ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
27) ...ตอนที่ ๖...จอมกษัตริย์ใต้ร่มกาสาวพัสตร์...(๔)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" ...ท่านออกญามิได้เข้าเฝ้าพ่ออยู่หัวมากี่ขวบปีกันแล้วขอรับนี่? " เมื่อได้ข้อตกลงอันน่าพอใจ(สำหรับฝ่ายพระเพชรพิไชย)แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับที่นั่งแถวหน้าสุดและดีที่สุดของเส้นทางเสด็จเพื่อที่จะรอเข้าเฝ้า...ในระหว่างที่กระบวนเสด็จของพระเจ้าเอกทัศน์ยังไม่มาถึงหัวหน้าทหารล้อมวังเฒ่าก็หันกลับมาถามท่านผู้เฒ่าเบาๆ ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าเองเมื่อได้ฟังคำถามของอีกฝ่ายก็ลูบเอามือลูบคางก่อนจะตอบกลับมาเบาๆ
" ...ก็...คงจะตั้งแต่ที่ข้ามีใบบอกขอลาออกจากราชการ เมื่อคราสิ้นสมเด็จพ่ออยู่หัวท้ายสระเสียล่ะกระมัง ทำไมรึ? "
" ก็เพราะว่าพ่ออยู่หัวยังคงรับสั่งถึงท่านอยู่อย่างเนืองๆเสมอๆ น่ะสิขอรับ...จนบางคราพวกข้ายังอดคิดไปเองไม่ได้เลยว่าท่านยังคงอยู่ในราชการเช่นเดียวกับพวกข้าอยู่น่ะสิ "
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ไกรขมวดคิ้ว ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็ได้แต่ถอนหสยใจเฮือก
" บางที...มันอาจจะเป็นความคิดที่ผิดก็ได้ เรื่องที่ข้าช่วยพ่ออยู่หัวไว้ในครานั้น "
...แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันถามอะไรกันต่อไปกระบวนเสด็จก็ค่อยๆเดินมาถึงที่ที่พวกเขานั่งหมอบกันอยู่แล้ว แต่กระบวนเสด็จนี้กลับเป็นกระบวนเสด็จเล็กๆที่นำหน้าด้วยทหารอารักขาและเหล่าโขลนเพียงเล็กน้อย ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ทรงเสด็จมาด้วย สิวิกา (เสลี่ยงที่มีม่านวิสูตรกั้นเพื่อไม่ให้คนเห็นผู้ที่นั่งมาบนเสลี่ยง) ตามมาด้วยเหล่านางสนองพระโอษฐ์และนางกำนัลที่อัญเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ พร้อมทั้งเครื่องอัฐบริขารชั้นดีไว้สำหรับถวายพระมาด้วย...ดูจากกระบวนเสด็จแล้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่านี่เป็นกระบวนเสด็จที่โดยเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์เท่านั้น โดยไม่ได้มาอย่างเป็นทางการแต่อย่างใด...
...แต่เมื่อสิวิกากาญจ์นั่นผ่านจุดที่ท่านผู้เฒ่าและไกรหมอบอยู่ จอมกษัตริย์แห่งอโยธยาที่อยู่เบื้องหลังม่านกั้นนั้นก็มีพระราชดำรัสขึ้นทันทีอย่างกระทันหัน
" หยุด! "
" อ่า...เอาแล้ว " ท่านผู้เฒ่าหลับตาและครางออกมาเบาๆ
" ข้าคงมิได้ตาฝาดไปกระมัง...ท่านออกญาจักรี? " สุรเสียงของพระเจ้าเอกทัศน์แม้ว่าจะเหนื่อยอ่อนและเหมือนว่าจะต้องใช้ความพยายามในการออกเสียงให้ชัด แต่กลับมีกระแสเสียงที่นุ่มลื่นราวกับผ้าไหม เต็มไปด้วยความเมตตาแต่กลับทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่เด็ดขาด...มีมนต์สะกดที่ทำให้แม้แต่คนที่อยู่ในยุคเสรีชนอย่างไกรยังถึงกับต้องก้มหน้าลงด้วยความยำเกรง...ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าผู้เคยมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ลอบถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพนมมือขึ้นถวายบังคมพร้อมกับตอบกลับไปเบาๆ
" พระองค์มิได้ตาฝาดแต่อย่างใด...ออกญาจักรีฯ นอกราชการถวายบังคมพระพุทธเจ้าข้า... "
" ถ้าเช่นนั้นวันนี้ก็เป็นวันที่ดีที่สุดวันหนึ่งในชั่วชีวิตของข้าแล้ว...ลุกขึ้นเถิดท่านออกญาฯ ข้ากำลังจะนำเครื่องอัฐบริขารเหล่านี้ไปถวายพระดอกเดื่ออนุชาข้า... "
" แต่ว่า... "
" นี่ไม่ใช่คำเชิญ แต่เป็นคำสั่ง...อย่าคิดว่าข้ามิรู้ทันว่าที่ท่านยังคงมาเข้าเฝ้าข้าได้ เป็นเพราะถูกพระเพชรพิไชยที่อยู่ข้างท่านคร่ากุมมา...ข้ามิต้องการให้ท่านอันตรธานหายไปอีกในช่วงเพลาสำคัญเช่นนี้...เพราะฉะนั้น... "
พระราชดำรัสที่ไม่อาจเลี่ยงหรือปฎิเสธได้ของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้ท่านผู้เฒ่าหมดทางที่จะบิดพลิ้วใดๆได้อีกต่อไป...ท่านผู้เฒ่าหลับตาลงก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้ไกร และยืนขึ้นเต็มสัดส่วนอีกครั้งพร้อมกับไกรที่ยังคงยืนขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก...จะบอกกับท่านผู้เฒ่าว่าเขาไม่ควรไปด้วยก็จนใจเพราะคงไม่เหมาะกับเวลา จึงต้องตกกระไดพลอยโจนเดินตามท่านผู้เฒ่าและกระบวนเสด็จเข้ามาในเขตวัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
" ...ท่านผู้เฒ่า " ในที่สุด ไกรที่เดินตามหลังท่านผู้เฒ่ามาก็หาจังหวะพูดกับท่านผู้เฒ่าจนได้ แต่แค่เรียกอีกฝ่ายเท่านั้น ตาเขียวๆของอีกฝ่ายก็หันขวับมากดเขาไว้ให้เงียบลงทันที
" อย่าได้คิดถอยหนีเอาตัวรอดออกไปเพียงคนเดียวเป็นเด็ดขาดเชียวนะ ไกร...ต่อให้ไม่นับรวมเรื่องที่เจ้าเป็นปฐมเหตุที่ทำให้เราสองต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจ้าก็ยังจะต้องเป็นผู้ที่แจ้งเรื่องทัพพม่ากับพระดอกเดื่ออยู่ดี...แต่ให้ข้าพูดก็พูดเถอะนะ ข้าว่างานนี้อาจจะหนักกว่าที่เจ้าและข้าคาดคะเนก็เป็นได้...เตรียมใจไว้ก็แล้วกันนะ "
" เป็นคำพูดที่ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเล้ย ผับผ่าสิ "
...ในที่สุด เมื่อสิวิกากาญจน์นั้นมาถึงหน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถและเหล่าทหารราชองครักษ์เข้าประจำตำแหน่งดีแล้ว ม่านวิสูตรนั้นก็ถูกเปิดขึ้น เผยให้เห็นพระโฉมของพ่ออยู่หัวแห่งราชอาณาจักรอโยธยา กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงส์บ้านพลูหลวงเป็นครั้งแรก...เมื่อเสี้ยววินาทีแรกที่ไกรได้เห็นพระโฉมเต็มๆ เขาถึงกับชะงักกึกไปชั่วหลายวินาทีจนแทบจะร้องออกมาเลยทีเดียว!...
...แม้จะอยู่ในเครื่องทรงของกษัตริย์ที่อยู่ ณ จุดที่สูงที่สุดของราชอาณาจักรอโยธยา อย่างที่ไม่ต่างจากที่ไกรเคยเห็นในภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์หลายต่อหลายเรื่อง แต่ที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงก็คือ ที่พระพักตร์ของพระองค์ถูกปิดบังไว้ด้วยหน้ากากสีขาวบริสุทธิ์ที่ปิดบังทุกๆอย่างบนพระพักตร์ไว้ เหลือเพียงช่องพระเนตรที่วาววับทั้งสองข้างเท่านั้นที่ปรากฏ ที่พระหัตถ์ทั้งสองข้างของพระองค์ก็ถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวอย่างมิดชิดจนคล้ายกับเป็นถุงพระหัตถ์ ก่อนจะสวมแหวนทับอีกที เมื่อรวมกับฉลองพระองค์(เสื้อ)และพระสนับเพลา(กางเกง) ที่ยาวมิดชิดกรอมข้อพระหัตถ์และข้อพระบาท ทำให้ไม่มีทางที่ใครจะเห็นรูปพระโฉมที่แท้จริงของจอมกษัตริย์พระองค์นี้เลยแม้แต่น้อย!...
" ไกร! อย่าเสียมารยาท!! " ท่านผู้เฒ่าที่เมื่อเห็นท่าทางตกตะลึงของไกรรีบคำรามเพื่อเตือนสติทันที แต่พระเจ้าเอกทัศน์กลับสรวลออกมาเบาๆอย่างมิได้ทรงถือสา ก่อนที่พระองค์จะเสด็จพระราชดำเนินมายืนประทับอยู่ตรงหน้าไกร ในขณะที่ไกรที่รู้สึกตัวก็รีบทรุดลงไปก้มหน้ายกมือขึ้นพนมทันที
" อา...อาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระพุทธเจ้าขอ--- "
" มิต้องขอโทษขอโพยกันหรอก...ข้าต้องขอบน้ำใจเจ้าด้วยซ้ำ ที่เจ้ามิได้โวยวายกระไรออกมาเมื่อเห็นข้าเป็นครั้งแรก...หน้ากากนี่เป็นสิ่งที่ช่วยปิดบังข้าจากความอัปลักษณ์ที่โรคเรื้อนได้ฝากไว้กับข้า เมื่อครั้งยังเยาว์วัยน่ะ...เจ้า--- "
" ก...ไกร พระพุทธเจ้าข้า "
" เช่นนั้น...ออกจะฟังดูแปลกไปบ้างนะไกร แต่ข้ากลับรู้สึกถูกชะตากับเจ้าเป็นพิเศษ โดยที่ข้าเองก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น...เจ้าเป็นอะไรกับออกญาจักรีเช่นนั้นรึ? "
คำถามของพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงตรัสถามในระยะประชิดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไกร...หรือใครก็ตามจะคุ้นเคย นั่นทำให้ไกรนิ่งอึ้งไปอย่างอับจนถ้อยคำ...ในขณะทีท่านผู้เฒ่าที่เห็นจังหวะก็พูดตอบคำถามนั้นทันที
" ไกรเป็นพรานป่าฝึกหัดที่มาฝึกอยู่กับข้า หลังจากที่ข้าออกจากราชการไปแล้วน่ะพระพุทธเจ้าข้า "
พระเจ้าเอกทัศน์ผินพระพักตร์กลับไปยังชายหนุ่มผู้เคยกินยศเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี (ถึงจะไม่รู้ว่าในรัชสมัยใดก็เถอะ) พร้อมกับสรวลในลำพระศอออกมาเบาๆอีกครั้งอย่างเท่าทัน และทรงตรัสขึ้นว่า
" อ้อ...พรานป่า...นี่คือสิ่งที่ท่านต้องการให้ข้า เชื่อว่า ท่านเป็นอยู่อย่างนั้นหรือ? ท่านออกญา "
" ควรมิควร...ก็แล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระพุทธเจ้าข้า "
" เอาเถอะ...ถ้าท่านลำบากใจที่จะบอก ข้าก็ไม่ได้คิดจะคาดคั้นอะไร " พระเจ้าเอกทัศน์ตรัสพร้อมกับพยักหน้าให้กับเขาสองคนช้าๆ เป็นสัญญาณให้ท่านผู้เฒ่าและไกรโดยเสด็จตามพระองค์ไปด้วย ทำให้เขาสองคนเลี่ยงไม่ได้นอกจากเดินตามพระเจ้าเอกทัศน์ไป โดยมีเหล่านางกำนัลผู้อัญเชิญเครื่องอัฐบริขารตามมาติดๆ
...เมื่อเข้าไปในพระอุโบสถ พวกเขาก็ได้เห็นพระภิกษุหนุ่มองค์หนึ่ง ที่คาดคะเนอายุจากหน้าตา น่าจะกำลังอยู่ในช่วงวัยฉกรรจ์คือประมาณ ๓๐ ต้นๆ...ดวงหน้าคมคายบวกกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงบ สุขุมภีรภาพ หยั่งรู้ และรัศมีแห่งความน่าเคารพยำเกรงแม้ว่าจะยังคงอยู่ในผ้าย้อมฝาดเก่าๆแท้ๆ ...นั่นทำให้ไกรเดาได้ไม่ยากเลยว่าพระภิกษุองค์นี้ คือพระดอกเดื่อ หรือพระเจ้าอุทุมพร จอมกษัตริย์พระองค์รองสุดท้ายแห่งราชอาณาจักรอโยธยาอันเกรียงไกรแน่ๆ ....เมื่อพวกเขาก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป ท่านก็นั่งรอพวกเขาอยู่เบื้องหน้าพระประธานเรียบร้อยแล้วแล้ว...
" ...เชิญ...เสด็จเข้ามาก่อนเถิดมหาบพิตร...อาตมากำลังรอท่าอยู่...อ๊ะ... " พระภิกษุองค์นั้นชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้ที่ติดตามพระเจ้าเอกทัศน์เข้ามา ก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นอย่างระลึกได้ทันที " คุณโยมทำให้อาตมาประหลาดใจจริงๆ...โยมเป็นคนสุดท้ายที่อาตมาคิดว่าจะได้พบในวันนี้เลยนะ คุณโยมออกญาจักรีฯ "
ท่านผู้เฒ่าหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่สนิทใจนักกับคำทักทายของพระภิกษุองค์นั้น ก่อนจะอดประนมมือและพูดขึ้นเบาๆไม่ได้
" อาจจะฟังแล้วขัดหูไปบ้างนะขอรับ...แต่ข้าพระพุทธเจ้าเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรด้วยซ้ำเลยว่าข้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร...หลวงพี่ดอกเดื่อ"
....................................................
...หลังจากนั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ไกรมีโอกาสได้เห็นขั้นตอนการถวายเครื่องอัฐบริขารแด่พระสงฆ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยาแบบใกล้ชิดแบบนี้ และไม่รู้ว่าจะเรียกว่าโชคดีที่สุดหรือดวงซวยที่สุดดี ที่พระภิกษุและผู้ถวายเครื่องอัฐบริขารที่มาเป็นนายแบบในกรณีศึกษาครั้งนี้ ได้แก่พระดอกเดื่อแห่งวัดประดู่ทรงธรรม หรือที่ในยุคสมัยของเขารู้จักกันในนามของสมเด็จพระเจ้าอุทมพร หรือขุนหลวงหาวัด ...กับกษัตริย์ลือนามองค์สุดท้ายแห่งราชอาณาจักรอโยธยา พระราชาผู้ที่ถูกประวัติศาสตร์ตราพระพักตร์ว่าเป็นต้นเหตุให้ราชอาณาจักรอโยธยาอันเกรียงไกรถึงกาลดับสูญในที่สุดนั่นเอง...
...ไกรที่นั่งมองอยู่เงียบๆถึงกับต้องขมวดคิ้วเล็กน้อยกับการถวายเครื่องอัฐบริขารครั้งนี้ เพราะทุกๆอย่างดำเนินไปอย่างเร่งรีบ แม้ว่าจะเทียบกับการถวายของแก่พระสงฆ์ในยุคสมัยของเขาก็ตาม...แต่ที่เขาเห็นได้ชัดๆชนิดแน่แก่ใจเลยก็คือ ...ไม่มีร่องรอยของความขัดแย้งใดๆระหว่างจอมกษัตริย์ลือนามทั้งสองพระองค์นี้เลย...ไม่มี...แม้แต่ในสายตาที่ลอบจ้องมองอย่างจับผิดเต็มที่ของไกรด้วยซ้ำ!...
...เป็นไปได้ยังไงกัน...ก็ในพงศาวดารทุกฉบับ แม้แต่ใน คำให้การขุนหลวงหาวัด ที่เขียนขึ้นโดยการสอบสวนพระเจ้าอุทมพรเองในฐานะเชลยศึกของพม่าก็ยังระบุไว้ตรงกันถึงความสัมพันธ์ที่ระหองระแหงของกษัตริย์พี่น้องสองพระองค์นี้นี่ ...แต่ที่เขาเห็นนี่มันเป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่นจนกระทั่งดีไม่ดีอาจจะสนิทกันยิ่งกว่าเขากับเพียงออด้วยซ้ำมั้งเนี่ย?! ...เป็นไปได้ยังไงกัน?!...
' หือ ฮะ? ให้พรจบแล้วเหรอ? เฮ้ย! สวดแบบย่อขาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ...อืม ...อันที่จริง...เวลาแบบนี้ก็ไม่ใช่เวลาที่พระราชาจะมาถวายเครื่องอัฐบริขารแก่พระภิกษุจริงๆนั่นแหละ...หรือว่า...การถวายเครื่องอัฐบริขารครั้งนี้เป็นเพียงการอ้างเหตุเพื่อจะมาพบกับพระเจ้าอุทุมพรอย่างงั้นเหรอ? ' ไกรคิดในใจอย่างสงสัยใคร่รู้ และเพียงแค่ไม่กี่นาทีต่อมา คำเฉลยก็ปรากฎทันที
" ...เอาล่ะ...พวกเจ้าออกไปก่อน...ข้ามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับพระดอกเดื่อตามลำพัง " หลังรับพรที่ถูกให้มาอย่างรวบรัดตัดใจความจากพระภิกษุตรงเบื้องพระพักตร์เสร็จสิ้น สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ก็หันกลับมาพยักพระพักตร์ให้กับเหล่านางกำนัลที่หมอบกราบอยู่เบื้องหลังพระองค์ ในขณะที่เหล่านางกำนัลก็เหมือนจะรู้หน้าที่ของตนดี เพราะพวกเธอก้มลงกราบและถอยออกหายลับมุมประตูหน้าพระอุโบสถไปอย่างไร้ที่ติใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ
" คำสั่งที่ข้าพึ่งพูดออกไปไม่เกี่ยวกับท่าน...ท่านออกญาฯ...เพราะฉะนั้นอย่าได้ลุกหายไปไหนเป็นอันขาดเจียวนะ " พระราชดำรัสชนิดกึ่งเล่นกึ่งจริงของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้ไกรต้องหันขวับกลับมามองท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง และพึ่งจะรู้สึกตัวว่าท่านผู้เฒ่ากำลังพยายามแอบย่องออกอีกทางอย่างเงียบกริบจนเกือบจะถึงประตูพระอุโบสถอีกด้านอยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดดักทางของพ่ออยู่หัวแห่งกรุงอโยธยา ท่านผู้เฒ่าก็จนใจจนต้องถอนหายใจเฮือกออกมาและคลานกลับมานั่งที่เก่าซึ่งอยู่ข้างๆกับไกรอีกครั้งเหมือนเดิม...
" ...สายพระเนตรของพระองค์ยังคงเฉียบคมเช่นเดิมนะพระเจ้าข้า " เมื่อหมดทางหนี ท่านผู้เฒ่าจึงได้แต่กราบทูลออกมาอ่อยๆ จนทำให้พระเจ้าเอกทัศน์และพระดอกเดื่อสรวลออกมาเบาๆ ในขณะที่ไกรถึงกับแยกเขี้ยววับทันที
" ตะกี๊---เมื่อครู่ตั้งใจจะทิ้งข้าแบบเห็นๆเลยใช่ไหมเนี่ย?!! "
" เฮ้อ...ใช่...ข้ายอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเลย...เสียดายที่ไม่สำเร็จนี่สิ " ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจเฮือกพร้อมกับพยักหน้ารับเบาๆโดยไม่มีท่าทีของความรู้สึกผิดซักกะนิด นั่นทำให้ไกรเกือบจะปรี๊ดแตกไปเลย
" แล้วท่านจะหลบเพื่ออะไรเล่า! อย่างไรเสียท่านก็ต้องนำเรื่องสำคัญนั่นมาบอกกับหลวงพี่พระดอกเดื่ออยู่แล้วนี่!! " ไกรคำรามออกมาเบาๆอย่างไม่เข้าใจ แต่ผู้ที่พูดต่อจากเขากลับไม่ใช่ท่านผู้เฒ่า แต่เป็นพระเจ้าเอกทัศน์ที่เอียงพระศอเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัยแทน
" หืม? แล้วท่านออกญาฯ มีข่าวร้อนอันใดมาแจ้งข่าวนี้ให้กับน้องเราอย่างนั้นหรือ? " พระสุรเสียงนุ่มที่ฉายแววจับผิดของพระเจ้าเอกทัศน์ทำให้เขาและท่านผู้เฒ่าชะงักกึก แต่ท่านผู้เฒ่าก็ยังคงเจนสนามพอจะไม่ส่อแววพิรุธใดๆให้เห็น ก่อนจะประนมมือถวายบังคมและตอบกลับไปทันที
" ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดดอกพระพุทธเจ้าข้า "
" หึๆๆ อย่าได้ดูหมิ่น...สำคัญผิดว่าเราจะเป็นเด็กน้อยไม่ประสาที่ท่านเคยอุ้มเคยชูไปตลอดสิ ท่านออกญาฯ ...ถ้าถึงขนาดที่ท่านยอมเสี่ยงเปิดเผยสถานะบุคคลสาปสูญของตัวท่านเองที่ท่านปิดมากกว่ายี่สิบขวบปี เพื่อแจ้งข่าวบางอย่างให้แก่พระดอกเดื่อทราบ ข่าวนั้นก็ต้องสำคัญชนิดคุ้มค่าพอที่จะยอมเสี่ยงเดิมพันแน่...และให้ข้าทายนะ ข่าวที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาเช่นนี้ก็คงหนีไม่พ้นข่าวการยาตราทัพของเหล่าพม่ารามัญ ที่นำโดยพระเจ้าอลองพญาเป็นแน่...อย่างไรฮึ? ท่านออกญาฯ...ข้าทำนายได้ใกล้เคียงประการใด? " ภายใต้หน้ากากสีขาวบริสุทธิ์นั่น...ไกรเชื่อมั่นแทบจะร้อยทั้งร้อยว่าพระเจ้าเอกทัศน์คงจะแย้มพระสรวลอยู่แน่ๆ ในขณะที่พระราชดำรัสชนิดดักคอของพระองค์ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าถึงกับอับจนต่อถ้อยคำ ก่อนที่ในที่สุดเขาก็ต้องจำใจพยักหน้ารับเบาๆ
" เป็นเช่นทานว่า พระพุทธเจ้าข้า... "
" หึ! ดีเสียจริงนะ...ทั้งๆที่หากใช้เส้นสายที่ยังคงมีอยู่อย่างเหลือเฟือของท่าน ท่านน่าจะเข้าเฝ้าข้าได้อย่างสะดวกดายแท้ๆ ...แต่ท่านกลับยังคงยอมปลอมแปลงซ่อนเร้นตน เป็นสภาพพรานป่าทุเรศทุรัง เพื่อลอบเข้ามาพบกับน้องเราแทน...ชนิดที่ถ้าหากข้ามิได้ประจวบเหมาะมาถวายเครื่องอัฐบริขารแก่พระดอกเดื่อในวันนี้พอดี ข้าคงมิได้มีโอกาสพบท่านเป็นแน่แท้... เฮ้อ...น่าอิจฉาวาสนาของท่านเสียจริงนะ ท่านดอกเดื่อ...ขนาดลาออกจากพระอิสริยยศมาผนวชเป็นพระแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นซึ่งพระอิสริยศักดิ์ ...จนแม้แต่ผูที่ข้าต้องการพบอย่างที่สุดอย่างท่านออกญาฯ ยังเลือกที่จะมาพบท่านแทนข้าเช่นนี้...น่าอิจฉาเสียจริงๆ " พระราชดำรัสที่เต็มไปด้วยกระแสตัดพ้อและน้อยพระทัยของพระเจ้าเอกทัศน์ ที่แสร้งหันไปตรัสกับพระดอกเดื่อทำให้ท่านดอกเดื่อฝืนหัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่สนิทใจนัก ...ในขณะที่คนที่งานนี้รับไปเต็มๆอย่างท่านผู้เฒ่าถึงกับหน้าเสียไปเลยทีเดียว...
" ...เสียหมาจนได้สิน้า...กูเอ๋ย... " ท่านผู้เฒ่าได้แต่ครางออกมาเบาๆ ก่อนหันมาใช้สาตาที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อจ้องใส่ไกรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เหมือนกับจะโทษว่าต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดมาจากเขา...ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันนี้ท่านเองก็จำไม่ได้แล้ว และหันกลับไปหาพระเจ้าเอกทัศน์และพระดอกเดื่อพร้อมกับกระแอมไอเบาๆอย่างเป็นการเป็นงาน และพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า
" พระอาญามิพ้นเกล้า...ข้าพุุทธเจ้าทราบดีว่าเรื่องที่ข้าพุทธเจ้าจะกราบทูลออกไปนั้น จะเป็นเรื่องที่ฟังแล้วออกจะ...ยากที่จะปลงใจเชื่อไปสักนิด...ฉะนั้นข้าพุทธเจ้าจะขอกราบทูลอย่างช้าๆ... "
พระเจ้าเอกทัศน์หันพระพักกลับไปสบพระเนตรกับพระดอกเดื่อผู้เป็นอนุชาอยู่ชั่วเสี้ยววินาทีนึง ในขณะที่พระดอกเดื่อเองก็ส่ายหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงว่าท่านเองก็ไม่ทราบถึงจุดประสงค์ในการมาของอีกฝ่ายเหมือนกัน ทำให้พระเจ้าเอกทัศน์ต้องหันกลับมาและตรัสเบาๆ
" ว่ามาเลยท่านออกญาฯ ข้าสองคนพร้อมจะรับฟังแล้ว "
" ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม...แต่สิ่งที่ข้าพุทธเจ้ากำลังจะบอกกับพระองค์ก็คือ...กองทัพของพระองค์ที่ตั้งอยู่ ณ กาญจนบุรีและด่านแม่ละเมากำลังถูกหลอกด้วยทัพลวงของพระเจ้าอลองพญาเสียแล้ว ...และทัพหลวงที่แท้จริงของพระเจ้าอลองพญา บัดนี้คงจะเคลื่อนเข้า ผ่านด่านสิงขรเข้ามาทั้งทัพแล้วล่ะพระพุทธเจ้าข้า! "
" ว่าอย่างไรนะ!!! "
.................................................
...ณ เวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูทางเข้าพระอุโบสถ...
" หืม? ...พระบิดายังคงอยู่ในนั้นกับพระปิตุลา(อา) อย่างกระนั้นหรือ? " เจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรเทวีเปรยขึ้นเบาๆกับหญิงชราผู้กินยศคุณท้าวศรีสัจจาหัวหน้าจ่าโขลน พร้อมกับเอียงพระศอเล็กน้อยอย่างฉงนสงสัย ในขณะที่หญิงชราผู้อารักขาเธอก้มหน้าลงพร้อมกับพยักหน้าตอบคำถามของเจ้าหญิงเบาๆ
" เจ้าค่ะ "
" แล้วนอกจากพระบิดากับพระปิตุลาแล้ว คุณท้าวยังบอกกับข้าว่ามีผู้อื่นที่อยู่ในพระอุโบสถนั่นอีกอย่างนั้นหรือ "
" เป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ "
องค์หญิงใช้พระหัตถ์เรียวงามลูบพระหนุ(คาง) ของพระองค์อย่างครุ่นคิด พร้อมกับครางออกมาในลำพระศอเบาๆ
" ...อืม...แปลก...อาจจะฟังดูเอาแต่ใจไปบ้าง แต่คุณท้าวพอจะทราบไหมว่าคนๆนั้นเป็นใครกัน? "
" แน่นอนเจ้าค่ะ ข้ารู้จักเขาแน่นอน...เขาคือเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์นอกราชการ ที่เคยรับราชการมาตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระผู้เป็นพระปิตุลาของพ่ออยู่หัวเอกทัศน์พระราชบิดาของท่าน...และที่ข้ารู้จักเขาดีก็เพราะ--- "
" ก็เพราะ? " องค์หญิงสิริจันทรทวนคำเบาๆเมื่อเห็นคู่สนทนาของเธอเงียบไป แต่พอเธอหันกลับไปมอง พระขนงของเธอก็ต้องขมวดเป็นปมเลย กับท่าทีของท้าวศรีสัจจาที่บัดนี้กำลังบิดตัวไปมาพร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างเขินอาย ก่อนที่หญิงชราจะพูดออกมาเบาๆว่า
" ก็...ก็เพราะท่านออกญาฯเข้ามาเกี้ยวพาราสีหม่อมฉันอยู่บ่อยครั้งในขณะที่ท่านมีกิจธุระเข้ามาในวังน่ะสิเจ้าคะ ...ตั้งแต่สมัยที่หม่อมฉันยังสาวยังสวย และยังคงเป็นแค่จ่าโขลนธรรมดาๆด้วยซ้ำกระมังเจ้าคะ! "
เจ้าฟ้าหญิงสิริจันทรกระพริบพระเนตรปริบๆ ให้กับท่าทางที่ราวกับเด็กสาวร้อนรักวัย ๑๕ หยกๆ ๑๖ หย่อนๆ ที่ออกมาจากหญิงชราที่อายุบัดนี้ปาเข้าไปเกือบจะ ๗๐ แล้ว ก่อนจะอดแย้มพระสรวลออกมาแหยๆไม่ได้
" ตั้งแต่สมัยคุณท้าวยังสาว? ...ป่านนี้ออกญาฯมีชื่อนั่นมิแก่หง่อมจนเดินเหินแทบไม่ไหวแล้วรึ? "
ประโยคคำถามเชิงล้อเล่นโดยไม่ได้คิดอะไรนั่น กลับทำให้คุณท้าวศรีสัจจามีสีหน้าเคร่งลง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาเบาๆ
" ก็เรื่องนี้แหละเจ้าค่ะที่หม่อมฉันพยายามจะบอก...เพราะทั้งๆที่เรื่องมันก็ผ่านมานานเกือบ ๕๐ ขวบปีแล้ว...แต่ใบหน้าและรูปร่างของออกญาจักรี กลับมิได้เปลี่ยนไปจากวันแรกที่ข้าได้เจอกับออกญาผู้นี้เลยแม้แต่น้อยน่ะสิเจ้าคะ "
" ม...หมายความว่าอย่างไรกัน?! "
" อ้อ...แล้วออกญาฯ ยังมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งติดตามมาด้วยอีกคนหนึ่ง ซึ่งบัดนี้ก็ยังคงอยู่ในพระอุโบสถนั่นเจ้าค่ะ... "
" เด็กหนุ่ม?...หืม...อันที่จริงข้ายังคงอยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับออกญามีชื่อผู้นั้นอีกซักเล็กน้อยนะ...แต่คุณท้าวพอจะบอกรูปพรรณของเด็กหนุ่มที่ท่านว่านี้ได้หรือไม่? " องค์หญิงตรัสถามอย่างสะกิดพระทัยอะไรบางอย่าง ในขณะที่คุณท้าวศรีสัจจาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปตามจริงว่า
" แน่นอนเจ้าค่ะ...เด็กหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าคมคายและผมหยักศกราวกับเป็นผู้ที่ถูกเลี้ยงดูมาในวัง แต่กลับมีรูปร่างกำยำล่ำสันที่ข้าทราบได้ทันทีว่าคงจะฝึกหัดอาวุธมาอย่างหนักแน่ๆ ...และที่สำคัญที่สุดคือสีของดวงตาของเขาต่างจากชาวอโยธยาทั่วไปน่ะเจ้าค่ะ...ดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลเข้มแกมทองแดงที่คมกล้าเกินวัย... "
" ดวงตาสีสนิมเหล็ก... " องค์หญิงครางออกมาเบาๆด้วยพระเนตรที่เบิกกว้างขึ้น กอ่นจะหรี่พระเนตรนั้นลงพร้อมกับที่จะตรัสออกมาเบาๆอีกครั้ง...
" ...ท่านไกร "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ