ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
148)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
==============================================
" พวกเจ้า! พวกเจ้าทำระยำอะไรกันเนี่ย?! " หลังจาก ๕ วินาทีแห่งการตกตะลึง ในที่สุดพระเชียงเงินผู้อยู่ในฐานะของผู้บัญชาการสูงสุดบนเรือเวนไตยก็ร้องออกมาชนิดเสียงหลงอย่างตกใจสุดขีดจนทุกคนที่ยังหูวิ้งๆกับกัมปนาทเสียงปืนใหญ่อยู่ยังถึงกับต้องสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง
ถึงจะยังไม่รู้ความจริงว่าปืนใหญ่น้อยถูกยิงไปด้วยจุดประสงค์ใด แต่ก็ยังไม่น่าแปลกใจที่ออกพระหนุ่มจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ เพราะพวกเขาอยู่ในฐานะของกองหนุนที่ไม่ควรจะเปิดเผยตัวเองโดยไม่จำเป็น...ในขณะที่การยิงปืนใหญ่ในจุดที่เป็นจุดเปิดไม่ได้อยู่ในที่กำบังที่เลือกสรรไว้เช่นนี้มันยิ่งกว่าการเปิดเผยตัวตนเสียอีก
เพราะมันไม่ต่างอะไรกับจุดพลุเชิญชวนให้กองทัพพม่ามายำใหญ่เรือลำเล็กๆนี้เลยด้วยซ้ำ!
ในขณะที่เสียงตวาดอันทรงอำนาจของออกพระหนุ่มก็ดูเหมือนจะทำให้สติสัมปชัญญะของสมิงทอสุหรือนายทองสุขกลับมามีความคิดอ่านอีกครั้ง พร้อมๆกับความสำนึกเสียใจเล็กๆที่รู้สึกสำนึกในความผิดพลาดของตัวเองจนกระทั่งใบหน้าที่ปรกติจะยิ้มแย้มแบบแปลกๆอยู่ตลอดเวลาถึงกับขมวดเคร่งวูบ
' แย่ล่ะสิ! เราใจร้อนเกินไป ปัดโธ่! เสือกทำอะไรไม่คิดจนได้! '
" กูถาม! ว่าพวกมึงทำระยำอะไรกัน!! " เมื่อเห็นว่าทุกคนยังเงียบตาปริบๆ โทสะของออกพระเชียงเงินจึงเพิ่มระดับขึ้นไปอีกจนเขาตวาดออกมาด้วยเสียงอันดังก้องและเพิ่มระดับของสรรพนามที่รุนแรงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งจนฝีพายที่อยู่ใกล้ที่สุดถึงกับตัวสั่นวูบด้วยความเกรงกลัว
" ท ท่านออกพระ--- "
" พวกมันทำตามคำสั่งของข้าเอง " ก่อนที่พวกฝีพายจะหลุดปากพูดอะไร สมิงทอสุก็ชิงพูดขึ้นเรียบๆ จนกระทั่งพระเชียงเงินต้องขมวดคิ้ววูบอีกครั้ง
" เกียน? "
" อ้อ แล้วเลิกเรียกข้าด้วยชื่ออันโง่เง่านั่นเสียที "
" อะ อะไรนะ? " พระเชียงเงินทวนคำอย่างงงงวยอีกครั้ง ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศทำให้เขาเริ่มเหลือบตามองไปรอบๆอย่างรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
จิตคุกคาม?...แถมไม่ได้มาจากคนๆเดียว แต่มาจากโดยรอบ และไอ้โดยรอบที่ว่านั่นมันคือเหล่าฝีพายชาวมอญอาสาที่รับคำสั่งเขาอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
" เพราะข้าคือ--- "
วืดดด ตูม!
ช่วงประโยคสุดท้ายของสมิงทอสุถูกกลบด้วยเสียงน้ำแตกกระจายดังตูมสนั่นเพราะพระเชียงเงินที่มีอายุมากพอจะมองเหตุการณ์ล่วงหน้าออกประเมินสถานการณ์แล้วเห็นท่าว่ารั้งอยู่ต่อคงจะไม่ดีกับสวัสดิภาพชีวิตตัวเองแน่ ขุนนางหนุ่มจึงรีบชิงกระโดดออกจากเรือลงสู่แม่น้ำที่เชี่ยวกราก และด้วยความเร็วของเรือที่กำลังพุ่งทวนกระแสน้ำที่ไหลสวนทางด้วยความเร็วไม่แพ้กัน ทำให้่เพียงชั่วพริบตาเดียว ร่างสูงเพรียวของผู้รั้งเมืองเชียงเงินหนุ่มก็หายไปโดยไม่อาจจะทำอะไรได้อีก
" ท่านเกียน---เอ้ย! ท ท่านสมิงทอสุ! " เมื่อสร่างจากอาการตกตะลึง เหล่าฝีพายเรือเวนไตยที่ล้วนแล้วแต่เป็นพวกมอญอาสาที่สังกัดกองอาสาหกเหล่า แต่เนื้อแท้แล้วขึ้นตรงต่อต้นหนผู้มากปริศนาอย่างสมิงทอสุหันกลับมามองนายที่แท้จริงของตนเพื่อรอคำสั่งต่อไป ในขณะที่สมิงทอสุที่กำลังอ้าปากพะงาบๆเพราะพึ่งเคยถูกคนขัดจังหวะชณะกำลังพูดด้วยการกระโดดน้ำหนีเป็นครั้งแรกโคลงหัวเล็กน้อยก่อนที่เขาจะค่อยๆเก็บปืนสับนกอันจิ๋วที่ล้วงออกจากที่ซ่อนด้านหลังได้เพียงครึ่งกระบอกกลับเข้าที่ซ่อนของมันตามเดิมเพราะเขาคงไม่มีโอกาสได้ใช้เล้ว ...สมิงมิญหนุ่มเงียบไปชั่วอึดใจก่อนที่เขาจะครางออกมาเบาๆว่า
" ป่วยการตาม...ป่านนี้คงไปไกลแล้วกระมัง ...เฮ้อออ! " ชายหนุ่มชาวมอญถอนหายใจเฮือกอีกครั้งอย่างโมโหในความคิดอันหุนหันพลันแล่นชั่ววูบของตัวเอง ก่อนที่เขาจะเหลือบมองสายตาแป๋วๆของเหล่าลูกน้องของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะใช้มือนวดขมับตัวเองอย่างใช้ความคิดที่สุด...
...เขาพยายามคิดอย่างคนที่เขาเกลียดที่สุด คนที่น่าโมโหที่สุด ...แต่ก็ต้องนับถือความคิดของมันที่สุดอย่างเสียไม่ได้...
...คิดอย่างไอ้คนที่มีนามว่าไกร!...
...ความคิดอย่างบวกที่ประเมินสถานการณ์ในสถานการณ์แย่ๆเช่นนี้...ความคิดที่คิดว่าเวลานี้ตัวเองมีอะไรที่เหลืออยู่ในมือบ้าง...
หลังจากตกผลึกความคิด...ฃายหนุ่มปลอบใจตัวเองว่าแม้ว่าหลังจากสิ่งที่เขาทำลงไปจะทำให้ตอนนี้เขาจะไม่มีหน้าและไม่สามารถกลับไปเข้าร่วมกองทัพภูติพรายได้อีก แต่อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีเรือไชยที่ว่องไวและดีที่สุดในอโยธยา และมีทหารมอญที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีและยังคงไว้ใจได้อย่างที่สุด
แม้ไม่มากมาย...แต่เขาก็มีทุกอย่างอยู่ในกำมือของเขาแล้ว
" เอาเถอะ...อย่างไรเสียเวลานี้ก็คงต้่องมาถึงอยู่แล้ว...ไม่ช้าก็เร็ว... "
" ท่านสมิงทอสุ? "
สมิงทอสุยืดตัวสูงขึ้นจนร่างที่ปกติเคยงองุ้มอยู่ตลอดเวลากลับอกผายไหล่ผึ่งดูสมชายชาตรีขึ้นอย่างไม่แพ้ผู้ใด ก่อนที่ดวงตาที่ทอประกายแรงกล้าอย่างที่สุดจะประกาศจนได้ยินไปทั่วอีกครั้งว่า
" พวกเราเหล่ามอญเวนไตย! "
" ขอรับ! "
" ในฐานะสมิงทอสุ บุตรแห่งแม่ทัพหาญแห่งหงสาวดีอันเกรียงไกรในอดีต...ขอเริ่มต้นแผน ฟ้ารั่ว ขั้นที่ ๑ ...พวกเราทั้งหมดทั้งมวล ขอแยกตัว เป็นอิสระต่อกองทัพภูติพราย ต่ออโยธยา และต่อทุกผู้ทุกนาม...ณ บัดนี้ เป็นต้นไป! ชั่วกาลปาวสาน! "
........................................
...ณ เวลาเดียวกันนั้นเอง...
" อ อือ "
ไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าใด แต่ในที่สุดไกรก็ค่อยๆฟื้นคืนสติกลับมาอย่างช้าๆ ในชั่วเสี้ยววินาทีแรกที่หวนคืนกลับมา ร่างกายของเขามึนชาและหนักอึ้งราวกับถูกทับด้วยทั่งเหล็กตันๆไม่มีผิด แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมา ความมึนชานั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นกลายเป็นความปวดร้าวชนิดร่างกายแทบจะแตกสลายไปเป็นเสี่ยงๆจนกระทั่งเขาต้องร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้น เสียงที่ออกมาก็แหบแห้งเสียจนเขาถึงกับต้องตกใจ เพราะมันไม่ต่างอะไรกับเสียงของคนที่อดน้ำมาอย่างหนักจนไม่เหลืออะไรในลำคอนอกจากความแห้งผากเลยไม่มีผิดเพี้ยน
" แหมๆ เจ็บสินะ...แต่ก็พอเข้าใจอยู่หรอก...เล่นส่งพลังให้รักยม---ไม่สิ ให้กุมารีสร้างม่านพลังหยุดกระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดได้อย่างไร้รอยขีดข่วนขนาดนั้นมันก็ต้องมีอะไรต้องจ่ายกันบ้างล่ะน่า "
" อ อั่ค! ก็---ใช่...เฮ้ยยย!! "
เสียงเออออห่อหมกอย่างแหบแห้งของไกรแปรเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานอย่างตกใจสุดขีดกับไอ้คนที่นั่งเอกเขนกอยู่ข้างๆจนกระทั่งเขาต้องหันขวับไปมอง แต่การขยับกล้ามเนื้ออย่างกะทันหันในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่เลย เพราะหลังจากที่ได้ยินเสียงภายในตัวลั่นดัง เปรี๊ยะ! ไกรก็กลับลงไปงอก่องอขิงพร้อมกับหลับตาปี๋อ้าปากอย่างปวดร้าวกับร่างกายที่แทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆอีกครั้ง ในขณะที่ไอ้คนที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดเจียนตายกลับปล่อยหัวเราะก๊ากออกมาอย่างน่าโมโหที่สุด
" ฮ่าๆๆๆ เจ้านี่ตลกดีจริงๆแฮะ ขยับเช่นนั้นประเดี๋ยวก็ตายเอาจริงๆหรอก "
" ค---คิดว่าเพราะใครกันเล่า! " ไกรที่เริ่มปรับตัวให้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น(อาจเป็นเพราะโดนบ่อยจนเริ่มชินแล้ว)ตวาดออกมาเบาๆ ก่อนที่ดวงตาที่เริ่มเห็นชัดขึ้นของเขาจะหันกลับไปพิเคราะห์ไอ้คนที่ทำให้เขาเจ็บตัวอีกครั้ง
' ว เวรแล้ว! '
...ชุดเกราะทรงพม่าของขุนนางระดับสูงอย่างพิมพ์นิยมที่สวมอยู่โดยชายที่ล่วงเลยวัยกลางคนมาแล้วไม่มากก็น้อย...นั่นคือสิ่งแรกที่เขาเห็นซึ่งก็สร้างความตกใจให้เขามากพออยู่แล้ว แต่ยิ่งตกใจหนักยิ่งกว่าคือไอ้ทหารพม่าที่ควรจะเจี๋ยนเขาไปตั้งนานแล้วจากสิ่งที่ไกรพึ่งทำลงไป เวลานี้กลับนั่งเอกเขนกกับรากไม้ ดื่มกินของเหลวกลิ่นฉุนที่น่าจะเป็นสุราเลิศรสอันร้อนแรงบางอย่างอยู่ข้างๆไกรโดยที่แทบไม่มีการป้องกันอะไรเลยด้วยซ้ำ...ในชั่วพริบตานั้น สัญชาตญาณที่ถูกฝึกฝนมาเป็นอย่างดีสั่งให้ไกรรีบโต้ตอบก่อนจะไม่มีโอกาส แต่พอเอื้อมมือไปแตะที่เอวซึ่งเป็นตำแหน่งของอาวุธประจำกายเขาก็ต้องใจหายวูบอีกครั้ง เพราะดาบสีเงินวาวที่ควรจะอยู่อย่างเรียบร้อยในฝักหนังกลับอันตรธานหายไปโดยเหลือไว้แค่เพียงฝักหนังสีเข้มที่ห้อยร่องแร่งอยู่ข้างเอวเขาเท่านั้น ในขณะที่นายทัพพม่าที่เหล่เหลือบสายตาที่ไร้แววฝ้าฟางตามอายุมามองเขาเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆอย่างรูัทัน ก่อนจะใช้มือข้างฟากที่ไกรไม่เห็นขึ้น เผยให้เห็นดาบสดายุที่อยู่นอกฝักแล้วออกมาจนทำให้ใจที่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วยิ่งตกวูบเข้าไปใหญ่
...ถึงจะไม่ใช่ยุคสมัยของศตวรรษที่ ๒๑ อย่างที่ไกรจากมา แต่ดาบสดายุก็มีสิ่งที่มีให้เห็นทั่วไปในยุคสมัยของเขา นั่นคือการ ป้องกันขโมย อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะการถูกสร้างด้วยโลหะระดับสูงทำให้ดาบสดายุมีผลดูดพลังกายของผู้ที่ถือมันไปเปลี่ยนเป็นพลังให้แก่ดาบในปริมาณที่มหาศาล หากไม่ใช่ไกรที่ดาบถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะมือโดยเฉพาะเป็นพิเศษแล้วล่ะก็ ดาบเล่มนี้คงจะทำให้คนถือถือทรุดฮวบในเวลาไม่กี่อึดใจแน่...การที่นายทหารพม่าตรงหน้าสามารถถือและควงดาบเล่มนี้เล่นได้อย่างไร้ซึ่งท่าทีอ่อนล้าใดๆมันมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น...
ดาบสดายุ รวมถึงดาบสัมพาที...ยอมสยบให้แก่มัน!
ยอดฝีมือ...อย่างไม่ต้องสงสัย!
" ยอมรับนะว่าดาบเล่มนี้เป็นดาบที่ดีจริงๆ ทั้งยังภักดีต่อนายอย่างเจ้าไม่น้อย ทำเอาข้าเกือบทรุดเลยล่ะ "
" จะฆ่าก็ฆ่า! อย่ามัวแต่บ้าน้ำลาย!! " ไกรกัดฟันคำรามกร้าวๆ เขารู้สถานการณ์ของตัวเองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว...ทำไปถึงขนาดนี้ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปเฉยๆแน่ แต่คำพูดของเขากลับทำให้นายทหารผู้นั้นที่ยังคงเสมองไปทางอื่นหันกลับมาเบิกตากว้างเล็กน้อยอย่างกึ่งๆหยอกล้อกึ่งๆขบขันอีกทั้งยังไม่มีวี่แววของจิตคุกคามใดๆเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้ไกรขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ...และการกระทำของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจหนักยิ่งขึ้นไปอีก เพราะอีกฝ่ายเหลือบมองเขาอย่างเงียบๆอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะโยนดาบสดายุสีเงินวาวหวือลอยข้ามหัวตัวเองมา ก่อนจะมาปักเด่อยู่กับพื้นเบิ้องหน้าของเจ้าของอย่างไกรอย่างงดงามและพอเหมาะพอดีที่สุด จนทำให้เจ้าของดาบต้องเลิกคิ้วใส่อย่างงงงวยที่สุด
" คิดจะทำอะไรของเจ้ากัน?! " ไกรครางออกมาอย่างไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเต็มที่เพราะดูจากลักษณะแล้ว ร้อยทั้งร้อยอีกฝ่ายต้องมีแผนเล่นตุกติกอะไรบางอย่างแน่ แต่อีกฝ่ายกลับยังคงหัวเราะฮ่าๆอย่างน่าโมโหอีกครั้ง
" ข้าไม่มีรสนิยมขอบขโมยของผู้ใด แล้วดาบเล่มนี้ก็ไม่ได้ชอบข้านักด้วย เอากลับไปเถอะไป๊! "
" ข้อเล่นแบบนี้ข้าไม่ขำด้วยนะ "
" ฮ่าๆๆๆ ทั้งๆที่เจ้าออกจะน่าหัวเราะขนาดนั้นแหล้วแท้ๆ เอาน่าๆ หัดไว้เนื้อเชื่อใจคนอื่นมั่งสิ "
" เชื่อใจก็บ้าแล้ว นี่ข้างงไปหมดแล้วนะ ท่านเป็นใครกันแน่เนี่ย?! "
" เรียกข้าว่า อะแซหวุ่นกี้ ก็ได้ "
" !!! "
คำพูดที่เรื่อยๆมาเรียงๆของอีกฝ่ายทำให้ไกรถึงกับทะลึ่งพรวดขึ้นมาอีกครั้งอย่างตกใจสุดขีด เพราะเขาไม่นึกจริงๆว่าเขาจะได้พบกับ ตำนาน อย่างรวดเร็วและไม่ทันตั้งตัวถึงขนาดนี้!
" อ อะแซหวุ่นกี้?! "
" หืม? รู้จักข้าด้วยเหรอ? เอ ไม่น่าเป็นไปได้นา...ข้าออกจะระวังตัวตนของตัวเองค่อนข้างดีนะ "
" ... " ไกรเงียบไปอย่างอับจนถ้อยคำ พูดให้ถูกก็คือในจังหวะเช่นนี้ต่อให้เป็นเขาก็ใช่ว่าจะพูดอะไรได้อย่างปกติ ในขณะที่อะแซหวุ่นกี้ที่ไม่ได้มีความสามารถในการอ่านใจคนจึงไม่รู้ความคิดของไกร นายทหารพม่าผู้เป็นตำนานในยุคของไกรจึงโคลงหัวดิกๆก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า
" แล้วก็นะ อย่าหาว่าข้าสอดเลย แต่ดาบสีเงินของเจ้านั่นก็ใช่ว่าจะดีเด่อะไรนัก "
" อะไรนะ? "
" ดาบเล่มนั้น " อะแซหวุ่นกี้ชี้นิ้วมาที่ดาบสดายุที่ยังคงปักคาอยู่บนพื้น ก่อนจะพูดต่อว่า " ...แม้จะเป็นศาสตราสำหรับสังหารที่ดีที่สุด แต่มันไม่เหมาะกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย "
" พึ่งเคยได้ยินคนพูดแบบนี้ครั้งแรกนะเนี่ย " ไกรอดพูดเบาๆไม่ได้ เพราะแต่ไหนแต่ไรทุกคนมักจะบอกว่าดาบสดายุเกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ยิ่งคนที่เคยถือมันกวัดแกว่งมาแล้วอย่างท่านสินยังถึงกับออกปากเลยว่า ...ถ้าหากไม่ใช่ไกรคงไม่มีใครบ้าพอจะใช้ดาบที่ดูดพลังเหมือนฆ่าตัวตายเช่นนี้แน่ๆ...
...ถึงเขาจะไม่แน่ใจว่ามันเป็นคำชมรึเปล่าก็เหอะ...
" อืม ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่หรอกนะ ดาบนี่อาจเข้ากับมือเจ้าที่สุด แต่มันไม่เหมาะกับสันดานของเจ้าต่างหากล่ะ "
" สันดาน? "
" ดาบเล่มนั้นมี วิสัย ที่ออกไปในทางชั่วร้ายมากกว่าดี...พูดตรงๆนะ ข้าว่ามันชั่วร้ายจนไม่น่าจะใช่ดาบที่ถูกสร้างมาด้วยฝีมือมนุษย์ด้วยซ้ำ...แต่เนื้อแท้เจ้าไม่ใช่คนเลวร้ายโดยสันดาน เจ้าหนุ่ม...ข้ารู้ได้จากวิธีการเล่นงานทัพของมังฆ้องนรธาที่เจ้าเล่นงานให้หนักกว่านั้นก็ได้แต่ไม่ทำ ...แต่ดาบเล่มนี้จะขยายจิตชั่วร้ายของเจ้าทุกคราที่เจ้ากวัดแกว่งมัน...ข้าว่าเจ้าน่าจะสังเกตเห็นได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำนะว่าเจ้าเป็นตัวของตัวเองน้อยกว่าที่ควรเป็นเมื่อเจ้าใช้มัน "
' จ จริงของเขา ' ไกรที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดอดพยักหน้าเบาๆอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดๆ เพราะเขาเองก็สะกิดใจเรื่องนี้มาได้ซักพักแล้ว ยิ่งเมื่อได้ยินจากปากของอะแซหวุ่นกี้ยิ่งทำให้เห็นชัดยิ่งขึ้น และมันยิ่งทำให้เขาเลื่อมใสในตัวของขุนพลผู้นี้มากขึ้นไปอีก...เพราะทั้งๆที่คนใกล้ชิดของเขายังสังเกตไม่เห็น แต่อะแซหวุ่นกี้กลับสามารถมองทะลุได้ภายในการมองเพียงไม่กี่ครั้งเท่านัี้น
" พูดตรงๆเราก็นึกไม่ออกว่าคนอย่างยูกิโอะจะสร้างอะไรที่มีวิสัยดีๆกับเข้าได้ยังไงเหมือนกัน " ไกรครางออกมาเบาๆพลางกลั้วหัวเราะเมื่อคิดตามคำพูดของตัวเอง ก่อนที่เขาจะสังเกตว่าตลอดเวลาอะแซหวุ่นกี้ไม่ได้มองมาทางเขาเลย หรืออย่างมากก็เพียงแค่เหลือบมองมาไม่กี่ครั้งเท่านั้น ก่อนที่สายตาจะเบนกลับไปที่เดิม ทำให้ไกรเริ่มตะหงิดใจแปลกๆ ก่อนที่เขาจะหันหน้าไปทางที่สายตาของอะแซหวุ่นกี้จับจ้องอยู่ ซึ่งภาพที่ปรากฏผ่านคลองจักษุของเขาทำให้ไกรถึงกับต้องตะลึงพรึงเพริด ตัวเย็นเฉียบและแทบจะลืมหายใจอีกครั้ง!
" ท่านสิน!! "
ภาพตรงหน้าไกลออกไปคือภาพของนักรบหนุ่ม ๒ คนบนหลังม้า ที่กำลังใช้ศาสตราฟาดฟันกันขณะบังคับม้าชักเชิดไปด้วยอย่างไม่มีใครยอมใคร...ในขณะที่เขาเห็นได้โดยไม่ต้องเดาว่านักรบหนุ่มคนหนึ่งคือท่านหลวงยกกระบัตรสินที่เวลานี้หมวกปลิวหายไปไหนก็ไม่รู้จนเผยให้เห็นหน้าของลูกครึ่งจีนหนุ่มผู้นี้อย่างชัดๆ เขากำลังใช้ดาบประจำกาย ๑ ใน ๒ เล่มที่ปรกติขัดอยู่กลางหลังเข้าฟาดฟัน ขณะที่ม้าตัวที่สินชักเชิดอยู่ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เห็นสีหมอก ม้าศึกสีขาวหม่นประจำกายของเขาเอง ...ในขณะที่คู่ต่อสู้ของสินคือนักรบหนุ่มอีกคนผู้อยู่ในชุดเกราะรบพม่าสีทองอร่ามราวกับเกราะรบของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของฝ่ายพม่า พร้อมกับกำลังใช้ทวนยาวสีทองวาววับประดับด้วยภู่สีแดงสดโถมแทงเข้าใส่สินชนิดที่แต่ละกระบวนท่าหมายปลิดชีพทั้งสิ่้น...ทั้งๆที่ศาสตราอย่างดาบเสียเปรียบทวนยาวอย่างไม่ต้องสงสัยหากต้องสู้บนหลังม้าเช่นนี้ แต่ที่สินยังสามารถต้านทานได้อย่างไม่ถึงกับทุลักทุเลเช่นนี้เป็นเพราะความสามารถที่เหนือกว่าของสีหมอก และการต่อสู้ที่เหนือชั้นขึ้นกว่าแต่ก่อนของสินเอง แต่ถึงกระนั้นคมทวนของนายทหารพม่าหนุ่มก็ไหลลื่นราวกับอสรพิษร้าย เพราะนอกจากหมวกศึกที่ถูกคมทวนสะกิดปลิวไปไหนก็ไม่รู้แล้ว คมทวนยังบาดกินเข้าไปในเนื้อของสินหลายแห่งจนปรากฏเลือดซิบๆไหลซึมออกมา...มองจากสายตาของผู้มีประสบการณ์แห่งการต่อสู้อย่างสายตาของไกรก็รู้โดยแทบไม่ต้องเดาแล้ว...
...ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ท่านสินจะเป็นฝ่ายตกเป็นรอง และพ่ายแพ้ลง...เพียงแค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น!...
" ท่านสิน!! "
ด้วยความตกใจถึงขีดสุด ไกรคว้าดาบสดายุที่ปักอยู่ขึ้นพร้อมกับทะลึ่งพรวดและเตรียมพุ่งหมายเข้าไปช่วยกู้ท่านสินให้พ้นจากอันตราย แต่พริบตาที่ไกรกำลังจะพุ่งไป จิตสังหารของยอดนักรบแห่งชนชาติพม่าอย่างอะแซหวุ่นกี้ก็ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่งจนไกรต้องชะงักด้วยสัญชาตญาณ และเป็นโชคดีของเขาอย่างที่สุด เพราะถ้าหากเขาไม่หยุดชะงัก ณ ชั่วขณะนั้น เพราะว่า
พรึ่บ!
...ในแทบจะวินาทีเดียวกันนั้นเอง หากเขาไม่หยุดลงอย่างกะทันหันดาบเล่มงามในมือของขุนพลวัยค่อนคนที่พุ่งเข้าขวางไว้คงจะตัดลำคอของเขาไปเรียบร้อยแล้ว เพราะคมดาบในเวลานี้อยู่ห่างจากลูกกระเดือกของเขาเพียงไม่กี่องคุลีเท่านั้น!
" ท ท่าน!! "
" โฮ่...เฉียดไปแล้ว สัญชาตญาณเฉียบคมดีนี่ " อะแซหวุ่นกี้ที่ถือดาบขวางทางไกรทั้งๆที่ยังคงนอนเอกเขนกดื่มเหล้าอยู่โดยท่าทีแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยซักนิดครางออกมาอย่างชื่นชม แต่นั่นกลับทำให้ไกรขนลุก เพราะเมื่อครู่อะแซหวุ่นกี้คิดจะฆ่าเขาจริงๆ ที่เขายังไม่หัวหลุดจากบ่าเป็นเพราะความโชคดีที่ยังคุ้มหัวเขาอยู่โดยแท้
" อะแซหวุ่นกี้! "
" อย่าหมายคิด...จะเข้าไปขวาง...ทำให้การต่อสู้อันศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยมนต์ขลังนี้ จนมันกลายเป็นปาหี่ไร้ค่า...เพราะหากเจ้าคิดจะทำ...ข้าคนนี้แหละที่จะไม่เอาเจ้าไว้แน่! " อะแซหวุ่นกี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบและย้ำชัดชนิดประโยคต่อประโยค เพื่อให้ไกรเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าเขาหมายความตามที่พูดชนิดทุกตัวอักษรจริงๆ
' บ้าเอ้ย! ' ไกรได้แต่คิดในใจอย่างขุ่นเคืองแต่ไม่อาจทำอไะรได้มากกว่านี้ เพราะนอกจากชื่อชั้นที่ทำให้ไกรเกรงอยู่หลายส่วนแล้ว ไกรเองก็ยังไม่ได้หายดีถึงขนาดเป็นปรกติ...พูดตรงๆก็คือแค่เขายืนอยู่ได้โดยขาไม่สั่นนี่ก็ถึอว่าเต็มกลืนสุดๆแล้ว เลิกหวังให้เขาใช้สดายุ-สัมพาที หรือเรียกใช้ลูกแก้ว-ลูกขวัญเข้าสู้ได้เลย
...สิ่งที่เขาทำได้ในเวลานี้ จึงเป็นเพียงแค่การภาวนา ให้ท่านสินของเขาไม่เพลี่ยงพล้ำจนกระทั่งเกิดอันตรายสาหัสเท่านั้น...
" แหมๆ ต้องบอกนะว่าไอ้หนุ่มของเจ้าที่กำลังสู้อยู่นี่เก่งกาจเข้าขั้นทีเดียว...ยืนสู้ได้นานขนาดนี้พึ่งจะเคยเห็นครั้งแรกนะเนี่ย...แต่คงต้องเรียกว่าดวงกุดสุดๆเลย คนอะไรจะซวยขนาดนี้...ที่ต้องมาเจอกับเขา "
" เขา? "
อะแซหวุ่นกี้ที่กระดกเหล้าเข้าปากอั่กๆเหล่สายตามามองไกรที่เริ่มสงบลงอีกครั้ง ก่อนที่ขุนพลพม่าจะหัวเราะออกมาพร้อมกับกระดกเหล้าเข้าปากพร้อมดู การละเล่น ชั้นดีตรงหน้าอีกครั้งโดยทิ้งจังหวะเล็กน้อย...ในที่สุดเขาก็เฉลยออกมาช้าๆ
" เจ้าชายมังระราชบุตร "
" อะไรนะ?!! "
แต่ก่อนที่ไกรจะได้ตกตะลึงไปมากกว่านี้ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดบางอย่างก็เข้ามาแทรกเสียก่อนอีกครั้ง
พรึ่บบบ!
ลูกธนูสีดำสนิท ๓ ดอกที่พุ่งอย่างไม่มีที่มาวูบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ... ๒ ดอกพุ่งเข้าขวางระหว่างไกรกับอะแซหวุ่นกี้ ในขณะที่อีก ๑ ดอกพุ่งเข้าหมายหน้าอกของอะแซหวุ่นกี้ชนิดที่กะให้ธนูดอกนี้ส่งอีกฝ่ายไปปรโลกชนิดไม่เจ็บไม่ปวดซักนิด
แต่อะแซหวุ่นกี้ก็ไม่ใช่ระดับดาดๆ ทั้งๆที่ไม่ได้อยู่ในลักษณะที่เตรียมพร้อมแท้ๆ เขายังตวัดดาบที่อยู่ในมือเพื่อปัดลูกธนูที่พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วสูงได้อย่างไร้รอยขีดข่วนก่อนจะขมวดคิ้วใส่ไปในทางที่ธนูพุ่งมาช้าๆ
" แหม วันนี้มีแต่เรื่องคาดไม่ถึงแฮะ "
พรึ่บบบ!
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลูกธนูสีดำอีก ๒ ดอกพุ่งเข้าใสอะแซหวุ่นกี้อย่างรวดเร็วๆ แต่ก็ไม่อาจจะทำอะไรอะแซหวุ่นกี้ที่มีดาบอยู่ในมือได้ ธนูทั้ง ๒ ดอกจึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับธนูดอกแรก พร้อมๆกับที่อะแซหวุ่นกี้โคลงหัวอีกครั้ง
" เอ...ธนูลักษณะเช่นนี้มันคุ้นๆนา "
" ห้าม...แตะต้อง...ท่านไกร! " ในชั่วพริบตา หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของลูกธนูทั้งหมดก็ปรากฏกายขึ้นจากมุมมืดหลังต้นไม้ใหญ่โดยไม่สามารถจับกลิ่นอายได้ราวกับผีสางเหมือนเดิม...มือฉมังธนูสาวชาวมอญผู้อยู่ในชุดรัดกุมสีดำพร้อมกับยก ธนูวัชระ ขึ้นเล็งอย่างน่าหวาดเสียวเพื่อขู่ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เห็นความรู้สึกอื่นใดนอกจากแววสงสัยใคร่รู้ที่ฉายออกมาจากดวงตาของอะแซหวุ่นกี้เลยก็ตามที
" อเทตยา?! อย่า นี่มันอันตรายนะ " ไกรร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วงหญิงสาวผู้ซึ่งมีใบหน้าประพิมพ์ประพายเดียวกับน้องสาวแท้ๆ แต่อเทตยาก็เหลือบมามองเขาพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
" ใช่เจ้าค่ะ สถานการณ์อันตรายมาก ข้าเลยมาเพื่อปกป้องท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ "
" ห หา? " ไกรทวนคำเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของอะแซหวุ่นกี้ที่ครางขึ้นเบาๆอีกครั้งเสียก่อนว่า
" เอ...ยิ่งเห็นหน้ายิ่งคุ้นวุ้ย ทั้งหน้าทั้งวิธีการต่อสู้...ข้ากับเจ้าเคยพบกันมาก่อนรึเปล่าเนี่ย? "
" เจ้า! อะแซหวุ่นกี้! หนี้แค้นที่มีต่อเจ้าจะไม่มีวันลบเลือน ไม่ว่าจะอีกกี่ชาติภพก็ตาม!! " อเทตยากรีดร้องจนดังก้องด้วยความโกรธแค้นชนิดที่อาจจะมากเกินไปในความคิดของไกรด้วยซ้ำ มันราวกับว่านอกจากเรื่องของไกรแล้ว มันมีเรื่องอื่นอีกอย่างนั้นแหละ
ระหว่างที่ไกรกำลังคิดอยู่นั้น อะแซหวุ่นกี้ก็เอาหมัดข้างหนึ่งทุบฝ่ามืออีกข้างหนึ่งพร้อมกับทำตาโตอย่างนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญขึ้นมาได้ เขาหัวเราะก๊ากใหญ่พร้อมกับชี้ไปที่อเทตยาที่ยังคงชี้ธนูมาอยู่พร้อมกับตะโกนดังๆว่า
" ฮ่าๆๆๆๆ ข้านึกออกแล้ว เจ้า...ไม่สิ ท่าน...ข้าต้องเรียกท่านจริงๆ "
" หา? ท่าน? " ไกรหันซ้ายทีขวาทีก่อนจะทวนคำอย่างเริ่มตามไม่ทันอีกครั้ง
" เป็นท่านจริงๆ! พวกเราตามล่าท่านแทบพลิกแผ่นดินเลยรู้ไหม?! ...เจ้าหญิงตองชะเว! เจ้าหญิงผู้นำมาซึ่งหายนะแห่งหงสาวดี!! "
...........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ