ล้วงดาบที่ถูกตีขึ้นอย่างดีที่สุดและปราณีตที่สุดออกมาถึง ๓ เล่ม พระดอกเดื่อโยนดาบ ๒ เล่มให้ไกร ในขณะที่ตนเปลือยดาบในมืออีกเล่มออกจากฝักและตวาดเสียงดังลั่นทันที!
" อารักขาพ่ออยู่หัว !!! "
.....................................................
...ที่ด้านนอกพระอุโบสถ...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง...หลังสิ้นเสียงตวาด อารักขา ของพระดอกเดื่อ ทหารอารักขาและเหล่าโขลนทุกคนก็หันขวับมามองหน้ากันเองอย่างตกตะลึงทันที...แต่คนที่ได้สติกลับมาเร็วที่สุดกลับเป็นเจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวี ...องค์หญิงสิริจันทรกระชากพระแสงมีดสั้นที่ขัดอยู่ที่รัดพระองค์(เข็มขัด)ทองออกมาทันทีอย่างไม่รู้พระองค์ ก่อนจะพุ่งผลักประตูพระอุโบสถเข้าไปพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น!...
" พระราชบิดา!! "
" สิริจันทร? " พ่ออยู่หัวเอกทัศน์หันพระพักตร์มาที่องค์หญิงสิริจันทรที่กระแทกประตูเข้ามา ก่อนจะยกมือขึ้นและร้องห้ามด้วยพระสุรเสียงดังลั่น
" อย่าเข้ามา!! "
พระราชดำรัสห้ามของผู้เป็นพระราชบิดาทำให้องค์หญฺงสิริจันทรชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที ...ในขณะที่เหล่าทหารราชองครักษ์ที่พุ่งตามเข้ามาติดๆเหมือนกับว่าจะไม่ได้ยิน หรือไม่ก็ได้ยินแต่ด้วยความเป็นห่วงความปลอดภัยของพ่ออยู่หัว ทำให้พวกเขาพุ่งกระโดดเข้าไปพร้อมกับหอกในมือ ตะโกนก้องใส่มือสังหารหนุ่มผู้บังอาจหันดาบใส่เจ้าเหนือหัวของพวกเขาทันที!
แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา องค์หญิงก็ได้รู้ว่าเหตุใดพระราชบิดาของเธอถึงได้มีพระสุรสีหนาถ(ตะโกน) สั่งห้ามไว้...เพราะเหล่าทหารราชองครักษ์พุ่งล้ำหน้าเธอไปเพียงช่วงตัวเดียวเท่านั้น ก็ถูกพลังที่น่าจะเป็นไสยเวทย์มนต์ดำชั้นสูงบางอย่างเผาไหม้ร่างจนไฟลุกท่วมจนร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด ลงไปชักดินชักงอท่ามกลางกองเพลิงเพียงครู่เดียวก็ถึงกาลสิ้นลมอย่างน่าสังเวชทันที!!
" ทูลกระหม่อมแก้ว! โปรดถอยออกมาเพคะ!! " คุณท้าวศรีสัจจาที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบพุ่งมายืนบังเจ้าฟ้าหญิงในอารักขาของนางไว้ด้วยความเร็วอันไม่น่าเชื่อสำหรับหญิงชราเช่นนาง ในขณะที่พระเนตรของเจ้าหญิงสิริจันทรเบิกกว้างขึ้นไปอีกเมื่อเธอสังเกตเห็นแล้วว่าผู้ที่ยืนคุ้มกันพระราชบิดาและพระปิตุลา(อา)ของเธอเป็นใคร...
" ป...เป็นท่านไกรจริงๆ?! เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเช่นนี้ได้ล่ะเนี่ย?!! "
ในขณะที่พระดอกเดื่อเหลือบมองร่างอันไร้วิญญาณที่งอก่องอขิงและดำเป็นตอตะโกของเหล่าทหารราชองครักษ์โชคร้าย ๓-๔ นายที่กองอยู่ ก่อนจะหลับตาลงอย่างเจ็บปวดและหันกลับมากัดฟันกรอดมองมือสังหารตรงหน้าอย่างโกรธแค้นจนแทบจะลืมเลือนผ้ากาสาวภัสตร์ที่ท่านครองอยู่เสียสิ้น
" คิดไว้แล้วไม่ผิด! ภายในพระอุโบสถนี้เป็นกับดักที่ถูกกางไว้ด้วยปริมณฑลไสยเวทอวิชชาชั้นสูงอันชั่วร้ายบางอย่าง ที่กักกันไม่ให้คนในออกคนนอกเข้าจริงๆ ...เจ้ามันเลวเกินเยียวยาไปแล้ว!! "
ในขณะที่พ่ออยู่หัวพระเจ้าเอกทัศน์ลุกขึ้นยืนเต็มสัดส่วนพร้อมกับเชิดพระพักตร์ขึ้น...สายพระเนตรคมกล้าและไร้สึ่งแววของความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อยที่ฉายออกมาจากหน้ากากสีขาวบริสุทธ์ของพระองค์จับจ้องไปที่มือสังหารร่างเล็กตรงหน้า ก่อนจะมีพระราชดำรัสขึ้นเรียบๆทันที
" เจ้าเป็นใคร?...และใครส่งเจ้ามากัน? "
มือสังหารร่างเล็กในชุดนินจาคนนั้นตวัดดาบสะบัดเลือดของท่านผู้เฒ่าที่เปื้อนดาบสีดำสนิทของตนลงพื้น พร้อมกับคำรามออกมา ด้วยสายตาสีดำสนิทที่ว่างเปล่าจนน่ากลัว ตอบคำถามของพระเจ้าเอกทัศน์เรียบๆทันที
" คนตาย...ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...ได้โปรดรอรับความตายเสียโดยดีเถิด...กรมขุนอนุรักษ์มนตรี(พระเจ้าเอกทัศน์) กรมขุนพรพินิต(พระเจ้าอุทุมพร) ข้าคือพระกาฬผู้มาเอาชีวิตท่านแล้ว!! "
....................................................
ปัจฉิมลิขิต.
- (๑) มาจาก พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค 2. ที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงพิมพ์ขึ้นเป็นพระราชกุศลทานมัยในงานพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวรเสฐสุดา, พระอรรคชายาเธอ กรมขุนอรรควรราชกัญญา, สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพิจิตรเจษฎจันทร์ และสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี. พ.ศ. 2455.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ