ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
9.4
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
152 ตอน
11 วิจารณ์
129.72K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
149)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ==============================================
...ทันทีที่คำว่า เจ้าหญิงมอญ พ้นออกมาจากปากของยอดนักรบวัยค่อนคนตรงหน้า อเทตยาก็ไม่คิดจะรอให้อะแซหวุ่นกี้พูดจนจบประโยคอีกต่อไป...ธนูวชิระที่อยู่ในสภาพพร้อมอยู่แล้วสะบัดวูบพร้อมกับที่ลูกธนูถูกน้าวสายจนตึงเปรี๊ยะ ก่อนที่เธอจะปล่อยมือภายในไม่ถึงพริบตา...ลูกธนูสีดำสนิทพุ่งด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ!
พรึ่บ!
เคร้งงง!
แต่แล้วลูกธนูสีดำทมิฬที่หมายปลิดชีพขุนพลพม่าที่ทำตัวเป็นฆ้องปากแตกตรงหน้ากลับถูกไม่อาจจะสมดั่งใจหมายของเธออีกครั้ง แต่คราวนี้หญิงสาวต้องเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง เพราะดาบที่ตวัดขัดขวางดอกศรของเธอไม่ใช่ดาบในมือของอะแซหวุ่นกี้ แต่กลับเป็นดาบสีเงินยวงที่อยู่ในมือของนายของเธออย่างไกร ที่พริบตาที่ศรพุ่งผ่าน เขากลับตวัดดาบสดายุเพื่อฟันมันจนหักสะบั้นเป็นสองท่อน ในขณะที่มืออีกข้างยกมือขึ้นทำสัญญาณเป็นเชิงห้ามทันที
" อย่า! "
" ท ท่านไกร?! ท ทำไม!! "
" เจ้าฆ่าเขาไม่ได้ อเทตยา " ไกรพูดเรียบๆพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆเพราะฝืนใช้กำลังไปอย่างไม่พร้อมอีกครั้ง...ในขณะที่อเทตยาไม่ได้รู้ถึงความสำคัญของขุนพลที่จะกลายเป็นขุนพลไร้พ่ายผู้มีความสำคัญที่สุดในอนาคตผู้นี้ หัวใจเจ้ากรรมของเธอจึงตกวูบด้วยความกลัวว่าไกรจะสะกิดใจเกี่ยวกับอดีตอันดำมืดของเธอ จนกระทั่งเธอถึงกับตะกุกตะกักอย่างไม่เคยเป็นาก่อน
" ท ท่านไกร ค คือว่า...ข ข้าอธิบายได้นะเจ้าคะ! "
" หือ? อ้ะ เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก อเทตยา " ไกรที่เหลือบกลับมามองพูดเบาๆก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับอะแซหวุ่นกี้ต่อ แถมนามในตอนท้ายของประโยคก็ทำให้ทั้งอเทตยาทั้งอะซหวุ่นกี้เลิกคิ้วอย่างงงงวย เพราะทั้งหมดก็ได้ยินอย่างชัดเจนอยู่แล้วว่าอะแซหวุ่นกี้เรียกอเทตยาด้วยนามจริงๆว่า ตองชะเว ชนิดถ้าไม่ใช่หูหนวกไกรก็ควรจะได้ยินเป็นแน่แท้
" เหมือนว่าเจ้าจะได้ยินไม่ชัดนะ เจ้าหนุ่ม คือข้าเรียก--- "
" ท่านคงเข้าใจผิดนะ ท่านอะแซหวุ่นกี้ สตรีนางนี้ไม่ใช่คนที่ท่านรู้จักหรอก นางชื่ออเทตยา ติดตามอยู่กับข้ามานานแล้ว ไม่มีทางจะใช่คนที่ท่านรู้จักหรือคิดว่ารู้จักแน่ๆ " ท่ามกลางความงุนงง ไกรกลับพูดทะลุปล้องออกมาจนทุกคนถึงกับเอียงวูบ ในขณะที่อเทตยาที่พึ่งรู้ถึงจิตเจตนาที่แท้จริงของไกรถึงกับอ้าปากน้อยๆก่อนที่ดวงหน้าที่ซีดเผือดของเธอกลับฉีดไปด้วยเลือดฝาดอย่างน่ารักน่ามองที่สุด
มันทำให้เธอหวนนึกถึงในวันแรกที่เขาและเธอได้พบกัน...ขณะที่ไกรอยู่ในฐานะคนของยุคันตวาต และเธออยู่ในฐานะมือสังหารผู้ถูกคร่ากุมตัว...ประโยคที่ไกรพูดกับเธอทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ถึงทุกวันนี้
...คำพูดของไกรที่ว่า...นับแต่บัดนั้น ไกรไม่สนหรือถามไถ่ในอดีตอันดำมืดของเธออีกต่อไป...
...เธอเป็นเพียงอเทตยา...เป็นอเทตยาของไกรเท่านั้น!...
" ท ท่านไกร "
" เฮ้ยๆ จะบอกว่าข้า--- "
" ขอรับ...ท่านแค่จำผิด ไม่มีอะไรมากหรือน้อยกว่านี้ "
" แต่ว่านาง ไม่สิ เจ้าหญิง--- "
" ตรงนี้ไม่มีเจ้าหญิงที่ไหนหรอก ท่านอะแซหวุ่นกี้...ท่านแค่เข้าใจผิดนั่นแหละ "
" เข้าใจผิด? ...เหรอ? " อะแซหวุ่นกี้ไม่สนว่าไกรเสียมารยาทเรื่องการพูดขัดเขาแทบทุกประโยค เขาเพียงแค่เอียงคอทวนคำอย่างงงๆ ก่อนที่ดวงตาสีเข้มที่ไร้ซึ่งแววฝ้าฟางและเต็มไปด้วยความล้ำลึกของเขาจะมองสลับซ้ายทีขวาทีระหว่างไกรกับ เจ้าหญิงตองชะเว หรือ อเทตยา ตามที่เจ้าหนุ่มตรงหน้านั้นว่า...ก่อนที่ชั่วขณะหนึ่ง สมองอันปราดเปรื่องของขุนพลแห่งทัพพม่าก็เข้าใจอะไรๆได้อย่างชัดเจนมากขึ้นจนเขาถึงกับโคลงหัวและหลุดหัวเราะออกมาเบาๆทันที
" อ้อ...ฮ่าๆๆ เออๆ เอาก็เอา จะชื่ออะไรก็ช่าง พูดกันตามตรงเวลานี้ก็ไม่ถึงเวลาคิดบัญชีพวกมอญที่เล่นงานพวกข้าไปคราวนั้นเหมือนกัน ...อย่างนั้นเอาเป็นว่าข้าจำคนผิดก็ได้วะ! "
ตลอดเวลาที่ฟัง ถึงแม้ว่าไหล่ของไกรจะคลายลงเล็กน้อยอย่างโล่งใจที่ขุนพลวัยค่อนคนยอมรามืออย่างไม่ติดใจเอาความอะไร แต่ช่ยหนุ่มก็ยังคงขมวดคิ้วและเขม้นมองอะแซหวุ่นกี้อย่างไม่ใคร่จะไว้วางใจนักอยู่ดี...
ถึงแม้ว่าอะแซหวุ่นกี้จะมีท่าทีเลิกราและไม่คิดจะสนใจอะไรต่อ แต่อย่างไรสถานการณ์ตรงหน้าก็ยังไม่พ้นความจริงที่ว่าเขายังคงอยู่ในกำมือของขุนพลชนชาติพม่าผู้นี้ และถึงแม้ว่าจะเพิ่มอเทตยาเข้ามาในกระดานด้วย แต่เขาก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี...
ในสายตาของนักดาบระดับสูง...ไกรรู้ดีว่าเมื่อครู่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ดาบสดายุฟันลูกธนูวัชระของอเทตยาทิ้ง ลูกธนูดอกนั้นก็คงจะทำอะไรอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้อยู่ดี เพราะเมื่อครู่ถึงแม้จะหัวเราะฮาๆเหมือนไม่ได้ระวังตัวอะไร แต่ท่าร่างของอะแซหวุ่นกี้กลับไร้ซึ่งช่องโหว่ใดๆ และอยู่ในอาการตั้งรับอย่างสมบูรณ์แบบ
มันราวกับว่าที่พูดเมื่อครู่นี้ เขาเจตนาพูดเพื่อยั่วให้อเทตยาจู่โจมยังไงยังงั้น!
' แปลว่า...ไม่เห็นเรากับอเทตยาอยู่ในสายตาเลยสินะ ...ไอ้ความรู้สึกเหมือนโดนดูถูกนี่พึ่งเคยโดนครั้งแรกนะเนี่ย ' ไกรขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจอย่างหงุดหงิดที่สุด
แต่สถานการณ์ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด...เพราะไกรเองไม่ใช่คนที่ชอบอยู่ในกำมือของใคร แม้แต่กับขุนพลในตำนานอย่างอะแซหวุ่นกี้ก็ตามที
เขายังสัมผัสได้ถึงจิตของลูกแก้วและลูกขวัญ...ถึงแม้จะอ่อนแรงไปมากแต่พวกเธอก็ยังสามารถสร้างแรงกดดันในสถานการณ์ฉุกเฉินที่สุดได้...ยังมีดาบสดายุและดาบลับอย่างสัมพาที...และที่สำคัญที่สุด...เขายังมีไม้ตายก้นหีบที่ทุกคนไม่มีทางนึกถึงได้อย่างแน่นอน
' แต่ว่า...ชายคนนี้...เดาไม่ออกจริงๆว่าคิดอะไรอยู่? ' ไกรคิดในใจอย่างประเมินทั้งอะแซหวุ่นกี้ ทั้งสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยและค่อนข้างออกไปในทางคิดหนัก...ชายผู้อยู่นฐานะอะแซหวุ่นกี้ตรงหน้าเขาไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยจริงๆ...ขนาดยังไม่ได้สู้กันจริงๆจังๆ แต่กลินอายที่แผ่ออกมาจากตลอดทั้งร่างของชายวัยค่อนคนตรงหน้ามันก็เต็มไปด้วยความอหังการ์ กดดันจนเขาต้องเกรงอยู่หลายส่วนทีเดียว
...ตำนานที่กล่าวถึงชายคนนี้ ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่บรรทัดเดียว!...
ไกรมองสถานการณ์ตรงหน้าพร้อมหาหนทางอย่างใช้ความคิดอย่างหนัก และเขายิ่งต้องคิดหนักขึ้นไปอีก เพราะห้วงสมาธิของเขาเวลานี้ยังถูกรบกวนด้วยเสียงหวานใสเจื้อยแจ้วที่ดังก้องภายในหัวของเขาเอง
ผิดแต่ว่า...เสียงที่ดังภายในหัวของไกรคราวนี้ไม่ใช่เสียงของเด็กน้อยทั้งสองอย่างลูกแก้วและลูกขวัญ...แต่เป็นเสียงของหญิงสาวสะพรั่งนางหนึ่ง ที่พูดพลางกลั้วหัวเราะด้วยกระแสเสียงทั้งเยาะหยันทั้งสมเพชอย่างน่าปวดหัวที่สุด
' คิกๆๆ ...ตานายทัพพม่านี่ มันทำให้ข้านึกถึงเจ้านะ สันดานเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน...คนบ้าๆเช่นนี้มีไม่กี่คนหรอกนะ '
' เฮ้อ หลังๆมานี่มีแต่คนทักว่าข้าเหมือนคนโน้นคนนี้อยู่บ่อยๆ ไม่นึกว่าท่านก็เอาด้วยอีกคนนะ ' ในขณะที่ไกรเองกลับไม่ได้มีท่าทีตกใจกับเสียงปริศนาที่ดังเจื้อยแจ้วภายในหัวของเขาเลย ชายหนุ่มเพียงแค่ยักไหล่เล็กน้อยและตอบกลับไปในใจด้วยอากัปกริยาปรกติจนคนอื่นๆไม่อาจจะจับสังเกตได้
' คิกๆๆๆ เฮ้อ...แต่พูดเรื่องสันดาน...ไม่รู้ว่าข้าจะต้องผิดหวังหรือชาชินกับกมลสันดานของเจ้าดีนะ ไกร...ช่างใจดีเสียจริงนะ ...แม้แต่กับนางอสรพิษนี่! ...ป่านนี้คงมัวหลงใหลได้ปลื้มในคำหวานอย่างไม่คิดน่าคิดหลังของเจ้าเป็นแน่แท้ '
' อย่าพูดจาให้ร้ายเธอสิ ยังไงเธอก็เป็นถึงราชนิกูรณ์นะ...ไม่สิ ไม่ต้องพูดอะไรเลยดีกว่า ...ขอร้องล่ะ ตอนนี้ข้ากำลังใช้สมาธิอยู่นะ ' ถึงแม้ว่าจะยังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ได้คลี่คลายลง หรือจะพูดให้ถูกคือตึงเครียดชนิดไมอาจละสายตาได้ แต่ไกรก็ยังต้องยอมเสี่ยงหลับตาลงพร้อมกับเอานิ้วนวดสันจมูกของตัวเองอย่างปวดหัวพลางเอ่ยขอร้องภายในใจตอบโต้กลับไปอย่างสุภาพ แต่เสียงปริศนานั้นก็ยังคงหัวเราะอย่างยั่วเย้าโดยไม่ฟังคำขอร้องของเขาเลยแม้แต่น้อย
' ฮิๆ หรือไม่ใช่ใจดี...เพียงแต่เจ้ารู้พื้นเพของนางอยู่ก่อนแล้วโดยไม่จำเป็นต้องให้มันมาบอกกล่าวซ้ำให้เสียเวลา โถๆๆ...แสร้งทำตนเป็นคนดี เนื้อแท้เจ้ามันก็แค่นักบุญจอมปลอมเท่านั้นแหละ! '
' อ อึ่ก! '
เมื่อเปล่าประโยชน์ที่จะร้องขอ แถมร้องขอไปก็ได้แต่ทำให้เสียงของสตรีปริศนาในหัวของไกรย้อนเกล็ดกลับมาอย่างเจ็บแสบเสียอีก ไกรจึงได้แต่หลับตาลงอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องตอบกลับไปอย่างแช่มช้าว่า
' ลูกแก้วลูกขวัญเป็นอย่างไรบ้าง? '
' หืม? แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ...เจ้าพึ่งบังคับให้เธอใช้พลังของพวกเธอหยุดห่ากระสุนปืนใหญ่ได้อย่างไร้รอยขีดข่วนนะ...ใช้พลังไปขนาดนั้นคิดว่าลูกแก้วลูกขวัญจะยังเริงร่าได้อีกหรือ? ...เจ้าเล่นใช้เด็กๆอย่างหักโหมยิ่งกว่าพ่อคนเก่าของเธอชนิดเทียบไม่ติดจนวิญญาณอันแหกกฏของพวกเด็กๆแทบกระจัดกระจายจนไม่อาจรวมกันได้ติดเชียวล่ะ ' เสียงปริศนานั้นตอบกลับมาและค่อนขอดจนไกรนิ่วหน้าอย่างรู้สึกผิด
' คือ...ข้า---'
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรต่อ เสียงของหญิงสาวปริศนาในหัวกลับพูดต่อพลางกลั้วหัวเราะคิกคักเบาๆว่า
' แต่ก็อย่างที่บอก ว่าเด็กทั้งสองเป็นพวกแหกกฏ อาศัยเศษวิญญาณของเจ้าทำให้พวกเธอค่อยๆฟื้นคืนกำลังมา '
' น นี่ท่าน--- '
' แต่ก็ในอัตราที่ช้ามากโข...เจ้ายังไม่สามารถเรียกใช้สองกุมารีในเร็วๆนี้ได้...ในขณะที่ข้าเองก็ใช้ตัวเองเป็นตัวกลางสื่อผ่านพลังของเจ้าไปให้เด็กสองตน เลยไม่สามารถออกมาช่วยชีวิตน้อยๆของเจ้าได้เช่นกัน '
' แต่ก็ยังอุตส่าห์มีพลังเหลือเฟือพอจะสามารถพูดวกวนกวนโมโหข้าได้... '
' รู้ใช่ไหมว่าข้าได้ยินในทุกสิ่งที่เจ้าคิดน่ะ เจ้าเด็กน้อย! '
' เฮ้อ...ข้าคิดผิดคิดถูกเนี่ยที่นำท่านมาด้วย...ท่าน--- '
โครมมมม!!
" ท่านสิน!! "
.....................................
...ในขณะที่ไกรและอเทตยากำลังเผชิญหน้ากับอะแซหวุ่นกี้และอยู่ในสถานการณ์ที่แม้จะตึงเครียดแต่ก็ังพอรับมือได้ แต่หลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตากอย่างสินกลับอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ...แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนจากดาบมือเดียวมาใช้ดาบสองมือโดยปล่อยบังเหียนและไว้ใจให้สีหมอกเป็นผู้ควบคุมทิศทางเอง แต่วิชาดาบสองมือซึ่งเป็นดาบสายอาทมาทระดับสูงที่สินภาคภูมิใจกลับทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่สิ...ถ้าให้พูดตรงๆคือโชคดีแล้วที่เขาตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้ดาบ ๒ มือ เพราะหากยังคงดื้อดึงใช้ดาบมือเดียวอยู่...ป่านนี้เขาคงจะถูกตีตกจากหลังม้า หรืออย่างร้ายที่สุด...ป่านนี้คงจะเปลี่ยนภพไปปรโลกแล้วด้วยซ้ำ!
' บ บ้าเอ้ย! ทวนมัน! ' ในชั่วเวลาแห่งความเป็นความตาย สินยังถึงกับต้องสบถสาบานในใจอย่างหงุดหงิดเสียไม่ได้ แต่เขาก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าฝีมือทวนของคู่ต่อสู้ของเขาอยู่ในระดับเอกอุจริงๆ
มีไม่กี่คนหรอกที่สามารถสะบัดทวนให้ลัดเลื้อยราวกับงูพิษ เล็ดรอดตาข่ายดาบอันถี่ยิบมาสะกิดร่างเรียกเลือดออกจากกายของเขาได้ แถมภู่ขนจามรีสีแดงสดที่ผูกอยู่กับปลายทวนก็สะบัดไปมาคอยหลอกสายตาจนแม้แต่คนที่มีสมาธิสูงอย่างสินยังต้องต้องถูกหลอกให้ลายตาจนได้แผลไปอีกหลายรอบ
...แต่ที่สร้างความลำบากให้แก่หลวงยกกระบัตรหนุ่มที่สุดไม่ใช่ผู้ใช้ทวน...แต่เป็นตัวศาสตราอย่างตัวทวนเองต่างหาก...
สินเชื่อเสมอว่าระดับฝีมือของนักรบไม่ได้วัดกันที่ศาสตรา แต่วัดจากไหวพริบและความสามารถ ซึ่งเขายืนยันความคิดของตนเองด้วยการใช้ดาบทรงอาทมาทระดับซึ่งถูกใช้ในระดับทหารทั่วไปเป็นดาบประจำกายตั้งแต่ก่อนได้พบกันไกรแล้ว
แต่แล้วเขาก็ได้ประสบกับตัวเอง ว่าความคิดของเขาอาจจะไม่ใช่ความคิดที่ถูกต้องเสียแล้ว!
ในขณะที่ทวนที่อยู่ในมือของนักรบหนุ่มชาวพม่าตรงหน้ามองผาดๆก็รู้เลยว่าไม่ใช่ของสามัญธรรมดาๆ ...คมทวนถูกสร้างจากโลหะมีอันดับชั้นสูงอะไรซักอย่างที่น่าจะอยู่ในระดับเดียวกับดาบสดายุของท่านไกร ทั้งยังถูกหลอมตีขึ้นอย่างปราณีตจนคมราวกับมีดโกน แต่กลับฟาดฟันแต่ละครั้งด้วยความหนักหน่วงราวกับถูกฟาดด้วยค้อน จนแขนทั้งสองของสินสั่นสะท้านทุกครั้งที่รับมันตรงๆ...ในขณะที่ตัวด้ามเองก็เป็นไม้พิเศษที่เหนียวยิ่งกว่าอะไรดี...ขนาดสินหาจังหวะฟันที่ส่วนเป็นไม้ของทวนได้แล้วแท้ๆ แต่ไม้ด้ามทวนกลับโค้งงอวูบก่อนจะดีดกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เคร้ง!
" ก กรอด! "
" รู้ตัวแล้วสินะ " ในที่สุด นักรบหนุ่มชาวพม่าที่ตลอดเวลาที่ขับเคี่ยวต่อสู้กันมาอย่างเงียบๆราวกับเป็นใบ้มาโดยตลอดกลับพูดขึ้นอย่างราบเรียบ และสินเองก็เจนการต่อสู้มากพอจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อด้วยรูปประโยคสั้นๆนั้นก็ถึงกับสีหน้าแปรเปลี่ยนไปจนสังเกตได้ชัด
" ... " ระหว่างอยู่ในห้วงสมาธิโดยแต่ละเสี้ยววินาทีตัดสินระหว่างความเป็นกับความตาย สินไม่คิดจะหลงกลด้วยการเปิดปากตอบโต้กลับไป แต่เจ้าชายหนุ่มเดาได้จากสีหน้าเช่นกัน พระองค์จึงดำรัสต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิมว่า
" เจ้าเป็นผู้มีฝีมืออันหาได้ยาก และสำหรับราชอาณาจักรที่เว้นว่างจากสงครามใหญ่มากว่าร้อยปี ฝีมือระดับเจ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ น่าเสียดาย--- "
เคร้ง!
' พูดราวกับเป็นผู้ควบคุมการต่อสู้ไว้ได้ทั้งหมดแล้วอย่างนั้นแหละ ไอ้นี่! ' สินกัดฟันคิดในใจอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยังไม่อาจจะยอมเสียสมาธิตอบกลับไปได้ เพราะทั้งๆที่อีกฝ่ายกำลังพูดราวกับเริ่มบ้าน้ำลาย เพลงทวนแต่ละท่าก็กลับยิ่งเพิ่มความเร็วและจิตสังหารมากขึ้นไปอีก ชนิดที่ถ้าหากสินเผลอเสียสมาธิไปวูบเดียวเขาคงจะต้องจ่ายค่าเสียหายอย่างมหาศาลแน่ๆ
เคร้ง!
" แต่ที่เจ้าพลาด คือความถือดีของเจ้า...ความถือดีในฝีมือ จึงไม่ยอมใช้ศาสตราที่เป็นศาสตราระดับสูง เพียงแต่ใช้ศาสตราระดับดาดๆ...ซึ่งเจ้าหารู้ไม่ว่าในการประลองยุทธ์ที่ตัดสินเป็นตาย ปัจจัยทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดล้วนแต่เป็นสิ่งที่ตัดสินแพ้ชนะได้...เพราะไม่รู้จึงถือดี...และความถือดีของเจ้านี่แหละเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าต้องพ่าย "
" ปากดีเสียจริงนะ! การต่อสู้ยังไม่จบโว้ยยย! " ในที่สุดสินก็ไม่อาจจะทำเฉยหุบปากเงียบต่อไปได้ หลวงยกกระบัตรแห่งเมืองตากผู้เป็นรองแม่ทัพแห่งกองทัพภูติพรายตวาดก้องราวกับความอดทนขาดผึง พร้อมๆกับที่เพลงดาบอาทมาทของเขาเร่งระดับความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมและออกอาวุธอย่างมั่วซั่วไปหมดจนกระทั่งจากสภาพเสียเปรียบกลายเป็นกลับมาเป็นฝ่ายรุกไล่จนม้าของเจ้าชายมังระต้องถอยร่นและตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
แต่เจ้าชายมังระก็ไม่ใช่ระดับกระจอก อีกทั้งยังผ่านศึกสงครามที่ตัดสินเป็นตายมามากกว่าจนสามารถพูดได้ว่าเจนสนามกว่า จนพระองค์ไม่มีทางถูกกดดันได้กับเพียงแค่การเปลี่ยนจังหวะการต่อสู้เช่นนี้แน่ ทำให้เพียงพริบตาเดียว สายตาอันคมกริบของเจ้าชายหนุ่มก็มองเห็นจุดอ่อนของกระบวนท่าที่มั่วซั่วเช่นนี้ได้...เสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น ทวนประจำหัตถ์ก็ตวัดวูบ!
วืดดด!
แต่แทนที่ทวนของพระองค์จะได้ลิ้มรสเลือดเนื้อของนักรบชาวสยามตรงหน้าชนิดกะให้ไม่สาหัสก็คงดับดิ้นแท้ๆ ...ทวนของพระองค์กลับลิ้มรสเพียงความว่างเปล่า เพราะจากสถาพนั่งอย่างมั่นคงบนหลังม้า สินกลับใช้ช่วงเวลาที่เหมาะสมและถูกจังหวะที่สุด อาศัยจากทั้งกำลังกายพร้อมกับกับกำลังของม้าศึกฉกรรจ์ที่ส่งไปในทิศทางเดียวกัน ถีบตัวจากหลังของสีหมอก ม้วนข้ามทั้งคมทวน ทั้งเศียรของเจ้าชายหนุ่ม และตีลังกาลงไปยืนอย่างพอเหมาะพอเจาะกับพื้น ในทิศทางที่พอเหมาะพอดีที่สุด!
ที่ด้านหลัง...อันเป็นจุดอับสายตาที่เป็นจุดอ่อนของนักรบทุกคน!
สินลอกเลียนแบบกระบวนท่าพิศดารนอกแบบที่เคยปั่นหัวให้เขาหัวหมุนมาแล้ว...กระบวนท่าของท่านไกรที่เคยประลองกับเขาหน้าพระที่นั่งในเขตพระราชฐานชั้นกลาง ต่อหน้าพระพักตร์ของพ่ออยู่หัวแห่งอโยธยานั่นเอง!
" จบแค่นี้แหละโว้ย! " ในชั่วเสียววินาทีที่ทุกอย่างอยู่ในมือของสิน สินตวาดลั่นพร้อมกับตวัดดาบวูบด้วยความเร็วและจังหวะที่เหนือกว่าที่ไกรเคยทำได้เสียอีก ...การประลองที่ตัดสินเป็นตายนี้ ชัยชนะเป็นของเขาแล้ว!
แต่เจ้าชายมังระก็ไม่ใช่หมูที่รอให้ถูกเคี้ยวง่ายๆ พริบตาที่สินกระโดดลอยข้ามเศียรไป แม้พระองค์จะตกตะลึงแต่ก็เป็นการตกตะลึงเพียงชั่วเสี้ยววินาที เพราะพระองค์คนสต้ิสัมปชัญญะกลับมาพร้อมกับตวาดลั่นและถีบตัวจากหลังม้าและหมุนตัวกลับมาพร้อมกับทวนในมือที่โถมแทงโดยไม่ยอมตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว!
เคร้ง!
ด้วยความที่พื้นนิสัยไม่ยอมคนทั้งคู่ ทำให้ต่างไม่มีใครยอมถอนการโจมตี...พริบตานั้นเองศาสตราที่อยู่ในระดับความเร็วและพลังสูงสุดก็ปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
เปรี๊ยะ!
" ฮ เฮ้ย! " พริบตานั้น สินกลับเป็นฝ่ายที่ต้องร้องจนเสียงหลง เพราะดาบอาทมาทที่ผ่านการปะทะกับศาสตราระดับสูงอย่างต่อเนื่องจนอยู่ในสภาพย่ำแย่ที่สุดอยู่แล้วก็สั่นสะท้านก่อนจะหักลงในจุดที่ศาสตราทั้งสองสัมผัสกันคาตา!
...ต่อให้เป็นผู้มีจิตที่มั่นคงที่สุด แต่เมื่อได้เห็นอาวุธประจำกายที่อยู่คู่ใจเขามาตั้งแต่อยู่เมืองตากหักสะบั้นลง สินก็หนีไม่พ้นตกตะลึงและใจสะท้านจนไม่อาจจะขยับตัวได้...แม้จะเป็นการหยุดนิ่งเพียงไม่ถึงวินาที แต่ในวินาทีแห่งความเป็นความตายเช่นนี้ แค่วินาทีเดียวก็เพียงพอสำหรับมังระราชบุตรแล้ว!
โครม!
ปลายด้ามทวนที่เป็นไม้ชนิดพิเศษถูกตวัดวูบและฟาดเข้าไปที่ซี่โครงของสินอย่างไม่มีปราณีจนกระทั่งเกราะอกโลหะอย่างดีที่คอยปกป้องอวัยวะสำคัญอยู่ถึงกับบิดงออย่างผิดรูป ชนิดที่ต่อให้ซี่โครงไม่หักอย่างน้อยๆก็ต้องเดาะไปหลายซี่แน่ๆ ทำให้สินที่อยู่ในสภาพไร้การป้องกันใดๆกระเด็นราวกับว่าวป่านขาด ลงไปกองอยู่กับพื้นในสภาพที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายด้วยซ้ำ!
" เฮ้ย ท่านสิน! ---ลูกแก้ว ลูกขวัญ! " ไกรที่อยู่ไกลออกไปและเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนตวาดวูบและเรียกใช้สองกุมารีอย่างแทบไม่รู้ดัว ...แม้ว่าหางตาของเขาจะเห็นอะแซหวุ่นกี้ที่กำลังจะชักดาบพร้อมปลดปล่อยจิตสังหารอีกรอบ แต่คราวนี้ไกรกลับไม่ยอมหยุดและหมายจะยอมแลกชีวิตเพื่อเรียกสองกุมารีของเขาเลยด้วยซ้ำ ด้วยความเป็นห่วงชายผู้ซึ่งจะเป็นผู้กู้ชาติไทยในอนาคตผู้นี้ แต่ด้วยความที่ลูกแก้วและลูกขวัญยังไม่ได้อยู่ในสภาพที่บริบูรณ์พร้อม ทำให้การก่อกำเนิดเป็นร่างขึ้นมาใช้เวลานานกว่าที่คิด จนในเวลานั้น แม้แต่ไกรก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจจะยื่นมือเข้าขัดขวางได้ทันแน่!
ในขณะที่สินอ้าปากร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวชนิดร้างแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ บุรุษผู้ผ่านสงครามมานับไม่ถ้วนไม่ยอมให้โอกาสอันงามนี้หลุดลอยไป ...พระองค์ถีบบาทพุ่งตามมาพร้อมกับตวาดด้วยสุรเสียงดังก้อง!
" นี่สิโว้ย! จบจริง! "
" ท่านสิน ไม่! "
ในเสี้ยววินาทีที่ปลายทวนกำลังพุ่งเข้ามาใส่สินในสภาพที่เขาไม่อาจจะป้องกันตัวได้โดยสิ้นเชิง สินเหมือนกับจะได้ยินเสียงของไกรที่ร้องเรียกชื่อของเขาดังแว่วมาจากที่ไกลแสนไกล ก่อนที่หลวงยกกระบัตัตรหนุ่มจะค่อยๆหลับตาลงอย่างปลงตกกับชีวิตที่กำลังจะจบสิ้นลงของตนเองแล้ว
เปรี้ยง!
แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่คมของทวนสีเงินวาวจะพุ่งเข้าถึงร่างของสินเพียงไม่ถึงฝ่ามือ สายอสุนีบาตสีขาวสว่างก็ลั่นเปรี้ยงลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยและไม่ควรเป็นไปได้ด้วยซ้ำจากท้องฟ้าที่โล่งแจ้งชนิดแทบไม่เห็นแม้แต่เงาเมฆเช่นนี้ ...แรงระเบิดของสายฟ้าฟาดสีขาวบริสุทธิ์ทำให้ทั้งมังระราชบุตรที่กำลังจะปลิดชีพศัตรูคนสำคัญ และหลวงยกกระบัตรสินที่นอนรอความตายอยู่ กระเด็นและถอยห่างออกไปคนละทิศละทาง
" อะไรกัน?! " เจ้าชายหนุ่มแห่งราชวงอลองพญาที่ตั้งตัวได้ติดในชั่วกึ่งอึดใจ ทั้งยังไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากมายนักถึงกับร้องสบถออกมาอย่างประหลาดใจที่สุด ...แต่ในเวลาเดียวกันนั้น กลับเป็นสินที่เป็นฝ่ายเบิกตากว้างและตกตะลึงจนไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยแม้แต่ครึ่งคำ
เพราะที่ตรงหน้าของจุดที่เขากระเด็นมานั่งคุกเข่าอยู่ เบื้องหน้าห่างไปเพียงไม่ถึงวา กลับมีดาบปริศนาที่ไม่รู้ที่มาที่ไปปักเด่นอยู่เหนือพื้นดิน
ดาบที่มีลักษณะเป็นดาบไทยอย่างโบราณที่ตลอดทั้งใบดาบคือโลหะสีเขียวครามไม่ทราบชนิดวาววับ ไล่ไปถึงส่วนด้ามที่เป็นด้ามทองเนื้อเกลี้ยงอร่ามสะท้อนรับกับแสงอาทิตย์จนสะท้อนให้เห็นถึงพลังอันเต็มเปี่ยม...ที่ส่วนกลางใบดาบมีร่องรอยของตำหนิ ที่มีลักษณะคล้ายรอยเขี้ยวและฟัน ๔-๕ ซี่ ที่แม้จะเลือนลางแต่ก็ยังเป็นที่สังเกตุได้อย่างชัดเจนที่สุด
ดาบที่ทำให้สินถึงกับลืมความเจ็บปวดที่ซี่โครงและเบิกตากว้างใส่อย่างตะลึงจนตาแทบถลน เพราะนี่คือดาบที่เขาเคยเห็นเพียงภาพร่างในตำราศาสตราเก่าแก่เท่านั้น แต่เจาก็ยังจดจำถึงลักษณะของดาบเล่มนี้ได้เป็นอย่างดีที่สุด!
พระแสงดาบคาบค่าย...พระแสงราชศาสตราสำคัญ แห่งสมเด็จพระนเรศ! ราชาไฟผู้กอบกู้กรุงอโยธยา!
........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.1 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ