ยุคันตวาต (ลมสิ้นยุค)
เขียนโดย PingJa
วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23.49 น.
แก้ไขเมื่อ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557 20.02 น. โดย เจ้าของนิยาย
141)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
==============================================
...เย็นย่ำ...ไม่กี่วันต่อมา ณ จวนไม้ขนาดใหญ่อันเป็นจวนประจำตำแหน่งของเจ้าพระยาราชมนตรีบริรักษ์คนใหม่ หรือจะพูดให้ถูกคือบ้านและสถานที่กบดานของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาต...
" นี่มันบ้าอะไรกันวะเนี่ย?!! " เสียงตวาดดังแปดหลอดที่หาไม่ได้บ่อยๆนักของท่านผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านยุคันตวาตที่ปรกติแล้วจะสุขุมลุ่มลึกอยู่ตลอดเวลาทำเอาทั้งฝูงไก่และนางทาสีที่โปรยเมล็ดข้าวเลี้ยงไก่อยู่ไม่ไกลจากจวนนักถึงกับสะดุ้งโหยงและแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่นาทีนั้นดูเหมือนท่านผู้เฒ่าจะไม่สนใจใครเลยแม้แต่น้อย เพราะหลังจากหอบหายใจได้เพียงแป๊ปเดียวเขาก็ตวาดดังลั่นอีกครั้ง
" อ ไอ้ไกร...ไอ้บ้านั่นมันคิดอะไรของมันอยู่กัน...อ โอย ข้าจะเป็นลมโว้ย!! "
เสียงที่ดังไปสามบ้านแปดบ้านของหัวหน้าชุมนุมมือสังหารหนุ่มทำให้นักตีศาสตราสาวชาวอาทิตย์อุทัยอย่างยูกิโอะที่หลังจากไกรและเด็กหนุ่มคู่แฝดนักประดิษฐ์ไม่อยู่เธอก็รู้สึกเบื่อและมาหาอะไรกินที่จวนของท่านผู้เฒ่าแทนเลิกคิ้วอย่างงงงวย เธอยัดขนมบางอย่างเข้าปากก่อนจะเดินขึ้นเรือนมาดู และเมื่อมาถึงชานเรือนเธอก็ได้เห็นท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่กับเศษกระดาศเล็กๆในมือและเหยี่ยวสีน้ำตาลตัวขนาดมหึมา นั่นทำให้คนฉลาดอย่างเธอเข้าใจทุกอย่างได้ทันที
" ไอ้เด็กไกรมันทำอะไรเหรอ? ท่านผู้เฒ่า? " หญิงสาวยัดขนมที่หยิบติดมือมาด้วยเข้าปากก่อนจะถามลอดเศษขนมที่อยู่เต็มปากออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้ ก่อนจะเหลือบไปมองมือสังหารอาวุโสอย่าง ทานเมือง ที่ถูกท่านผู้เฒ่าเรียกมาเสริมทัพจากหมู่บ้านซึ่งได้ยินเสียงโหวกเหวกของท่านผู้เฒ่าและเดินมาดูเหมือนกัน
เมือได้ยินยูกิโอะถาม ท่านผู้เฒ่าดูเหมือนจะไม่อยู่ในอารมณ์ที่พร้อมจะตอบคำถามด้วยปากของตัวเอง เขาจึงยื่นเศษกระดาษแผ่นเล็กๆซึ่งคือตัวต้นเหตุส่งมาให้...ทีแรกเมืองเข้ามาหยิบก่อนแต่เขาก็ถูกยูกิโอะใช้มือขาวเรียวเขกกบาลดังโป๊ก ก่อนจะแย่งเอาไปอ่านขณะที่เมืองทรุดลงไปนั่งน้ำตาเล็ดกุมหัวป้อย
หลังจากอ่านเนื้อความที่อัดแน่นมาเต็มกระดาษจบ หญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยดวงตาเป็นประกายราวกับเด็กๆก่อนที่เธอจะร้องออกมาดังลั่นบ้านว่า
" สุดยอด!! "
" เฮ้ย! " ท่านผู้เฒ่าหันขวับมามองด้วยตาขวางๆ แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากบ่นอะไร เมืองก็หยิบแผ่นกระดาษนั้นไปอ่านบ้าง และเมื่ออ่านจบเขาก็ทำตาโตพร้อมกับร้องออกมาดังลั่นไม่แพ้กันว่า
" ส สุดยอดดด! "
" เฮ้ย! พวกแก! เรื่องบ้านี่มันไม่สุดยอดเลยซักนิด!! อย่าทำราวกับเห็นดีเห็นงามกับพวกมันสิวะ! " ท่านผู้เฒ่าหันไปดุทั้งสองคนพร้อมกับทำตาขวาง แต่เมืองโคลงหัว เขาไล่สายตาอ่านสารในมืออีกครั้งก่อนจะพูดเบาๆว่า
" แต่เรื่องนี้ก็ต้องบอกว่าสุดยอดอยู่ดีไม่ใช่รึอย่างไร? " หญิงสาวชาวญี่ปุ่นร้องออกมาจนท่านผู้เฒ่าต้องทำเสียงจิ๊กจั๊กอย่างขัดใจ ในขณะที่เมืองเอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดเบาๆอีกครั้งว่า
" ขอโทษนะขอรับ แต่ครานี้ข้าว่าไกรทำได้อย่างงดงามมากเลยนะ ท่านผู้เฒ่า...มีไม่กี่คนหรอกนะที่สามารถคุมกองทัพที่มีแต่พวกตัวปัญหาและมีเพียงแค่ไม่กี่ร้อยนั่นตีทัพอาทมาทของพระเจ้าอลองพญาให้แตกกระเจิงได้ ทั้งตกเย็นยังวกไปปล้นเสบียงที่ส่งมาจากรัตนสิงค์ได้อีกต่างหาก...ให้ตายสิ ข้าไม่อาจประเมินความสามารถของเจ้ามือสังหารคนเก่งคนนี้ของท่านได้จริงๆ "
" ไม่อาจประเมินว่ามันจะสร้างหายนะได้อีกเพียงใดสิไม่ว่า! ข้าแค่สั่งให้มันกับพวกคอยสร้างความรำคาญและถ่วงการเดินทัพของพวกรัตนสิงค์ ไม่ใช่เอาทัพชนกันตรงๆเช่นนี้เสียหน่อย! "
" แต่เด็กเวรนี่ก็ยังคงอยู่ในคำสั่งของท่านไม่ใช่หรืออย่างไร? คำสั่งสร้างความรำคาญและถ่วงทัพของพวกอังวะน่ะ? " ยูกิโอะที่ถือวิสาสะยกชาของท่านผู้เฒ่าขึ้นดื่มเองเลิกคิ้วใส่พร้อมกับถามอย่างซื่อๆจนทำให้ท่านผู้เฒ่าแยกเขี้ยววับ
" อยู่ในคำสั่งเรอะ! เกินคำสั่งไปไกลโขสิไม่ว่า...อีแบบนี้ไม่เรียกว่าสร้างความรำคาญแล้ว แต่เรียกว่าสร้างความตื่นตระหนกเลยต่างหากล่ะ...ถ้าหากเรื่องนี้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณของพระเจ้าอลองพญาจะเท่ากับว่าไกรและกองทัพนั่นได้กลายเป็นขุมกำลังปริศนาที่ไม่อาจจะดูแคลนได้ ที่อยู่ๆก็โผล่่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทันที...กองทัพรัตนสิงค์จะต้องถูกจัดขึ้นเพื่อตามล่าถลกหนังพวกมันแน่! "
" ข้าเห็นว่าเรื่องนี้ไกรก็น่าจะคาดการณ์เอาไว้แล้วนะขอรับ ข้าอาจจะด่วนสรุปไปบ้างแต่ไกรก็ได้แสดงให้เห็นแล้วในคราวเรื่องวุ่นวายในพระราชวัง ครานั้นแม้ว่าเหตุการณ์จะเลยเถิดไปบ้างแต่เด็กนั่นก็วางแผนได้อย่างรอบคอบและรัดกุมที่สุด...งานนี้ก็เช่นกัน เขาต้องมีแผนการรองรับไว้เป็นแน่ "
" นี่เจ้าเห็นดีเห็นงามกับไอ้เด็กไร้หัวคิดนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมือง! "
" ไม่เรียกว่าเห็นดีเห็นงาม ข้าแค่พูดตามความจริง " เมืองแก้ต่างให้กับตัวเอง ในขณะที่หญิงสาวผู้ให้ความเคารพท่านผู้เฒ่าน้อยกว่าใช้สายตาวิบวับมองดูชายหนุ่มผู้มีพลังพิเศษคล้ายคลึงกับเธอก่อนจะแสยะยิ้มวูบ
" เอาน่า ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยมันจนออกนอกหน้าถึงขนาดนั้นก็ได้ ท่านผู้เฒ่า มันเป็นพวกดวงแข็ง พระกาฬเหม็นขี้หน้า มันไม่ตายอย่างโง่ๆง่ายๆหรอกน่า "
คำพูดของหญิงสาวเหมือนกับจะแทงใจดำหัวหน้าหมู่บ้านจนเขาขมวดคิ้ววูบ ก่อนจะแยกเขี้ยววับ
" ข้าเป็นห่วงว่ามันจะพาคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องไปตายต่างหากล่ะ ให้นรกสาปสิ! ไม่มีใครอยู่ข้างข้าซักคนเลยรึอย่างไร! " ท่านผู้เฒ่าบ่นเบาๆ ก่อนจะเหลือบไปเห็นอนาสตาเซียที่เวลานี้อยู่ในชุดจ่าโขลนชั้นสูงเต็มยศและพกดาบนาคราชมาด้วยเดินผ่านไป เขาจึงร้องเรียกพร้อมกับหยิบสารมายื่นให้ลูกสาวบุญธรรมเป็นเชิงฟ้องทันที
" อนาสตาเซีย เจ้าอ่านนี่สิ พึ่งส่งมาถึงเมื่อครู่นี่เอง "
อนาสตาเซียขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับหยิบสารนั้นไปอ่าน ซึ่งพออ่านจบเธอก็กระพริบตาปริบๆก่อนจะหันกลับมาเอียงคอตอบกลับเบาๆ
" เอ ก็ปรกตินี่เจ้าคะ? ไม่เห็นหน้าแปลกตรงไหนเลย "
" พรืดดด! " ทั้งยูกิโอะและเมืองหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนจะรีบปิดปากกลั้นหัวเราะอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะท่านผู้เฒ่าในเวลานี้ทำหน้าราวกับถูกผีหลอกไม่มีผิด ก่อนที่เขาจะอ้าปากพะงาบๆพูดอย่างตะกุกตะกักว่า
" อ เอ่อ...คุณหญิงอนาสตาเซียขอรับ แน่ใจนะว่าอ่านไม่ผิดหรือตกหล่นน่ะ "
" แหม ท่านพ่อ ท่านน่าจะเป็นคนทีรู้จักไกรดีกว่าทุกคน ยังไม่ชินอีกหรือเจ้าคะ?...เอ ที่จริงข้านึกว่าท่านส่งไกรไปเพราะหวังให้เกิดเรื่องเช่นนี้ด้วยซ้ำ "
" ไมได้หวังเฟ้ย! " ท่านผู้เฒ่าโวยลั่นอย่างโมโหเพราะเขารู้สึกว่าไม่มีใครที่เป็นพวกของเขาเลย ซึ่งอนาสตาเซียก็ได้แต่หัวเราะเบาๆก่อนจะก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงขอตัวไปทำหน้าที่ของเธอ แต่ท่านผู้เฒ่าขัดไว้เสียก่อนว่า
" นี่ อนาสตาเซีย ไหนๆเจ้าก็ต้องเข้าไปในเขตราชฐานชั้นในอยู่แล้ว ช่วยเอาเรื่อง บ้าๆ นี่ไปแจ้งสมเด็จท่านทีเถอะนะ เจ้าน่าจะไปๆมาๆภายในนั้นได้อย่างไม่ผิดสังเกตได้มากกว่าข้า ข้าไม่อยากจะสร้างศัตรูเพิ่มอีก "
" เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่า...ข้าว่าอาจจะไม่จำเป็นก็ได้นะ " ประโยคหลังหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงบางเบาจนทุกคนได้ยินไม่ถนัดนัก กระทั่งท่านผู้เฒ่ายังหันกลับมาเลิกคิ้วใส่พร้อมกับถามเบาๆว่า
" หา? เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? "
" เฮ้อ เปล่าเจ้าค่ะ...ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวนะเจ้าคะ ข้ากำลังจะสายแล้ว "
' สาย? อย่างนั้นเหรอ? ' ทุกคนคิดในใจพร้อมกัน เพราะพวกเขารู้ว่าอนาสตาเซียคือจ่าโขลนพิเศษที่มีเวรเฉพาะในช่วงกลางคืน แต่นี้พึ่งจะเป็นเวลาเย็นเท่านั้น ...มองยังไงก็ยังไม่เรียกว่าสายอย่างแน่นอน แต่นาทีนั้นทุกคนไม่อยากจะขัดอะไรจึงปล่อยให้หญิงสาวเดินลงจากเรือนไป...จนกระทั่งเมื่อเธอเดินไปไกลเกินกว่าจะได้ยิน ...ท่านเมืองก็โคลงหัวเล็กน้อยก่อนจะบ่นเบาๆว่า
" เฮ้อ...รอบๆตัวมีแต่คนแปลกๆวุ้ย "
" ฮ่าๆๆๆ พูดได้ถูกใจข้านัก " ยูกิโอะแหกปากหัวเราะออกมาอย่างไม่สมเป็นกุลสตรีเลยแม้แต่น้อยจนเมืองเหลือบมามองพร้อมกับถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
" ที่ข้าพูดนี่ก็รวมท่านด้วยนั่นแหละ ท่านยูกิโอะ "
" ฮ่าๆๆๆ นั่นสินะ พูดอีกก็ถูกอีก...ว ว่าอย่างไรนะ?! แก!! "
...ไม่กี่อึดใจต่อมา ณ เส้นทางลาดยาวที่ทอดผ่านในเขตพระราชฐานชั้นใน...
อนาสตาเซียเดินทอดน่องผ่านเส้นทางที่เธอเคยเดินผ่านเป็นประจำนี้ด้วยสีหน้าและแววตาที่สงบ ในขณะที่ทุกคนที่เดินผ่านเธอ ไม่ว่าจะเป็นนางกำนัล นางสนองพระโอษฐ์ นางจ่าโขลน...แม้กระทั่งขบวนของนางสนมที่สวนผ่านเส้นทางของเธอต่างก็ต้องหลบตาเธออย่างยำเกรง แม้ว่าบางคนจะมียศศักดิ์เหนือกว่าจ่าโขลนสาวอย่างเธอ และทั้งๆที่เธอก็ไม่มีหน่วยคเณศร์เสียงาและไกรคุ้มหัวอยู่แล้วก็ตาม...อาจเป็นเพราะหลังจากที่เธอ บรรลุ อะไรบางอย่าง ระดับและกลิ่นอายของเธอก็พัฒนาขึ้นจนเข้าสู่ขอบเขตของความน่าเกรงขามชนิดที่จากเดิมเทียบไม่ติด...ไม่มีทางที่คนธรรมดาหรือแม้แต่ผู้ฝึกวิชาที่ยังไม่ถึงขั้นแก่กล้าจะสามารถอยู่สู้หน้าเธอได้แน่นอน...
...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีข้อยกเว้นเสมอ...
วูบ!
จิตสังหารที่พุ่งวูบอย่างกะทันหันที่แผ่พุ่งมาจากจุดอับสายตา เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรง เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายชนิดที่หากเป็นสมัยก่อนเธอคงจะหลบไม่ทันหรืออย่างน้อยๆก็ต้องได้เลือดกันบ้างเป็นแน่ แต่ไม่ใช่กับอนาสตาเซียในวันนี้...
เคร้ง!
ดาบนาคราชที่เมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วยังอยู่ในฝักข้างลำตัวอยู่แท้ๆ เวลานี้กลับถูกชักขึ้นพร้อมกับยกขึ้นกันดาบสีเงินวาววับที่พุ่งหมายจุดสำคัญของเธอได้อย่างทันท่วงทีในเสี้ยววินาทีสุดท้ายพอดิบพอดี...แรงเสียดสีของดาบที่ถูกตีขึ้นจากโลหะชั้นสูงสองเล่มทำให้เกิดประกายไฟและเสียงแหลมบาดหู แต่ถึงอย่างนั้นมือสังหารสาวผู้อยู่ในฐานะจ่าโขลนพิเศษก็ยังกระตุกยิ้มวูบพร้อมกับปากที่ระบายรอยยิ้มนั้นจะพูดกับผู้ประสงค์ร้ายต่อเธอเรียบๆว่า
" อ้อ...เลิกฝืนใช้ดาบคู่ ตาม คำสั่งสอน ของหม่อมฉันแล้วสินะเจ้าคะ? "
" ก กรอด! " สตรีผู้หมายประทุษร้ายอนาสตาเซียกัดทนต์อย่างขัดพระทัยพร้อมกับพยายามออกแรงกดดาบในหัตถ์ของตนลงไปอีก แต่อนาสตาเซียก็ยังคงสามารถต้านรับไว้ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ก่อนที่จ่าโขลนสาวจะออกแรงอีกเพียงเล็กน้อยเพื่อสะบัดทั้งพระองค์และดาบให้ถอยกลับมา พร้อมกับที่อนาสตาเซียจะพูดต่อช้าๆว่า
" ใช้ได้เลยนี่เพคะ ฟังคำสั่งสอนของหม่อมฉันทุกคำจริงๆ เก็บงำกลิ่นอายตัวตนได้อย่างสมบูรณ์แบบทีเดียว ถ้าเป็นคนอื่นคงจะได้เลือดไปแล้วแน่ๆ ...แต่การออกดาบเมื่อครู่นี่แฝงจิตสังหารมาเต็มที่ นี่แปลว่าคราวนี้จะเป็นศิษย์คิดล้างครูจริงๆสินะเพคะ...องค์หญิงสตันสรินทร์ "
ผู้ที่ถือดาบอยู่ตรงหน้าอนาสตาเซียไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเจ้าหญิงสตันสรินทร์เทวี องค์หญิงผู้ประสูติแต่เจ้าจอมผู้ปองร้ายอย่างเจ้าจอมมารดาเพ็ง...เจ้าหญิงรูปงามผู้มีประพิมพ์ประพายเดียวกับผู้เป็นมารดาราวกับถอดพิมพ์กันมา ที่เวลานี้เจ้าหญิงองค์สำคัญขมวดขนงค์วูบพรอ้มกับดำรัสเรียบๆโดยไม่ยอมลดดาบในหัตถ์ลงว่า
" เจ้าไม่ใช่ครูข้า! "
" คิกๆ เช่นนั้นหรือเพคะ? " อนาสตาเซียลดดาบลงพร้อมกับหลิ่วตาและย้อนถามกลับยิ้มๆ จนกระทั่งเจ้าหญิงสตันสรินทร์ได้แต่กัดทนต์กรอดอย่างจำนนถ้อยคำ
" ชิ! "
" เอาน่า อย่าทำพักตร์เช่นนั้นสิเพคะ...พระองค์สมควรจะภูมิใจว่าพระองค์เป็นศิษย์ที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วจนแม้แต่หม่อมฉันยังต้องยอมรับ " อนาสตาเซียยกดาบขึ้นมาจรดท่าเตรียมประจำตัวของเธออีกครั้งพร้อมกับที่รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าสลายหายไป จิตคุกคามอันไร้รูปลักษณ์ที่แผ่พุ่งออกมาจากทั้งร่างของจ่าโขลนชาวตะวันตกผู้นี้ทำให้อากาศที่หนาวเย็นอยู่แล้วยิ่งลดระดับอุณหภูมิลงไปอีกจนกระทั่งเจ้าหญิงองค์สำคัญต้องรีบย่อวรกายลงต่ำและยกดาบขึ้นเพื่อรับแรงกดดันนั้น แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหญิงสตันสรินทร์ก็ยังคงไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวด้วยความถือดี จนกระทั่ง ผู้เป็นอาจารย์ อย่างอนาสตาเซียที่เขม้นมองอยู่กระตุกยิ้มวูบ
" เตรียมพร้อมรับ บทเรียนใหม่ จากหม่อมฉันผู้เป็น อาจารย์ ...เจ้าหญิงสตันสรินทร์! "
ในเวลาเดียวกันกับที่อนาสตาเซียกำลังมอบบทเรียนให้แก่ลูกศิษย์คนสำคัญของเธอ... ณ อีกฟากหนึ่งของเขตพระราชฐานชั้นใน...
ณ สวนขวัญดอกรัก...สวนลับที่ถูกซ่อนอยู่ภายในเขตพระราชอุทยานสวนองุ่นอันใหญ่โต...เจ้าหญิงองค์สำคัญอีกองค์หนึ่งผู้ประสูติแต่พระอัครมเหสี เจ้าหญิงสิริจันทรประทับนั่งอยู่ภายในเก๋งจีนใช้หัตถ์บางอ่อนนุ่มลูบไปมาที่เศษกระดาษเล็กๆที่มีลักษณะเดียวกับที่ส่งไปหาท่านผู้เฒ่าไม่มีผิดเพี้ยนพร้อมกับที่โอษฐ์อวบอิ่มจะคลี่เป็นรอยแย้มสรวลอย่างอบอุ่นพระทัย ดวงเนตรอันแจ่มใสเหลือบไปมองนกเหยี่ยวสีน้ำตาลอีกตัวที่ไกร ขอ จากศกุนตลาเพื่อใช้เป็นการ ส่วนตัว ช้าๆพร้อมกับยกหัตถ์ขึ้นลูบขนของผู้ส่งสารตัวนี้ ซึ่งนกตัวนั้นก็ครางแกว้กตอบกลับอย่างอารมณ์ดีจนพระองค์ต้องศรวลออกมาเบาๆ
" เสียดายที่ท่านไกรไม่ยอมให้เราเขียนสารตอบกลับไป ถ้าเช่นนั้นก็คงต้องฝากเจ้ากลับไปพยายามเตือนเจ้านายของเจ้าว่าอย่าให้เขาฝืนตัวเองมากนักนะ...เราเป็นห่วงเขามากกว่าผู้ใดที่สุด แล้วช่วยดูแลเขาแทนเราด้วยเถอะนะ "
" แกว๊ก! " เหมือนกับรู้ภาษา เหยี่ยวใหญ่ตัวนั้นผงกหัวพร้อมกับตอบกลับมาเสียงแหลมยาวจนเจ้าหญิงหลุดสรวลออกมาอีกครั้ง ก่อนที่พระองค์จะผินพักตร์หันไปในทางทิศใต้ซึ่งเป็นทิศที่ท่านไกรของพระองค์และพรรคพวกของเขากำลังเล่นศึกสำคัญอยู่ที่ไหนซักแห่ง พร้อมกับดวงเนตรงามเปล่งประกายแรงกล้า
" ...โปรดรอเสียหน่อยเถอะนะ ท่านไกร...เราจะไม่ยอมให้ท่านเป็นผู้ปกป้องฝ่ายเดียว เราจะไม่ยอมอยู่ข้างหลังท่านอีกต่อไป แต่จะดำเนินเคียงข้างท่านโดยไม่ยอมเป็นภาระท่านอีก...อีกไม่นานหรอก...อีกไม่นานหรอก "
วูบ!
โดยไร้ซึ่งการมองเห็นจากบุคคลอื่น ดวงเนตรสีอ่อนของพระองค์แปรเปลียนจนกลายเป็นสีทองจรัส พร้อมกับการแผ่ออกมาของประกายอันเป็นละอองแสงสีทองเล็กละเอียดแผ่วูบออกมาจากพระวรกายของเจ้าหญิงอย่างไม่อาจจะควบคุมได้...ประกายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่เคยปรากฏมาแล้ว ในค่ำคืนที่ บุตรีแห่งสุรีย์แสง ปรากฏขึ้น ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้ตกอยู่ในภาวะบีบคั้นใดๆเลยแม้แต่น้อยแท้ๆ!
" สมเด็จเจ้าฟ้าเพคะ " เสียงหวานใสของหญิงสาวอีกคนที่ตะโกนลอยมาจากที่ชายเขตแดนของสวนขวัญแห่งนี้ทำให้เจ้าหญิงสิริจันทรที่เหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วครู่สะดุ้งพระวรกาย ดวงเนตรที่เหลือบประกายสีทองคืนกลับกลายเป็นดวงเนตรสีอ่อนอย่างปรกติพร้อมกับที่พระองค์รีบโบกหัตถ์ไล่เหยี่ยวตัวเขื่องให้บินกลับไป ก่อนที่พระองค์จะดำรัสตอบกลับไปว่า
" เราอยู่นี่ "
" เฮ้อ...เจอเสียทีนะเพคะ...หม่อมฉันเกือบจะหลงทางอยู่แล้วเชียว ใจหายแทบแย่ "
" คิกๆ ท่านก็พูดเสียเกินเหตุ เรารู้หรอกนะว่าท่านน่ะเก่งกล้าจะตายไป ไม่เช่นนั้นเราไม่นับถือท่านให้เป็น อาจารย์ ของเราแน่ " เจ้าหญิงสิริจันทรดำเนินกึ่งวิ่งไปหาหญิงสาวปริศนาผู้เดินเข้ามาภายในอาณาเขตของสวนขวัญดอกรักช้าๆ ในขณะที่เมื่อได้ยิน หญิงสาวปริศนาตรงหน้าก็ถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยๆพร้อมกับทูลตอบกลับมาช้าๆว่า
" อย่ามั่นพระทัยขนาดนั้นสิเพคะ มันกดดันหม่อมฉันนะ หม่อมฉันเพียงรู้อย่างงูๆปลาๆเท่านั้น...แต่เอาเถอะ พร่อมที่จะรับบทเรียนใหม่รึยังเพคะ สมเด็จเจ้าฟ้า เจ้าหญิงสิริจันทรเทวี "
" อื้ม...เรารอท่านอยู่ ท่านอาจารย์...พระสนมเอก เจ้าจอมดารา "
............................................
...๑ อาทิตย์ต่อมา... ณ นอกเขตกำแพงเมืองราชบุรี ใกล้ชนิดมองเห็น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ