ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
24) ...ตอนที่ ๖...จอมกษัตริย์ใต้ร่มกาสาวพัสตร์...(๑)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
================================================
" เฮ้อ...คงจะเสร็จธุระแล้วสินะ " สิงห์เปรยขึ้นเบาๆทันทีที่เห็นชายหนุ่มทั้งสองซึ่งหนึ่งเป็นมือสังหารใหม่ถอดด้ามกับอีกหนึ่งผู้นำสูงสุดแห่งชุมนุมมือสังหารเดินลับสายตาไป ก่อนจะบิดตัวจนกระดูกลั่นเกรียว ในขณะที่ศกุนตลาเหลือบสายตามามองพร้อมกับเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะถามเบาๆ
" ซี่โครงเจ้าไม่เป็นไรแล้วรึ? "
" หา? อ๋อ ถึงจะยังขัดๆไปบ้าง แต่ตอนนี้กระดูกแทบจะสมานกันครบดีแล้วล่ะ ถ้าไม่ขยับร่างกายอย่างแรงหรือใช้อวิชชา หัวใจราชันย์เดรัจฉาน ล่ะก็คงไม่มีปัญหาอะไร สงสัยวานฟาดเนื้อย่างเข้าไปเต็มคราบ แผลเลยหายเร็วกว่าปรกติล่ะมั้ง "
" นี่เรากำลังพูดถึงซี่โครงหักนะ ไม่ใช่แผลมีดบาด...เจ้านี่มัน...ภูติผีปิศาจชัดๆ "
" ฮ่าๆๆๆ ชมอย่างนี้ข้าก็ไม่ดีใจหรอกนะ "
ศกุนตลาขมวดคิ้วก่อนจะอ้าปากคิดจะตบมุขอีกฝ่าย แต่ก็รู้สึกตัวพร้อมกับหุบปากลงและถอนหายใจเฮือก
" เอาเถอะ...อย่างไรเสียท่านผู้เฒ่าก็มีคำสั่งไม่ให้เหล่ามือสังหารทั้งหมดเคลื่อนไหวใดๆ จนกว่าท่านจะกลับมาถึง เจ้าใช้เวลาที่มีนี่พักฟื้นไปเถอะ ข้าสังหรณ์ใจแปลกๆว่าหลังจากที่ท่านผู้เฒ่ากลับมา พวกเราคงจะมีงานช้างแน่ๆ " ก่อนที่เธอจะหันไปมองเพื่อนสาวผู้มีศักดิ์สูงส่งกว่าอย่างอนาสตาเซียที่ยืนนิ่งเงียบมาตลอด และขมวดคิ้วอย่างผิดสังเกตกับท่าทีที่แปลกๆของอีกฝ่าย...ถึงอนาสตาเซียจะไม่ใช่คนที่ชอบพูดต่อยหอยก็เถอะ...แต่เล่นเงียบเป็นเป่าสากแบบนี้ก็น่าแปลกเกินไปเหมือนกัน...
" ท่านอนาสตาเซีย? "
อนาสตาเซียสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงขานชื่อเธอของศกุนตลา ดวงตาของเธอไหววูบก่อนจะกระพริบตาถี่ๆ เหมือนกับพึ่งตื่นจากภวังค์ ก่อนจะทรุดวูบลงไปคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับเอามือกุมหัวไว้แน่นจนอีกมือสังหารสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆต้องรีบเข้ามาดูอาการทันที
" นาสตี้!/ท่านอนาสตาเซีย?! "
แต่เพียงชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา หญิงสาวก็กลับเป็นปกติ...เธอกระพริบตาปริบๆก่อนจะหันซ้ายหันขวาอย่างงงๆ
" หืม...เมื่อ...เมื่อครู่เจ้าเรียกข้างั้นรึ? "
ทั้งสิงห์และศกุนตลาหันไปมองหน้ากันเอง พร้อมกับทำหน้าวิตกทันที
" จะให้ข้าตามหมอมิชชันนารีให้หรือไม่? ท่านอนาสตาเซีย "
" หา? ตามมาทำอะไรเล่า ข้าไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย " อนาสตาเซียโวยลั่น ถึงจะค้านสายตาของสหายทั้งสองคนแค่ไหนก็ตามที ก่อนที่เธอจะขยับแหวนมรกตที่นิ้วโป้งขวาเล็กน้อยอีกครั้งและพูดต่อทันที
" เอ้า...พวกพวกเจ้าก็กลับไปเตรียมตัวกันซะสิ อีกประเดี๋ยวพวกเราจะได้ออกเดินทางกัน "
" เดินทาง? " สิงห์ทวนคำเบาๆ ในขณะที่ศกุนตลาพูดสวนขึ้นทันที " ท่านอนาสตาเซีย ข้าว่าพวกเราได้รับคำสั่งอย่างเด็ดขาดจากท่านผู้เฒ่าแล้ว พวกเราไม่อาจไปไหนได้ในเวลาเช่นนี้นะเจ้าคะ "
" เพราะท่านพ่อกับไกรไม่ได้รู้ในสิ่งที่ข้าพึ่งจะรู้นี่น่ะสิ! " อนาสตาเซียตวาดเบาๆพร้อมกับดวงตาสีฟ้าจรัสที่ส่องประกายอย่างแรงกล้า
" เจ้าสองคน นี่ถือเป็นคำสั่งของข้า ไปเตรียมสัมภาระและเสบียงกรังให้พร้อมในหนึ่งชั่วยาม แล้วพวกเราจะออกเดินทางกัน...ภารกิจคืออารักขาท่านพ่อและไกรให้กลับมาอย่างปลอดภัย ...ข้ารู้ดีว่ามันเป็นคำสั่งที่ขัดกับคำสั่งของท่านพ่อ...แต่ถ้าหากพวกเราไม่ไป....ท่านพ่อและไกรคงไม่รอดกลับมาแน่!! "
....................................................
...ย้อนกลับมาที่ท่านผู้เฒ่าและไกร...
ไกรที่เดินตามหลังชายหนุ่มสมญานามว่าท่านผู้เฒ่าหันมองซ้ายมองขวาที่พูดได้ว่า คืบก็ป่า ศอกก็ป่า ที่เขากำลังเดินอยู่แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้อยู่นี่ ก่อนจะหันไปมองแผ่นหลังของท่านผู้เฒ่าที่เดินดุ่มๆนำหน้าอยู่พร้อมกับผิวปากหวือเบาๆ
" ???...อะไรของเจ้า? " ท่านผู้เฒ่าที่ได้ยินเสียงผิวปากของอีกฝ่ายเอี้ยวคอกลับมาถามเบาๆ ในขณะที่ไกรส่ายหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับไป
" อ้อ เปล่าๆ ข้าแค่แปลกใจเท่านั้น "
" ต่อแต่นี้ถ้าเราอยู่กันตามลำพังก็ใช้ภาษาและสำเนียงในยุคสมัยของเจ้าเถอะ ไกร... ข้าเองก็อยากจะฟังสำเนียงภาษาไทยในอนาคตที่มีการรวบคำและการใช้คำแสลง มากกว่าคำพูดฝืนๆแบบที่เจ้าพูดอยู่นี่น่ะ พูดก็พูดเถอะนะ สำเนียงเจ้ามันแปร่งหูสิ้นดีเลย " คำพูดเชิงสบประมาทของท่านผู้เฒ่าทำเอาไกรถึงกับหน้าร้อนวูบ ก่อนจะเถียงดังลั่น
" ป...ปัดโธ่! เป็นคุณก็พูดได้นี่ ลองย้อนกลับไปในอดีตซัก 250 ปีมั่งสิ เป็นคุณก็ต้องเก้ๆกังๆแบบผมนี่แหละน่า "
" เฮ้อ...ข้าคงไม่มีโอกาสนั้นหรอก...เอาเถอะ แล้วเจ้าแปลกใจอะไรข้าอย่างนั้นรึ? "
" ไม่ใช่แค่คุณหรอกที่ผมแปลกใจ แม้แต่ศกุนตลาหรือนาสตี้---อนาสตาเซียก็เถอะ พวกคุณสามารถเดินฝ่าป่าที่มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเขาวงกตนี่ได้ไงกัน? นี่มันเดินตาบอดชัดๆ "
" เขาวงกต? ...อ้อ! ชื่อภูเขาที่มีหนทางสลับซับซ้อนในเรื่องมหาเวสสันดรชาดกใช่หรือไม่? เจ้าเข้าใจเปรียบเทียบดีนี่ "
" เดี๋ยวนะ...ตกลงคำว่า วงกต นี่เป็นชื่อของภูเขาจริงๆงั้นหรอกเหรอ? เฮ้ย เอาจริงดิ...สมัยผมมันกลายเป็นคำที่มีความหมายในตัวมันเองไปแล้วนะเนี่ย "
" ฮ่าๆ อย่างน้อยข้าก็ยังพอใจที่ภาษาไทยที่มีต้นกำเนิดอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยไม่สูญสลายไปอีกนาน...ส่วนเรื่องที่ข้าเหมือนกับเดินตาบอดนี่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป อย่างไรข้าก็พาเจ้าไปถึงอโยธยาได้แน่ "
' เป็นคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้คำถามกระจ่างขึ้นมาเลยนี่หว่า ' ไกรขมวดคิ้วคิดในใจเล็กน้อย ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่คิดติดใจจะถามต่อ...
...พวกเขาสองคนเดินพลางคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปพลางจนกระทั่งแดดเริ่มทอแสงแรงกล้าขึ้นจนทะลุร่มไม้เหนือหัวลงมาซึ่งคะเนได้ว่าไม่น่าจะเกิน 10 โมงเช้า จึงเดินทะลุแนวป่าออกมาถึงหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่ติดกับทางด่านที่มีลักษณะคล้ายกับถนนลูกรังที่ทอดยาวไปไกลและเห็นแนวกำแพงเมืองๆนึงอยู่ลิบๆ เมื่อพ้นแนวป่า ท่านผู้เฒ่าก็จับบ่าเข้าไว้พร้อมกับพูดขึ้นทันที...
" เอาล่ะ หมู่บ้านนี้เป็นเหมือนกับหน้าด่านของหมู่บ้านยุันตวาต พวกเราจะเอาม้าและออกเดินทางกันทันที...ถ้าโชคเรายังพอมีเราน่าจะถึงชานกำแพงอโยธยาย่ำรุ่งพรุ่งนี้ "
" เร็วขนาดนั้นเชียว? "
" ไกร...ทันทีที่พ้นแนวป่านี่ พวกเราจะพ้นอาณาเขตความคุ้มครองจากเสือสมิงทั้ง ๓ ตนของสิงห์แล้ว...จากนี้ไปคงจะต้องดูแลกันเองแล้วล่ะนะ "
" พูดอย่างกับว่าที่นี่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้นแหละ เอาเถอะน่า ผมทำตัวกลมกลืนไม่ให้เป็นที่สะดุดตาเก่งนะ " ไกรพูดเบาๆ แต่คำพูดของเขาทำเอาท่านผู้เฒ่าที่ทำหน้าเครียดๆอยู่หัวเราะลั่นทันที
" ฮ่าๆๆๆๆๆ ทำตัวกลมกลืนไม่เป็นที่สะดุดตา จะพูดให้ข้าหัวเราะตายรึอย่างไร...ทันทีที่มาถึงที่นี่เจ้าหักซี่โครงของนายกองพม่าจนถูกจับได้ แถมไม่ถึง ๔ ชั่วยามต่อมาก็ยังผ่าไปสังหารนายทัพพม่าตัวกลั่นที่เกือบจะฆ่าสิงห์ตายอีก ข้าไม่แน่ใจนะว่าที่เจ้าพูดว่า ทำตัวกลมกลืนไม่เป็นที่สะดุดตา นี่ เจ้าจะเข้าใจความหมายของมันจริงๆ "
" โห...พูดอย่างงี้ด่าผมเหอะ! "
พวกเขาขึ้นขี่ม้าตัวพ่วงพีที่ถูกเตรียมไว้โดยชาวบ้านในหมู่บ้านเล็กๆนี่ พร้อมกับนำสัมภาระขึ้นพาดกับอาน...และถ้าหากพูดตรงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ไกรได้เห็นอาวุธประจำกายของท่านผู้เฒ่า...เมือแรกเห็น ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะหัวหน้าสูงสุดของหมู่บ้านมือสังหารกลับใช้ดาบเก่าๆที่มีรูปร่างธรรมดาๆ ออกจะกระเดียดไปในทางดาบที่ถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆด้วยซ้ำเมื่อดูจากลายที่ด้ามดาบและฝักดาบ...นั่นทำให้ไกรต้องเอียงคอและขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีกเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงตีดาบของยูกิโอะ จนเขาอดที่จะถามขึ้นเบาๆไม่ได้
" นี่คือดาบประจำตัวของคุณงั้นเหรอ? ท่านผู้เฒ่า "
" อ่า...ใช่ เจ้าถามทำไมรึ? "
" ดาบเล่มนี้น่ะเหรอที่ยูกิโอะซังต้องการนักต้องการหนา ชนิดแปะป้ายจองไว้เลยขนาดนั้น "
" น้ำเสียงเจ้ามันฟังดูคล้ายกับดูหมิ่นดาบเล่นนี้จริงเลยนะ " คำพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรต้องรีบแก้ตัวทันที
" เปล่าๆ ผมแค่แปลกใจเท่านั้น...คือ ผมเห็นดาบประจำตัวของอนาสตาเซียที่ยูกิโอะซังตีขึ้นให้แล้ว...ดาบเล่มนั้นบางเบาและแหลมคมชนิดที่ต่อให้เป็นเทคโนโลยี...หมายถึงนวัตกรรม เวร...คำนี้ก็ใช้ไม่ได้อีก...ผมหมายถึงต่อให้ใช้เครื่องทุ่นแรงในยุคผม ก็ยังไม่ใช่ว่าจะทำออกมาได้ง่ายๆเลย แล้วถ้าเป็นอย่างงั้น เธอจะมาสนใจดาบที่ดูธรรมดาๆของคุณทำไมกัน? "
วิ้ง !!!
ทันทีที่ไกรพูดจบ ดาบที่ดูเหมือนกับเป็นดาบเก่าๆธรรมดาๆในมือของท่านผู้เฒ่าก็ลั่นวิ้งด้วยเสียงบาดหูจนไกรต้องสะดุ้งเฮือกจนแทบตกจากหลังม้าทันที ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่ดูเหมือนจะรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วถึงกับหัวเราะดังลั่น
" ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ดูเหมือนดาบของข้าจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเจ้านะ "
" อ...อะไรฟะนั่น! "
" ฮ่าๆๆๆ เอาเถอะ ถือว่าหยอกล้อกันพอหอมปากหอมคอพอน่า " ท่านผู้เฒ่าพูดพร้อมกับตบเบาๆที่ฝักดาบเหมือนกับจะบอกให้ดาบเล่มนั้นสงบลง ก่อนจะหันมาพูดกับไกรอีกครั้ง
" เรื่องนี้เอาไว้ทีหลังเถอะนะ ไกร สิ่งที่เจ้าควรรู้ก็คือโดยปกติแล้วอโยธยา...ไม่สิ โดยปกติแล้วทุกๆเมืองจะไม่อนุญาตให้ชาวบ้านทั่วไปพกศาสตราวุธที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายได้ แต่ในยามที่มีศึกสงครามที่มักจะมีโจรผู้ร้ายฉวยโอกาสปล้นสดมภ์เช่นนี้ พวกกรมการเมืองกับกรมพระตำรวจจะผ่อนผันให้เป็นพิเศษโดยให้พวกชาวบ้านพกดาบเพื่อป้องกันตัวได้ ...แต่ "
" แต่? "
" ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานี้มาแบบไหน...แต่ต่อให้เหตุการณ์เลวร้ายแค่ไหน กฎหมายก็ยังคงมีความศักดิ์สิทธิ์เสมอ...หากเจ้าหรือข้า หรือใครก็ตามเปลือยดาบออกจากฝักโดยไม่มีเหตุอันควรล่ะก็ เจ้าโง่นั่นได้ไปนอนในคุกแบบไม่มีกำหนดออกแน่...เพราะฉะนั้นจะทำการอันใดเจ้าจงระวังให้จงหนัก...เพราะไม่ใช่ทุกครั้ง ที่เจ้าจะโชคดีอย่างที่แล้วๆมา "
ไกรเหลือบมองดาบประจำกายของตัวเองที่สะพายไว้ด้านหลัง ก่อนจะตัดสินใจว่าเขาจะไม่พยายามนึกได้ว่าเขาสะพายอยู่ เพราะถ้าหากคำพูดของท่านผู้เฒ่าไม่ใช่คำขู่เกินจริง งานนี้ขืนทะเล่อทะล่าชักดาบออกมาเหมือนที่เคยทำเป็นปกติที่บ้านอันเป็นโรงฝึกของตัวเอง งานนี้มีหวังได้นอนเล่นในคุกขี้ไก่ตามที่อีกฝ่ายขู่ไว้แน่
" เข้าใจแล้วครับ "
" ดี...อย่างนั้นก็อย่างได้เสียเวลาอีกเลย พวกเราออกเดินทางกันเถอะ " ท่านผู้เฒ่าประกาศเบาๆ ก่อนจะเอนตัวมาตบสะโพกม้าของไกรโดยเจตนาจะเย้าแล่นและกระตุ้นให้ไกรออกเดินทาง แต่การตบกระตุ้นที่ทำให้ม้าสะบัดอย่างตกใจนี้กลับทำให้ไกรถึงกับแหกปากร้องเสียงหลง ก่อนจะก้มหน้าหลับตาปี๋และกัดฟันกรอดทันทีที่ม้าสงบลง
" ไกร?...รึ...รึว่าเจ้า? "
" นี่แหละที่ผมกำลังจะบอกคุณ... " ไกรที่ยังคงหลับตาปี๋และกำบังเหียนม้าไว้แน่นจนเส้นเลือดปูดโปนครางออกมาเบาๆ
" ผมขี่ม้าไม่เป็น "
............................................
...ช่วงเวลาเช้าตรู่ของอีกสองวันต่อมา...
" ไกร...ไกร...ตื่นได้แล้ว " เสียงเรียบๆเรื่อยๆของท่านผู้เฒ่าที่ดังมาจากทางด้านหน้าของเขา ทำให้ไกรที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทรารมณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา...สติสตังค์ที่ยังกระจัดกระจายอยู่ถูกรวบกลับเข้าที่อย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะจำได้ว่าเขาอยู่บนเกวียนไม้มีประทุนอย่างดีหลังหนึ่ง และใช้เกวียนนี่ต่างที่ซุกหัวนอนมาเป็นเวลา ๒ วันแล้ว ในขณะที่ท่านผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่เป็นสารถี หรือว่าง่ายๆคือโชเฟอร์ที่คอยบังคับเหล่าวัวที่เทียมเกวียนอยู่ถึงกับแยกเขี้ยววับเมื่อเห็นท่าทีของเขา
" แหม่! ช่างสุขกายสบายใจเสียจริงนะ ท่านไกร...ทั้งๆที่ทั้งหมดทั้งมวลนี่เป็นความผิดของเจ้าแท้ๆ เชื่อหรือไม่ในหมู่มือสังหารทั้งหมดตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงรุ่นปัจจุบัน มีเจ้าเป็นคนแรกเลยนะที่ข้าต้องบังคับเกวียนให้เนี่ย " คำพูดประชดประชันของท่านผู้เฒ่าทำให้ไกรที่ยังงัวเงียอยู่ถึงกับตาสว่างพร้อมกับทำหน้ากะเรี่ยกะราดทันที
" ผมก็ขอโทษแล้วไง โธ่...นี่ผมรู้สึกผิดจริงๆนะเนี่ยที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผน แถมยังทำให้การเดินทางล่าช้าไปตั้งวันนึงแบบนี้ " คำขอโทษที่มาจากความสำนึกผิดจริงๆของไกรทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวของท่านผู้เฒ่าคลายลงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะถอนหายใจเฮือก
" เฮ้อ...เอาเถอะ เดินทางด้วยเกวียนนี่ก็ไม่เป็นที่สะดุดตาใครต่อใครดีเหมือนกัน...อีกทั้งถ้าให้คนที่ขี่ม้าไม่เป็นเลยอย่างเจ้าเดินทางด้วยม้าเร็วทั้งวันทั้งคืนแบบนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับส่งเจ้าไปตายอยู่ดี ...ว่าแต่เจ้าเถอะ...ทั้งๆที่เป็นชายชาติอาชาไนยแท้ๆแต่กลับขี่ม้าไม่เป็นอย่างนี้มันไม่รู้สึกว่าเสียชาติเกิดบ้างรึไร? แล้วนี้อย่าบอกว่าในยุคเจ้า เจ้าโดยสารด้วยเกวียนมาโดยตลอดน่ะ? "
' ใช่... ' ไกรได้แต่ถอนหายใจเฮือก พร้อมกับตอบกลับไปในใจ ' ...เกวียนสี่ล้อที่ใส่เครื่องยนต์เบนซินพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติและเครื่องเสียงครบชุดไง '
ชายหนุ่มส่ายหัวไล่ความคิดไม่เป็นเรื่องทิ้งไปก่อนจะหันไปถามท่านผู้เฒ่าอีกครั้ง
" แล้วนี่เราถึงอยุธ---อโยธยาแล้วอย่างงั้นเหรอครับ? "
" อืม...จะว่าอย่านั้นก็ได้นะ เวลานี้เราอยู่ทางทิศอิสาน(ตะวันออกเฉียงเหนือ) ของเกาะเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของอโยธยา ศรีรามเทพนครน่ะ...ถ้าจะพูดให้ถูก ที่ๆเราจะไปกันมันไม่ได้อยู่ในกำแพงเมืองอโยธยาหรอก แต่เป็นที่นี่ต่าหาก "
" เดี๋ยวนะ แล้วที่คุณบอกว่าจะมาแจ้งข่าวล่ะ? เราไม่ได้แจ้งข่าวกับทางอโยธยาหรอกเหรอ? "
" อ้าว ก็ใช่น่ะสิ...ข้าก็กำลังจะไปหาคนที่พระเจ้าเอกทัศน์ยอมฟังอยู่นี่อย่างไรล่ะ "
' คนที่เทวกษัตริย์ผู้มีอำนาจสูงสุดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ผู้ที่สามารถตัดสินเป็นตายทุกชีวิตในกรุงศรีอยุธยายอมฟังเนี่ยนะ? ' ไกรคิดในใจอย่างตื่นเต้น ชนิดที่แทบจะอดใจรอฟังคำเฉลยไม่ไหวเลยทีเดียว
" ขอเสียมารยาทถามเลยล่ะกันนะครับ เขาคนนั้นคือใครกัน? "
" ท่าน...ต่างหาก...ท่านเป็นพระภิกษุน่ะ "
" พระ? "
" ใช่แล้ว...และข้าเชื่อว่าประวัติศาสตร์และพงศาวดารคงต้องมีชื่อท่านอยู่แน่ๆ...ชื่อของท่านคือ พระดอกเดื่อ ...พระดอกเดื่อแห่งวัดประดู่ทรงธรรม อย่างไรล่ะ "
" ...พระดอกเดื่อ? " ไกรครางเบาๆพร้อมกับขมวดคิ้วและเอียงคอเล็กน้อยอย่างพยายามนึกถึงชื่อพระองค์นี้ แต่ชั่วเสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาที่หรี่ลงของเขาก็เบิกกว้างจนแทบจะเหลือกโพลงเมื่อเขานึกออก
...ใช่แล้ว! ในยุสมัยเขา อาจจะมีคนรู้จักนาม พระดอกเดื่อ ไม่มากนัก แต่ถ้าเอ่ยด้วยอีกนามนึง ไกรเชื่อว่าต้องไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จักแน่นอน!...
...นามที่ว่านั้นคือ สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร...หรือขุนหลวงหาวัดนั่นเอง!!!....
................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ