ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.75K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
25) ...ตอนที่ ๖...จอมกษัตริย์ใต้ร่มกาสาวพัสตร์...(๒)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ================================================
...ไม่กี่อึดใจต่อมา เกวียนไม้มีประทุนของพวกเขาก็เข้าไปเทียบกับต้นไทรใหญ่ชานหมู่บ้านอันเป็นที่ตั้งของวัดประดู่ทรงธรรมซึ่งเป็นสถานที่จำพรรษาของพระดอกเดื่อหรือขุนหลวงหาวัด จอมกษัตริย์ลือชื่ออีกหนึ่งพระองค์ผู้ที่ตามพระราชพงศาวดารทุกฉบับเขียนไว้อย่างเดียวกันว่า ถูกพระเชษฐาของพระองค์เองแย่งชิงราชสมบัติ จนต้องหลบเลี่ยงราชภัยด้วยการใช้ร่มกาสาวภัสตร์เป็นที่พึ่ง...
...ไกรที่บัดนี้ตื่นเต็มตาแล้วโผล่ออกมาจากประทุนพร้อมกับมองบรรยากาศเช้าตรู่นี้เล็กน้อย...ด้วยความที่เกวียนของพวกเขาจอดอยู่ใกล้กับตลาดพอสมควร ทำให้เขาได้เห็นชีวิตประจำวันของชาวบ้านในสมัยอยุธยาได้อย่างเต็มตา ชนิดที่คงจะไม่มีใครคนไหนมีโอกาสแบบเขาแน่ๆ...
" เห?... " และบรรยากาศที่เขาเห็น มันทำให้เขาอดครางเบาๆออกมาไม่ได้...เพราะทั้งๆที่ทุกคนก็น่าจะรู้ถึงข่าวกองทัพพม่าที่เข้ามาประชิดชายแดนกันแล้ว แต่พวกชาวบ้านกลับดูไม่ค่อยจะแตกตื่นตกใจหรือเดือดร้อนกับเรื่องนี้เลย...ยังคงใช้ชีวิตประจำวันอย่างปรกติ ดูจากที่ทุกคนไม่ได้เร่งรีบในการซื้อขายผักปลากันเลย และถ้าเขาไม่ได้หูเพี้ยนไป เขาสาบานว่าเขาได้ยินเหล่าชายหญิงร้องเพลงหยอกล้อกันผ่านสายลมมาจากไกลๆด้วยซ้ำ...
" หืม? อะไร? เจ้าคิดว่าทุกคนจะอยู่ในสภาพตื่นกลัวเพราะภัยสงครามอย่างนั้นหรือ? " ท่านผู้เฒ่าที่เห็นท่าทีของไกรถามเบาๆราวกับรู้ใจ ในขณะที่ไกรเองก็พยักหน้าเบาๆอย่างยอมรับ
" แล้วจะให้ผมคิดไงล่ะ? ตอนที่ถูกพวกสิงห์จับตัวกลับไปที่หมู่บ้าน ผม...ไม่สิ...พวกเราได้เจอกับกลุ่มของชาวบ้านที่อพยพหนีภัยสงครามมา พูดกันตามตรงเลยนะว่าบรรยากาศของตอนนั้นต่างจากตอนนี้ราวกับฟ้ากับเหวเลย "
" ฮ่าๆๆๆ ข้าว่าเจ้าลืมเลือนเรื่องที่สำคัญที่สุดไปนะ... "
" ??? "
" สิ่งที่เจ้าลืมคือ ที่นี่คืออโยธยาไงล่ะ... " คำตอบของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรถึงกับนิ่งอึ้งไป ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าก็พูดต่อเรียบๆ
" ถึงจะเว้นว่างศึกสงครามกับพม่ามาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระเอกาทศรถ แต่กำลังโยธาของอโยธยาก็ยังคงไว้ซึ่งแสนยานุภาพที่ไม่อาจมีราชอาณาจักรใดดูแคลนได้ พูดกันตามความจริงต่อให้พวกเราไม่มาเตือนอโยธยาว่าทัพพม่าเคลื่อนมาทางด่านขุนทด ข้าก็ยังเชื่อว่าอโยธยาก็ยังรับศึกนี้ได้อยู่ดี...ที่ข้ามาเตือนอโยธยาก็เพื่อให้ศึกนี้จบไวที่สุด และมีผู้เคราะห์ร้ายน้อยที่สุดเท่านั้น"
' แปลว่าแม้แต่ผู้ที่ปราดเปรื่่องที่สุดอย่างท่านผู้เฒ่า ก็ยังไม่คาดคิดเลยว่าอยุธยากำลังจะแตกสินะ ' ไกรได้แต่คิดในใจอย่างเงียบๆ และตัดสินใจไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้...
...อนาคตของคนพวกนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับอดีตที่เป็นประวัติศาสตร์สำหรับเขา...และเขาเองก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเปลี่ยนแปลงมัน...สิ่งที่เขาต้องการที่สุดเป็นเพียงแค่การกลับสู่ยุคปัจจุบันของเขาเท่านั้น...
เมื่อเห็นไกรเงียบไป ท่านผู้เฒ่าก็อ้าปากหาวเล็กน้อย ก่อนจะกระเถิบตัวเข้ามาในเกวียนและเคลียร์ที่ทาง ในขณะที่ไกรได้แต่มองตาปริบๆ ก่อนจะต้องถามขึ้นอย่างงงๆ
" กำลังคิดจะทำอะไรเนี่ยครับ? "
" หือ? ถามอะไรโง่เง่าพรรค์นั้น...ข้าทำหน้าที่เป็นสารถีบังคับเกวียนพาเจ้ามาที่นี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน เจ้าไม่คิดว่าข้าจะเหนื่อยล้าบ้างรึอย่างไร? ข้าเองก็เป็นมนุษย์ปุถุชน ไม่ใช่เหล็กไหลมาจากไหนนะ...เวลานี้ขอข้านอนพักซักหน่อยเถอะ "
" นอนพัก? ...เฮ้ย! นี่เราอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่แล้ว ใจคอคุณจะหลับลงอีกเหรอ? ทำไมไม่ไปรีบแจ้งข่าวให้กับพระ...พระดอกเดื่อให้ทราบเรื่องล่ะ? "
" ดูโมงยามและกาลเทศะหน่อยสิไกร...เวลานี้มันเป็นเวลาฉันภัตตาหารเช้า ใจคอเจ้าจะไปรบกวนพระท่านตอนท่านฉันให้นรกกินกบาลรึอย่างไร? ...อีกทั้งหลังจากช่วงฉันเช้า พระท่านก็จะเข้าฌาณวิปัสนาไปจนถึงเวลาภัตตาหารเพล...ตัวข้าเองก็เร่งเดินทางจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งคืน จะให้ไปบอกเรื่องราวกับท่านตอนนี้ก็มีหวังได้พูดวกไปวนมาเพราะความง่วงงุนแน่ เพราะอย่างนั้นพวกเรารอให้ถึงเวลาหลังจากพระท่านฉันภัตตาหารเพลเสร็จแล้วค่อยเข้าไปเรียนเรื่องนี้กับท่านเถอะ " ท่านผู้เฒ่าพูดพลางอ้าปากหาวหวอดๆจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนจะจัดการคว้าผ้าขาวม้าขึ้นมาคลุมหน้าเตรียมตัวหลับ แต่ก็ถูกไกรเบรกไว้เสียก่อน
" เฮ้ย! อย่าพึ่งทิ้งกันงี้สิ! กว่าจะถึงเวลานั้นก็อีกเป็น ๔-๕ ชั่วโมง...ใจคอคุณจะให้ผมนั่งแหง่วอยู่แต่ในเกวียนไปอีกตั้ง ๔-๕ ชั่วโมงเชียวเหรอ? "
" อุวะ! เจ้านี่มารความสุขจริงวุ้ย! ไม่รู้รึไงว่าห้ามคนนอนมันบาปน่ะ...พุธโธ่เอ้ย! ถ้าถามข้าว่าเวลาที่ว่างนั่นจะทำอะไร เจ้าก็ออกไปเดินทอดน่องเล่นสิวะ! ถึงที่นี่จะไม่ได้อยู่ในกำแพงเมืองอโยธยา แต่ก็ถือว่าอยู่ใกล้กันพอสมควร...แถมหมู่บ้านกับตลาดนี่ก็ออกจะใหญ่พอสมควรทีเดียว เจ้าน่าจะได้เห็นวิถีชีวิตของชาวอโยธยาที่คนรุ่นเจ้าไม่มีโอกาสได้เห็นแน่ๆ...ขอแค่ทำตัวเนียนๆไม่สะดุดตาอย่างที่เจ้าให้คำมั่นไว้ก็พอแล้ว ไป๊! ข้ายิ่งโมโหง่ายตอนง่วงๆอยู่ "
" ร...ไร้ความรับผิดชอบสิ้นดีเลยนี่หว่า "
เมื่อเปล่าประโยชน์ที่จะต่อล้อต่อเถียงกับท่านผู้เฒ่าที่ตาแดงก่ำและหาวแล้วหาวอีกจากผลของการอดนอน บวกกับที่ชายหนุ่มเองก็เอนเอียงไปทางเดียวกับคำพูดที่ท่านผู้เฒ่าบอกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไกรจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดชาวบ้านสีเข้มที่ดูรัดกุมและทะมัดทะแมงมากขึ้นและไม่คิดจะสะพายดาบไปด้วยเพราะไม่อยากให้สะดุดตาใครต่อใครเข้า พูดได้เลยว่างานนี้เขาเตรียมตัวจะออกเดินเที่ยวอย่างเดียวโดยไม่คิดจะมีเรื่องกับใครแน่ แต่ก่อนที่เขาจะลงจากเกวียน ไกรก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ก่อนจะเข้ามาในเกวียนอีกครั้งและหยิบย่ามสีตุ่นๆอันเป็นของกำนัลของสิงห์ขึ้นเปิดดูพร้อมกับขมวดคิ้วและครางออกมาเบาๆ ...ท่าทีของชายหนุ่มทำเอาท่านผู้เฒ่าที่ทำท่าจะล้มตัวลงนอนอยู่รอมร่อต้องลุกขึ้นมานั่งขมวดคิ้ว อดพูดขึ้นมาเบาๆไม่ได้...
" ข้าอดสงสัยไม่ได้นะ ไกร...ว่าผู้คนในอนาคตมีท่าทีแปลกๆเช่นเจ้ากันทุกคน หรือว่ามีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ชอบทำท่าทีแปลกๆเช่นนี้ "
" พูดกันถึงขนาดนี้ทำไมไม่ด่าผมซะเลยฟะ? ...โธ่ ก็ผมดันไปนึกถึงคำพูดทิ้งท้ายของไอ้สิงห์ ที่บอกให้ผมพกของแปลกๆพวกนี้ติดตัวทุกครั้งที่จะออกไปไหนมาไหนตามลำพังน่ะสิ แถมมันก็ไม่บอกซะด้วยนะว่าอันไหนมีฤทธิ์อะไร ผมเองก็ดันไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับไอ้ไอเท็มไสยศาสตร์พวกนี้เลย เลยไม่รู้จะเอาอันไหนติดตัวไป "
ท่านผู้เฒ่ากระพริบตาปริบๆกับท่าทีลำบากใจของไกร ก่อนจะถอนหายใจเฮือกและพูดเบาๆ
" เฮ้อ...อันที่จริงแล้วเรื่องของไสยศาสตร์นี่มันก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของคนนะ ถ้าเจ้าเลือกที่จะไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง ไสยศาสตร์มนต์ดำต่างๆก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้หรอก...แต่นี่เจ้ากลับเลือกที่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริงแล้วนี่สิ "
" ด้วยความเคารพนะขอรับท่านผู้เฒ่า ลองคุณเห็นเสือสมิงตัวเท่าลูกม้าตอนกลางวัน แปลงเป็นสาวงามตอนกลางคืนแบบคาตาเป็นครั้งแรก ใจคอคุณจะกล้าพูดอีกเหรอว่าคุณไม่เชื่อไอ้เรื่องพวกนี้น่ะ "
" ก็เจ้ามันซวย ไปคบกับคนเติบโตมากับคุณไสยมนต์ดำอย่างสิงห์เองนี่หว่า จะไปโทษใครได้...เอาเถอะ...เรื่องของอาถรรพ์ที่อยู่ในยามนั่น ตอนเจ้านอนอยู่ข้าเองก็ถือวิสาสะค้นดูแล้วเหมือนกันเพราะมันน่าสงสัย...เอาเป็นว่าข้ารับรองได้ว่าของพวกนั้นทั้งหมดไม่ได้มีความสามารถที่จะเอาไปทำร้ายใครได้ ส่วนใหญ่ก็จะมีฤทธานุภาพไปในทางป้องกันภยันตรายให้ผู้ถือแคล้วคลาดปลอดภัยเสียมากกว่า ส่วนเรื่องที่ว่าเจ้าจะพกอะไรไป เจ้าก็เลือกสุ่มเอาก็ได้ เพราะของพวกนี้สิงห์ก็เป็นคนปลุกเสกขึ้นเองเวลาเกิดร้อนวิชาขึ้นมา เพราะฉะนั้นรับรองเรื่องความขลังได้...ขอแค่อย่าเอาของนั่นขึ้นสูงเหนือหัวก็พอ เก็บไว้ตรงชายพกแหละจะสะดวกที่สุด "
เมื่อได้คำรับรองที่ฟังดูแล้วสร้างความอุ่นใจได้มากขึ้น ไกรจึงสุ่มหยิบเอาเศษไม้เล็กๆขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยที่เขียนสลักอักขระอะไรบางอย่างไว้ขึ้นมาไหว้ ก่อนจะเหน็บไว้ที่ชายพกตัวเองทันที
" ผมไปนะ ท่านผู้เฒ่า " พูดจบเขาก็กระโดดผลุงลงจากเกวียนไปทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าอ้าปากหาวออกมายาวเหยียดอีกครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอน แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอดครางขึ้นมาเบาๆไม่ได้
" เฮ้อ...สังหรณ์ใจแปลกๆแฮะ...อืม...แต่เอาเถอะ อย่างน้อยเจ้านั่นก็น่าจะฉลาดพอจะไม่ทำเรื่องอะไรไม่เข้าท่าหรอกกระมั้ง? " เขาพูดออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร โดยไม่รู้เลยว่าคำพูดแบบไม่คิดอะไรของเขาจะเกิดขึ้นจริงๆราวกับปากเขาเป็นปากพระร่วงไม่มีผิดเพี้ยนเลย!
................................................
...เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา...
' ...หืม? ' ไกรที่เดินปะปนกลมกลืนไปกับชาวบ้านร้านตลาดได้แต่ร้องออกมาในใจเมื่อมองไปที่บรรยากาศรอบๆตัว ซึ่งถึงจะบอกว่าคล้ายกับฉากๆหนึ่งในหนังอิงประวัตติศาสตร์หลายๆเรื่อง...หรือแม้แต่ในตลาดน้ำย้อนยุคหลายๆที่ที่เขาเคยไปเที่ยว แต่มันก็มีบางอย่างที่ทำให้บรรยากาศของที่นี่มันแตกต่างจากฉากหนังที่เขาเคยผ่านตามา...มันทำให้ที่นี่ดู จริง ดู มีมนต์ขลัง จนอดทำให้ไกรยิ้มออกมาบางๆไม่ได้
" หึ...ถ้าไม่นับเรื่องที่ทุกคนทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเรื่องที่พม่าประชิดชายแดน...บรรยากาศของที่นี่ก็เป็นบรรยากาศที่น่าอยู่ไม่ใช่น้อยๆเลยนะเนี่ย " เขาอดเปรยเบาๆ หลังจากที่ใช้หอยเบี้ยที่ท่านผู้เฒ่าให้มาซื้อขนมโบราณบางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้จักชื่อกินไม่ได้...แต่คิดอะไรเพลินๆได้เพียงแค่อึดใจเดียว ก็เกิดเรื่องกับตัวดึงดูดปัญหาอย่างเขาจนได้
พลั่ก!
ระหว่างที่เขาเดินดื่มด่ำกับบรรยากาศตลาดเช้าของที่นี่เพลินๆ อยู่ๆก็มีหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งเข้ามาชนเขาที่ด้านหลังเต็มแรง จนกระทั่งเขาถึงกับแทบจะหน้าคะมำ...ไม่ต้องพูดถึงขนมที่อยู่ในมือที่บัดนี้หล่นลงไปคลุกฝุ่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งๆที่กินไปได้แค่ ๒ คำแท้ๆ
" เฮ้ย! ยัย! " ไกรมองไปที่ขนมที่ตกพื้นอยู่ ก่อนจะหันกลับไปเตรียมโวยลั่น...แต่ทันทีที่เขาเห็นหน้าตาของฝ่ายที่เข้ามาชนชัดๆ คำพูดที่เขาเตรียมจะพูดออกไปก็กลับมลายหายไปทั้งสิ้น
...หญิงสาวผู้เข้ามาชนเขาเป็นผู้ที่ราวกับเก็บความสว่างไสวทั้งหมดของดวงตะวันไว้ในตัวเอง...ผิวสีแทนจากการโดนแดดที่เรียบเนียนละเอียดของเธอออกจะขัดเล็กน้อยกับเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ตัดจากผ้าที่เนียนละเอียดชั้นดีเหมือนกับจะบ่งบอกอย่างกลายๆว่าเธอไม่ใช่หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาแน่ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่รับกับผมสีน้ำตาลเข้มไหวระริกเพราะตกใจ ราวว่าหญิงสาวผู้นี้หลบหนีอะไรบางอย่างหรือใครบางคนมา ริมฝีปากอวบอิ่มเผยอขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดกับเขาเร็วปรื๋อว่า
" ท...ท่าน...ช...ช่วยข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ! "
" หา? " ไกรอุทานออกมาเล็กน้อยอย่างงงๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ เพราะพวกเขาเริ่มกลายเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้น...มันทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะประคองหญิงสาวผู้นี้ขึ้น และจับมือหญิงสาวพุ่งหลบไปจากจุดสนใจนี้ทันที
" ห...ให้ตายสิ! ทั้งๆที่อยากจะเลี่ยงไม่ให้ใครสนใจแท้ๆ...เอาล่ะ เธอเป็นใครเนี่ย? "
หญิงสาวที่ถูกเขาจูงฝ่าฝูงคนออกมาเหม่อมองมาที่มือใหญ่กำยำที่กุมมือของเธออยู่อย่างตกใจกึ่งๆประหลาดใจเล็กน้อย จนกระทั่งชายหนุ่มผู้กุมมือเธออยู่ทวนคำถามซ้ำมาเบาๆอีกครั้ง เธอจึงสะดุ้งเล็กน้อยราวกับตื่นจะภวังค์ ก่อนจะรีบตอบกลับมาทันที
" อ๊ะ...ข...ข้าชือ สิริจันทร น่ะ...ส่วนเจ้า เอ๊ย ...ท่านคือ? "
" ข้าชื่อไกร ดีใจที่ได้รู้จักนะ...หืม...สิริจันทร? ---อ่า ...ความงามแห่งดวงจันทร์เหรอ? "
" จ...เจ้าค่ะ "
" เป็นชื่อที่มีความหมายและไพเราะดีนี่ เอาล่ะ เข้าเรื่องเลยนะ...เธอหนีใคร หรือหนีอะไรมาเนี่ย? " ไกรพูดเบาๆอีกครั้ง หลังจากพาหญิงสาวปริศนาผู้นี้เข้ามาหลบที่เหลี่ยมต้นไม้ใหญ่...คงเป็นเพราะคลุกคลีกับพวกมือสังหารมากเกินไป ทำให้เขาค่อนข้างจะระแวงกับท่าทีแปลกๆของหญิงสาวนามว่าสิริจันทรนี่เป็นพิเศษ...ในขณะที่สิริจันทรหันซ้ายหันขวาเล็กน้อย...ก่อนที่ดวงตาที่ไหวระริกของเธอจะไปพบกับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเข้า เธอจึงใช้นิ้วเรียวงามปานจะหักได้ของเธอชี้ไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นให้ไกรดูทันที
" พ...พวกนางน่ะ "
ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับชะโงกหน้าออกไปมองตามที่หญิงสาวชี้ แต่พอเห็น พวกนาง ที่เจ้าหล่อนว่าชัดๆ เขาก็ถึงกับรีบหดหัวกลับเข้ามาแทบไม่ทันเลยทีเดียว
" ผ...ผู้หญิงแน่เหรอฟะนั่น! "
กลุ่มผู้หญิงที่ไกรเห็นแม้เพียงชั่วแว้บเดียวเป็นกลุ่มที่ไกรบอกได้เลยว่าน่ากลัวที่สุดในตลาดนี้เลยก็ว่าได้ เพราะดูแล้วพวกหล่อนน่าจะเป็นผู้หญิงเฉพาะเพศกำเนิดเท่านั้น...ดูจากกล้ามที่ล่ำเป็นมัดๆชนิดที่แม้แต่สิงห์มาเห็นยังต้องอาย บวกกับดวงตาที่คมดั่งเหยี่ยวที่สอดส่ายไปมาอย่างที่ไกรเดาว่าคงจะมองหาสิริจันทรแน่ๆ โดยเฉพาะหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่มนี้ ทั้งหมด ที่ทั้งๆที่ดูจากริ้วรอยและเส้นผมสีดอกเลาที่บ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่วัยชราแล้วแท้ๆ แต่แค่ไกรมองแค่ผ่านๆยังรู้สึกได้เลยว่าหญิงสาวผู้นี้คงสามารถฆ่าหมีด้วมมือเปล่าได้แน่ๆ มันทำให้ชาวบ้านทุกคนถึงกับต้องหลีกทางให้พวกเธอทันที...พวกเธอที่กะจากสายตาแล้วก็มีอย่างน้อย ๑๕-๒๐ คนอยู่ในชุดที่เหมือนกันเป๊ะๆคือตะเบงมานสีแดงเข้มและโจงกระเบนสีน้ำเงิน แถมในมือยังถือไว้ด้วยพลองไม้สีดำรูปร่างน่ากลัวๆอีกต่างหาก นั่นทำให้ไกรขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเท่าที่เขารู้ การที่คนกลุ่มหนึ่งจะแต่งตัวแบบเดียวกันแบบเป๊ะๆแบบนี้ได้มันมีอยู่ ๒ จำพวกเท่านั้น...จำพวกแรกคือนักร้องวงบอยแบนด์...ซึ่งต่อให้ไม่นับว่าเขาอยู่ในยุคที่ยังไม่มีนักร้องบอยแบนด์ กลุ่มสาวๆกลุ่มนั้นก็ไม่มีส่วนเสี้ยวใดเหมือนกลุ่มไอด้อลซักกระผีกริ้นเลยแม้แต่น้อย...มันทำให้หญิงสาวพวกนั้นต้องเป็นจำพวกที่ ๒ เท่านั้น...
" ...ทหาร...งั้นเหรอ?...ประเดี๋ยวนะ...ทหารที่เป็นผู้หญิง...พวกโขลน (ตำรวจหรือคนอารักขาหญิงผู้ทำงานรักษาความปลอดภัยในพระราชวังฝ่ายใน) งั้รเหรอเนี่น? " ไกรครางออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาที่หญิงสาวตัวต้นเหตุทันที
" จ...เจ้าค่ะ ...คนที่ดูชราที่สุดนั่นคือคุณท้าวศรีสัจจาน่ะเจ้าค่ะ พวกนางกำลังตามหาข้าอยู่ "
" คุณท้าวศรีสัจจา?...เหมือนเคยได้ยินในหนังเรื่อง สุริโยไท แว้บๆแฮะ...เฮ้ย! คุณท้าวศรีสัจจานี่มันระดับหัวหน้ากองจ่าโขลนเลยไม่ใช่รึไง?! "
หญิงสาวดูทึ่งๆเล็กน้อยกับความรู้ที่เกินชาวบ้านร้านตลาดธรรมดาๆของไกร ก่อนที่เธอจะพยักหน้ารับเบาๆ
" เจ้าค่ะ...ค...คือ ข...ข้าเป็นนางกำนัลในพระอัครชายาน่ะเจ้าค่ะ ต...แต่ว่า ข้า...เอ่อ...ข้าถูกคนกลุ่มนั้นเกลียดหน้าน่ะเจ้าค่ะ เลยถูกตามมาจะ...ห...หาเรื่อง---เอ่อ เจ้าค่ะ "
' โกหกเห็นๆ ' ไกรที่ฟังอย่างเงียบๆได้แต่คิดในใจเบาๆพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ...แถมยังเป็นการโกหกชนิดที่แม้แต่เด็กอมมือยังทำได้ดีกว่าเลยด้วยซ้ำมั้งเนี่ย?...
...ชายหนุ่มขมวดคิ้วพร้อมกับชะโงกออกไปมองกลุ่มโขลนพวกนั้นอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือก...
' ถึงจะไม่รู้หรอกนะว่ายัยคนนี้ทำผิดร้ายแรงอะไรมา...แต่ยังไงเสียเขาก็คงไม่อาจจะใจดำปล่อยให้ผู้หญิงตัวน้อยๆคนนี้เจอกับฝูงจ่าโขลนที่เป็นผู้หญิงแค่ในนามพวกนั้นตามลำพังแน่ๆ....พูดตรงๆแม้แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะกล้ายืนเผชิญหน้ากับคนกลุมนี้ตามลำพังรึเปล่า ...ให้ตายสิ! รูปร่างของพวกหล่อนนี่ทำเอาพวกผู้คุมหญิงในคุกยุคปัจจุบันอายไปเลยทีเดียวนะเนี่ย ' ไกรคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจเฮือกอีกครั้งให้กับความใจอ่อนไม่เข้าเรื่องของตัวเอง
" เอาเถอะ...เรื่องของเรื่องก็คือเธอหนีจากคนพวกนั้นมา...ถ้าอย่างนั้นอยากจะให้ข้าช่วยอะไรล่ะ? "
" จ...เจ้าค่ะ! " หญิงสาวรับคำพร้อมกับทำตาเป็นประกายทันที ก่อนที่เธอจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แทบจะปิดบังความตื่นเต้นของตัวเองแทบไม่มิด
" ถ...ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนเจ้า--ท่านจนเกินไป...ช...ช่วยพาข้าเดินชมตลาดและหมู่บ้านนี่ทีเถอะเจ้าค่ะ!! "
' ฮ...เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า ร...เรื่องทั้งหมดนี่ เป็นเพราะนางกำนัลคนนึงเกิดคิดอยากจะหนีเที่ยวเนี่ย?! '
......................................................
...ถึงจะรู้อย่างนั้น แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่า เพราะเขาไม่อาจจะทำใจร้ายปฏิเสธคำขอร้องของหญิงสาวอีกฝ่ายได้เลย...อาจจะเป็นเพราะดวงตาที่ไร้ซึ่งพิษภัยราวกับเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาของอีกฝ่ายก็เป็นได้ ที่ทำให้เขายอมโอนอ่อนและโดนอีกฝ่ายลากไปลากมาตามใจชอบแบบนี้...
...ในขณะที่เขาเดินตามหญิงสาวพร้อมกับมองซ้ายมองขวาเรื่อยๆเพื่อระวังรักษาความปลอดภัยให้กับหญิงสาวผู้นี้ เขายังอดสังเกตไม่ได้ว่าสิริจันทรดูจะตื้นเต้นกับการเดินเที่ยวะรรมดาๆนี่มากเป็นพิเศษ...มันราวกับว่าเธอพึ่งจะเคยออกมาเห็นโลกภายนอกนี่เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ...
" นี่ๆ ดูนี่สิท่านไกร! นี่เป็นกำไลลูกปัดจากแผ่นดินต้าฉิง(จีน)เชียวนะเจ้าคะ! " สิริจันทรพูดอย่างตื่นเต้นพร้อมกับยกกำไลลูกปัดหินของพ่อค้าชาวจีน ที่มีลักษณะคล้ายกำไลหินธิเบตในยุคของเขาขึ้นมาให้ไกรดู...ท่าทีที่ไม่มีการเสแสร้งของเธอทำให้ไกรอดยิ้มออกมาบางๆไม่ได้
...ถ้าหากพูดว่าศกุนตลาเป็นหญิงสาวที่สวยงามทว่าลึกลับและอันตรายเป็นเสมือนดวงจันทร์...พูดว่าอนาสตาเซียที่สูงส่งและสง่างามเป็นเสมือนดวงดาว...หญิงสาวผู้นี่...สิริจันทรผู้นี้ก็คงจะเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ที่ส่องแสงสร้างความอบอุ่นให้กับทุกคนบนโลกนี้อย่างเท่าเทียม...รอยยิ้มของเธอเป็นแสงสว่างและความอบอุ่นที่แม้แต่ไกรเองยังรู้สึกได้เลยทีเดียว...
ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะอดพูดออกมาเบาๆไม่ได้
" ข้าว่าเหมาะกับเจ้าดีนะ "
หญิงสาวยิ้มให้กับคำพูดของไกรอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะหันไปส่งภาษาจีนพูดกับพ่อค้าชาวจีนแผ่นดินใหญ่ตรงหน้าราวกับจะถามราคาของกำไลลูกปัดวงนี้ แต่เมื่อพ่อค้าคนนั้นตอบกลับมาพร้อมกับยกนิ้วทำมือทำไม้ราวกับบอกราคา สีหน้าของสิริจันทรก็เจือนลงเล็กน้อย ก่อนจะวางกำไลนั้นลงทันที
" พ่อค้านี่บอกว่าเท่าไหร่หรือ? " ไกรที่เห็นท่าทีของหญิงสาวอดถามขึ้นไม่ได้ ในขณะที่หญิงสาวหันมาส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มบางๆ
" ม...ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ...มันแพงเกินไปสำหรับคนอย่างข้าน่ะ "
" ตอบไม่ตรงคำถามเลยนะ... " คำติงเบาๆของไกรทำให้อีกฝ่ายหน้าเจือนลงอีกครั้ง ก่อนจะบอกราคามาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
" ส...สองบาทน่ะเจ้าค่ะ "
" ครึ่งตำลึง? ...เฮ้ยๆ ถึงจะบอกว่าเป็นสินค้านำเข้า แต่ราคานี่มันพอจะซื้อวัวได้ ๒-๓ ตัวเลยเชียวนะ...ไม่คิดว่ามันจะแพงไปหน่อยสำหรับกำไลเส้นเดียวเหรอ " ไกรหันไปพูดกับพ่อค้าชาวจีนคนนั้น แต่พ่อค้าคนนั้นก็เถียงกลับมาด้วยภาษาจีนล้งเล้งๆ จนแม้แต่สิริจันทรยังต้องเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ
" พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านไกร...ที่ร้านอื่นก็ยังมี "
ไกรหันไปมองท่าทีของหญิงสาว ก่อนจะรู้ได้แทบจะในทันทีว่า ถึงจะพยายามปิดบังแค่ไหน หญิงสาวก็ยังคงอยากได้กำไลวงนั้นอยู่ดี
" อ่า...โธ่เอ้ย! " ไกรขยี้หัวตัวเองพร้อมกับครางออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนที่เขาจะตัดสินในเปิดถุงผ้ากระเป๋าเงินของตัวเองที่ท่านผู้เฒ่าให้มา และหยิบเงินพดด้วงที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าเป็นเหรียญ ๑ ตำลึงออกมายัดใส่มือพ่อค้าชาวจีนคนนั้นทันที
" เอ้า! เอาไปเลย ไอ้เขี้ยวลากดินเอ้ย!! "
" ท่านไกรเจ้าค่ะ?! "
" ไม่ต้องพูดอะไรเลยนะ สิริจันทร...ข้าไม่อยากจะรู้ตัวว่าข้ากำลังถูกหลอกให้ซื้อของในราคาที่แพงสุดกู่ งานนี้ถือว่าข้าทำเงินตกหายก็แล้วกัน "
" ต...แต่ว่า จำนวนเงินมัน--- "
" ส่วนเธอเองก็ถือซะว่าเก็บกำไลนี้ได้โดยบังเอิญก็แล้วกันนะ ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก สิริจันทร...กำไลวงนี้เป็นของเธอล้ว "
คำพูดของไกรทำให้สิริจันทรยิ้มออกมาบางๆ ดวงตากลมโตของเธอหรุบต่ำลงจ้องมองกำไลหินธิเบตที่เธอกุมไว้ พร้อมกับพูดกับไกรอีกครั้ง
" ขอบ...ขอบพระคุณท่านมากเลยนะเจ้าคะ...ข้าจะเก็บมันไว้อย่างดีเลยเจ้าค่ะ! "
ไกรยิ้มบางๆกับคำขอบคุณของอีกฝ่าย...แค่รอยยิ้มของเธอก็ทำให้เขารู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงิน ๒ บาทที่เสียไปแล้ว...ในขณะที่พ่อค้าวาณิชย์ชาวจีนคนนั้นหัวเราะร่วนอย่างชอบอกชอบใจ ก่อนจะทอนเงิน ๒ บาทกลับมาให้ พร้อมกับหันไปพูดอะไรบางอย่างกับสิริจันทรพร้อมกับยักคิ้วดกหนาให้อย่างเจ้าเล่ห์ และคำพูดนั้นก็ทำให้สิริจันทรถึงกับหน้าแดงวูบ ก่อนจะก้มหน้างุดลงทันที
" หืม? ตานี่ด่าอะไรข้าอย่างนั้นเหรอ? " ไกรที่เห็นท่าทีแปลกๆของพ่อค้าและสิริจันทรอดถามขึ้นไม่ได้ ในขณะที่สิริจันทรรีบส่ายหน้าอย่างแรงจนผมที่เกล้ามวยอยู่แทบจะหลุด ก่อนที่จะตอบคำถามเขาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆว่า
" พ่อค้าพูดว่า...เอ่อ...ข...ข้าโชคดีที่ได้ท่านเป็น...ส...สามี น่ะเจ้าค่ะ "
" ส...สามี? " ไกรถึงกับปั้นหน้าไม่ถูกพร้อมกับทวนคำเบาๆ ก่อนจะหันไปโวยพ่อค้าคนนั้นลั่นทันที " เฮ้ย! พูดอย่างนี้นางจะเป็นฝ่ายเสียหายเอานะ!! "
" ม...ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ...ข้าก็ไม่ได้รังเกียจอะไร--- "
" หือ? เมื่อครู่เธอพูดอะไรรึเปล่า? " ไกรหันไปเลิกคิ้วถามอย่างงงๆ ในขณะที่หญิงสาวรีบปฏิเสธลั่นทันที
" ม...ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!! พ...พวกเราไปกันต่อเถอะ "
ไกรเลิกคิ้วขึ้นสูงอีกครั้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาทำท่าจะเดินตามหญิงสาวไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่ก็ใกล้เวลาเพลซึ่งเป็นเวลานัดหมายของเขากับท่านผู้เฒ๋าเต็มทีแล้ว เขาจึงหยุดและพูดกับสิริจันทรเบาๆ
" ขอโทษนะ...สิริจันทร "
" เจ้าคะ? "
" คือ...ข้ามีงานสำคัญที่ข้าต้องไปทำแล้ว ข้าไม่อยากพูดเลยแต่ข้าคงต้องบอกว่าข้าต้องแยกกับเจ้าแล้วล่ะ "
" เอ๋?! "
" ส่วนเรื่องที่เจ้ามีเรื่องกับพวกจ่าโขลนนั่น ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเรื่องอะไร แต่ดูจากท่าทีแล้ว ข้าว่าถ้าเจ้าลองไปขอษมาลาโทษอีกฝ่ายดีๆ ข้าเชื่อว่าคุณเท้าศรีสัจจานั่นคงจะไม่ใจร้ายจนไม่ยอมให้อภัยเจ้าหรอกนะ "
หญิงสาวมีท่าทีตกใจกับคำพูดที่มาอย่างกะทันหันของไกร เธออ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ก่อนจะหุบลงอย่างตัดใจไม่ยอมพูดออกมา...หญิงสาวเหม่อลอยพร้อมกับใช้นิ้วลูบกำไลหินที่เธอสวมอยู่ ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาเบาๆ
" ข้า...ข้าจะได้พบเจอท่านอีกครั้งรึเปล่าเจ้าคะ? ท่านไกร "
ไกรเลิกคิ้วเล็กน้อย...ในฐานะคนที่มาจากอนาคตอย่างเขา การที่เขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในอดีตไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะทำเลย...เพราะมันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อย่างที่เขาเองก็ไม่อาจจะคาดถึงก็เป็นได้...แต่เมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาที่มีแต่ความคาดหวังของอีกฝ่าย มันทำให้เขาไม่อาจตัดใจพูดปฏิเสธออกไปอย่างเด็ดขาดได้เลย...ไกรถอนหายใจเฮือกให้กับความใจอ่อนของตัวเองอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะฝืนยิ้มบางๆและพูดตอบกลับไปว่า
" อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สิริจันทร...แต่ถ้าหากเราได้เจอกันอีกครั้ง และเจ้ายังคงหาเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับตัวเองอีก...ข้าก็จะยังคงปกป้องเจ้าไม่ต่างจากวันนี้เหมือนกัน...นี่คือคำมั่นจากข้า "
หญิงสาวยิ้มให้กับคำมั่นสัญญาของชายหนุ่มตรงหน้า...ถึงแม้ว่าประโยคดังกล่าวมันไม่ต่างอะไรกับคำสัญญาลมๆแล้งๆของชายเจ้าชู้ประตูดินคนนึงที่มอบให้หญิงสาวหลายต่อหลายนาง ...แต่เมื่อคำพูดนี้พูดออกมาโดยไกร มันเป็นคำกล่าวลาที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมาเลยทีเดียว...
" ถ้าอย่างนั้นได้โปรดถนอมตัวไว้จนกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้งนะเจ้าคะ...ท่านไกร "
ไกรยิ้มบางๆกับคำกล่าวอำลาของอีกฝ่าย ก่อนที่เขาจะหันหลังกลับ และเดินกลืนไปท่ามกลางฝูงชนที่คึกคักในตลาดแห่งนี้ ในขณะที่สิริจันทรยังคงยืนลูบกำไลหินธิเบตอันเป็นของขวัญจากชายหนุ่มอย่างเหม่อลอย...ปล่อยให้เวลาและู้คนไหลผ่านไป...จนกระทั่งรู้ตัวอีก...เธอก็ถูกล้อมไว้ด้วยเหล่าจ่าโขลนรูปร่างกำยำล่ำสั่นที่เธอคอยหลบเลี่ยงมาตลอดเสียแล้ว แต่หญิงสาวกลับดูมีท่าทีไม่ได้ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ราวกับว่าเธอจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้จะต้องเกิดขึ้นล่วงหน้าด้วยซ้ำ
" คุณท้าวศรีสัจจา? " หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงชรารูปร่างกำยำล่ำสันผู้เป็นถึงหัวหน้าจ่าโขลนทั้งหมดของฝ่ายในตรงหน้า พร้อมกับยิ้มบางๆ ...ในขณะที่คุณท้าวศรีสัจจาสบตาหญิงสาวตัวน้อยๆผู้สูงเพียงแค่คางของเธอเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียว ก่อนที่เธอและจ่าโขลนใต้บังคับบัญชาของเธอทั้งหมดจะพร้อมใจกันคุกเข่าและก้มหน้าลงให้กับหญิงสาวตรงหน้านี้ทันที!!
" ทูลกระหม่อมเพคะ! เหตุใดทูลกระหม่อมถึงได้ทำเหตุเสี่ยงอันตรายด้วยการหลบซ่อนตัวจากกองอารักขาอย่างพวกเราเช่นนี้ล่ะเพคะ!...หากเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของเสด็จฯ พวกหม่อมฉันทั้งหมดมีหวังได้ถูกตัดหัวเสียบประจานกันหมดทั้งนายไพร่แน่! " คุณท้าวศรีสัจจาก้มหน้าพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงกึ่งๆตำหนิกึ่งๆเกรงกลัว ในขณะที่หญิงสาวผู้ที่ทุกคนคุกเข่าให้หัวเราะออกมาเบาๆอย่างไม่ตึงเครียดกับเรื่องที่ดูเหมือนจะมีเธอเป็นต้นเหตุเลย...เธอยังคงเอามือลูบกำไลหินที่ประดับข้อมือขวาของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสายตาที่ส่องประกายรับกับแสงแดดยามสายว่า
" นี่...คุณท้าวศรีสัจจา...ข้าได้พบกับชายคนนึงล่ะ "
" พบกับชายพายเรือ?!! " คุณเท้าศรีสัจจาถึงกับร้องเสียงสูงอย่างลืมตัว ก่อนจะโอนเอนราวกับจะเป็นลมจนพวกโขลนที่อยู่ด้านหลังต้องรีบพุ่งเข้ามาประคองไว้ทันที
" ใช่แล้วล่ะ...เป็นชาย...ที่ยิ่งใหญ่เท่าแผ่นฟ้า และอบอุ่นเท่ากับพระอาทิตย์ทีเดียวเชียว "
" ตายแล้วๆ! ตายแน่ๆอีท้าวศรีสัจจาเอ๋ย...แค่เลินเล่อปล่อยให้พระองค์เสด็จไปไหนมาไหนตามลำพังให้ทุกคนเห็นพระโฉมก็ว่าแย่พอแล้ว...นี่ทูลกระหม่อมแก้วยังถึงกับพบเจอกับเหล่าชายพายเรืออีก ครานี้คงได้เห็นหัวของหม่อมฉันถูกเสียบประจานเป็นแน่แท้แล้ว!! " เสียงครวญครางปานจะร้องไห้อยู่รอมร่อของคุณท้าวศรีสัจจา ทำลายบรรยากาศชวนเคลิ้มฝันของหญิงสาวไปเสียสิ้น จนสิริจันทรถึงกับต้องถอนหายใจเฮือก
" โธ่เอ้ย...ขอแค่ข้าไม่พูด คุณท้าวฯ และเหล่าโขลนในอาณัติของคุณท้าวไม่พูด ก็ไม่มีใครเอาผิดอะไรพวกคุณท้าวได้แล้ว "
" มันจะไม่ง่ายเช่นนั้นสิเจ้าคะ ทูลกระหม่อม " คุณท้าวตอบกลับมาด้วยเสียงอ่อยๆ ทำเอาหญิงสาวหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
" เรื่องนี้เอาไว้ว่าคราหลัง...เวลานี้พวกเรารีบไปกันเถอะคุณเท้าฯ ...เพราะอีกมิช้ามินานขบวนเสด็จของพ่ออยู่หัวก็จะเสด็จมาถึงแล้ว "
" ข...เข้าใจแล้วเพคะ...ทูลกระหม่อม "
" คิกๆ เอาล่ะ...พวกเรารีบเตรียมรอรับเสด็จพระราชบิดาของข้ากันเถอะ! "
..................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ