ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
147)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
==============================================
...ในเสี้ยววินาที ณ ขณะนั้นเอง...
เปรี๊ยะ!
กำไลหินธิเบตสีน้ำตาลเข้มวงน้อยบนกรที่บอบบางปานจะหักได้ขององค์หญิงราชธิดาแห่งพระเจ้าเอกทัศน์ กรขององค์หญิงสิริจันทรเทวีที่พระองค์ใส่ไว้แทนทองพระกร(กำไล)ประดับยศประจำพระองค์ กลับลั่นเปรี๊ยะและเกิดรอยร้าวขึ้นที่ลูกปัดลูกหนึ่งอย่างไม่มีสาเหตุใดๆ...
กำไลหินธิเบต ซึ่งเป็น ของขวัญ ที่ไกรได้ซื้อมอบให้ไว้ในวันแรกที่ได้พบกับพระองค์
" อ เอ๋? " เสียงที่ลั่นและปฏิกริยาที่ข้อพระกรของพระองค์ทำให้เจ้าหญิงสิริจันทรที่ประทับนั่งทอดพระเนตรเหล่าสกุณาอยู่ ณ เก๋งไม้ในสวนขวัญดอกรักของพระองค์เลิกขนงค์เล็กน้อยอย่างประหลาดพระทัย เพราะกำไลวงนี้เป็นกำไลที่พระองค์ดูแลอย่างดีที่สุด ไม่มีทางที่มันจะเกิดรอยร้าวอย่างน่ากลัวเช่นนี้ได้แน่ๆ
...นอกจากมันจะเป็น ลางบอกเหตุ อะไรบางอย่าง...
...ลางบอกเหตุ ที่พระองค์ไม่อยากจะดำรินึกถึงอย่างที่สุด!...
" ท ท่านไกร? "
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ อีกด้านหนึ่งของสุดอาณาเขตสวนขวัญดอกรัก ที่ลับมุมของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง...
วิ้งงง!
อาการ หวาดหวั่น ชนิดที่ถึงขนาดหัวใจกระตุกเต้นผิดจังหวะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับองค์หญิงสิริจันทร...แต่แม้แต่กับอนาสตาเซีย...มือสังหารสาวผู้ซึ่งทำหน้าที่จ่าโขลนและผู้อารักขาส่วนพระองค์ขององค์หญิงองค์สำคัญเบิกตาสีฟ้าจรัสกว้างอย่างตกใจระคนงงงวยพร้อมกับยกฝ่ามือขึ้นแตะหน้าอกด้านซ้ายของตัวเองอย่าประหลาดใจ...เพราะตลอดเวลาหัวใจของเธอไม่เคยกระตุกวูบอย่างรุนแรงเช่นนี้มาก่อน แม้กระทั่งตอนที่เธอลงมือสังหารเปาหมายใดๆก็ตาม...อีกทั้งดาบเล่มเรียวบางที่เธอคาดเอวอยู่อย่าง ดาบนาคราช ก็ร้อง วิ้ง ขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ...
...แต่เธอต่างจากองค์หญิงสิริจันทรตรงที่เธอผู้ซึ่งผ่านเหตุการณ์มามากกว่ารู้จักอาการเช่นนี้เป็นอย่างดี...
มันคือลางสังหรณ์ของผู้เจนจัดในสัญชาตญาณระดับสูง ที่สามารถมีได้แม้ว่าจะไม่ต้องการก็ตามที
ลางร้าย!
" ไกร? " หญิงสาวครางออกมาเบาๆอย่างตกใจ เพราะจิตของเธอคำนึงถึงบุคคลเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ...และคนที่อยู่ในฐานะเสี่ยงอันตรายที่สุดในเวลานี้ไม่ใช่ใครอื่น...แต่เป็นไอ้คนที่หาเรื่องตายได้ตลอดเวลาอย่างไอ้ไกรนั่นเอง
แต่ก่อนที่เธอจะได้คิดอะไรต่อไป ฆานประสาทของจมูกโด่งๆของเธอก็กระสากลิ่นอันหอมหวานของน้ำอบที่ทำมาจากดอกไม้หอมบางอย่าง...กลิ่มหอมนวลที่ทำให้ห้วงคำนึงของเธอถึงกับสะดุดกึก
" แหมๆ ทำหน้าเครียดเชียว คิดอะไรอยู่คนเดียวเช่นนั้นหรือ...ท่านจ่าโขลนอนาสตาเซีย "
น้ำเสียงกึ่งยั้วเย้ากึ่งลองดีของหญิงสาวผู้เดินเข้ามาในระยะการรับรู้ของเธอ ทำให้อนาสตาเซียยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับยืดตัวตรงขึ้นและเข้าสู่สภาวะเตรียมพร้อมเต็มที่ แม้ว่าจะไม่ได้แตะด้ามดาบนาคราชของตัวเองก็ตาม...ก่อนที่มือสังหารสาวจะปรายสายตาคมกริบมาใส่หญิงสาวผู้เดินเข้ามาพร้อมกับพูดห้วนๆด้วยน้ำเสียงมะนาวหน้าแล้งตอบกลับไปว่า
" ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า พระสนมเอก...ดารา "
ผู้ที่เข้ามาไม่ใช่ผู้ใด แต่เป็นดารา หญิงสาวปริศนาแห่งกลุ่มบรรลัยกัลป์ ผู้ซึ่งด้วยเหตุผลอะไรหลายๆอย่างทำให้เธอเข้ามาอยู่ในฐานะของพระสนมเอกผู้สูงศักดิ์...หญิงสาวผู้เวลานี้อยู่ในรูปลักษณ์ของสตรีผิวขาวนวลดวงหน้าคมและเส้นผมที่เป็นลอนไล้ไปกับสายลมที่ผ่านหน้าเธอไปยังคงยิ้มแย้มในสีหน้าพร้อมกับก้าวอย่างสง่างามเข้ามาใน ระยะฉกรรจ์ ของอนาสตาเซียอย่างไม่เกรงกลัว ความสามารถ ของนักดาบสาวผู้เก่งกาจเลยแม้แต่น้อย
" ทำหน้าเครียดมากไประวังแก่เร็วน้าาา...ยิ่งสำหรับฝรั่งมังค่าที่ท่าทางจะเหี่ยวไวเช่นเจ้าด้วยแล้วยิ่งแล้วใหญ่ "
อนาสตาเซียปรายสายตาดุๆของเธอใส่อีกฝ่ายอีกครั้งชนิดเกือบจะคิ้วกระตุกกับคำค่อนขอดล้อเล่นที่ ไม่รู้กาลเทศะ ของหญิงสาวผู้มากปริศนาตรงหน้า ก่อนที่เธอจะตัดสินใจเบือนหน้าหนีอย่างไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดใดๆกับอีกฝ่าย แต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มอย่างยั่วเย้าพร้อมกับเอียงคอใส่อย่างน่ารักน่าชัง แต่ทว่าดูน่ารำคาญอย่างยิ่งในสายตาของอนาสตาเซียพร้อมกับยังพูดต่อราวกับไม่รู้จักเหนื่อยเลยว่า
" ข้าขอเดา เป็นห่วงไกรสินะ? "
คำพูดที่แทงใจดำของหญิวสาวทำให้อนาสตาเซียเกือบเปลี่ยนสีหน้า แต่เธอก็เพดานบินสูงเกินกว่าที่จะแสดงอาการอ่อนแอใดๆให้อีกฝ่ายเห็น ...มือสังหารสาวชาวตะวันตกเบือนหน้าไปอีกทางพร้อมกับเสพูดกลบเกลื่อนอีกครั้งว่า
" ข้าขอบอกอีกครั้ง ...ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า! "
" เผื่อๆใจไว้หน่อยก็ดีนะ " อยู่ๆดาราก็พูดขึ้นลอยๆพร้อมกับเดินผ่านหน้าเธอไปจนทำอนาสตาเซียขมวดคิ้ววูบอย่างผิดสังเกตจนกระทั่งถามกลับไปเรียบๆว่า
" เจ้าหมายความว่าอะไร? "
" ในสงคราม...ทุกคนตายได้เสมอ...แม้ว่าจะเก่งกาจเพียงใดก็ตาม "
ในเสี้ยววินาทีที่ดาราพูดชนิดยังไม่ทันจะจบดีด้วยซ้ำ ไหล่เปลือยบางของหญิงสาวผู้มากปริศนาก็ถูกกรงเล็บอันแข็งกร้าวปานคีมเหล็กของอนาสตาเซียจิกวูบ ก่อนที่มือสังหารสาวชาวตะวันตกจะกระชากด้วยแรงอันมหาศาลผิดมนุษย์มนากระชากเธอจนลอยไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่อย่างแรงจนดาราแทบกระอัก...แต่ไม่ทันให้เธอได้ร้องออกมา กรงเล็บอีกข้างของอนาสตาเซียก็พุ่งวูบเข้าที่คอเรียวบางของเธอ...ดวงตาสีฟ้าจรัสเบิกกว้างราวกับสัตว์ร้าย จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับทำนบแตก!
" อ อั่ค!! " ในที่สุด ดาราก็สามารถร้องออกมาอย่างเจ็บปวดได้ แต่ก็ร้องได้เพียงเบาๆ เพราะกรงเล็บที่ล๊อคคอเธออยู่ทำให้หลอดลมเธอติดขัดจนแทบหายใจไม่ออก แต่อนาสตาเซียกลับไม่สนใจ เพราะเธอเบิกตากว้างพร้อมกับกระซิบเรียบๆลอดไรฟันออกมาช้าๆ
" ข้าอยากให้เจ้าเข้าใจบางอย่าง...ดารา...ข้าไม่ใช่ไกร...ข้าไม่ได้คิดเหมือนเขา ไม่สามารถคิดเช่นเขาได้ ไม่รู้หรอกว่าควรทำอะไร ควรผูกมิตรกับใครเพื่อสร้างผลระยะยาวที่ดีที่สุด ข้าคิดอะไรซับซ้อนเช่นนั้นไม่ได้...เพราะสิ่งที่ข้ารู้คือ ใครคือเป้าหมาย? และ ต้องฆ่าอย่างไร? เท่านั้น! ...เพราะฉะนั้น อย่าพยายามทำให้ข้าคิดว่าเจ้าคือเป้าหมายของข้า...เพราะข้าเล่นยากไม่เป็น ...ถึงเวลานั้นข้าไม่เอาเจ้าไว้แน่! " คำขู่ของอนาสตาเซียไม่ใช่สิ่งที่สามารถดูแคลนได้อย่างแน่นอน เพราะนอกจากคำขู่แล้วเธอยังปลดปล่อยจิตสังหารที่ถูกพัฒนาให้น่าขนพองสยองเกล้าขึ้นอย่างมาก ...มาก! จนกระทั่งทำให้เหล่านกต่างๆที่ทำรังและเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ถึงกับบินหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางอย่างขวัญหนีดีฝ่อที่สุด!
" ข ข้าก็...ห่วงไกรไม่ แพ้ เจ้า...อนาส--- " ดาราพูดตะกุกตะกักอย่างยากเย็นเพราะลมหายใจแทบจะไม่ผ่านหลอดลมเธออยู่แล้ว และคำพูดของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ เพราะจิตสังหารอันรุนแรงของอนาสตาเซียกลับรุนแรงมากขึ้นไปอีก
" อย่ามาพูดดี ดารา...เราไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรเหมือนกัน! "
" ไกรเวลานี้---กำลังสู้อยู่กับทัพหลวง--ของพระเจ้า อลองพญา! "
คำกล่าวซึ่งไร้ที่มาที่ไป แต่กลับไม่ต่างอะไรกับข้อมูลที่สำคัญที่สุดที่หลุดออกมาจากปากและหน้าซีดๆอย่างคนกำลังขาดอากาศหายใจของดาราทำให้อนาสตาเซียถึงกับชะงักกึก ก่อนที่ในที่สุดเธอจะตัดสินใจปล่อย หรืออีกนัยหนึ่งคือกระชากคอของหญิงสาวผู้มากปริศนาตรงหน้าลงไปกระแทกอั่ค! และกองอยู่กับพื้น...ยังดีที่เป้นพื้นหญ้านุ่มๆ เพราะถ้าเป็นพื้นหินแข็งร่างเล็กๆบางๆของเธอคงจะป่นเป็นเสี่ยงๆไปเรียบร้อยแล้วเป็นแน่ ...ก่อนที่ในที่สุดอนาสตาเซียที่ยังคงไม่ได้ลดจิตสังหารลงเลยแม้แต่น้อยจะขมวดคิ้วพร้อมกับถามเรียบๆว่า
" ที่เจ้าพูด...เจ้าหมายความว่าอย่างไร? "
ดาราหอบหายใจเพื่อเอาอากาศเข้าปอดให้มากที่สุดเพื่อชดเชยจนอกกระเพื่อม ซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในอารมณ์กรุ่นๆ แต่อนาสตาเซียก็ยังคงยืนรออย่างใจเย็น จนกระทั่งเมื่ออาการดีขึ้น ดาราที่ยังคงนั่งกองอยู่กับพื้นอยู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ก่อนจะพูดเบาๆว่า
" ข ข่าวล่าสุดคือ ไกรที่กำลังช่วยราชบุรีอยู่กลับผิดแผน...เพราะทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญามาสมทบกับทัพหน้าของมังฆ้องนรธาได้ทันพอดี...เวลานี้ไกรกำลังย่ำแย่แล้ว "
" อะไรนะ?! " เพราะว่าดาราแสดงให้เห็นแล้วอย่างสม่ำเสมอว่าการข่าวของเธอไม่เคยมีคำว่าผิดพลาด ทำให้อนาสตาเซียไม่คิดจะถามเลยว่า จริงหรือเปล่า? ...และด้วยความเป็นห่วงไกรทำให้เธอถึงกับตกตะลึงไปเลย...
เพราะเธอรู้ดีว่าต่อให้เก่งกาจและฉลาดปานใด คนๆเดียวหรือคนเพียงหยิบมือก็ไม่มีทางจะเอาชนะกองทัพที่มีจำนวนเรือนพันเรือนหมื่นได้อย่างแน่นอนที่สุด!
" นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น! ดารา "
" ข้าก็ไม่เคยล้อเล่นในงานของข้า...ในข้อตกลงของเราเช่นกัน " ดาราเถียงกลับมาเพราะรู้สึกเหมือนโดนดูถูก แต่อนาสตาเซียไม่สนใจจะขออภัยใดๆ เพราะเธอสนเรื่องท่สำคัญกว่าพร้อมกับถามกลับเรียบๆอีกครั้งว่า
" ทำไมไกรถึงได้จู่โจมทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญากัน? มันไม่สมเหตุสมผลซักนิด "
" ข้าบอกไปแล้วว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัยและไกรก็ประจวบเหมาะเคราะห์ร้ายพอดีจริงๆ "
" เคราะห์ร้ายอย่างเคยมากกว่า " อนาสตาเซียถึงกับต้องเอามือนวดขมับพร้อมกับครางออกมาเบาๆอย่างเหนื่อยใจ แต่ก่อนที่เธอจะวิตกไปมากกว่านี้ ดาราก็ลุกขึ้นพร้อมกับปัดเศษฝุ่นที่ติดเสื้อผ้าเธออยู่ก่อนจะพูดเบาๆต่ออีกว่า
" ไม่ต้องห่วงจนออกหน้าออกตามากมายนักก็ได้ แม่สาวน้อยวัยกำดัด... "
" ดารา...ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย... "
" ไกรรอดไปได้ แม้่จะอย่างฉิวเฉียดที่สุดแต่เขาก็ยังรอดไปได้อย่าง กรรมมี แต่บุญบัง เช่นเดิม ...ฮ่ะๆ น่าขันจริงๆล่ะ " ดาราพูดพร้อมหัวเราะเบาๆเพื่อให้อนาสตาเซียคลายความกังวลลง แต่อนาสตาเซียกลับไม่ได้มีท่าทีคลายความวิตกลงเลย...ตรงกันข้าม มือสังหารสาวชาวตะวันตกกลับใช้มือลูบคางอย่างครุ่นคิดที่สุดพร้อมกับครางออกมาอย่างเบาบางที่สุด
" ถ้าเช่นนั้นก็น่าแปลก...ลางสังหรณ์เราไม่ควรจะพลาดถึงขนาดนั้น...ยิ่งเมื่อเรามาถึง ระดับนี้ แล้วยิ่งแล้วใหญ่ "
แต่ก่อนที่เธอจะได้ครุ่นคิดอะไรไปมากกว่านี้ หูอันเฉียบไวของทั้งอนาสตาเซียและดาราก็ได้ยินสุรเสียงของเจ้าหญิงสิริจันทรที่ตรัสร้องถามแทรกเข้ามาว่า
" ตรงนั้น...ใครกัน? "
อาจเป็นเพราะเสียงที่ดังโครมครามจนเกินไป หรือเพราะจิตสังหารที่มากเกินไปจนแม้แต่คนที่อยู่ไกลออกไปยังสามารถรับรู้ได้...แต่ในพริบตาเดียวนั้นอนาสตาเซียก็สลายจิตสังหารของตนเองไปอย่างไม่เหลือหรอแสดงให้เห็นถึงความสามารถของเธอ ในขณะที่ดาราเองก็สลาย ตัวตน ของตัวเองไปในพริบตา...ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ สูญหาย ไปได้อย่างไร้ร่องรอยราวกับภูติผีขนาดอเทตยา...แต่ความสามารถระดับนี้ก็ทำให้อนาสตาเซียถึงกับขมวดคิ้ววูบ
" หม่อมฉันเองเพคะ...สมเด็จเจ้าฟ้า " แต่เพื่อความแนบเนียน อนาสตาเซียก็หันกลับไปและตะโกนตอบกลับองค์หญิงที่เธอทำหน้าที่อารักขาอยู่เพื่อคลายความกังขา ซึ่งเมื่อได้ยิน องค์หญิงที่ยังคงอยู่ในสวนขวัญดอกรักก็คลายความกังวลลง พร้อมๆกับที่อนาสตาเซียทำมือทำไม้เป็นสัญญาณบอกให่้ดาราที่อยู่ด้านหลังไปเสีย เพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจู่ๆองค์เหญิงจะดำเนินเข้ามาที่นี่เมื่อไหร่ และถ้ามาเห็นเธออยู่กับ พระสนมเอกคนสำคัญ เช่นนี้เธอคงต้องอธิบายกันยาวเหยียดเลยแน่ๆ...ในขณะที่เมื่อเห้นสัญญาณมือ ดาราก็แอบหัวเราะคิกคักพร้อมกับทำท่าจะถอยฉากออกไป
...แต่ก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากอาณาเขตแห่งนี้ อนาสตาเซียที่ยังคงหันหลังให้เธออยู่ก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบอีกครั้งว่า
" ข้าว่า...เจ้าเปลี่ยนกลิ่น น้ำมันหอม ของเจ้าใหม่เสียดีกว่านะ ดารา "
" หืม?...ตายจริง เจ้าไม่ชอบกลิ่นหอมที่สะกัดจากดอกไม่้ป่าเช่นนั้นหรือ? อนาสตาเซีย " ดาราปรายสายตาคมสวยกลับมามองพร้อมกับยิ้มยั่ว แต่อนาสตาเซียกลับยิ้มเหยียดพร้อมกับพูดเรียบๆว่า
" ข้าชอบกลิ่นของเจ้า...กลิ่นของ ดอกรสสุคนธ์ ที่หอมจางๆในยามราตรี...ดารา แต่นามอีกอย่างของของมันทำให้ข้าทำใจชอบไม่ลงจริงๆ "
" ... "
" นามอีกอย่างของมันคือ ดอกปด! (แผลงเป็นโกหกหลอกลวง) ...มันทำให้ข้าอดคิดไม่ได้ ว่ามีเรื่องใดที่มันคือเรื่องจริงบ้าง...ดารา! "
...ไม่มีคำตอบใดๆจากปากของดาราอีก...เพราะเธอจากไปแล้ว...เหลือไว้เพียงเสียงหัวเราะอันบางเบาและกลิ่มหอมอันเจอจางของน้ำมันหอมที่สะกัดมาจาก ดอกรสสุคนธ์ หรือ ดอกปด เท่านั้น...
...ดารายังคงไม่ต่างอะไรกับปริศนาที่ยังไม่อาจถูกไขได้...อีกครั้ง...
...แต่เพียงชั่วไม่ถึงนาทีหลังจากที่ถอยหลบออกมา...ดาราที่ยังคงยิ้มแย้มอยู่ในสีหน้าก็กลับชะงักกึกพร้อมกับหน้าซีดเผือดไปในชั่วพริบตา...เธอเซถอยหลังไปจนกระทั่งหลังบางของเธอไปชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่งเข้าก่อนจะหอบหายใจอย่างหนักราวกับคนที่พึ่งออกกำลังกายอย่างหักโหมมาอย่างนั้น!
" บ บ้าน่า...ทำไม...เรือเวนไตยถึงได้--- "
เธอชะงักกึกไปอีกครั้งพร้อมกับใช้มือเรียวบางกุมเข้าที่ตำแหน่งหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะของตนเอง ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจตัวเองเลยแม้แต่น้อย เพราะมันทำให้เธอดูไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงสิริจันทรหรืออนาสตาเซียที่เผลอไผลปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำเลยแม้แต่น้อย...
...แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคงมองไปในทางทิศใต้ซึ่งเวลานี้กำลังมีศึกติดพันอยู่ พร้อมกับที่ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบจะขยับเพื่อรำพึงอย่างเบาบางเชื่องช้าว่า...
" ข้าเชื่อในตัวเจ้า...ผ่านมันไปให้ได้...ผ่านให้ได้จนมาถึงข้าด้วยเถอะนะ...ไกร "
...................................
ตูมมมม!
" ท่านไกร!! " สิ้นเสียงระเบิด สินที่ในชั่วพริบตาก่อนที่ห่ากระสุนปืนใหญ่จะตกลงมา เขาถูกไกรบังคับสีหมอกให้ชนม้าของเขาอย่างแรงจนทั้งเขาและม้าปลิวกระเด็นออกมานอกระยะปืนใหญ่ ผิดกับไกรและสีหมอกที่ยังคงอยู่ในระยะปืนใหญ่เต็มๆจนกระทั่งเขาต้องร้องออกมาอย่างตกใจที่สุด
...ไกรยอมเอาตัวเข้าปกป้องเขาโดยแลกด้วยชีวิต?!...
วิ้งงงง!
" ขอโทษนะท่านสิน แต่ตอนนี้พูดอะไรไปข้าก็ไม่ได้ยินหรอก...หูอื้อหมดแล้วเฟ้ย! " หลังจากสิ้นเสียงกัมปนาทของปืนใหญ่ที่สมควรจะสังหารทุกชีวิตในอาณาเขต...กลับเป็นเสียงของไกรที่ดังขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปรกติที่สุด...นั่นทำให้สินที่ทีแรกตกใจแทบตายยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างโล่งอกที่ไกรไม่ได้มีอันเป็นไปอย่างที่เขาวิตกไป
แต่เมื่อเศษฝุ่นควันจากการระเบิดจางลงจนกระทั่งเห็นไกรและสีหมอกได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง ใบหน้าที่ยินดีของสินก็กลับกลายเป็นซีดเผือดอีกครั้ง...และคราวนี้มันซีดเผือดราวกับกระดาษไม่มีผิด
" ท่านไกร! "
ไกรรอดมาได้...รอดจากห่ากระสุนปืนใหญ่น้อยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปมาได้จริงๆ แต่เขาในเวลานี้อยู่ในสภาพที่ไม่น่ายินดีเลยซักนิด เพราะชายหนุ่มที่อยู่บนหลังม้าสีขาวหม่น...ชายผู้มีนามว่าไกรเวลานี้หน้าขาวซีดไม่ต่างอะไรกับซากศพ ซึ่งตัดกับลิ่มเลือดสีคล้ำที่ทะลักออกมาจากทั้งปากทั้งจมูกของเขาราวกับน้ำตก...ที่ด้านข้างทั้งสองข้างของเขาในเวลานี้คือร่างที่แท้จริงของลูกแก้วและลูกขวัญ ร่างของกุมารีที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่เป็นเด็กน้อยน่ารักอีกต่อไป แต่เป็นอสูรกายในร่างสตรีสาวสะพรั่งที่้มีกรงเล็บยาวราวกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายจนดูทั้งงดงามและน่าหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน...ซึ่งเวลานี้กรงเล็บยาวนั้นยกขึ้นเพื่อสร้างม่านพลังที่แข็งแกร่งชนิดที่ร่างเด็กเทียบไม่ติดเพื่อกำบัง พ่อ ของพวกเธอไว้จากกระสุนปืนใหญ่น้อย ซึ่งโชคดีอยู่บ้างที่กระสุนนั้นเป็นกระสุนแตกที่เน้นอำนาจการแตกตัวและสังหารมากกว่าระเบิดเพื่อทำลายเป้าหมาย ทำให่้ม่านพลังของพวกเธอแข็งแกร่่งพอจะป้องกันสะเก็ดระเบิดได้
...แต่ถึงอย่างนั้น พลังอันกล้าแข็งนี้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนยอย่างมหาศาลที่สุด...
" ท่านพ่อ! พอแค่นี้เถอะเจ้าค่ะ! " ลูกแก้วหรือไม่ก็ลูกขวัญ ตนใดตนหนึ่งที่เวลานี้อยู่ทางด้านซ้ายของไกรตวาดออกมาด้วยเสียงที่ดังก้องแต่กลับเจือด้วยน้ำเสียงของความเป็นห่วงที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน เพราะเธอรู้ดีว่า ร่าง ของเธอในเวลานี้สร้างภาระให้แก่ ผู้เป็นพ่อ อย่างมหาศาล ขนาดท่านออกญาเพชรบุรีเรืองที่เป็นสายไสยเวทย์โดยตรงยังถึงกับแทบวูบ...นี่ไม่ใช่อะไรที่ไกรที่เป็นสายนักสู้โดยตรงจะสามารถทานทนรับได้...แต่ถึงอย่างนั้นไกรกลับยังคงกัดฟันที่เลอะไปด้วยลิ่มโลหิตพร้อมกับตวาดกลับมาเรียบๆว่า
" อย่าพึ่ง! ลูกขวัญ...เราไม่รู้ว่าจะมีอะไรมาอีกรึเปล่า! "
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ไกรกลับโงนเงนอย่างทรงตัวไม่อยู่จนกระทั่งเขาตกลงจากหลังของสีหมอกที่แทบไม่ได้รับบาดเจ็บเลยด้วยซ้ำจนกระทั่งไปกองอยู่กับพื้น พริบตาที่ไกรหมดสติ ร่างสมบูรณ์ของทั้งลูกแก้วและลูกขวัญก็สลายหายไปในทันทีพร้อมๆกับที่สินที่ลงจากหลังม้าพุ่งพรวดเข้ามาหาไกรที่นอนคลุกฝุ่นอยู่ในทันทีทันใดเช่นกัน
" ท่าน ท่านไกร! "
" ป ปลอดภัยนะ...ท่านสิน--- "
" พูดบ้าอะไรของท่านเนี่ย! ท่านห่วงเรื่องของตัวเองก่อนเถอะ!! " สินที่ล้วงหยิบผ้าสะอาดออกจากช่องกระเป๋าลับของเกราะตัวเองออกมาเพื่อเช็ดคราบลิ่มเลือดที่เปรอะหน้าของไกรอยู่พร้อมกับบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงเกือบจะตวาด แต่ไกรกลับยังคงยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อนพร้อมกับตอบกลับมาอย่างเชื่องช้าว่า
" อ่า---ดีแล้วที่ท่าน---ปลอดภัย "
" โธ่! ท่านไกร! ถ้าลำพังท่านกับสีหมอกกสมควรจะหลบปืนใหญ่นี่ได้แท้ๆ ท ท่าน...เพราะปกป้องข้าแท้ๆ ...มันไม่คุ้มค่าเลย! " สินแทบจะร้องอยู่รอมร่อ เพราะเขาเจนสงครามพอจะรู้ดีถึงความสามารถของสีหมอกดี ระดับของยอดอาชาอย่างสีหมอกสามารถหลบรัศมีปืนใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็นนักแท้ๆ...
...ที่ไกรบาดเจ็บหนักถึงขนาดนี้ก็เป็นเพราะเอาตัวเข้าปกป้องตัวของสินเอง!...
" อ่า คุ้มค่าสิ คุ้มค่าอย่างยิ่ง... "
" ท่านไกร? "
" คุ้มค่าอย่างยิ่ง...เพราะโลกนี้...ขาดไกรได้ แต่ขาด...ท่านสิน...โลกนี้ขาดท่านไม่ได้ " ไกรครางออกมาอย่างเบาบางที่สุด ก่อนที่ร่างกายของเขาจะหมดสิ้นพลังลงเพราะถูกใช้อย่างเกินขีดจำกัด จนกระทั่งเขาสลบเหมือดโดยไม่อาจจะพูดอะไรได้อีกต่อไป
" ท ท่านไกร! " สินร้องออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง เพราะนึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนภพไปปรโลกแล้ว แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นทรวงอกที่ยังคงกระเพื่อมอย่างรวยรินอยู่เขาก็เบาใจลงได้อย่างเล็กน้อย พร้อมๆกับที่สีหมอกที่ก้มหน้าลงมามองทั้งเขาและท่านไกรที่สลบอยู่ตาแป๋ว นั่นทำให้สินกัดฟันพร้อมกับต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังคงเข้าขั้นวิกฤติ เขามองสีหมอกสลับกับไกรเล็กน้อย ก่อนจะจับนิ่งไปท่สีหมอกอีกครั้งพร้อมกับจะตัดสินใจพูดเรียบๆว่า
" ข้าไม่มีทางขอให้เจ้า---ขอให้ท่านทรยศกับท่านไกร สีหมอก...แต่ว่า เราจะต้องช่วยท่านไกร และเวลานี้ข้าต้องพึ่งท่านแล้ว "
" ฮี้! "
...ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ณ ที่ไกลออกไป...
" อ๊าาา! ปัดโธ่เอ้ย! สลบไปซะอย่างนั้น...อะไรกันฟะ! แบบนี้ข้าก็แย่น่ะสิ ระดับนี้แล้วควรจะหลบได้อย่างหมดจดไม่ใช่รึอย่างไร! "
" หลบได้อย่างหมดจด? ...นั่นมันกระสุนปืนใหญ่นะ...มันสมควรจะมีคนปรกติธรรมดารอดจากห่ากระสุนปืนใหญ่อย่างนั้นเหรอ?...เพียงเท่านี้ก็นับว่าคนๆนั้นเก่งเกินจนน่ากังวลแล้ว "
" โธ่...ก็ข้าพุทธเจ้าอยากจะฉะกับไอ้บ้านั่นเต็มแก่แล้วเนี่ย! "
" อดทนรอหน่อยสิ อย่างไรเจ้าก็น่าจะมีโอกาสได้เล่นกับมันแน่...อะแซหวุ่นกี้ "
" เฮ้อ...หมดอารมณ์เลยเนี่ย...เอาเป็นว่าพระองค์จัดการกับไอ้คนที่กำลังขี่ม้าสีขาวปลอดตัวนั้นเองเถอะนะพุทธเจ้าข่้า...เจ้าชายมังระ "
.........................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ