ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
146)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
==============================================
...ทั้งๆที่ไกรในเวลานี้ควบขี่ม้าสีหมอกด้วยความเร็วระดับสูงสุดจนหูทั้งสองข้างของเขาอื้ออึงไปด้วยสายลมที่พัดผ่านหูไปราวกับวิ่งฝ่าพายุ แต่ในชั่วขณะหนึ่ง ไกรกลับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างยาวนานที่สุดของชายผู้ที่เขาพึ่งจะประมือด้วยแทรกผ่านสายลมเข้ามาในสมองส่วนการรับรู้ของเขา และเสียงนั่นทำให้เขาถึงกับต้องขนลุกซู่ เพราะนอกจากจะแฝงแววเย้ยหยันและท้าทายแล้ว ยังคงแฝงแววของความถูกอกถูกใจในการประมือและในตัวของไกรอย่างที่สุด!
ความถูกอกถูกใจที่ไม่ต่างจากเด็กเล็กๆคนหนึ่งพึ่งเจอของเล่นชั้นดีชิ้นใหม่ไม่มีผิดเพี้ยน!
' อ อะไรกันฟะ? ...ถึงจะบอกว่าจี่(ง้าวกรีดนภา)ของเราไม่ได้ตีขึ้นจากโลหะมีอันดับแบบดาบสดายุ-สัมพาทีก็เถอะ แต่ยังไงๆก็ถูกตีด้วยมือของยูกิโอะเชียวนะ...มันไม่น่าจะถึงกับบิ่นเพราะตีกับแค่ด้ามธงสิ ไอ้หมอนั่นเป็นใครกัน?! '
เขาคิดระหว่างขี่สีหมอกด้วยความเร็วชนิดก้นแทบไม่ติดโกลน ก่อนที่เขาจะล้วงไปในอกเสื้อเพื่อหยิบกระบอกโลหะเรียวยาวประมาณคืบออกมาและกระแทกด้ามของกระบอกโลหะกับเกราะต้นขาของตัวเองทันที
ปุ้งงงง!
กระบอกโลหะนี่ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เป็นพลุที่ใช้กันในหมู่มือสังหารแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต ซึ่งในงานนี้เขาใช้เพื่อให้ตำแหน่งของพลุระบุตำแหน่งของตนเองให้แก่หน่วยปืนใหญ่อัตตาจรสนับสนุนของทัพของเขา
...ปืนใหญ่อัตตาจรอันแม่นยำ จากเรือเวนไตย...
ปุ้ง!
เมื่อสัญญาณพลุสีเหลืองส้มระเบิดขึ้นจนเห็นได้แต่ไกลแม้ในเวลากลางวัน ซึ่งเมื่อเห็นได้อย่างชัดเจนจนสามารถระบุตำแหน่งได้ พระเชียงเงิน...ขุนนางลูกหม้อของหลวงยกกระบัตรสินที่เวลานี้มีหน้าที่คุมปืนใหญ่น้อยเรือเวนไตยซึ่งจอดซุ่มอยู่ในลำคลองอันคดเคี้ยวและประกอบด้วยป่าหนามอันหนาทึบทั้ง ๒ ฝั่งคลองจนไม่อาจจะมองเห็นหรือเข้าถึงได้ง่ายๆนี้ก็ชี้ไปที่พลุพร้อมกับตะโกนออกมาเบาๆ
" นั่น อยู่ตรงนั้น...สีนั่น ของท่านไกร! "
เมื่อปราศจาก ตา ของศกุนตลา พระเชียงเงินและเรือเวนไตยจึงต้องอาศัยตาจากทางอื่น ในที่นี้ก็คือการระบุตำแหน่งอย่างคร่าวๆจากสัญญาณพลุของทุกๆคน โดยแต่ละคนจะมีสีของพลุประจำตัวทำให้แยกระหว่างตำแหน่งของแต่ละคนได้ แม้ว่าดูเผินๆแล้วสีของพลุจะแทบไม่ต่างกันเลยก็ตามที
" จากตำแหน่งนั้น...บวกความเร็วของสีหมอก...ปืนใหญ่น้อยทั้ง ๔ กระบอกหันซ้าย ๒ ส่วน มุมเงย ๑ ส่วนแล้วยิงทันที " แม้ว่่าจะไม่ได้ชัดเจนแบบชี้จุดได้อย่างตายตัวแบบศกุนตลา แต่ก็ไม่เกินความสามารถของพระเชียงเงินที่จะระบุตำแหน่งปลอดภัยได้ และด้วยประสบการณ์ทำให้เขาสามารถอนุมานตำแหน่งของทัพพม่าที่ตามจี้ตูดท่านไกรมาได้ ...เมื่อกะตำแหน่งที่แน่นอนได้ เขาจึงสั่งยิงปืนเพื่อสกัดให้ไกรทันที
ตูมมม!
กระสุนปืนใหญ่ชนิดที่ทันสมัยที่สุดอย่างกระสุนปืนแตกจากปืนใหญ่น้อยบนเรือเวนไตย พุ่งอย่างแม่นยำไประเบิดจนกลายเป็นม่านสะเก็ดระเบิดอันหนาแน่นที่่ด้านหลังของไกรประมาณเกือบ ๑ เส้น (๔๐ เมตร) ...ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้แม่นยำถึงขนาดลงกลางกลุ่มก้อนกองม้าประมาณครึ่งร้อยที่พุ่งตามหลังไกรมา แต่การระเบิดดักหน้าเช่นนี้ก็ทำให้ทัพม้าย่อยๆเหล่านั้นถึงกับต้องแตกฮือและต้องรีบพุ่งหลบห่าสะเก็ดระเบิดกันจ้าละหวั่น อีกทั้งกระสุนปืนใหญ่ก็สร้างม่านควันคนฟุ้งตลบ...การยิงเพียงระลอกเดียวทำให้ไกรสามารถหลบหนีได้อย่างสะดวกโยธินขึ้นยิ่งกกว่าเดิมเป็นกองจนไกรที่เหลือบหันหลังกลับไปมองถึงกับต้องผิวปากหวือ
" หูย ขนาดไม่มียัยศกุนตลาอยู่ยังยิงได้แม่นขนาดนี้ ไอ้พระเชียงเงินนี่ของจริงเลยวุ้ย โชคดีจริงๆที่ได้มาร่วมด้วย งานนี้ง่ายขึ้นเยอะเลย "
ไกรครางออกมาเบาๆก่อนจะลูบแผงคอของสีหมอกเพื่อให้ม้าประจำกายของเขาผ่อนฝีเท้าลงเล็กน้อยเพื่อไม่ให้หักโหมเกินไป ซึ่งแทบไม่มีความจำเป็นเลย เพราะตัวสีหมอกเองแทบไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆที่เล่นวิ่งห้อเต็มเหยียดมาตั้งแต่ออกจากกำแพงเมืองราชบุรีมาแล้ว...
...มันพิสูจน์ให้เห็นว่าสีหมอกของเขาคือราชาแห่งม้าศึกของแท้!...
" ท่านไกร! "
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของสายลมที่พัดผ่าน หูของไกรก็ได้ยินเสียงตะโกนของท่านหลวงยกกระบัตรสิน เมื่อไกรเหลือบไปมองทางต้นเสียงเขาก็เห็นท่านสินที่ชักม้าวนรอท่าอยู่ที่แนวชายป่าโปร่งที่เขานัดหมายไว้ ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้นไกรก็ชักม้าสีหมอกเลี้ยวให้พุ่งตรงไปที่ทิศทางที่ท่านสินรอท่าอยู่แล้วทันที โดยไม่ลืมที่จะกระแทกกระบอกพลุจุดเพื่อให้สัญญาณอีกครั้ง
ปุ้งงง!
พลุสัญญาณประจำกายของไกรที่เปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหันไปยังแนวป่าโปร่งทำให้พระเชียงเงินหนุ่มที่กำลังสั่งการยิงปืนใหญ่อยู่บนเรือเวนไตยยกมือขวาขึ้นและกำหมดแน่น เป็นสัญญาณสากลให้พลปืนใหญ่ทุกคนหยุดมือทันที
" ท่านเชียงเงิน? " เมื่อพลรักษาปืนใหญ่น้อยหันมาถามอย่างสงสัย พระเชิงเงินก็หรี่ตาลงก่อนจะให้คำตอบเรียบๆว่า
" ท่านไกรพุ่งไปที่แนวป่าจัดนัดพบนั่น ก็แปลว่าท่านพบกับท่านสินและกำลังดำเนินแผนขั้นถัดไปแล้ว เราหมดหน้าที่ของเราแล้ว ...ท่านเกียน " พระเชียงเงินพูดพลางหันกลับพูดกับต้นหนเรือชาวมอญในประโยคสุดท้ายเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มแผนขั้นต่อไป แต่เสียงตอบกลับมาทำให้เขาถึงกับเลิกคิ้ววูบ
" คร่อกกกก "
" ห หา? ว่าอะไรนะ? ท่านเกียน "
" คร่อกกก ฟี้ "
" ส เสียงนี้...เฮ้ย! ปืนใหญ่ยิงหูดับตับไหม้ขนาดนี้ใจคอยังหลับลงอีกเหรอฟะ?! " พระเชียงเงินร้องเสียงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองชนิดแทบจะพุ่งเข้ากระชากคอไอ้ผู้คุมพังงาเรือเวนไตยชาวมอญที่เวลานี้เอกเขนกเอาตีนพาดพังงาพร้อมกับกรนคร่อกๆเสียงดังสนั่นหวั่นไหว...จนกระทั่งเจ้าเมืองเชียงเงินหนุ่มตะโกนชนิดแทบรดหัวอีกครั้ง ผู้คุมพังงาเรือนามว่าเกียนก็งัวเงียเมาขี้ตาตื่นขึ้นมาช้าๆ
" อ อือ เช้าแล้วเหรอ? "
" อ ไอ้บ้านี่! ถ้ายังไม่ตื่นก็รีบตื่นให้เต็มตาซะทีสิโว้ย! ท่านเกียน!! "
" โว๊ะ...เรียกเกียนๆๆๆ อยู่นั่นแหละ ชื่อแสลงหูจริงวุ้ย ถ้าจะเรียกก็เรียกนามอย่างไทยของข้าสิ ท่านเชียงเงินนี่ล่ะก็ " เกียนพูดพลางหาวหวอดๆ ซึ่งถึงขนาดพระเชียงเงินโมโหจนแทบพุ่งไปเค้นคออีกฝ่าย แต่เขาก็ยังใจเย็นพอจะถามกลับเรียบๆว่า
" แล้วจะให้ข้าเรียกอะไรให้ถูกใจพระเดชพระคุณล่ะขอรับ?! "
" อะแฮ่มๆ...อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรอันไพเราะว่า ทองสุก ขอรับ บัดนั้นเชิด...เตร้งเตรง เตร่ง เตร้งงงง " เกียนแนะนำตัวเองใหม่พร้อมกับทำท่าทางราวกับลิเกแนะนำตัวด้วยท่าทีราวกับพระเอกลิเกมาเองจริงๆ ซึ่งถ้าหากไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนคงจะหลุดขำไปแล้ว...แต่ในสถานการณ์ที่ทุกวินาทีตัดสินความเป็นความตายเชนนี้ ทำให้ทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งฝีพายของเรือาวมอญด้วยกันเองยังถึงกับแทบปรี๊ดแตก...ในขณะที่พระเชียงเงินพยายามข่มสตินับ ๑ ถึง ๑๐๐ ไปมา ก่อนจะกัดฟันพูดกร้าวๆว่า
" ถ้าอย่างนั้น ท่านทองสุกขอรับ กรุณาย้ายก้นมาดำเนินแผนขั้นต่อไปตามที่ท่านไกรได้นัดแนะกันไว้แล้วขอรับกระผม! "
" ได้เสียเลยขอรับ! " ถึงตรงนี้เกียนหรือนายทองสุกรับคำอย่างแข็งขันก่อนจะลุกขึ้นจับพังงามั่น...ก่อนที่อยู่ๆเขาจะหันสายตาคล้ำกลับมาหาพระเชียงเงินก่อนจะเอียงคออย่างน่ารักและถามเบาๆว่า
" ว่าแต่อีตอนนั้นไอ้ท่านไกรนั่นบอกแผนว่าอย่างไรหว่า? บังเอิญข้าเมาหลับไปเลยไม่ได้ฟังพอดี 'โหสิเนาะ? "
" หนีสุดชีวิตโว้ยยยย! "
คราวนี้ไม่ใช่แค่่พระเชียงเงิน แต่เป็นเหล่าฝีพายและคนคุมปืนใหญ่บนเรือทุกคน ที่ตะโกนออกมาลั่นพร้อมกัน ชนิดที่ถ้าเรือลำนี้ไม่ได้มีคนที่ขับได้คนเดียว นายทองสุกชาวมอญคนนี้มีหวังได้เปลี่ยนเป็นเมาหมัดเมาเท้าที่พร้อมจะสหประชาทัณฑ์ไปแล้วเป็นแน่
...ในเวลาเดียวกัน ย้อนกลับมาที่ไกรที่มาสมทบกับสินที่วนม้ารอท่าอยู่ เมื่อมาถึงในระยะพอที่จะพูดคุยกันได้ ไกรก็ชักบังเหียนเพื่อผ่อนฝีเท้าสีหมอกลงอีกพร้อมกับตะโกนถามห้วนๆว่า
" เรียบร้อยไหม? ท่านสิน "
แม้จะเป็นคำถามที่ห้วนสั้นไม่มีที่มาที่ไป แต่สินเหมือนจะเข้าใจความหมายที่ไกรจะสื่อดี เพราะเขาพยักหน้ารับพร้อมกับชักม้าของตนเพื่อนำทางไกรและสีหมอกเข้าไปในป่าโปร่งนั้นทันที
" กรุณาตามข้ามาทุกฝีก้าวนะขอรับ อย่าหลุดเส้นทางเชียว! "
" อืม! " ไกรพยักหน้ารับพร้อมกับลูบแผงคอสีหมอกเหมือนกับจะบอกว่าฝากด้วย ในขณะที่สีหมอกก็ร้อง ฮี้! เบาๆอย่างรู้ใจก่อนจะ ขยับตามหลังม้าของท่านสินไปอย่างติดๆ
ระหว่างที่ตามเข้าไป ไกรก็ตะโกนฝ่าสายลมถามท่านสินที่นำหน้าอยู่ไม่ไกลอีกครั้งว่า
" ระหว่างเตรียมการเรียบร้อยดีใช่ไหม? ท่านสิน "
" ขอรับ...ทุกคนระวังกันจนหน้าซีด แต่ก็สำเร็จไปด้วยดี เวลานี้ทุกคนคงออกจากอาณาเขตป่าไปจนปลอดภัยแล้ว...เหลือแต่พวกเรานี่แหละขอรับ " คำตอบของสินที่ตะโกนสวนกลับมาทำให้ไกรหัวเราะกับตัวเองเบาๆอย่างผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนที่เขาจะเห็นสินกระชากบังเหียนม้าเพื่อเลี้ยวโค้งหักศอกทั้งๆที่ด้านหน้าก็ยังเป็นทางด่านกว้างอยู่จนกระทั่งเขาต้องรีบยึดบังเหียนของสีหมอกที่หักเลี้ยวตามแบบทุกฝีก้าวไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกสะบัดตกจากหลังม้า ก่อนที่เขาจะจุ๊ปากเบาๆ
" นี่เล่นกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ? "
" อ้าว? ก็ท่านสั่งเองนี่ขอรับ " สินที่เวลานี้หักเลี้ยวโค้หักศอกอีกครั้งเหลือบสายตากลับมามองพร้อมกับถามกลับมาจนไกรจุ๊ปากลั่นอีกครั้ง
" ก็ไม่ได้ให้เล่นถึงขนาดนี้ เถรตรงจริงวุ้ย แล้วนี่จำทางได้แน่นะ? "
" ท่านไกร! อย่าหมิ่นข้านักสิขอรับ! "
" ก ก็แค่ถามล้อเล่น...เถรตรงจริงๆวุ้ย " ไกรได้แต่ครางเบาๆ ก่อนจะแยกเขี้ยวเพื่อรับแรง G ในการเลี้ยวโค้งแบบหักศอกจนฝุ่นตลบอีกครั้ง จนสภาพของไกรในเวลานี้ไม่ต่างจากกำลังขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาแบบไม่มีเข็มขัดนิรภัยไม่มีผิดเลย
ระหว่างนั้นเอง กองทัพม้าพม่าที่เวลานี้รวมตัวกันติดจนมีจำนวนประมาณ ๗๐ นายพร้อมอาวุธครบมือก็พุ่งมาถึงแนวชาวป่าโปร่งที่ไกรพบกับสินเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าจะเรียกว่าตามมาติดๆ แต่เวลานี้พวกเขาไม่เห็นหลังของไอ้จอมทัพบ้าเลือดที่ถือธงมยุราพื้นเหลืองบุกฝ่ากองทัพที่หนีมาแล้ว ทำให้พวกเขาเกิดการลังเลจนได้แต่วนม้าอยู่ที่แนวชายป่าเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะตามไปดีหรือไม่
อีกอย่าง พวกเขาเองก็ยังไม่ลืมว่าหน้าที่จริงๆของพวกเขาคือการตีเมืองราชบุรี ไม่ใช่การไล่ล่าคนๆเดียว...แต่ถึงอย่างนั้น ลึกๆแล้วพวกเขาทุกตัวคนก็รู้ดีว่า ไอ้คนๆเดียวที่ว่านี่คือผู้ที่บุกเดี่ยวมาฆ่าฟันทหารพม่าทัพหน้าล้มตายจนทัพหน้าอันเกรียงไกรของแม่ทัพมังฆ้องนรธาถึงกับรวนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
...จากวีรกรรมของแม่ทัพปริศนาู้นั้น ทำให้ทุกคนรู้ดีว่า ถ้าหากใครก็ตามสามารถตัดหัวมันผู้นั้นได้ แก้วแหวนเงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ และชื่อเสียงอันไม่อาจประเมินได้จะเป็นของผู้ลงมือในบันดลแน่นอน!...
ปุ้งงง!
ระหว่างที่ทุกคนกำลังลังเลอยู่ที่แนวชายป่าอยู่นั้น พลุสัญญาญแปลกๆสีเหลืองส้มก็ถูกจุดขึ้นเป็นสาย ณ ใจกลางป่าโปร่งซึ่งจากตำแหน่งแล้วไม่ได้ไกลจากจุดที่พวกเขาวนม้าอยู่เลย ชนิดที่ถ้าไล่ตามก็คงจะไล่ตามได้ทันง่ายๆแน่...พวกเขาเรียนรู้อย่างรวดเร็วว่าพลุสัญญาณนั่นเป็นพลุระบุตำแหน่งของแม่ทัพปริศนาคนนั้นแน่ๆ...และด้วยชื่อเสียงลาภยศที่รออยู่ ทำให้พวกเขากระแทกโกลนเพื่อกระตุ้นม้าให้พุ่งเข้าไป ณ จุดตำแหน่งพลุสัญญาณอย่างเต็มฝีเท้าทันที!
" ฆ่ามัน! ฆ่ามันให้ได้! ...ผู้ใดสามาถตัดหัวมันได้ข้าจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาดดดด!! "
แต่แล้วเสียงตวาดของนายทัพม้าก็ถูกกลบลงด้วยเสียงกัมปนาถระเบิดที่กึกก้องปานฟ้าถล่มดินทลาย...ทหารม้า ๒-๓ นายพร้อมกับม้าศึกฉกรรจ์ที่พุ่งนำนายทัพม้าผู้นั้นไปประมาณ ๓ ช่วงตัวถูกอำนาจระเบิดแรงสูงส่งให้กระเด็นไปบนฟ้าพร้อมกับเลือดที่สาดกระจายแทบจะย้อมท้องฟ้าให้กลายเป็นสีแดงสดทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด!
" บ้าน่า! ไม่ได้ยินเสียงปืนใหญ่เลยนี่หว่า! แล้วมันโดนอะไรกันวะ?! "
" ฮ เฮ้ย! อย่าอยู่เฉยสิ! วิ่งต่อไป! อยากเป็นเป้าปืนใหญ่รึอย่างไร?! "
ตูมมม!
" อ อ๊ากกกก! "
เสียงระเบิดกัมปนาถที่ดังก้องขึ้นอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ทุกคนถึงกับต้องร้องออกมาอย่างตกใจอีกครั้ง
" อ อะไรกันวะ?!! "
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอย่างทำอะไรไม่ถูก นายกองทัพม้าหนุ่มก็นึกเอะใจอะไรบางอย่าง เขายกหอกประจำกายขึ้นสูงพร้อมกับตวาดดังลั่น
" ทุกคนอย่างพึ่งขยับ! หยุดอยู่กับที่ประเดี๋ยวนี้!! "
" ห หา? แต่เราจะเป็นเป้านิ่งนะขอรับ ท่านนายกอง! "
" นี่ไม่ใช่ปืนใหญ่... " นายกองหนุ่มทำหน้าเครียดพร้อมกับกระซิบลอดไรฟันออกมาเบาๆ จนกระทั่งทุกคนต้องร้องถามอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง
" ว่าอะไรนะขอรับ? "
" เราไม่ได้ถูกปืนใหญ่ยิง! ไม่ได้ยินกระสุนปืนแหวกอากาศเลยไม่ใช่รึอย่างไร?! ทักคนอย่าขยับ แล้วลองมองไปรอบๆ...หาสิ่งผิดปรกติแล้วรายงานข้าประเดี๋ยวนี้! "
" ห หา? "
ถึงจะยังงงงวยในคำสั่งแปลกๆของนายทัพของพวกเขา แต่เหล่าทหารม้าสัญชาติพม่าทุกนายก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดด้วยการหยุดม้าก่อนจะใช้สายตาไล่มอง สิ่งผิดปรกติ ตามคำสั่งของหัวหน้าของพวกเขา ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าจะต้องหาอะไรก็ตามที...จนกระทั่งหนึ่งในนายทหารม้าที่เหลือรอดจากการระเบิดปริศนาอยู่ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง...อะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งผิดปรกติได้รึเปล่าด้วยซ้ำ...
" หม้อดิน...อย่างนั้นเหรอ? " เขาขมวดคิ้วใส่หม้อดินเผาสีน้ำตาลแก่ๆขนาดเขื่องๆที่วางซุ่มอยู่ในพงหญ้าใต้ร่มไม้ใหญ่โดยมีเศษใบไม้แห้งคอยอำพรางอยู่อย่างผิดที่ผิดทาง...ด้วยความผิดสังเกตเขาจึงชักม้าเข้าไปเพื่อจะดูหม้อดินเผาที่ซ่อนพรางอยู่ใกล้ๆ แต่เมื่อนายกองหนุ่มเหลือบมามองพอดี นายกองผู้นั้นก็ถึงกับรีบร้องออกมาเสียงหลง
" เฮ้ย! มึงคนนั้น! อย่าเข้าไป!! "
" ห หา? "
กริ๊ก! แชะ!
ตูมมมมมม!!
ระเบิดปริศนาไม่เป็นปริศนาอีกต่อไป เพราะคราวนี้พวกเขาเห็นกันเต็มสองตาหลายสิบคู่ ว่าเมื่อนายทหารชะตาขาดผู้นั้นเดินเข้าใกล้หม้อดินเผา หม้อดินเผาที่น่าจะบรรจุไว้ด้วยดินดำอัดแน่นไว้เต็มที่ก็ระเบิดขึ้นด้วยกลไกการขุดระเบิดที่อยู่เหนือจินตนาการของพวกเขา อำนาจของสะเก็ดและแรงระเบิดฉีกทั้งร่างของม้าและทหารชะตาขาดผู้นั้นจะกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่่างน่าอเน็จอนาถสายตาของทุกคนที่สุด!
" ท ทุกคนอย่าขยับนะโว้ยยย! ถ้าหากใครเห็นหม้อดินเช่นนั้นอีกรีบบอกข้าทันที! "
ครู่ต่อมา พวกเขาก็พบกับหม้อดินเผาปริศนานั้นอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่ง และคราวนี้ทุกคนไม่มีใครกล้าผลีผลามเลยแม้แต่น้อย
" ท ท่านนายกอง! ทางนี้ขอรับ! "
เมื่อได้ยิน นายกองหนุ่มเองก็ไม่กล้าผลีผลาม เขาลงจากหลังม้าและค่อยๆย่องโดยระวังทุกฝีก้าวทีละก้าวๆ จนกระทั่งถึงจุดที่หม้อดินเผาปริศนาถูกวางซุ่มอยู่ในที่สุด
ด้วยมือที่พยายามเบาที่สุดและสายตาที่ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด ในที่สุดเขาก็ไขปริศนาของมันออกจนได้
มันคือหม้อดินเผาที่บรรจุดินระเบิดหรือดินดำไว้จริงๆ แต่ลำพังแค่ดินดำอย่างเดียวไม่สมควรจะระเบิดด้วยตัวเองได้ จนกระทั่่งในที่สุดเขาจะพบไกของปืนสับนกขนาดเล็กที่ไม่มีลำกล้องโดยมีแต่เพียงส่วนสับนกที่เป็นชุดหินเหล็กไฟสำหนับตีเพื่อจุดประกายไฟและไกปืนที่ถูกปรับแต่งให้อ่อนถึงที่สุด โดยที่ไกปืนนั้นถูกผูกกับเส้นด้ายหรือเส้นเอ็นใสที่แทบมองไม่เห็นถ้าไม่สังเกตชนิดจับผิดจริงๆ และเส้นเอ็นดังกล่าวก็ผูกขึงไว้จนตึงเปรี๊ยะชนิดที่ถ้าหากคนหรือขาม้าเตะผ่าน เส้นเอ็นดังกล่าวก็จะกระตุกไกปืนที่ถูกขึ้นไว้และทำให้กลไกของหินเหล็กไฟทำงานทันที
และไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าถ้าหากมีประกายไฟแม้แต่เพียงนิดเดียวท่ามกลางดินดำคุณภาพสูงเช่นนี้ ทุกคนที่อยู่ในรัศมีของแรงระเบิดและสะเก็ดระเบิดมีหวังร่างแหลกเหลว หรือไม่ก็พรุนเป็นรังผึ้งอย่างแน่นอนที่สุด!
" อ อาวุธอะไรกัน?! น นี่ นี่ไม่ใช่อาวุธของมนุษย์แล้ว!! " เมื่อไขปริศนาของอาวุธที่คร่าชีวิตลูกน้องของเขาไปกว่า ๑๐ คน เขาถึงกับต้องร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เพราะหม้อดินดำติดชนวนนี่ไม่อยู่และไม่เคยอยู่ในสารบบหรือตำราพิชัยสงครามตุ้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแน่นอน!
อย่างที่เขาพูด...อาวุธร้ายแรงที่ไร้เกียรติด้วยการเล่นทีเผลออย่างไม่ยอมเผชิญหน้าตรงๆนี่ไม่สมควรจะเป็นอาวุธที่มนุษย์ปุถุชนทำขึ้นเลย!
" ท ท่านนายกอง! "
" ส เสี่ยงเกินไปแล้ว! พวกเราตามมันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว! " นายกองผู้นั้นครางออกมาเบาๆ อย่างหมดหวังสร้างชื่อให้กับตัวเองในคราวนี้แน่ แต่พอเขาคิดจะออกคำสั่งให้ถอยกลับ หนึ่งในทหารม้าใต้อาณัติที่อยู่ด้านหลังก็ตะโกนออกมาเสียงหลงว่า
" ท ท่านนายกอง! ไฟป่าขอรับ!! อยู่ๆก็เกิดไฟป่าไหม้ลามในด้านที่พวกเราเข้ามา! ไฟต้องลมหนาวโหมแรงมาก พวกเราถอยกลับทางเก่าไม่ได้แล้วขอรับ! "
" อะไรนะ?! "
" ท ท่านนายกอง! ทั้งป่าแห้งทั้งลมแรงเช่นนี้ไฟคงลามเร็วมาก ถ้าขืนช้ากว่านี้ไม่ยอมทำอะไร พวกเราคงถูกไฟคลอกฉิบหายกันทั้งหมดแน่! โปรดออกคำสั่งด้วยขอรับ! "
" พ พวกเจ้า! "
" ต แต่ถ้าหากไปข้างหน้าพวกเราคงจะเจอไอ้หม้อดินระเบิดนี่อีกเป็นแน่! ป โปรดตัดสินใจให้ถี่ถ้วนด้วยเถอะขอรับ! "
ระหว่างที่นายกองทัพม้าหนุ่มกำลังคิดตัดสินใจโดยแข่งกับกระแสความร้อนของไฟป่าที่เริ่มลามโหมเข้ามาเรื่อยๆ ที่หางตาของเขาก็เหลือบไปบนเนินสูงและพบกับนายทหารมาปริศนาผู้ถือธงมยุราพื้นเหลืองที่พวกเขาหมายใจจะไล่ตามมา...นายทหารเกราะดำปริศนาบนหลังของม้าสีขาวหม่นที่สวมเกราะดำไม่ต่างกัน...เขายืนนิ่งอยู่บนหลังม้านิ่งโดยใช้ดวงตาที่ลอดออกมาจากหน้ากากสีดำสนิทมองลงมาที่พวกเขา...ก่อนที่ในที่สุดเขาจะใช้มือขวาที่ไม่ได้ถือง้าวเปิดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาที่สงบนิ่งที่สุด พร้อมกับริมฝีปากของชายปริศนาผู้นี้จะขยับช้าๆ เป็นคำพูดที่นายกองพม่าอ่านจากริมฝีปากได้อย่างชัดเจน...
' อ-โห-สิ-กรรม-ให้-ข้า-ด้วย '
วินาทีนั้นนายทัพทหารม้าพม่าก็เข้าใจทันทีว่าเขาได้กระทำผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่สุดเสียแล้ว...มันผู้นั้นรู้ว่าพวกเขาตามสัญญาณพลุ มันจึงล่อเขาและทหารม้าทั้งหมดด้วยสัญญาณพลุเพื่อให้พวกเขาถลำลึกเข้ามา...ถลำลึกเข้ามาถึง ณ จุดกึ่งกลางของ ทุ่งสังหาร แห่งนี้...และเมื่อเขารู้ตัวและพยายามจะถอยกลับ ไฟป่าที่ไม่ได้เกิดจากเหตุธรรมชาติก็กระพือโหมปิดทางไม่ให้เขาหนีกลับในทางเดิมได้...เขาติดอยู่ในสภาพที่ทำไม่ได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง...
...เดินหน้าก็ตาย!...ถอยหลังก็ตาย!...
" ปัดโธ่โว้ยยยยย!! "
ณ วินาทีนั้น นายกองหนุ่มไม่อาจจะทำสิ่งใดได้อีก นอกจากร้องออกมา...ร้องออกมาอย่างโหยหวนและเจ็บใจที่สุด...นี่คือสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้แล้ว...
...พวกเขาถูกรุกฆาต โดยไร้หนทางแก้ไขแล้ว!!...
... ณ เนินสูงที่ไกรยืนนิ่งอยู่ด้วยดวงตาที่หม่นแสงลง ถึงแม้ว่านี่คือชัยชนะอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้งนึงของไกร แต่เขากลับไม่รู้สึกดีใจเลย...
...ไม่เลยแม้แต่น้อย...
" ท่านไกร " เมื่อผ่านไปซักพัก สินที่ยืนม้าอยู่เบื้องหลังของเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจเท่าไหร่นัก แต่เขาจำต้องปลุกไกรให้ตื่นขึ้นจากภวังค์จึงต้องพูดออกมา ซึ่งเมื่อได้ยิน ไกรก็สะดุ้งน้อยๆ ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจพร้อมกับหันมาฝืนยิ้มให้กับท่านสินและพยักหน้าเบาๆ
" งานจบแล้ว ไปกันเถอะ ท่านสิน "
สินมองหน้าสหายของเขาอย่างไกรอีกเล็กน้อยอย่างกึ่งสงสารกึ่งเห็นใจ...ใจจริงเขาอยากจะพูดชื่นชมว่า กับระเบิดสังหาร ที่ไกรออกแบบและให้โคลบี้กับออลลี่สร้างขึ้นนั้นเป็น อาวุธ ที่อยู่ในระดับสุดยอดชนิดที่อาจจะพลิกหน้าประวัติศาสตร์การสงครามได้เลย...แต่ใบหน้าของไกรในเวลานี้ไม่ใช่ใบหน้าที่สินจะสามารถแสดงความยินดีออกมาเป็นคำพูดได้อย่างแน่แท้
" ไม่เป็นไรแน่นะขอรับ? " เมื่อไม่อาจแสดงความยินดีได้ เขาจึงทำได้แค่เอ่ยถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเมื่อได้ยินไกรก็เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆและทำตัวเป็นปรกติอย่างรวดเร็วจนแทบจะดูไม่ออกก่อนจะโคลงหัวช้าๆ
" ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่าข้าจะไม่แสดงด้านอ่อนแอให้ท่านหรือคนอื่นๆเห็นอีกเป็นครั้งที่ ๒ และข้ารักษาสัตย์ของข้า...อย่าห่วงเลยน่า "
ไกรพูดพลางขยับม้าเพื่อนำท่านสินออกไปจากตรงนี้ ส่วนหนึ่งคือแผนของเขาสำเร็จแล้ว...อีกส่วนหนึ่งคือเขาไม่อยากจะเห็นภาพการสังหารหมู่อีกต่อไป ซึ่งสินเองก็รู้ข้อนี้ดีแต่เขาก็คิดว่าไกรทำเรื่องที่สมควรทำมามากเกินพอแล้ว จึงได้แต่ตามไปอย่างเงียบๆ
" แล้วจะเอาอย่างไรต่อ? ท่านไกร "
" หืม? อ้าว ก็กลับไปรวมกับพวกอุษาที่จุดนัดพบที่ ๓ สิ...ท่านก็อยู่ฟังตอนข้าวางแผนแถมยังช่วยปิดจุดอ่อนของแผนข้าอีก ไม่น่าลืมง่ายๆเลยนะ " ไกรพาซื่อหันมาตอบเบาๆ แต่สินส่ายหน้าช้าๆ
" ไม่ใช่ขอรับ หมายถึงเรื่องทัพพระเจ้าอลองพญาที่ยกมาเสริมน่ะขอรับ...จะให้จัดการอย่างไรดี? "
" โห จัดการ...ถ้าอีกฝ่ายมีซัก ๑๐๐ คนน่ะข้าจัดไปแล้ว...แต่นี่เล่นมากันเป็นหมื่นๆแถมมุกก็หมดแล้วด้วย ไงๆราชบุรีก็คงจะไม่รอดถึงวันพรุ่งนี้แน่ๆ พวกเราทำได้แค่ถ่วงเวลาให้พวกราชบุรีอพยพหนีไปที่สุพรรณให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เท่านั้นแหละ "
" เฮ้อ...ถ้าท่านไม่ใช่ผู้นำกองโจรอย่างเราที่มีเพียงร้อยกว่า แต่เป็นแม่ทัพผู้ถือพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ของราชบุรี...พวกเราคงจะสามารถต้านทัพพวกมันได้มากกว่านี้เป็นแน่...นี่ ท่านไกร ท่านไม่คิดจะออกจากเงาและออกหน้าเป็นแม่ทัพของสุพรรณบุรีที่กำลังจะต้องรับศึกหน่อยหรือขอรับ? " สินเสนอออกมาอย่างคาดหวังโดยเห็นแก่สถานการณ์บ้านเมืองเป็นสำคัญ แต่คำพูดของชายหนุ่มทำเอาไกรถึงกับใจหายวาบและขนลุกซู่
" ม ไม่อาเฟ้ยยย! "
ระหว่างที่ไกรและสินกำลังคุยอยู่นั้น ไกรก็ยังไม่ลืมที่จะยิงพลุขึ้นฟ้าเพื่อเป็นการระบุตัวตนต่อไปเรื่อยๆและเป็นสัญญาณว่าเขาและท่านสินปลอดภัยและภารกิจลุล่วงแล้ว...
...แต่พลุสัญญาณที่ทอแสงสีเหลืองส้มบนท้องฟ้าเวลานี้ถูกจับจ้องด้วยสายตาที่แม้จะคล้ำและลึกโหลแต่ก็ยังทอประกายคมกล้าราวกับเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองเหยื่อ...แม้ว่ามือทั้งสองจะคุมพังงาเพื่อเลี้ยวลดลัดเลาะคลองอันคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อยนี้ แต่ดวงตาสีเข้มของเกียนหรือนายทองสุกผู้นี้กำลังจับจ้องอยู่ที่พลุที่กำลังหรี่แสงลงช้าๆ...
...เขากำลังระลึก...ระลึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้เห็นชายหนุ่มนามว่าไกรที่มีท่าทีสนิทสนมกับ ท่านหญิงตองชะเว หรืออเทตยาของเขาเป็นพิเศษ...
มันอาจจะเป็นเรื่องดีที่เขาได้เห็นท่านหญิงตองชะเวของพวกเขามีความเป็น มนุษย์ มากขึ้นจากเดิม มีกลิ่นอายของความเป็นปุถุชนที่เขาไม่เคยสัมผัสได้มาก่อนเมื่อครั้งอยู่ที่หงสาวดี...แต่เขาก็คิดได้...ว่าชายหนุ่มนามว่าไกรผู้นี้กลับเป็นเหตุที่ทำให้ท่านหญิงของเขาแปรเปลี่ยนไป สูญเสียวิถีทางและเจตนารมณ์ที่หมายจะฟื้นฟูหงสาวดีอันเป็นเมืองหลวงของชนชาติมอญไป...
...ไกรคือผู้ทำให้ท่านหญิงตองชะเวสูญเสียวิญญาณอันหยิ่งทรนงของชนชาติมอญไป...
...ซึ่งเขา...และชาวมอญทุกคนไม่อาจจะยอมรับได้...
' พลปืนใหญ่น้อยทั้งหมด...พวกเจ้ายังเป็นคนของข้าอยู่หรือไม่? ' ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจพูดขึ้นเป็นภาษามอญเบาๆระหว่างที่พระเชียงเงินกำลังง่วนอยู่กับการกำหนดแผนที่จนไม่ทันสังเกต ซึ่งเมื่อพลปืนใหญ่น้อยซึ่งเป็นพลมอญอาสาทั้งหมดได้ยินที่นายทองสุกพูด พวกเขาก็เลิกคิ้วอย่างงงๆ
' น แน่นอนสิขอรับ ท่านเกียน ไม่สิ ท่านสมิงทอสุ...พวกเรารับคำสั่งท่านเสมอ '
' ดี...ถ้าอย่างนั้นเล็งปืนใหญ่ไปที่ตำแหน่งพลุนั่น...แล้วยิงเสีย! '
' ท ท่านสมิงทอสุ! ต แต่ว่า นั่นคือตำแหน่งของท่านไกรและท่านสินนะขอรับ! '
' ข้าออกคำสั่งไปแล้วและจะรับผิดชอบเอง! ยิงเดี๋ยวนี้!! '
ในเสี้ยววินาทีนั้นก่อนที่จะมีผู้ใดมาห้ามปรามทัน ปืนใหญ่น้อยทุกกระบอกที่ตั้งจังก้าอยู่บนกระดูกงูเรือเวนไตยก็ดังกัมปนาทลั่นโดยพร้อมเพรียงกัน ภายใต้ประกาศิตคำสั่งที่เลือดเย็นและน่าขนลุกที่สุด!
คำสั่งกำจัดเจ้าพระยาพิทักษ์ราชภักดีนอกราชการ...กำจัดไกร!
ตูมมมม!!
...เสี้ยววินาทีต่อมา...ระหว่างที่ไกรกำลังชักม้าทอดน่องเดินคุยอยู่กับสินอย่างผ่อนคลายเพราะเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว อยู่ๆสัญชาตญาณระวังภัยของไกรก็กระตุ้นเตือนอย่างรุนแรงจนทำให้เขาถึงกับขนลุกซู่เกือบทั้งร่าง ...พร้อมกับที่ทั้งลูกแก้วและลูกขวัญจะร้องตวาดข้างๆหูเขาดังลั่น!
" ท่านพ่อ! ระวัง!! "
" อะไรนะ?! "
หวืออออ! ตูมมมมม!!
.......................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ